‘พอลล์ กาญจนพาสน์’ เปิดแผนปั้นเมืองทองธานีสู่ Tourism Destination ลุยสร้างโรงแรมใหม่รวม 1,000 ห้อง

<h2>อุตสาหกรรม MICE เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญในการดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ นักเดินทางกลุ่มนี้ถือเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งในด้านการใช้จ่ายต่อหัว การสร้างโอกาสทางธุรกิจ เศรษฐกิจ และการลงทุนให้แก่ประเทศไทย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากทีเส็บรายงานว่า ปี 2566 มีนักเดินทาง MICE ในประเทศ 16.5 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 5 หมื่นล้านบาท ส่วนเป้าหมายนักเดินทาง MICE ในสิ้นปีงบประมาณ 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 23.2 ล้านคน สร้างรายได้ 1.4 แสนล้านบาท เป็นตลาดต่างประเทศ 960,000 คน สร้างรายได้ 6.3 หมื่นล้านบาท และตลาดในประเทศ 22.2 ล้านคน สร้างรายได้ 7.3 หมื่นล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น ประเทศไทยยังได้รับการยอมรับด้านภาพลักษณ์เรื่อง MICE เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย ทั้งความคุ้มค่าของการใช้จ่ายการจัดงาน ความมีเอกลักษณ์ และความพร้อมในการรองรับนักเดินทาง MICE&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากมองลึกลงไปในส่วนย่อยของ MICE ตัว E-Exhibition เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุด การจัดงานแสดงสินค้าหรือ Trade Exhibition นอกจากจะสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นจุดศูนย์รวมของทั้งการเรียนรู้ นวัตกรรมเทคโนโลยี การเชื่อมโยงและสร้างพันธมิตร การค้า การเจรจาธุรกิจและการลงทุนวันนี้การจัดงานแสดงสินค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยมีสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นเป็นตัวเร่ง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ต้องมาคิดว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งแรกที่เราทำคือ การระดมทีม การระดมความคิด ด้วยโจทย์ที่มองไปข้างหน้าและใช้เวลาที่มีในการพัฒนางานใหม่ๆ จนพบกุญแจสู่ความสำเร็จดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ต้องมองให้เห็นเทรนด์อุตสาหกรรมของโลกว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น อะไรคืองานกลุ่มใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน Taylor &amp; Francis หน่วยงานที่เป็นศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมจากบริษัทแม่ถึงความเป็นไปได้และโอกาสความสำเร็จ รวมถึงหารือกับหน่วยงานและสมาคมต่างๆ เพื่อฟังความเห็นและการสนับสนุนการจัดงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งเราได้เทรนด์อุตสาหกรรมที่โลกกำลังให้ความสำคัญมาจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทย อาทิ งาน ASEAN Sustainable Energy, Thai Water Expo และ Electric Vehicle Asia ที่จับเรื่องพลังงานและพลังงานทดแทน, งาน ProPak Asia, Food &amp; Hospitality Thailand และ Food ingredients-Fi Asia ที่จับเทรนด์อาหาร รวมถึงงานที่จับเทรนด์สุขภาพอย่าง CPHI South East Asia ฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ต้องมองให้ไกลคิดให้ใหญ่กว่าเดิม การจัดงานที่ตอบสนองเฉพาะประเทศทำให้น่านน้ำธุรกิจไปได้ไม่ไกลพอ หากจัดงานให้เป็นระดับภูมิภาค น่านน้ำธุรกิจของเราก็จะกว้างไกลขึ้น เป้าหมายของเราคือ การจัดงานแสดงสินค้าที่ตอบสนองต่อคนทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. การประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน นอกจากงานแสดงสินค้าที่เราจัดขึ้นเองแล้ว สิ่งที่เพิ่มเติมคือ งานใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือในหลายรูปแบบ ทั้งการดึงงานใหญ่ระดับโลกมาจัดในไทย การร่วมมือกับบริษัทในเครืออินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในหลายประเทศนำงานแสดงสินค้าที่ประสบความสำเร็จมาจัดงานที่ประเทศไทยแบบร่วมทุน (joint venture) รวมถึงจับมือกับพันธมิตรรายใหม่และคู่แข่งการจัดงานจากต่างประเทศมาร่วมกันจัดงานใหม่ อาทิ งาน Jewellery &amp; Gem ASEAN Bangkok, Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok, APLF ASEAN, Vitafoods Asia และ Medlab Asia &amp; Asia Health&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. ปรับตัว พัฒนา กล้าตัดสินใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5. ดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจไปในทางเดียวกับพันธกิจของโลก การมุ่งสู่การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด Sustainable Development Goals (SDGs) ด้วยการดำเนินงานที่ช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดกับสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการประหยัดพลังงาน การลดปริมาณการใช้ทรัพยากร อาทิ จำกัดความสูงของบูธ ลดการใช้กระดาษ ฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การปรับตัว ปรับเปลี่ยน และพัฒนาการจัดงานแสดงสินค้าไม่เพียงสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่ธุรกิจการจัดงานแสดงสินค้าเท่านั้น แต่การตั้งเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาคอาเซียนจะช่วยสร้างโอกาสและการพัฒนาในด้านต่างๆ ในอีกหลายภาคส่วนด้วย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/thailand-herbal-market-growth-june-2024" alt="ไทยมีโอกาสแค่ไหนในตลาดสมุนไพรโลกที่ปี 2573 อาจสูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท">ไทยมีโอกาสแค่ไหนในตลาดสมุนไพรโลกที่ปี 2573 อาจสูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท</a>​<a target="_blank" href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/833398be-f87c-4d1f-bc2b-1f516f075a7c/forbes-thailand-july-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/Cz1TWzdy5gYtQ42wydEQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="Cz1TWzdy5gYtQ42wydEQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="320,420"></figure></div>

