<h2>Hungry Hub แพลตฟอร์มจองโต๊ะร้านอาหาร สตาร์ทอัพสัญชาติไทย โชว์ความสำเร็จหลังก่อตั้งมา 10 ปี มีคนใช้แอปกว่า 1 ล้านคน/เดือนแล้ว ยอดจองสะสมกว่า 4 ล้านที่นั่ง พร้อมลุยขยายสู่สิงคโปร์ ตั้งเป้าเป็น Online Travel Agent (OTA) ร้านอาหารระดับโลก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Hungry Hub เปิดเผยว่า Hungry Hub ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ในฐานะแพลตฟอร์มจองโต๊ะร้านอาหารและเป็นที่รู้จักกันด้านโปรโมชั่นบุฟเฟต์ ปัจจุบัน Hungry Hub เติบโตมาเป็นตัวช่วยสำคัญให้ผู้บริโภควางแผนแต่ละมื้อได้อย่างคุ้มค่า ด้วยจุดเด่นคือราคาอาหารทุกประเภทที่ปรากฏบนแพลตฟอร์มนั้นเป็นราคาสุทธิ ไม่ต้องกลัวงบบานปลาย และในอีกมุมหนึ่งก็ดึงดูดคนให้กล้าเข้าร้านอาหารระดับพรีเมียมมากขึ้น เป็นการเพิ่มลูกค้าใหม่ให้ร้านอาหารต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ที่ผ่านมา Hungry Hub สะสมพันธมิตรร้านอาหารในไทยกว่า 1,700 แห่ง ช่วยพันธมิตรร้านอาหารสร้างรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท และมีผู้ใช้งานแอปพลิเคชันกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน ยอดจองสะสมมากกว่า 4 ล้านที่นั่ง และสามารถสร้างรายได้ให้แก่ร้านอาหาร 1 ร้านได้สูงสุดกว่า 250 ล้านบาทต่อปี” สุรสิทธิ์กล่าว​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/4zEZ8BgBDo8dNiXa7iJC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4zEZ8BgBDo8dNiXa7iJC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความสำเร็จที่เกิดขึ้นของ Hungry Hub สุรสิทธิ์บอกว่าปัจจัยสำคัญมาจากการกลยุทธ์การตลาดอย่าง Influencer Marketing หรือการใช้ Key Opinion Leaders (KOLs) สร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ผู้คนรู้จักร้านอาหารแต่ละร้าน ซึ่งมีตั้งแต่ Micro Influencer ที่มีผู้ติดตามหลักร้อยไปจน Macro Influencer ที่มีผู้ติดตามจำนวนมหาศาล โดยปัจจุบัน Hungry Hub ร่วมงานกับ KOLs บนโลกออนไลน์ราว 300 - 400 เพจ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยให้อิสระพวกเขาสร้างสรรค์คอนเทนต์ของตัวเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ Hungry Hub เป็นสตาร์ทอัพด้านแพลตฟอร์มการจองร้านอาหารแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ซึ่งสุรสิทธิ์มองว่าเป็นจุดแข็งในการพิชิตตลาดระดับโลก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีล่าสุดของบริษัท แอปป์เซอร์เวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Hungry Hub ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 36,934,140.16 บาท ขาดทุนสุทธิ 16,090,818.08 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ปี 2565 บริษัทรายได้รวม 64,586,274.43 บาท ขาดทุนสุทธิ 31,140,149.47 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ปี 2566 บริษัทรายได้รวม 68,936,302.35 บาท ขาดทุนสุทธิ 9,983,115.39 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลประกอบการที่แม้จะยังขาดทุน แต่ดูเหมือนจะไม่หยุดยั้งความพยายามและการเติบโตของ Hungry Hub ได้ ล่าสุด Hungry Hub พร้อมเติบโตไปอีกขั้น เดินหน้ารุกตลาดสิงคโปร์เต็มรูปแบบ โดยเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับ Singapore Tourism Board (STB) ร่วมผลักดันการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักเดินทางที่มองหาประสบการณ์รับประทานอาหารระดับกลางถึงไฮเอนด์ที่คุ้มค่าในประเทศเกาะแห่งนี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวชาวไทยและมาเลเซียที่เดินทางไปสิงคโปร์​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/BjL2xJZGY6AbWZA7Wh9z.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="BjL2xJZGY6AbWZA7Wh9z.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรสิทธิ์ กล่าวว่า “การขยายธุรกิจครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญสำหรับ Hungry Hub ในการเดินหน้าสู่การเป็น Online Travel Agent (OTA) สำหรับร้านอาหารระดับโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาเผยถึงเป้าหมายระยะยาวที่ Hungry Hub ต้องการจะไปให้ถึง คือการเป็น OTA ระดับโลกเช่นเดียวกับ Agoda, Expedia, Tripadvisor และอื่นๆ แต่เป็น OTA ของร้านอาหารโดยเฉพาะ ดังนั้น Hungry Hub จะให้บริการแค่เฉพาะในประเทศไทยไม่ได้ นำมาสู่แผนการขยายข้ามประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสิงคโปร์ที่ Hungry Hub เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สุรสิทธิ์เล่าว่ามีแผนจะรุกสิงคโปร์มาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งถึงจังหวะอันเหมาะสม ทั้งยังได้พันธมิตรเป็น STB ทำให้เขาตัดสินใจเดินหน้า และตั้งเป้าว่าจะขยายจำนวนร้านค้าพันธมิตรในสิงคโปร์บนแพลตฟอร์มให้ได้ราว 