<h2>หลังหวนคืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดี Donald Trump ก็เดินหน้าผนึกกำลังพันธมิตร 3 บริษัททรงอิทธิพลแห่งวงการเทคโนโลยี ลงทุน 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อตั้งโครงการ Stargate ตั้งเป้าพาสหรัฐอเมริกาสู่ผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อวันอังคารที่ 21 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Donald Trump ร่วมกับผู้บริหารจาก 3 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ Sam Altman ซีอีโอ OpenAI, Larry Ellison ผู้ก่อตั้ง Oracle และ Masayoshi Son ซีอีโอ SoftBank ประกาศโครงการก่อตั้ง Stargate บริษัทพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI และดาต้าเซ็นเตอร์ มูลค่าการลงทุนรวมราว 500,000 ล้านเหรียญ และจะสร้างงานให้ชาวอเมริกันกว่า 100,000 ตำแหน่งในทันที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Stargate จะสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพและเสมือนจริงเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนา AI ในรุ่นถัดไป” Trump กล่าว และเสริมว่า “เราต้องการสร้างมันในประเทศนี้ จีนเป็นคู่แข่ง ประเทศอื่นๆ ก็เป็นคู่แข่ง เราต้องการอยู่ในประเทศนี้และทำให้มันเกิดขึ้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นี่จะเป็นโครงการที่สำคัญที่สุดของยุคนี้” Altman แสดงความคิดเห็น โดยซีอีโอ OpenAI คอยเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ในสหรัฐฯ เสมอมา และชี้ว่าการมีโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ยอดเยี่ยมจะเปิดโอกาสในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเทคโนโลยี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับผู้สนับสนุนเงินทุนหลักในโครงการยักษ์ใหญ่ครั้งนี้ ได้แก่ OpenAI, Oracle, SoftBank และ MGX ที่วางแผนอัดฉีดเงินราว 500,000 ล้านเหรียญตลอด 4 ปีนับจากนี้ โดย Masayoshi Son จาก SoftBank จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ Stargate นอกจากนี้ยังได้ ARM, Nvidia และ Microsoft มาร่วมสนับสนุนด้านเทคโนโลยี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เบื้องต้น ในปีแรกจะเริ่มลงทุนที่ 100,000 ล้านเหรียญก่อน กับดาต้าเซ็นเตอร์ในเท็กซัส ก่อนจะทยอยขยายสู่รัฐอื่นๆ ต่อไป ซึ่ง Ellison จาก Oracle เผยว่าตอนนี้มีดาต้าเซ็นเตอร์ 10 แห่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แถลงการณ์บนเว็บไซต์ของ OpenAI เผยว่า “เราทุกคนตั้งตารอที่จะสร้างและพัฒนา AI โดยเฉพาะ AGI เพื่อผลประโยชน์ของทุกคน เราเชื่อว่าก้าวใหม่นี้เป็นก้าวที่สำคัญยิ่ง และจะช่วยให้บรรดาผู้คนที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ค้นพบวิธีที่จะใช้ AI เพื่อยกระดับมวลมนุษยชาติ” แหล่งที่มา:​<a href="https://apnews.com/article/trump-ai-openai-oracle-softbank-son-altman-ellison-be261f8a8ee07a0623d4170397348c41" alt="Trump highlights partnership investing $500 billion in AI">Trump highlights partnership investing $500 billion in AI</a><a href="https://www.aljazeera.com/news/2025/1/22/stargate-what-is-trumps-new-500bn-ai" alt="Stargate: What is Trump’s new $500bn AI project?">Stargate: What is Trump’s new $500bn AI project?</a><a href="https://openai.com/index/announcing-the-stargate-project/" alt="Announcing The Stargate Project">Announcing The Stargate Project</a>​ ​<a href="https://www.entrepreneur.com/business-news/openai-oracle-softbank-team-up-for-stargate-ai-initiative/485896" alt="What Is Stargate? OpenAI, Oracle, Softbank, and President Trump Team Up for $500B AI Infrastructure Initiative.">What Is Stargate? OpenAI, Oracle, Softbank, and President Trump Team Up for $500B AI Infrastructure Initiative.</a>​ ภาพ: AFP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/other/global/trump-first-day-executive-orders-20-jan-2025" alt="วันแรกก็ป่วนแล้ว! สรุปคำสั่งที่ Donald Trump ลงนาม หลังคืนตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ">วันแรกก็ป่วนแล้ว! สรุปคำสั่งที่ Donald Trump ลงนาม หลังคืนตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Donald Trump ผนึกกำลัง OpenAI - Oracle - SoftBank ก่อตั้ง Stargate ยกระดับโครงสร้าง AI ในสหรัฐฯ