จับทิศธุรกิจ ‘งานแสดงสินค้า’ สู่การเติบโตในเป้าหมายใหม่

“อินฟอร์มา มาร์เก็ต” เตรียมขับเคลื่อนงานใหญ่ “Fi Asia 2023” กระหึ่มวงการส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มเอเชีย

<h2>ทีเส็บ มั่นใจปี 2566 เศรษฐกิจฟื้นตัว ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1.09 แสนล้านบาท มีนักเดินทางไมซ์ทั้งจากตลาดในและต่างประเทศรวม 18.5 ล้านคน ถือเป็นตัวเลขที่ขยายตัวดีขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 50% เมื่อเทียบกับปีงบ 2562 ก่อนโควิดระบาด</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า “ทีเส็บ” ตั้งเป้าปีงบประมาณ 2566 (ต.ค. 2565 – ก.ย. 2566) ประเทศไทยมีนักเดินทางไมซ์จากตลาดทั้งในและต่างประเทศ 18.5 ล้านคน สร้างรายได้ 1.09 แสนล้านบาท แบ่งเป็น จากนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศจำนวน 760,000 คน สร้างรายได้ 5 หมื่นล้านบาท และจากนักเดินทางไมซ์ในประเทศ 17.79 ล้านคน สร้างรายได้ 5.9 หมื่นล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากรายงานผลการดำเนินงานอุตสาหกรรมไมซ์ใน 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566) มีจำนวนนักเดินทางไมซ์รวมทั้งสิ้น 11,348,371 คน สร้างรายได้รวม 49,572 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แบ่งเป็นนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศ 374,021 คน สร้างรายได้ 24,556 ล้านบาท และนักเดินทางไมซ์ในประเทศ 10,974,350 คน สร้างรายได้ 25,016 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมไมซ์กว่า 108,131 ล้านบาท ก่อให้เกิดรายได้ประชาชาติรวม 104,686 ล้านบาท โดยภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีจากการจัดกิจกรรมไมซ์ได้ 7,800 ล้านบาท และเกิดการจ้างแรงงานไมซ์เพื่อการจัดงานทั่วประเทศถึง 145,000 อัตรา“ถ้ามองในมุมการฟื้นตัวด้านรายได้รวมไมซ์ทั้งตลาดในและต่างประเทศช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีงบ 2566 เมื่อเทียบกับเป้าหมายทั้งปี ถือว่ามาเกือบครึ่งทางแล้ว และถ้าหากฟื้นรายได้รวมไมซ์ไปถึงเป้าหมายปีนี้ เท่ากับว่าประเทศไทยจะสามารถฟื้นรายได้รวมไมซ์ประมาณ 50% เมื่อเทียบกับปีงบ 2562 ก่อนโควิดระบาด” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/04/jPuTmBPEiWV8ouuA5Gke.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jPuTmBPEiWV8ouuA5Gke.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับภาพรวมตลาดไมซ์ประเทศไทยในปีงบ 2562 ก่อนสถานการณ์โควิดระบาด (ต.ค.2561 - ก.ย.2562) ประเทศไทยมีนักเดินทางไมซ์จากทั้งตลาดในและต่างประเทศมากถึง 30,885,994 คน สร้างรายได้รวม 201,017 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แบ่งเป็น จากนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศจำนวน 1,273,981 คน สร้างรายได้ 93,971 ล้านบาท และจากนักเดินทางไมซ์ในประเทศ 29,612,013 คน สร้างรายได้ 107,046 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ภาพรวมในปีงบ 2565 (ต.ค.2564 - ก.ย.2565) ซึ่งยังเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ประเทศไทยมีนักเดินทางไมซ์จากทั้งตลาดในและต่างประเทศ 5,975,808 คน สร้างรายได้รวม 44,060 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แบ่งเป็น จากนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศจำนวน 358,306 คน สร้างรายได้ 18,638 ล้านบาท และจากนักเดินทางไมซ์ในประเทศ 5,617,502 คน สร้างรายได้ 25,422 ล้านบาท&nbsp; &nbsp;นิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการและรักษาการแทนผู้อำนวยการ ทีเส็บ กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นที่นิยมมากหลังจากการเปิดประเทศ จึงเป็นโอกาสดีที่ทีเส็บจะต่อยอด มุ่งสร้างคุณภาพความยั่งยืน และกระจายโอกาสให้กว้างขวาง อีกทั้งการจัดงาน MICE DAY 2023 ที่จัดขึ้นในวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ยังเป็นการประกาศความพร้อมในการแข่งขันบนเวทีโลกด้วยแคมเปญ Thailand MICE to Meet You Year 2023”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการจัดงาน “MICE DAY 2023” ในปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 แล้วภายใต้แนวคิด “ไมซ์มิติใหม่ ขับเคลื่อนไทยด้วยนวัตกรรมยั่งยืน” ตาม “แผนปฏิบัติการ 5 ปี” ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566-2570 ขององค์กร &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยแผนดังกล่าวกำหนดให้ประเด็นความยั่งยืนและนวัตกรรม อยู่ใน “5 พันธกิจหลัก” ที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “Global MICE Leader” ด้วยการสร้างเครือข่ายพันธมิตร และสร้างโอกาสทางธุรกิจผ่านการดึงงานไมซ์นานาชาติเข้าสู่ประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.การใช้เอกลักษณ์ชุมชนท้องถิ่นที่หลากหลายสร้างขีดความสามารถการแข่งขันให้กับเมืองจุดหมายการจัดงาน (Destination Competitiveness Through Diverse Local Identities)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.การใช้นวัตกรรมยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของไมซ์ไทยบนเวทีโลก ผ่าน Innovative MICE Solution&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.การพัฒนาทีเส็บให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูงคล่องตัว (Agile and High Performance Organization)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และ 5.การพัฒนากระบวนการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมไมซ์ และพัฒนาศักยภาพบุคลากรไมซ์เพื่อการดำเนินการตามแนวทางที่ยั่งยืน (Go for MICE Sustainability) อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AA-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87" alt="“จูเลียส แบร์” มองโอกาสลงทุนโลกยังไปได้ มั่นใจไพรเวทแบงกิ้งตอบโจทย์ความมั่งคั่ง">“จูเลียส แบร์” มองโอกาสลงทุนโลกยังไปได้ มั่นใจไพรเวทแบงกิ้งตอบโจทย์ความมั่งคั่ง</a>​ <hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทีเส็บ มั่นใจเศรษฐกิจฟื้นตัวตั้งเป้าปี 2566 รายได้ 1.09 แสนล้าน