300 ร้านค้าในปี 2025&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเห็นว่าเซ็กเมนต์ในไทยที่เราทำงานด้วยคือเซ็กเมนต์ของร้านที่พรีเมียม และสิงคโปร์มีร้านพรีเมียมในจำนวนที่เยอะกว่าไทย เกือบทุกร้านอาหารถูกมองเป็นพรีเมียม แต่ไม่จริง พอเราแปะราคาให้เห็น คนจะกล้าเดินเข้าร้านอาหารมากขึ้น” สุรสิทธิ์กล่าวถึงเบื้องหลังแนวคิดที่ทำให้เลือกสิงคโปร์เป็นประเทศที่สองต่อจากไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Hungry Hub ยังวางแผนสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแต่ยั่งยืนในทุกปี ด้วยเป้าหมายสำคัญคือการขยายธุรกิจเพิ่มให้ได้มากกว่าปีละ 1 ประเทศภายใน 3-5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขยายธุรกิจไปประเทศอื่นยังคงต้องรอดูความสำเร็จในสิงคโปร์อีกครั้ง​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/kSPR1tPrGgWHrHK6tY8f.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="kSPR1tPrGgWHrHK6tY8f.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแผนธุรกิจในไทย สุรสิทธิ์ตั้งใจขยายพันธมิตรร้านค้าในไทยเพิ่มอีก 1,000 ร้านภายในปี 2025 รวมพันธมิตรเดิมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 2,700 ร้าน พร้อมตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานในไทยโตอีก 50% ซึ่งกรุงเทพฯ ยังคงเป็นเป้าหมายหลัก อย่างไรก็ตาม Hungry Hub มีแผนพานักท่องเที่ยวไปต่างจังหวัดมากขึ้นเช่นกัน&nbsp; &nbsp; ในบรรดาพันธมิตรร้านอาหารในไทยของ Hungry Hub กว่า 1,700 แห่ง ราว 1,400 แห่งเป็นร้านอาหารในกรุงเทพฯ ส่วนอีกราว 300 แห่งเป็นร้านอาหารต่างจังหวัด ลูกค้านิยมใช้ Hungry Hub จองร้านอาหารในกรุงเทพฯ และพื้นที่ข้างเคียงมากเป็นพิเศษ เพราะมีร้านระดับพรีเมียมถึงไฮเอนด์จำนวนมาก ประกอบกับการเดินทางที่สะดวกสบาย ทำให้สามารถเข้าถึงร้านต่างๆ ได้ง่ายกว่า ซึ่งจำนวนผู้ใช้งาน Hungry Hub จองร้านอาหารในกรุงเทพฯ คิดเป็นตัวเลข 90% ของยอดจองทั้งหมด ส่วนจังหวัดที่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ มักเป็นจังหวัดท่องเที่ยว โดยเมืองที่มีลูกค้าใช้บริการ Hungry Hub เยอะ ได้แก่ พัทยา หัวหิน และเขาใหญ่ ตามลำดับ เพราะมีร้านอาหารลักชัวรีเยอะ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/r1Rjxfx1xZnuNAgpRBxS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="r1Rjxfx1xZnuNAgpRBxS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ นอกเหนือจากการขยายตลาด สุรสิทธิ์เผยว่าในปีหน้า Hungry Hub ยังคงไม่หยุดพัฒนาแพลตฟอร์มด้วยเช่นกัน โดยนอกจากฟีเจอร์ควบคุมงบประมาณ (Budget-Controlled Dining) อันเป็นเอกลักษณ์ของ Hungry Hub แล้ว ทีมงานก็กำลังวางแผนยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งานแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ในด้านต่างๆ ทั้งการแสดงราคาตามสกุลเงินของแต่ละประเทศ ช่องทางการชำระเงินที่สะดวกต่อผู้คนแต่ละประเทศมากขึ้น เพิ่มภาษาให้หลากหลาย ตลอดจนการจับมือกับพันธมิตรรายอื่นๆ จากทั่วโลก ภาพ: Hungry Hub เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/bar-b-q-plaza-thailand-first-business-fable-best-friend-brand" alt="‘บาร์บีกอน’ เติบโตไปอีกขั้น! เปิดตัวหนังสือนิทานธุรกิจเล่มแรกในไทย ตั้งเป้าเป็นแบรนด์ ‘เพื่อนที่ดีที่สุด’ ของทุกคน">‘บาร์บีกอน’ เติบโตไปอีกขั้น! เปิดตัวหนังสือนิทานธุรกิจเล่มแรกในไทย ตั้งเป้าเป็นแบรนด์ ‘เพื่อนที่ดีที่สุด’ ของทุกคน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เจาะความสำเร็จ Hungry Hub ยอดผู้ใช้แอป 1 ล้านคนต่อเดือน ลุยขยายสู่สิงคโปร์ ตั้งเป้าเป็น OTA ร้านอาหารระดับโลก

<h2>10 อันดับ 'มหาเศรษฐีสิงคโปร์' ประจำปี 2024 โดยในปีนี้ อันดับ 1 ยังคงเป็นเจ้าพ่อธุรกิจด้านเทคโนโลยี อย่าง Eduardo Saverin ที่มีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือเป็นมูลค่าความร่ำรวยมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อน ที่มีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 1.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แฟนเพลงจากทั่วทั้งภูมิภาคที่แห่เดินทางไปชมคอนเสิร์ตของราชินีเพลงป๊อบคนดังอย่าง Taylor Swift&nbsp;และวงร็อค Coldplay&nbsp;ที่ประเทศสิงคโปร์ในช่วงต้นปี 2024 ที่ผ่านมา สามารถทำให้บัตรคอนเสิร์ตขายได้จนหมดเกลี้ยง ถือเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกของเมืองเล็กๆ แต่รายได้สูงแห่งนี้เติบโตเพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้ง การเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ&nbsp;ลอเรนซ์ หว่อง วัย 51 ปี ในเดือนพฤษภาคม ยังสร้างทัศนคติเชิงบวกโดยรวมที่ช่วยยกระดับตลาดหุ้น ส่งผลให้มูลค่าสุทธิรวมของมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด 50 รายของประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เป็น 1.95 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp; &nbsp; โดย มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของสิงคโปร์ ยังคงเป็น Eduardo Saverin ที่ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยี มีมูลค่าทรัพย์สินความมั่งคั่งอยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับ 2 ได้แก่&nbsp;Robert &amp; Philip Ng เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์&nbsp;มีมูลค่าทรัพย์สิน 1.44 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับ 3 คือ&nbsp;Li Xiting ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน 1.34 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ อันดับ 4&nbsp;Kwek Leng Beng &amp; Family มูลค่าทรัพย์สิน 1.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอันดับ&nbsp;5 Goh Checg Liang ดำเนินธุรกิจด้านการผลิต&nbsp;มีมูลค่าทรัพย์สิน 1.04 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/7YHT8rMLFBMb6usDYVcR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="7YHT8rMLFBMb6usDYVcR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>อันดับ 1 ได้แก่&nbsp;Eduardo Saverin&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน: 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ​ ​ธุรกิจ: เทคโนโลยี&nbsp;​ ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/hjuBBk1dPsRL35vQZecZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hjuBBk1dPsRL35vQZecZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>อันดับ 2 ได้แก่ Robert &amp; Philip Ng&nbsp; &nbsp;&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน; 1.44 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ธุรกิจ: อสังหาริมทรัพย์ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/ERZLSdeuqKxFFDtDJqsh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ERZLSdeuqKxFFDtDJqsh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>อันดับ 3 ได้แก่ Li Xiting&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน: 1.34 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ธุรกิจ: อสังหาริมทรัพย์ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/KuyXE6Z671zpyjhXizBq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KuyXE6Z671zpyjhXizBq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div>อันดับ 4 ได้แก่&nbsp;Kwek Leng Beng &amp; Family&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน: 1.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ธุรกิจ: อสังหาริมทรัพย์ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/9RibGZvpMy7o3EsAVYsE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="9RibGZvpMy7o3EsAVYsE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"></figure></div>อันดับ 5 ได้แก่ Goh Checg Liang&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน: 1.04 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ธุรกิจ: การผลิต <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/d3QFPtm3UAGn69Ms9iKj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="d3QFPtm3UAGn69Ms9iKj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="5"></figure></div>อันดับ 6 ได้แก่ Khoo Family&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน: 9.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ธุรกิจ: อสังหาริมทรัพย์ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/ibaT7WWMShWzw3bwNAJW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ibaT7WWMShWzw3bwNAJW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="6"></figure></div>อันดับ 7 ได้แก่ Wee Family&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน: 7.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ธุรกิจ: การเงินและการลงทุน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/SA1VzSMCqXg6LgwxYTrm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="SA1VzSMCqXg6LgwxYTrm.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="7"></figure></div>อันดับ 8 ได้แก่ Kwee brothers&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน: 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ธุรกิจ: อสังหาริมทรัพย์ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/5g8nDzzg3scv1CVgj1ok.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5g8nDzzg3scv1CVgj1ok.