<h2>สงคราม AI อันร้อนระอุกระตุ้นอุตสาหกรรมผลิตชิปซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่มาแรงนี้ให้เติบโตไปด้วย กลายเป็นอีกศึกหนึ่งซึ่งมีความดุเดือดมากไม่แพ้กัน และล่าสุดมหาเศรษฐีแห่ง SoftBank อย่าง Masayoshi Son ก็ขอกระโจนเข้าร่วมสมรภูมิด้วยอีกคน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานข่าวโดย Bloomberg เผยว่า Masayoshi Son ผู้ก่อตั้งและซีอีโอคนปัจจุบันของ SoftBank Group Corporation บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัย กำลังเตรียมระดมทุนมูลค่าราว 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อร่วมทุนการผลิตชิปสำหรับ AI ภายใต้โปรเจ็กต์ “Izanagi” ซึ่งตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งการกำเนิดและชีวิต จากตำนานเทพปกรณัมของญี่ปุ่น สะท้อนความทะเยอทะยานไร้ขีดจำกัดของ Son&nbsp; &nbsp;&nbsp;โปรเจ็กต์ Izanagi จะเป็นกิจการแยกย่อยมาจาก Arm Holdings บริษัทออกแบบชิปสัญชาติอังกฤษที่ SofBank เข้าครอบครองเมื่อปี 2016 และเพิ่งจะ IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq อย่างยิ่งใหญ่เมื่อเดือนกันยายนปี 2023 ที่ผ่านมา ก่อนประสบความสำเร็จมหาศาล&nbsp; &nbsp;&nbsp;หลัง Arm เผยผลประกอบการช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2023 ซึ่งมีกำไรถึง 6.4 พันล้านเหรียญ หุ้นของ SofBank ก็พุ่งทะยานตามไปด้วย พาให้ความมั่งคั่งของ Son เพิ่มขึ้นกว่า 50% ในเวลาเพียงไม่ถึงปี จากรายงานของ Forbes เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2024 เขามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงถึง 2.88 หมื่นล้านเหรียญ&nbsp; &nbsp;&nbsp;สำหรับโปรเจ็กต์ Izanagi มีการคาดการณ์ว่า SoftBank จะเป็นผู้สนับสนุนเงิน 3 หมื่นล้านเหรียญ ส่วนอีก 7 หมื่นล้านเหรียญจะมาจากสถาบันต่างๆ ในตะวันออกกลาง หากการระดมทุนประสบความสำเร็จด้วยดี นี่จะกลายเป็นการลงทุนใน AI ที่สำคัญที่สุดคราวหนึ่ง เทียบเคียงกับที่ Microsoft ลงทุนใน OpenAI เลยทีเดียว&nbsp; &nbsp;&nbsp;Son ไม่ได้ตั้งเป้าไว้แค่ที่ AI (Artificial Intelligence) แต่เป็น AGI (Artificial General Intelligence) ขั้นกว่าของปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ยิ่งขึ้น&nbsp; &nbsp;&nbsp;“AGI คือคำตอบที่ผู้เชี่ยวชาญ AI ทุกคนตามหา แต่หากถามพวกเขาถึงนิยามโดยละเอียด ตัวเลข เวลา กำลังการประมวลผล และความฉลาดของ AGI หากเทียบกับมนุษย์แล้วล่ะก็ ส่วนใหญ่ไม่มีคำตอบให้หรอก” Son กล่าว “แต่ผมมีคำตอบของตัวเอง ผมเชื่อว่า AGI จะเป็นจริงได้ใน 10 ปี”&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ลือกันว่าความต้องการสร้าง Izanagi ของ Son นั้นแตกต่างจากเป้าหมายของ Sam Altman แห่ง OpenAI ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์อย่างมาก แม้ว่าทั้งคู่จะเคยปรึกษาหารือเรื่องความร่วมมือและระดมทุนเพื่อการผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำหรับชิปก็ตาม&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โปรเจ็กต์ใหม่ล่าสุดของ Son ยังคงเป็นที่น่ากังขาอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยทุ่มเงินลงทุนในสตาร์ทอัพหลายครั้ง แต่ผลที่ได้กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า หนึ่งในนั้นคือ WeWork ซึ่งยื่นล้มละลายไปในปีที่ผ่านมา ทำให้ SoftBank ต้องสูญเงินไปกว่า 1.44 หมื่นล้านเหรียญ&nbsp; &nbsp;&nbsp;ปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าบริษัทใดจะเป็นผู้รับบทบาทหลักในการพัฒนาเทคโนโลยี AGI อันล้ำสมัยนี้ เช่นเดียวกับรายละเอียดการจัดสรรเงินระดมทุนว่าจะทำไปใช้กับส่วนไหนบ้าง อีกทั้งตัวแทนของ SoftBank และ Arm ต่างก็ปฏิเสธจะแสดงความคิดเห็นใดๆ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/it/openai-introduces-sora-video-generative-ai" alt="OpenAI เปิดตัว “Sora” AI ใหม่สร้างวิดีโอจากการป้อนคำ">OpenAI เปิดตัว “Sora” AI ใหม่สร้างวิดีโอจากการป้อนคำ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Masayoshi Son ขอร่วมศึก AI เตรียมระดมทุน 1 แสนล้านเหรียญผลิตชิป ตั้งเป้าบุกเบิกขั้นกว่าของปัญญาประดิษฐ์