"Sukamal Mondal" เดินหน้า "อมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ" สร้างชื่อโรงแรมแห่งการจัดประชุม

เปิดแล้ว "ทรู ไอคอน ฮอลล์" ศูนย์ประชุมสุดล้ำมูลค่า 2 พันล้านที่ไอคอนสยาม

<h2>Amadeus เผยรายงาน “ประเทศไทยสู่ปี 2030: จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ยก 4 ประเด็นหลักยกระดับการท่องเที่ยว พร้อมจับมือร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DIPA) และสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (PATA) เน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะยกระดับ "อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย"</h2>
Simon Akeroyd รองประธานกรรมการ ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ Amadeus หนึ่งในผู้เขียนรายงานเผยว่า “ประเทศไทยสู่ปี 2030: จับกระแสอนาคตอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” เป็นความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DIPA) และสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (PATA) ระบุ ประเทศไทยจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวให้มีความชาญฉลาดยิ่งขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตด้านรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในทศวรรษหน้า

“แม้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 6  ในปี 2561 แต่จากรายงานดังกล่าวเผยว่าความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสารของสนามบินต่างๆ ในประเทศกำลังจะถึงเพดานสูงสุด ในขณะที่จุดหมายปลายทางยอดนิยมเริ่มได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากเกินไป” Simon Akeroyd กล่าวและเสริมว่า

“หากการท่องเที่ยวยังคงเติบโตต่อเนื่องในอัตราเท่ากับปัจจุบัน สนามบินในประเทศไทยจะถูกใช้งานเต็มความจุเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ การขยายอาคารสนามบินอาจเข้ามาช่วยลดปัญหานี้ได้บางส่วน แต่เทคโนโลยีอัจฉริยะจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการรองรับจำนวนผู้โดยสารของท่าอากาศยานในประเทศไทยได้ในอนาคต”

<img class="alignnone wp-image-15880 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/ไซมอน-เอครอย์-อมาเดอุส-01.jpg" alt="อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย " width="800" height="429" />

โดยรายงาน “ประเทศไทยสู่ปี 2030” ยังได้นำเสนอ 4 ประเด็นหลักที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญในทศวรรษหน้า ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบิน, การพัฒนาระบบการเชื่อมต่อระหว่างท่าอากาศยานและเมือง, การผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพเครือข่ายการคมนาคมในเขตเมือง และ การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง

การนำเทคโนโลยีอัจฉริยะไปประยุกต์ใช้ รองรับการพัฒนาระบบการจัดการผู้โดยสารในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนประเทศไทยถึง 38.27 ล้านคน  และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องในปี 2562 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ทั้งนี้ Simon Akeroyd กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่าการขยายการเชื่อมต่อระหว่างท่าอากาศยานสู่เมือง เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ MICE ซึ่งมีนักธุรกิจ 2 กลุ่มที่น่าจับตาได้แก่ กลุ่มนักธุรกิจท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เกี่ยวข้องกัน คือกลุ่ม “bleisure” หรือผู้ที่เดินทางมาเพื่อธุรกิจแล้วอยู่ท่องเที่ยวพักผ่อนต่อ โดยตลาดทั้งสองนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ในการสร้างรายได้ที่หลากหลายยิ่งขึ้นในทศวรรษหน้า

“ในอนาคตอันใกล้นี้ จุดหมายปลายทางยอดนิยมในกลุ่ม MICE ในภูมิภาคจะหันมาแข่งขันกันที่ความสะดวกและความรวดเร็วในการเดินทาง ดังนั้น เมืองเหล่านี้จึงจำเป็นต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีที่จะช่วยมอบความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยว เช่น บริการเช็คอินและดร็อปกระเป๋า ณ สถานที่จัดประชุม ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีที่นำมาใช้ยังต้องมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะจุดหมายปลายทางในตลาด MICE ข้างต้นไม่ได้แข่งขันกับเพียงจังหวัดอื่นๆ ในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคอีกด้วย” Simon Akeroyd กล่าวทิ้งท้าย

<img class="alignnone wp-image-15882 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/Amadeus_Infographic_ThailandTowards2030_TH-01.jpg" alt="อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย " width="350" height="521" />

ด้าน ประชา อัศวธีระ ผู้จัดการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA สาขาภูเก็ต เผยถึงภาพรวมการพัฒนาภูเก็ตสู่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ภายหลังดำเนินการผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับระบบขนส่งในเขตเมือง

โดยสิ่งที่ SIPA เตรียมยกระดับใน 4 ด้าน ภายในปี 2020 คือ ความปลอดภัย เศรษฐกิจ สุขภาพ และ สิ่งแวดล้อม ซึ่งโครงการ Smart City ของภูเก็ตนั้น ประชา เผยว่า เตรียมพัฒนาเป็น 3 ส่วน ด้านอุตสาหกรรม ซึ่งภูเก็ตปัจจุบันเติบโตด้วยการท่องเที่ยวเป็นหลัก การนำเทคโนโลยี Smart Economy จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านการรวมมือจากนักพัฒนาต่างๆ ในศูนย์  Research Center หรือ Innovation Center

ด้านที่สอง ด้านความเป็นอยู่ หรือ Smart Living Community ประชาเผยว่า กล้อง CCTV ราว 1,700 ตัว แต่ไม่มีการรวมศูนย์การทำงานร่วม ซึ่งต่อไปจะเกิดศูนย์กลางพร้อมยกระดับ การใช้กล้อง CCTV ทั้งด้านความปลอดภัยและการเป็นเดินทางที่ดีขึ้น “เราเตรียมระบบ face recognition หรือระบบตรวจจับและวิเคราะห์ใบหน้า เข้ามาใช้ร่วมกับระบบฐานข้อมูลด้วย ซึ่งการดำเนินการจะนำร่องใน 2 พื้นที่สำคัญ ได้แก่ เทศบาลป่าตอง กับเทศบาลนครภูเก็ต”

<img class="alignnone wp-image-15881 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/ประชา-อัศวธีระ-ดีป้า-01.jpg" alt="อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย " width="800" height="470" />

ด้านที่สามคือเรื่อง Smart Sensor เป็นเซนเซอร์สำหรับการตรวจสอบสภาพอากาศ ตรวจเช็คสภาพของน้ำทะเล “ที่ผ่านมาเราได้แจกฟรีไวไฟให้กับประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวภายในภูเก็ต ซึ่งทำให้เราสามารถตรวจสอบความหนาแน่นและจำนวนนักท่องเที่ยว เพื่อแก้ไขปัญหาการกระจุกตัวในท่าเทียบเรือหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ โดยข้อมูลจะวิ่งไปที่มีศูนย์กลางเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป” ประชา อัศวธีระ กล่าว
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/travel/%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7-%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b9%87%e0%b8%95.html">PHIST 2019 แรงสู้ของภาคธุรกิจเพื่อการท่องเที่ยว “ภูเก็ต” อย่างยั่งยืน</a></li>
</ul>