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="8"></figure></div>อันดับ 9 ได้แก่ Leo KoGuan&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน: 6.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ธุรกิจ: เทคโนโลยี <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/g7aSqV5Q1ZKakzFVpTJj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="g7aSqV5Q1ZKakzFVpTJj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="9"></figure></div>อันดับ 10 ได้แก่ Zhang Yong &amp; Shu Ping&nbsp;มูลค่าทรัพย์สิน: 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ธุรกิจ: อาหารและเครื่องดื่ม <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 75%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/a3zB46DswmGYxgRbUbC9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="a3zB46DswmGYxgRbUbC9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="10"></figure></div>​ แปลและเรียบเรียงจากบทความ:&nbsp;<a href="https://www.forbes.com/lists/singapore-billionaires/" alt="Singapore’s 50 Richest">Singapore’s 50 Richest</a>​ ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/2024-americas-richest-women-celebrities" alt="15 เศรษฐีนีคนดังแห่งสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2024">15 เศรษฐีนีคนดังแห่งสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2024</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

10 อันดับ 'มหาเศรษฐีสิงคโปร์' ประจำปี 2024

<h2>	แม้ว่า Choo Chong Ngen จะยังไม่ทันได้ขยายอาณาจักรให้เข้ากับชื่อ Worldwide Hotels แต่เขาประสบความสำเร็จอย่างมากจากการเติบโตในตลาดโรงแรมราคาประหยัดและตลาดระดับกลางของสิงคโปร์ รวมถึงตลาดบางแห่งในภูมิภาค</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงแรกเริ่ม Choo Chong Ngen อดีตพ่อค้าปลาวัย 70 ปี ทำรายได้จากเครือข่ายโรงแรมราคาประหยัด Hotel 81 ในย่านโคมแดงของสิงคโปร์ ก่อนจะขยับขึ้นสู่อันดับ 17 บนทำเนียบมหาเศรษฐีสิงคโปร์ประจำปี 2023 ในเวลานี้โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น 8% แตะระดับ 2.6 พันล้านเหรียญ อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหลังพ้นวิกฤตโควิด-19&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Worldwide Hotels ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเปิดห้องพักในประเทศเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2,000 ห้องภายในปีนี้ รวมแล้วคิดเป็นห้องพักทั้งสิ้น 8,671 ห้องในตลาดสิงคโปร์ กลายเป็นเครือโรงแรมขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเกาะเคียงข้าง Accor กลุ่มบริษัทผู้ประกอบธุรกิจบริการจากฝรั่งเศส และ Far East Organization โดยอยู่ในความควบคุมของพี่น้องเศรษฐีพันล้าน Robert และ Philip Ng (อันดับ 2)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Worldwide Hotels ภายใต้การนำของ Carolyn บุตรสาว ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอและกรรมการผู้จัดการ ได้ตกลงเข้าซื้อ Parkroyal on Kitchener ขนาด 542 ห้อง ในราคา 525 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (389 ล้านเหรียญ) ไปเมื่อเดือนกรกฎาคม Carolyn บอกด้วยว่า Worldwide Hotels ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ Accor เพื่อเปลี่ยนชื่อโรงแรมให้เป็น Novotel Singapore on Kitchener นับเป็นโรงแรมแห่งแรกในสิงคโปร์ของกลุ่มบริษัทที่ใช้ชื่อแบรนด์จากภายนอก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายในสิ้นปีนี้ Worldwide Hotels จะเปิดตัวกิจการที่เพิ่งสร้างใหม่ในสิงคโปร์คือ Hotel Mi Rochor โรงแรมระดับกลางขนาด 530 ห้อง จากการลงทุนก่อสร้าง 390 ล้านเหรียญสิงคโปร์ และ Icon Hotel โรงแรมระดับกลางบนขนาด 989 ห้อง ราคา 735 ล้านเหรียญสิงคโปร์ โดย Icon Hotel นับเป็นเป็นแบรนด์สิงคโปร์แห่งที่ 7 ของอาณาจักร นับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Worldwide Hotels เข้าซื้อโรงแรมไปแล้วทั้งสิ้น 9 แห่งในประเทศไทย มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ทั้งหมดอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของแบรนด์อย่าง Holiday Inn, Travelodge และ Ibis&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“มีแนวโน้มที่ดีมากๆ” Carolyn กล่าว “เพียงแต่อัตราดอกเบี้ยที่สูงนั้นทำให้การลงทุนต้องใช้เวลายาวนานมากกว่าจะเห็นกำไร” นอกจากนี้ ยังกล่าวเสริมว่า Worldwide Hotels “ให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเท่านั้น เราไม่ได้มองหาตลาดใหม่ๆ ที่ไหนเลย” เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-50-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2023" alt="การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีสิงคโปร์ ประจำปี 2023">การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีสิงคโปร์ ประจำปี 2023</a>​​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายนในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายนในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" alt="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/M61t31eFWLNK3x1ywuuV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="M61t31eFWLNK3x1ywuuV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="500,656" data-image-link="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" data-index="0" style="width: 300px; height: auto;"></a></figure></div>

Choo Chong Ngen ขยายอาณาจักร ยังโตได้อีก

<h2>United Overseas Bank ของ Wee Cho Yaw เดินหน้าเต็มตัวเพื่อขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้เข้าซื้อธุรกิจการธนาคารสำหรับผู้บริโภคของ Citibank ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ในข้อตกลงธุรกิจมูลค่า 4.9 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (3.5 พันล้านเหรียญ)</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;UOB ระบุว่า เมื่อข้อตกลงนี้จบในปลายปีนี้จะทำให้ธนาคารมีลูกค้าเกือบ 8 ล้านราย ซึ่งจะทำให้รายได้ของธนาคารเพิ่มขึ้นประมาณ 1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;UOB มุ่งขยายธุรกิจจากโมเมนตัมที่เกิดขึ้นด้วยการให้ข้อเสนอสุดพิเศษแก่สมาชิก เช่น ให้สิทธิ์ในการซื้อตั๋วล่วงหน้าสำหรับคอนเสิร์ต Taylor Swift ที่จะจัดแสดงที่สิงคโปร์ในปีหน้า ซึ่งผลก็คือยอดสมัครบัตรเครดิต UOB ในเดือนมิถุนายนพุ่งสูงขึ้นทั้งภูมิภาคก่อนที่ตั๋วจะเริ่มขายให้คนทั่วไปและหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กำไรสุทธิของ UOB ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้พุ่งสูงขึ้น 53% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเป็น 3.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (หักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินทรัพย์ของ Citibank) เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และรายได้จากการค้าหลักทรัพย์และการลงทุนเพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Wee Cho Yaw อยู่ในอันดับ 8 ของทำเนียบ 50 อันดับมหาเศรษฐีสิงคโปร์ด้วยการครอบครองทรัพย์สินมูลค่าสุทธิ 7.1 พันล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จากการคาดการณ์ว่า Fed ยังจะขึ้นดอกเบี้ยอีก ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิจึงน่าจะสูงขึ้น และจะสูงค้างอยู่นานขึ้น” Thilan Wickramasinghe นักวิเคราะห์ของ Maybank Securities ระบุในบทวิเคราะห์ในเดือนกรกฎาคม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Maybank ประเมินว่า กำไรสุทธิของ UOB จะเพิ่มขึ้น 19% ในปีนี้ไปเป็นสถิติสูงสุดใหม่ที่ 5.7 พันล้านเหรียญสิงคโปร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ UOB ซึ่งมี Ee Cheong ลูกชายคนโตของ Wee Cho Yaw เป็นผู้บริหารสูงสุดก็กำลังเร่งลงทุนทางด้านดิจิทัล ซึ่งรวมถึงการตั้งงบ 500 ล้านเหรียญสิงคโปร์เพื่อสร้างศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีในสิงคโปร์ และจับมือกับร้านค้าออนไลน์อย่าง Lazada เพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินและการให้บริการทางการเงินทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ตระกูล Wee ยังกุมบังเหียนบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์อย่าง UOL Group และเครือโรงแรมอย่าง Pan Pacific Hotels ถึงแม้ว่า UOL จะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวหลังโควิดและอุปสงค์ที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ที่ยังประคองตัวได้ดี แต่อัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นฉุดให้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ลดลงถึง 64% เหลือ 135 ล้านเหรียญสิงคโปร์&nbsp;เพราะค่าใช้จ่ายด้านการเงินเพิ่มขึ้นเท่าตัว ทั้งนี้ในเดือนกรกฎาคม Pan Pacific ได้ทำข้อตกลงที่จะขายโรงแรม Parkroyal ในย่าน Little India ที่สิงคโปร์ให้กับเจ้าพ่อธุรกิจโรงแรม Choo Chong Ngen (อันดับ 17) ในราคา 525 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;: <a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-50-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2023" alt="การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีสิงคโปร์ ประจำปี 2023">การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีสิงคโปร์ ประจำปี 2023</a>​​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายนในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายนในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px; width: 300px;"><a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" alt="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/M61t31eFWLNK3x1ywuuV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="M61t31eFWLNK3x1ywuuV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="500,656" data-image-link="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></a></figure></div>