<h2>Coupang บริษัทอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เดินหน้าขยายการให้บริการในญี่ปุ่น โดยได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ซึ่งถือหุ้นในบริษัทร้อยละ 33 ผ่านกองทุน Vision Fund</h2>
<img class="alignnone wp-image-46822" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/coupang-men-customer-service-reps-3.jpg" alt="Coupang ญี่ปุ่น" width="720" height="466" />

หนังสือพิมพ์ Korea JoongAng Daily รายงานว่า Coupang เริ่มเปิดให้บริการจัดส่งสินค้าในกรุงโตเกียวเป็นที่แรกก่อนที่จะขยายไปยังเมืองอื่นๆ 

“Coupang กำลังอยู่ในช่วงเติบโตเต็มที่ในเกาหลีใต้ และกำลังมองหาตลาดใหม่ๆ เพื่อการเติบโตที่พิเศษมากยิ่งขึ้น เช่น ญี่ปุ่น” Neil Mawston กรรมการบริหาร Strategy Analytics บริษัทวิจัยการตลาดกล่าว “ญี่ปุ่นเป็นตลาดหลักของ SoftBank ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ใน Coupang”

ในช่วงปลายปี 2018 Coupang สามารถระดมทุน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากกองทุน Vision Fund ของ SoftBank ที่มูลค่าบริษัท 9 พันล้านเหรียญ แล้วจึงเข้าทำ IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนมีมูลค่าบริษัทตามราคาตลาดในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 6.7 หมื่นล้านเหรียญ ส่งผลให้ผู้ก่อตั้ง <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/bom-kim/">Bom Kim</a> มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 6 เท่า เป็น 6.4 พันล้านเหรียญ ก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีเกาหลีใต้ที่ได้รับกำไรสูงสุดใน<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/gracechung/2021/03/11/coupangs-blockbuster-ipo-pushes-its-founders-fortune-up-by-10-fold-in-minutes/?sh=40d6f3d416a8">ทำเนียบประจำปี 2021</a>

ในที่นี้ สำนักข่าว Reuters รายงานว่า  Masayoshi Son มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งของ <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/gracechung/2021/03/11/coupangs-blockbuster-ipo-pushes-its-founders-fortune-up-by-10-fold-in-minutes/?sh=40d6f3d416a8">SoftBank</a> กล่าวในเดือนมีนาคมหลังจากการเสนอขายหุ้นของ Coupang ว่าเขากำลังพิจารณาที่จะนำบริการจาก Coupang ไปยังประเทศญี่ปุ่น “Masayoshi Son ประธาน SoftBank ได้นำความรู้เชิงลึกของเขาเกี่ยวกับตลาดอี-คอมเมิร์ซในญี่ปุ่น มาสร้างโอกาสในการขยายการเติบโตให้กับ Coupang” Rajiv Biswas หัวหน้าทีมเศรษฐกิจประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจาก IHS Markit กล่าว

เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ทั่วโลก ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก จากประชากรของประเทศทั้งหมด 125 ล้านคน ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้หันมาใช้บริการอี-คอมเมิร์ซในปีที่ผ่านมา เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 “การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนเป็นดีอย่าง Coupang เข้าแข่งขันในตลาดอี-คอมเมิร์ซญี่ปุ่น” Biswas กล่าว

สำหรับประเด็นนี้ Mawston ระบุว่า Coupang สามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นๆ ในประเทศอย่าง Rakuten และ Amazon ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีอายุกว่า 7 ปีของ Rocket Delivery ผู้ให้บริการจัดส่งด่วนในญี่ปุ่น “Coupang สามารถเน้นการให้บริการภายในโตเกียวก่อน ซึ่งมีประชากรมากถึง 14 ล้านคน แต่การขยายไปยัง 10 หรือ 100 เมืองใหญ่ในญี่ปุ่นต่อไป อาจจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก”

แปลและเรียบเรียงจากบทความ SoftBank-Backed Coupang, The Amazon Of South Korea, Expands Into Japan โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/missfresh-และ-dingdong-maicai-เตรียมเข้าทำ-ipo-ในส.html">MissFresh และ Dingdong Maicai เตรียมเข้าทำ IPO ในสหรัฐฯ</a>

Coupang อี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เดินหน้าขยายบริการในญี่ปุ่น

<h2>SoftBank เตรียมแต่งตั้ง Keiko Erikawa หนึ่งในมหาเศรษฐีหญิงไม่กี่คนของญี่ปุ่นเข้าเป็นคณะกรรมการบริหาร เพื่อขับเคลื่อนบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสู่วงการเกมมิ่งอันที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด</h2>
<figure><img class="wp-image-46513" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/CeKguQJWIAA0Gvi.jpg-large-1024x768.jpg" alt="Keiko Erikawa" width="720" height="540" /><figcaption> Yoichi Erikawa และ Keiko Erikawa ผู้ร่วมก่อตั้ง Koei Tecmo Holdings</figcaption></figure>

ระหว่างรอการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 มิถุนายน เพื่อแต่งตั้ง <a href="https://www.forbes.com/profile/yoichi-keiko-erikawa/?sh=25cbfe753a70">Erikawa</a> วัย 72 ปี เข้าเป็นคณะกรรมการบริหารหญิงเพียงคนเดียวต่อจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/ralphjennings/2021/06/08/japanese-female-billionaire-set-to-join-softbank-board-boosts-gaming-credentials/?sh=3d24cc906dad">Yuko Kawamoto</a> ศาสตราจารย์จาก Waseda University ในกรุงโตเกียวประกาศลาออกจากคณะกรรมการของบริษัทในเดือนนี้หลังอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 1 ปี เนื่องจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็น<a style="color: #333333;" href="https://group.softbank/en/news/info/20210521">ผู้บัญชาการของหน่วยงานด้านบุคลากรแห่งชาติ</a>

“SoftBank กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง” Abishur Prakash ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา Center for Innovating the Future กล่าว “สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ได้ส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุนของ SoftBank เปลี่ยนแปลงไปการแต่งตั้ง Keiko Erikawa จึงเสมือนการเริ่มต้นของ SoftBank ในการหันมาให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเกมมิ่งมากขึ้น”

Erikawa ก่อตั้ง Koei Tecmo Holdings บริษัทพัฒนาวิดีโอเกมร่วมกับ Yoichi สามีของเธอเมื่อ 4 ทศวรรษก่อน โดยในปีที่ผ่านมามูลค่าหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2 เท่าตัว จากความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงวิกฤตโรคระบาดที่ผู้คนจำเป็นต้องอยู่บ้าน ส่งผลให้เกมใน Nintendo Switch อย่าง Hyrule Warriors: Age of Calamity ที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนมียอดขายทั่วโลกมากกว่า 3.5 ล้านหน่วยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2020 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Erikawa และสามีเพิ่มขึ้นร้อยละ 144 เป็น 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/japan-billionaires/list/">ในการจัดอันดับมหาเศรษฐีญี่ปุ่น ประจำปี 2021</a>

“เพราะเกมมิ่งกำลังกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในตลาดอย่างอินเดียและจีน SoftBank จึงสามารถอาศัยความเชี่ยวชาญของ Erikawa เพื่อคว้าโอกาสเหล่านี้” Prakash กล่าว