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ

<h2 class="p1">ซีอีเอ-ทีเส็บ-เอ็นไอเอ ผนึกกำลังเดินหน้าพัฒนา อุตสาหกรรมไมซ์ พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ บนพื้นฐานการใช้นวัตกรรม โฟกัสสร้างระบบนิเวศให้ MAR Tech ดันศักยภาพการแข่งขันทัดเทียมนานาชาติ</h2>
อภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ ซีอีเอ (CEA) กล่าวว่า ซีอีเอในฐานะหน่วยงานรัฐที่มีภารกิจหลักในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการยกระดับ อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ให้มีศักยภาพในการแข่งขันทัดเทียมนานาชาติ จึงได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ (TCEB) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือเอ็นไอเอ (NIA) ดำเนินโครงการ “การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย” บนพื้นฐานการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ
“ปัจจุบันแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์มีอยู่ 15 สาขา ถ้าเราร่วมมือกันและสามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล่านี้ให้เติบโตไปได้ ก็จะทำให้อุตสาหกรรมไมซ์และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยก้าวไปอยู่ในตลาดสากลเพิ่มมากขึ้น โดยนอกจากมุ่งเป้าไปที่การใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างและใช้นวัตกรรมเพื่อบ่มเพาะผู้ประกอบการแล้ว เรายังโฟกัสไปที่การส่งเสริมการลงทุนและสร้างระบบนิเวศในสาขาวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Ecosystem) ด้านดนตรี ศิลปะ และกิจกรรมนันทนาการ (MAR Tech) ของไทย ที่ความสามารถของคนไทยไม่น้อยหน้ากว่าชาติอื่น”


<figure><img class="size-full wp-image-13655" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/mice02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> อภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล</figcaption></figure>
อภิสิทธิ์ ระบุว่า การส่งเสริมการพัฒนา อุตสาหกรรมไมซ์ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยบนพื้นฐานการใช้นวัตกรรมใหม่นั้นจะดำเนินการผ่าน 3 กิจกรรมหลัก คือ 1.การพัฒนาองค์ความรู้ที่จะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสิ่งที่เรามีอยู่แล้วด้วยนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ (Grooming)

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/travel/%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%aa%e0%b8%9b%e0%b8%b2%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2-%e0%b8%aa%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a5.html">ยกระดับ “สปาไทย” สู่สากล ผลักดันผู้ประกอบการจับเอกลักษณ์พื้นถิ่นเป็นจุดขาย</a></li>
</ul>
“2.การสนับสนุนการเชื่อมโยงเครือข่ายในการพัฒนาผลงานด้วยองค์ความรู้ด้านนวัตกรรม (Enhancing with Innovation) และ 3.การมีพื้นที่ในการจัดเทศกาล กิจกรรม เพื่อจัดแสดงผลงานและสร้างโอกาสแลกเปลี่ยนหรือต่อยอดการพัฒนาผลงาน โดยร่วมมือกับพื้นที่ชุมชนและผู้จัดงานระดับสากล เช่น เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ, เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ และอีสานครีเอทีฟเฟสติวัล”
“การร่วมมือกันครั้งนี้ เราหวังว่าในอนาคตอันใกล้โครงการนี้จะมีกิจกรรมหรือผลงานเป็นรูปธรรม และส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ ซึ่งท้ายที่สุดก็จะช่วยส่งเสริมภาวะการลงทุนและการท่องเที่ยว และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในแผนที่ของอุตสาหกรรมนี้ของโลกต่อไป”
จารุวรรณ สุวรรณศาสน์ ผู้อำนวยการฝ่าย MICE Intelligence &amp; Innovation สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือทีเส็บ กล่าวว่า ทีเส็บในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ ได้ตระหนักถึงนโยบายเศรษฐกิจประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมสำคัญ 10 อุตสาหกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์นานาชาติ และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
“เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยงความสำเร็จในทุกๆ ด้านของธุรกิจ ทีเส็บจึงเข้ามาร่วมมือในโครงการดังกล่าว เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีเสถียรภาพและมีโอกาสนำเสนอผลงานสู่เวทีนานาชาติ บนพื้นฐานของการประยุกต์ใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมระดับโลก ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกต่อประเทศไทยทั้งในแง่ของการกระตุ้นการลงทุนทางธุรกิจจากชาวต่างชาติ รวมไปถึงการขยายเวลาพำนักของนักเดินทางธุรกิจต่างชาติในอนาคต”

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/forbes-life/travel-forbes-life/%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%97-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b5-%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%b6%e0%b8%87-%e0%b8%99.html">อสท.เกาหลี ตั้งเป้า “นักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์” ชาวไทย 1 ล้านคนในปี 2020</a></li>
</ul>
จารุวรรณ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมไมซ์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงอุตสาหกรรมหลากหลายแขนง อาทิ การท่องเที่ยว โรงแรม การบริการ โลจิสติกส์ ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างดี ซึ่งล่าสุดได้รับการจัดอันดับจากสมาคมการประชุมนานาชาติระดับโลกปี 2561 ให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 4 ของเอเชียด้านการประชุมนานาชาติ รองจากญี่ปุ่น จีน และเกาหลี และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน นอกจากนี้ กรุงเทพฯยังถูกจัดอันดับให้อยู่ที่ 2 ของโลกด้านการประชุมนานาชาติระดับเมือง