Wee Cho Yaw พา UOB โตพรวดพราด

<h2>อันดับ 1 ของเศรษฐีผู้มีความมั่งคั่งมากที่สุดของสิงคโปร์ได้เปลี่ยนไปแล้ว โดย Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta ขึ้นแท่นครองอันดับ 1 หลังมูลค่าหุ้นของบริษัทที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินของเขาทวีคูณมากขึ้นตามไปด้วย </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของหุ้น Meta ทำให้ Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta ผงาดขึ้นมาเป็นเศรษฐีพันล้านครองอันดับ 1 ในทำเนียบของสิงคโปร์ โดยที่มูลค่าทรัพย์สินรวมของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 1.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศสิงคโปร์ยังคงติดอันดับต้นๆ ของทำเนียบผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในสิงคโปร์ โดย Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta Platforms (เดิมคือ Facebook) ชาวบราซิลซึ่งมีถิ่นพำนักในสิงคโปร์มานานกว่า 10 ปีแล้วได้ก้าวขึ้นมาเป็นคนร่ำรวยที่สุดอันดับ 1 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.6 หมื่นล้านเหรียญ มูลค่าทรัพย์สินของเขาในแง่เม็ดเงินเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นถึง 6.4 พันล้านเหรียญ เนื่องจากราคาหุ้น Meta ซึ่งเพิ่งคลอด Threads มาชนกับ Twitter ไปหมาดๆ พุ่งกระฉูดถึงเกือบ 70% นับจากที่เราทำการประเมินมูลค่าสินทรัพย์มหาเศรษฐีสิงคโปร์รอบที่แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Saverin ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมของ B Capital Group ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (VC) ที่มีสินทรัพย์ภายใต้บริหารถึง 6.3 พันล้านเหรียญ ขึ้นมานั่งแท่นแทนที่ Li Xiting ประธานกรรมการ Shenzhen Mindray Bio-Medical Electronics บริษัทเครื่องมือแพทย์ซึ่งครองอันดับ 1 ในทำเนียบติดต่อกันมา 2 ปี ก่อนที่จะหลุดไปอยู่อันดับ 3 ในปีนี้ เนื่องจากหุ้นในกลุ่มการดูแลสุขภาพถูกกระทบจากการที่จีนดำเนินนโยบายกวาดล้างคอร์รัปชันในธุรกิจยา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การสลับตำแหน่งของมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ในปีนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเหลือ 3.6% ในปีที่แล้ว และคาดว่าจะแผ่วลงไปอีกเหลือเพียง 0.5%-1.5% ในปีนี้ เนื่องจากการส่งออกซบเซาและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง อย่างไรก็ตามแม้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่มูลค่าสินทรัพย์รวมของ 50 คนที่ร่ำรวยที่สุดในสิงคโปร์ยังคงเพิ่มขึ้น 8% เป็น 1.77 แสนล้านเหรียญRobert และ Philip Ng สองพี่น้องขาใหญ่วงการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของ Far East Organization ยังเหนียวแน่นอยู่ที่อันดับ 2 เหมือนเดิม โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลงเล็กน้อยเหลือ 1.48 หมื่นล้านเหรียญ ในขณะที่ Kwek Leng Beng เศรษฐีพันล้านอีกรายจากแวดวงอสังหาริมทรัพย์ก็เกาะแน่นอยู่ที่อันดับ 5 โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น 18% เป็น 1.1 หมื่นล้านเหรียญที่มากเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้หลังจากที่สถานการณ์โรคระบาดผ่านพ้นไป City Developments ของ Kwek ก็กลับมามองหาการซื้อกิจการอสังหาริมทรัพย์ดีๆ ในตลาดโลกอีกครั้ง และเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็ได้เข้าไปซื้อ St. Katharine Docks ใจกลาง London ที่ราคา 500 ล้านเหรียญทั้งนี้ กว่าครึ่งของคนร่ำรวยที่สุดในทำเนียบปีนี้ของเรามีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น โดยมี 6 รายที่มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งในจำนวนนี้มี 2 รายที่มาจากตระกูลเศรษฐีเก่าซึ่งทรัพย์สินหลักผูกอยู่กับธุรกิจธนาคาร ได้แก่ ตระกูล Lee ซึ่งถือหุ้นใน OCBC และตระกูล Lien ซึ่งถือหุ้นใน United Overseas Bank โดยมูลค่าทรัพย์สินของสองตระกูลนี้เพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ เพราะเราได้รับข้อมูลใหม่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่พวกเขาถือครองอยู่อย่างไรก็ตาม ในปีนี้มี 3 รายจากปีที่แล้วที่หลุดโผไป ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ David Chen อดีตเศรษฐีพันล้านผู้ร่วมก่อตั้ง Sea ที่ทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและบริษัทผลิตเกม ซึ่งราคาหุ้นร่วงลงไปแรงหลังจากที่ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ออกมาน่าผิดหวัง ส่วนผู้ร่วมก่อตั้ง Sea อีก 2 รายคือ Forrest Li และ Gang Ye ยังติดอยู่ในทำเนียบปีนี้ แต่มูลค่าทรัพย์สินของทั้งสองลดลงมากที่สุดในทำเนียบปีนี้เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้มูลค่าทรัพย์สินต่ำสุดของรายชื่อในทำเนียบปีนี้ของเราอยู่ที่ 750 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจาก 705 ล้านเหรียญ รายงานโดย Jonathan Burgos, Grace Chung, Gloria Haraito, Anuradha Raghunathan, Yessar Rosendar, Jessica Tan, Giacomo Tognini และ Yue Wang​เรื่อง: NAAZNEEN KARMALI และ JANE HO เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา และ รัน-รัน​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/asia/world/syed-azman-syed-ibrahim-weststar-group" alt="Syed Azman Syed Ibrahim พา Weststar Group บินขึ้นเหนือขอบฟ้า">Syed Azman Syed Ibrahim พา Weststar Group บินขึ้นเหนือขอบฟ้า</a>​​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566&nbsp;ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566&nbsp;ในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/cMB6YdkJ7jd7PPwXSBD7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-index="0" data-file-name="cMB6YdkJ7jd7PPwXSBD7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​

Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta ขึ้นแท่นอันดับ 1 เศรษฐีสิงคโปร์

<h2>เมื่อต้องการมองหาบุคคลที่มีคุณสมบัติให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ประสบการณ์ทำงานและเรซูเม่อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะถูกนำมาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะนายจ้างจำนวนหนึ่งในสิงคโปร์ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องของวันและเวลาที่ผู้สมัครเกิดด้วยไม่แพ้กัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซีอีโอรายหนึ่งเผยว่าเขาต้องปรึกษากับซินแสฮวงจุ้ยเพื่อตัดสินว่าผู้สมัครเหมาะสมสำหรับบริษัทหรือไม่&nbsp;“หากซินแสฮวงจุ้ยอ่านชะตาแล้วพบว่าไม่ดี พวกเขาอาจไม่ได้รับการพิจารณามากเท่าใดนัก” Benedict (นามสมมติ) อดีตพนักงานของทีมจ้างงานในบริษัทการตลาดแห่งหนึ่งกล่าว เขาปฏิเสธจะใช้ชื่อจริงเพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นอ่อนไหว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ฮวงจุ้ยคือศิลปะการอ่านดวงชะตาและบุคลิกภาพอ้างอิงจากวันเดือนปีเกิดของแต่ละคน อาจจัดว่าเป็นหนึ่งในศาสตร์การพยากรณ์ที่มีมาแต่โบราณดุจเดียวกับไพ่ทาโรต์และการดูลายมือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Benedict เผยว่า ในตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมีผู้สมัครจำนวนมาก การปรึกษากับหมอดูช่วยตีวงหาผู้ที่เหมาะสมให้แคบลงมา เพราะผู้สมัครจะเข้ารอบก็ต่อเมื่อดวงของพวกเขาเข้ากันได้กับบริษัท "หากนำวันเดือนปีเกิดของผู้สมัครไปให้ซิสแสฮวงจุ้ยดูและผลออกมาไม่ดี พวกเขาจะถูกคัดออกก่อนได้นัดสัมภาษณ์เสียอีก"&nbsp;เขากล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในสิงคโปร์ ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการดูดวงชะตามากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ว่าจะจ้างใคร เอาเงินไปลงทุนกับอะไร หรือกระทั่งควรแต่งงานเมื่อไหร่ ธุรกิจดูดวงเติบโตอย่างมั่นคงตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2021 พร้อมตัวเลขกิจการพยากรณ์อนาคตเพิ่มขึ้น 32.6% จากข้อมูลล่าสุดของกรมสถิติสิงคโปร์ โดยรายได้จากการดำเนินงานของธุรกิจกลุ่มดังกล่าวทะยานสูงเกือบ 70% แตะ 76.2 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ราว 56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ตลอดช่วงเวลาเดียวกัน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 75%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/Nu7qzLa1paJtzss3RQK1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Nu7qzLa1paJtzss3RQK1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="0"><figcaption><div>ไพ่ทาโร่ต์ ศาสตร์พยาการณ์โบราณยอดนิยม</div></figcaption></figure></div>​ควรจ้างงานคนไหน?