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา SoftBank ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ Masayoshi Son มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่น ได้เข้าลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์และหุ่นยนต์คลังสินค้า อาทิ การเข้าซื้อหุ้น IPO ของ JD Logistics ในฮ่องกงเมื่อเดือนที่แล้วผ่านทางกองทุน Vision Fund ที่มูลค่า 3.2 พันล้านเหรียญและในเดือนเมษายน SoftBank เข้าลงทุน 2.8 พันล้านเหรียญเพื่อถือหุ้นร้อยละ 40 ใน AutoStore บริษัทสัญชาตินอร์เวย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคลังสินค้าอัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการดำเนินการของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ

ขณะที่เรื่องราวความสำเร็จในการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของ SoftBank ในปีนี้ คือ การนำ Coupang อี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ของเกาหลีใต้เข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่มูลค่ากว่า 4.6 พันล้านเหรียญ ขึ้นแท่นเป็นบริษัทเอเชียในสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การ IPO ของ Alibaba ในปี 2014 

“ฉันคิดว่าการได้ Keiko Erikawa เข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหารมีนัยสำคัญเป็นอย่างมาก” Sean Su นักวิเคราะห์อิสระในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกล่าว “SoftBank ขึ้นชื่อว่าเป็นธุรกิจที่กล้าเสี่ยงสูง ในเชิงเปรียบเทียบกับ Koei Temco ซึ่งมีความเป็นอนุรักษ์นิยมมาก ฉะนั้นการผนึกกำลังของพวกเขาจึงอาจนำมาซึ่งการพัฒนาเกมที่ดีและยอดขายที่ดี”

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Japanese Female Billionaire Set To Join SoftBank Board, Boosts Gaming Credentials เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/enrique-razon-jr-เข้าซื้อ-manila-water-ต่อยอดสู่ธ.html">Enrique Razon Jr. เข้าซื้อ Manila Water ต่อยอดสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน</a>

SoftBank ผนึกกำลัง Keiko Erikawa เจาะตลาดเกมมิ่ง

<h2 class="p1">Didi Chuxing ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกรถรายใหญ่ที่สุดในจีนเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2021 โดยคาดว่าจะสามารถระดมทุนได้มากกว่า 6.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ</h2>
<img class="alignnone wp-image-43079" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/Didi-Chuxing-770x433.jpg" alt="Didi Chuxing" width="720" height="405" />
ปัจจุบัน Didi Chuxing ได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก<a style="color: #008000;" href="https://www.businessinsider.com/uber-china-competitor-didi-chuxing-looking-to-raise-2-billion-2019-7?utm_source=markets&amp;utm_medium=ingest"> SoftBank Group </a>บริษัทเทคโนโลยีและการลงทุนของญี่ปุ่นเป็นมูลค่าสูงที่สุดในบรรดาบริษัททั้งหมดในพอร์ตฟอลิโอ โดยคาดว่าหลังจากการทำ IPO ครั้งนี้ Didi จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในจีน
ในที่นี้ บริษัทเปิดเผยว่า การเลื่อนระยะเวลาเข้าทำ IPO จากเดิมที่กำหนดไว้ในช่วงสิ้นปีมาเป็นไตรมาสที่ 2 แทนมีสาเหตุมาจากการที่ภาครัฐของจีนสามารถป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเวลาและตลาดหลักทรัพย์ที่จะเข้าทำ IPO โดยนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าหากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง บริษัทจะสามารถสร้างสถิติการทำ IPO ของบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี ด้วยมูลค่าระดมทุนราว 9 พันล้านเหรียญ
ขณะที่ SoftBank นักลงทุนรายใหญ่ที่สุดก็จะได้รับอานิสงส์จากการทำ IPO ในครั้งนี้เช่นกัน หลังจากที่สร้างกำไรมหาศาลจากการนำ<a style="color: #008000;" href="https://www.businessinsider.com/uber-china-competitor-didi-chuxing-looking-to-raise-2-billion-2019-7?utm_source=markets&amp;utm_medium=ingest"> Coupang </a>สตาร์ทอัพอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ และ<a href="https://www.businessinsider.com/uber-china-competitor-didi-chuxing-looking-to-raise-2-billion-2019-7?utm_source=markets&amp;utm_medium=ingest"> DoorDash </a>แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่อาหารจากซานฟรานซิสโก เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้
ล่าสุด ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักข่าว<a style="color: #333333;" href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-03-19/didi-is-said-to-accelerate-ipo-plans-as-business-rebounds"> Bloomberg </a>รายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 บริษัทจะเริ่มเปิดให้บริการแพลตฟอร์มเรียกรถในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมัน ก่อนที่จะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ของตลาดยุโรป
แปลและเรียบเรียงจากบทความ China's Didi Chuxing is eyeing a mega-IPO next quarter that values the ride-hailing service above $62 billion, report says เผยแพร่บน Businessinsider.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/news/other/pinduoduo-%e0%b9%81%e0%b8%8b%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2-alibaba-%e0%b8%82%e0%b8%b6%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%b5-%e0%b8%84%e0%b8%ad%e0%b8%a1.html">Pinduoduo แซงหน้า Alibaba ขึ้นเป็นอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดในจีน</a>