<figure><img class="size-full wp-image-13656" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/mice03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> จารุวรรณ สุวรรณศาสน์</figcaption></figure>
“อีกขั้นหนึ่งในการผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์เติบโตได้ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเข้ามาช่วย เพื่อเป็นการสร้างมูลค่า ยกตัวอย่าง เวลาที่เราไปเสนอให้ไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรมอะไรสักอย่างของไมซ์ เราสามารถขายความคิดสร้างสรรค์ของเราได้เพื่อให้เกิดรูปแบบใหม่ๆ และมูลค่าเพิ่มได้” จารุวรรณ กล่าวกับ Forbes Thailand
“ซีอีเอเหมือนเป็นต้นน้ำที่มีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนเอ็นไอเอเป็นส่วนที่ทำให้ความคิดนั้นออกมาในเชิงพาณิชย์ และทีเส็บเป็นส่วนเชื่อมโยงในการหาตลาดหรือเวทีต่างๆ เพื่อต่อยอดหาลูกค้านั่นเอง ทั้งนี้ ทีเส็บคาดหวังว่าโครงการนี้จะมีส่วนช่วยในการสร้างเวทีการสนับสนุนงานเมกะอีเวนต์นานาชาติ เพื่อให้สมาชิกสตาร์ทอัพในวงการครีเอทีฟได้มีโอกาสแสดงผลงานและโชว์ศักยภาพของผู้ประกอบการและวิสาหกิจเริ่มต้นในด้านดนตรี ศิลปะ และกิจกรรมนันทนาการ”
พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ เอ็นไอเอ (NIA) กล่าวว่า 3 ปีที่ผ่านมาเอ็นไอเอเริ่มส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานต่างๆ มาตลอด จนทำให้เมื่อ 2 ปีก่อน กรุงเทพฯถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่คนอยากมาทำธุรกิจสตาร์ทอัพอันดับ 7 ของโลก อันดับ 1 ในเอเชีย


<figure><img class="size-full wp-image-13657" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/mice04.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> พันธุ์อาจ ชัยรัตน์</figcaption></figure>
“ทั้งนี้ ‘เมือง’ กลายมาเป็นพื้นที่สำคัญในการทำนวัตกรรมแบบเปิด ที่นำเอาองค์ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ไปแปรสู่ความเป็นจริงได้ ทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้นจากเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์คือศิลปะ ดังนั้น นอกจาก Deep Technology แล้ว นวัตกรรมที่เราอยากจะทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นมาก็คือ MAR Tech ที่ไทยมีอยู่แล้วและยังมีโอกาสเติบโต”
“การทำงานร่วมกันทั้ง 3 องค์กร เป็นการตอบภาพดีเอ็นเอของไทยที่ชัดมากขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มีผู้เล่นรายใหม่ๆ เข้ามาในสู่ระบบนวัตกรรมของประเทศผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์และอุตสาหกรรมไมซ์ ร่วมกับการพัฒนานวัตกรรมในทั้ง 2 อุตสาหกรรม”
&nbsp;

รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

3 หน่วยงานจับมือพัฒนา "สตาร์ทอัพสายอาร์ต" ดันศักยภาพทัดเทียมโลก

<h2>องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (อสท.เกาหลี)  จัดงาน “Korea Tourism Night 2019” พบปะกับตัวแทนธุรกิจท่องเที่ยว (B2B)  ทั้งภาครัฐและเอกชนจากประเทศเกาหลีกว่า 30 หน่วยงาน ดึง นักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ เสนอสิทธิพิเศษ ด้าน Jo Deok Hyun Executive Director Korea Mice Bureau ชูความหลากหลายของ 11 เมืองแห่งการประชุมไมซ์</h2>
Jo Deok Hyun Executive Director จาก Korea Mice Bureau เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจไมซ์ของประเทศเกาหลีใต้ กรุงโซลยังคงเป็นเมืองแห่งธุรกิจไมซ์อันดับ 1 โดยปี 2018 เมืองจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว 3 อันดับแรกของ กลุ่มอินเซนทีฟ โซล ปูซาน และ เกาะเชจู โดยเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางล่าสุด ได้แก่ เมือง Incheon, เมือง ChunCheon จังหวัด Gangwon

“ในเกาหลีไม่เพียงแค่โซลที่เป็นเมืองแห่งการประชุมแต่ยังเมืองแห่งการประชุมอีก 11 เมือง อาทิ ปูซาน เชจู ที่มีความสามารถในการจัดการการประชุม โดยแต่ละเมืองมีศูนย์การประชุมที่ทันสมัยที่พัก หลากหลายองค์ประกอบเพื่อการสัมผัสประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ของเมืองเหมาะสมกับความต้องการและรสนิยมของได้” Jo Deok Hyun กล่าวและยกตัวอย่าง

“อินชอนเป็นเมือง Smart city พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านการประชุมที่ทันสมัยใกล้สนามบินนานาชาติ ปูซานเป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์หลักและเมืองเจ้าภาพของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานและสามารถค้นหาโรงแรม รีสอร์ทต่างๆ ใกล้กับหาดแฮอึนแด”