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Mark Tan ซีอีโอแห่ง Way Fengshui Group เผยว่ามีบริษัทราว 100 แห่งใช้บริการธุรกิจของเขาเพื่อสอบถามว่าควรจ้างงานผู้สมัครคนไหน&nbsp;“บริษัทพวกนั้นอาจส่งปาจื่อของผู้สมัครมาแล้วถามผมว่า คนนี้เหมาะสมกับตำแหน่งที่พวกเขากำลังเปิดรับหรือเปล่า” ปาจื่อคืออักษรแปดตัวที่ชี้วันเดือนปีและเวลาเกิดของแต่ละคน อ้างอิงจากตำราของจีน&nbsp; &nbsp;&nbsp;Tan บอกว่า ท้ายที่สุดแล้วทางบริษัทยังคงต้องเป็นผู้ตัดสินใจหลังพิจารณาการประเมินว่าผู้สมัครคนนี้เหมาะสมหรือไม่ ทั้งยังเสริมว่า “ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เราเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกช่วยพิจารณาเมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจจ้างใครสักคน โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;“ยิ่งเป็นตำแหน่งระดับ C หรือการจ้างครั้งสำคัญมาก และทางบริษัทยังลังเล หรือไม่ก็ลังเลมาก พวกเขาแค่อยากดูว่ามีจุดบอดอะไรที่ต้องระวังหรือเปล่า” Tan อธิบาย&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เมื่อลองถามความคิดเห็นของกระทรวงแรงงานและ TAFEP ของสิงคโปร์ ต่างชี้ไปยังกฎเกณฑ์การจ้างงานที่เป็นธรรมของสิงคโปร์ ที่ระบุว่านายจ้างต้องเลือกจ้างพนักงานตามความเหมาะสมของความสามารถ จะลงทุนกับอะไร? &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทสิงคโปร์หลายแห่งยังหันมาขอคำแนะนำจากหมอดูก่อนทำการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญ&nbsp;Jing (นามสมมติ) ผู้ทำงานกับบริษัทผลิตเหล็กในสิงเคราะห์เล่าว่า เหนือกว่าเรื่องการจ้างงาน บริษัทของเธอขอคำปรึกษาจากหมอดูเพื่อพิจารณาโอกาสการลงทุนหากจะเปิดโรงงานใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการทำวิจัยควบคู่ไปด้วย ใช่ว่าจะพึ่งพาความเชื่อเพียงอย่างเดียว&nbsp;“มันเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจภายในที่มีตัวเลขสนับสนุน และเมื่อตัดสินใจแล้ว ซินแสฮวงจุ้ยจะช่วยแนะนำว่าเวลาที่เหมาะสมให้” เธอกล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ซินแสจะวิเคราะห์เกณฑ์ต่างๆ เช่น ที่ตั้งของอาคาร ว่ามีโครงสร้างไม่พึงประสงค์อยู่รอบๆ ไหม หรือด้านหน้าอาคารว่าหันไปยังทิศทางใด&nbsp;“พอซินแสให้ผ่าน เราก็จะเดินหน้าโปรเจ็กต์ต่อจนลุล่วง” Jing เผย “เหมือนเป็นการยืนยันขั้นพิเศษ...พวกเขาแค่อยากดูแลให้ครอบคลุมพื้นฐานทุกด้านเท่าที่เป็นไปได้ และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด” ซึ่งฮวงจุ้ยก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/6p7wU4fPGoydtkz5c6zE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6p7wU4fPGoydtkz5c6zE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"><figcaption><div>ซินแส ผู้เชี่ยวชาญการอ่านชะตาตามตำราจีน</div></figcaption></figure></div>​ จะมั่งคั่งได้อย่างไร?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คำถามทั่วไปที่ผู้คนมักถามคือ จะรวยเมื่อไหร่? ทำไมถึงยังไม่รวย?” Chase Whoo ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยที่รับให้คำปรึกษาทั้งยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ Hoseiki เผยพร้อมให้คำตอบแก่คำถามเหล่านั้นว่า ส่วนใหญ่เป็นเพราะกลยุทธ์การลงทุนนั้นมาผิดทาง&nbsp;เขาอธิบายว่าหากพิจารณาจากตารางวันเกิด หลายคนก็มีธาตุประจำตัวที่ให้โทษและขัดขวางความมั่งคั่ง&nbsp; &nbsp;&nbsp;Woo เล่าว่าลูกค้าราว 60% ของเขาถามหาหนทางสู่ความร่ำรวย ผู้ที่ถามคำถามนี้โดยส่วนใหญ่เป็นชาวสิงคโปร์อายุราว 35-45 ปี ลูกค้าจำนวนมากของเขาทำงานขาย เช่น ตัวแทนประกันภัยทางการเงิน ซึ่งต่างขอคำปรึกษาว่าจะเพิ่มยอดขายได้อย่างไร&nbsp; &nbsp;&nbsp;“เราจะสอนศาสตร์แห่งตัวเลขและเทคนิคการอ่านใบหน้าบางประการ เพื่อให้พวกเขานำไปพิจารณาหาปัญหาที่เป็นความต้องการของลูกค้า” Woo กล่าวและยกตัวอย่างว่า “คนที่มีเลขหกในตารางมาก มีแนวโน้มยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางกว่าคนอื่นเล็กน้อย คุณจะบอกเขาว่านโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อลูกของเขาไม่ได้ เพราะเขาอาจไม่สนใจ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;ศาสตร์พยากรณ์และการดูดวงจึงนับได้ว่ามีบทบาทสำคัญในชีวิตของชาวสิงคโปร์อย่างมาก โดยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจของผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตาม ผลทำนายไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง อาจนำมาใช้เป็นแนวทาง แต่ควรนำข้อมูลอื่นๆ มาพิจารณาประกอบด้วยเช่นกัน แปลและเรียบเรียงจาก Who should I hire? Will I get rich? Fortune telling is a booming business in Singapore ซึ่งเผยแพร่บน cnbc.com อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99" alt="อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มผนึกกำลังเกษตรกรร่วมกันลดคาร์บอน">อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มผนึกกำลังเกษตรกรร่วมกันลดคาร์บอน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events