ทั้งนี้จากการประชุม Korea-US summit เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาระหว่างเกาหลีเหนือและอเมริกาทำให้ภาพความสงบเกิดขึ้นระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ โดยเกาหลีเหนือเตรียมเปิดชายแดนบางส่วนเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ อาทิ รีสอร์ท สกี หรือการทัวร์ระหว่างเขตแดนสองประเทศที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานภายหลังการแบ่งแยกประเทศ

“การประชุมสุดยอดที่ผ่านมาหลายคนรู้สึกว่าปัญหาของ "การรักษาความปลอดภัยบนคาบสมุทรเกาหลี" ได้รับการแก้ไขถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่จะทำให้ผู้จัดงาน จัดการประชุม พิจารณาประเทศเกาหลีใต้ในฐานะของประเทศที่เป็นสถานที่หรือจุดหมายปลายทางสำหรับการจัดงานครั้งต่อไปมีผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์เกาหลี” Jo Deok Hyun กล่าวและเสริมว่า

ทั้งนี้เองเราเตรียมปิดจุดอ่อนโดยเฉพาะการประชุมระดับองค์กรให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น หากเทียบกับการประชุมระดับนานาชาติและการประชุมระดับประเทศที่เราทำได้ดี โดยเตรียมออกแบบโปรแกรมสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวไมซ์ (MICE) เพื่อทัศนศึกษาที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่าง Samsung และ LG เป็นต้น รวมถึงแนวคิดการสร้างศูนย์ประชุมขนาดใหญ่เฉพาะทางราว 100,000 ตร.ม. เพื่อการประชุมระหว่างประเทศหรือองค์กรธุรกิจ

สำหรับแผนการกระตุ้น นักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ Korea Mice Bureau เผยเป้าหมายนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ชาวไทยในปี 2020 ที่ 1 ล้านราย โดยสถิติปี 2017 นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้อยู่ที่ 870,000 ราย

“ที่ผ่านมาเราโฟกัสกลุ่มเป้าหมายอยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เป็นหลักซึ่งในการจัดงาน Korea Tourism Night 2019 เราได้ขยายกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดหัวเมืองอื่นๆ ของไทยมากขึ้น”

อสท.เกาหลี ตั้งเป้า "นักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์" ชาวไทย 1 ล้านคนในปี 2020

<h2>บนพื้นที่ 17 ไร่ริมถนนมิตรภาพ ซี.พี.แลนด์กำลังดำเนินการก่อสร้าง ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ ขอนแก่น หรือ KICE (Khonkaen International Convention &amp; Exposition) พื้นที่ใช้สอยกว่า 1.4 หมื่นตร.ม. จากเป้าหมายของธนินท์ เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ให้เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นครัวของโลก</h2>
นราวดี วรวณิชชา กรรมการผู้จัดการ โครงการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ซี.พี.แลนด์ตัดสินใจลงทุนศูนย์ประชุมฯ ในจังหวัดขอนแก่น ด้วยเม็ดเงิน 1.8 พันล้านบาท เริ่มก่อสร้างเมื่อไตรมาส 1 ปี 2559 สนองตามนโยบาย MICE City (Meetings, Incentives, Convention and Exhibition) ของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายให้ KICE เป็นศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าที่โดดเด่นด้านอาหารทุกชนิด ทั้งอาหารมนุษย์ อาหารสัตว์ การจัดแสดง-สัมมนาเทคโนโลยีและความรู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

<img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a2b09e4a4f1da2c5dc767f19f5dc7059.png" alt="" />

ในช่วงแรกอาจเป็นศูนย์ประชุมระดับท้องถิ่น ดึงดูดผู้ซื้อเข้าร่วมงานจากในจังหวัดขอนแก่น 70-80% กับผู้ซื้อในภาคอีสานและสปป.ลาวอีก 20-30% แต่อนาคตต้องการให้เป็นศูนย์ฯระดับนานาชาติ

“เราเป็นน้องใหม่ในกลุ่มธุรกิจศูนย์ประชุมฯ แต่ตัวอย่างที่เรามองคือ ประเทศจีน จีนเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก มีงานแสดงสินค้าที่โดดเด่นอย่าง Canton Fair ซึ่งมีพื้นที่กว่า 1 ล้านตร.ม. หรือ Yiwu Fair ซึ่งจัดบูธให้ผู้ค้าระดับเอสเอ็มอีได้กว่า 1 แสนบูธและจัดได้ตลอดปี นั่นคือแรงบันดาลใจของซี.พี.แลนด์”

นราวดีกล่าวต่อว่า ปัจจุบันงานประชุมและจัดแสดงสินค้าด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกคืองาน Gulfood ที่ Dubai สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รองลงมาอยู่ที่ฟิลิปปินส์ ขณะที่งาน THAIFEX ของไทยติดใน 10 อันดับแรก แต่เชื่อว่าศักยภาพของไทยไปได้ไกลกว่านั้น จากการผลักดันให้เป็นครัวของโลกของรัฐบาล รวมถึงเครือเจริญโภคภัณฑ์ทำธุรกิจด้านอาหารอย่างครบวงจร จึงต้องการผลักดันธุรกิจอาหารเป็นจุดขาย

โดยงานหลักของซี.พี.แลนด์คือเป็นผู้บริหารศูนย์ประชุมฯ KICE และติดต่อกับออร์กาไนเซอร์เข้ามาดำเนินการจัดงานแสดงสินค้า แต่เพื่อผลักดันจุดหมายครัวของโลกดังกล่าว ซี.พี.แลนด์จะมีการจัดงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารด้วยตนเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มซีพีเอฟ ซีพีออลล์ หรือซีพีรีเทลลิงก์

<img style="width: 680px; height: 290px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9fc45c48958867ce961c29b893f62890.png" alt="" />

นราวดีฉายภาพว่า ปัจจุบันขอนแก่นยังไม่มีศูนย์ประชุมฯที่รองรับการจัดงานลักษณะ Trade Expo โดยพื้นที่จัดงานในขอนแก่นมีทั้งหมด 3 แห่งคือ ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น พื้นที่ 2.5 พันตร.ม. ขอนแก่นฮอลล์ในเซ็นทรัลพลาซ่า ขอนแก่นพื้นที่ 2 พันตร.ม. และโรงแรมเซ็นทารา ขอนแก่น พื้นที่ 1.5 พันตร.ม. ขณะที่ KICE จะมีพื้นที่ฮอลล์ขนาดกว่า 7 พันตร.ม. สูง 15 เมตร และรับน้ำหนักได้ 2.5 ตันต่อตร.ม. ทำให้รองรับการจัดแสดงสินค้าได้ดีกว่า

ซึ่งแม้ว่าจะยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง แต่มีออร์กาไนเซอร์จัดงานให้ความสนใจแล้วกว่า 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นออร์กาไนเซอร์ในไทย และเป็นงาน consumer expo ที่เสมือนยกงานจากกรุงเทพฯมาไว้ที่ขอนแก่น เช่น Money Expo, Book Fair

<figure><img style="width: 680px; height: 408px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/18313416e87b94cd1983adadad393d5d.png" alt="" width="680" height="408" /><figcaption> จุด drop-off ความสูงของหลังคาสามารถรองรับรถบัส</figcaption></figure>

เชื่อว่าหลังเปิดบริการในเดือนธันวาคม 2560 ช่วง 1-2 ปีแรกจะมีอัตราการเช่าพื้นที่ 40% ต่อปี ในปีที่ 3-4 จะมี 50% และปีที่ 5 เป็นต้นไปจะมีอัตราเช่า 65% ซึ่งถือเป็นมาตรฐาน หรือคิดเป็นจำนวนงาน 24 ครั้ง/ปี ครั้งละ 10-15 วัน อัตราค่าเช่าพื้นที่ 120 บาท/ตร.ม./วัน และจะสร้างรายได้ปีละ 180 ล้านบาทได้ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป วางแผนคืนทุนได้ใน 8 ปี

ด้านแผนการขยายงาน ที่ดินของซี.พี.แลนด์ยังมีพื้นที่ว่างในบริเวณ KICE อีก 9 ไร่ ซึ่งสามารถขยายเฟส 2 ได้หากมีดีมานด์มากขึ้นในอนาคต สำหรับการพัฒนาโรงแรมเพื่อรองรับผู้เข้าร่วมประชุม ยังไม่อยู่ในแผนงาน แต่โรงแรมในจังหวัดขอนแก่นที่มีทั้งหมด 5 พันห้องถือว่าเพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว

ส่วนจะขยายงานศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้าออกไปหรือไม่ จะรอดูความสำเร็จของ KICE หลังครบระยะ 3 ปีขึ้นไป โดยซี.พี.แลนด์มีที่ดินรองรับได้ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช

&nbsp;

Forbes in Details

กนธีร์ ติรวิภาส รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานพัฒนาโครงการ บมจ.ซี.พี.แลนด์ ยังเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับศูนย์ประชุมฯ KICE ดังนี้

<figure><img style="width: 680px; height: 509px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ebb509910311b136e074814af4f3bae0.png" alt="" width="680" height="509" /><figcaption> ไซต์ก่อสร้างศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้านานาชาติ ขอนแก่น (KICE) เตรียมเปิดบริการเดือนธันวาคม 2560</figcaption></figure>

- พื้นที่ 17 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 14,111 ตร.ม. เป็นศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าในร่ม (indoor) ที่ใหญ่ที่สุดในต่างจังหวัด
- ฮอลล์จัดแสดงเปิดโล่งไร้เสาสูง 15 เมตร พื้นที่ 7,510 ตร.ม. รองรับบูธ 420 บูธ
- ที่จอดรถกว่า 1,000 คัน
- ออกแบบโดยสถาปนิก ดีไซน์ 103
- การตกแต่งได้แรงบันดาลใจจากท้องถิ่น เช่น พระธาตุขามแก่น ลายผ้าไหม ต้นคูน
- MICE City ทั้ง 5 แห่งที่สนับสนุนโดยรัฐบาล คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และภูเก็ต

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events