Didi Chuxing แพลตฟอร์มเรียกรถรายใหญ่ในจีน เตรียมเข้าทำ IPO ไตรมาสที่ 2 ของปี

<h2 class="p1">Adam Neumann ผู้ร่วมก่อตั้ง WeWork ธุรกิจให้บริการ Co-Working Space บรรลุข้อตกลงกับ Softbank บริษัทเทคโนโลยีและการลงทุนของญี่ปุ่น เพื่อยุติการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อตั้งแต่ปี 2019 พร้อมเดินหน้านำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง</h2>
<img class="alignnone wp-image-42447" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/wewr.jpg" alt="Adam Neumann" width="720" height="480" />
ย้อนกลับไปในปี 2020 WeWork ยื่นฟ้อง<a style="color: #008000;" href="https://www.cnbc.com/2020/05/18/softbank-ceo-calls-wework-investment-foolish-valuation-falls-to-2point9-billion.html"> SoftBank </a>ฐานละเมิดสัญญาเข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้น WeWork มูลค่ากว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามที่เคยตกลงกันไว้
โดยคณะกรรมการพิเศษของ WeWork ได้ออกมาเรียกร้องให้ SoftBank ทำตามสัญญาหรือให้เงินสดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายที่ยกเลิกดังกล่าว ขณะที่ SoftBank แถลงว่าการฟ้องครั้งนี้ของ WeWork ไม่ได้ทำให้ SoftBank เปลี่ยนใจจากการถอนตัวออกจากข้อตกลง โดยอ้างว่ามีเงื่อนไขหลายข้อที่ไม่ได้รับการบรรลุก่อนวันที่ 1 เมษายน 2020 ตามที่เคยตกลงกันไว้
แม้ว่าบันทึกข้อตกลงล่าสุดของทั้ง 2 ฝ่ายจะยังไม่ได้รับการเปิดเผย แต่ในที่นี้สำนักข่าว<a style="color: #333333;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/ye-guofu-ผู้ก่อตั้ง-miniso-เผยถึงกลยุ.html"> Bloomberg </a>ได้รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามว่า SoftBank เตรียมเข้าซื้อหุ้น WeWork ต่อจาก Neumann เพื่อยอมความ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 480 ล้านเหรียญ เพิ่มจากเดิมที่เคยเจรจาตกลงกันไว้ในปี 2019 ที่ 50 ล้านเหรียญ และอีก 50 ล้านเหรียญสำหรับค่าดำเนินการทางกฎหมาย
ด้าน<a style="color: #333333;" href="https://www.wsj.com/articles/wework-co-founder-adam-neumann-nears-settlement-with-softbank-11614033832?mod=article_inline"> Wall Street Journal </a>รายงานว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา SoftBank อยู่ระหว่างการเจรจาหารือประเด็นการจ่ายเงิน 1.5 พันล้านเหรียญให้กับ Adam Neumann นักลงทุน และพนักงานรายอื่นๆ ตามสัดส่วนการถือครองหุ้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีการขายหุ้นให้กับ SoftBank เพื่อยอมความในคดีดังกล่าว แต่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ WeWork จะยังคงเป็น Neumann เช่นเดิม
ในปี 2019 SoftBank มอบเงินลงทุนให้กับ WeWork เป็นมูลค่า 3 พันล้านเหรียญเพื่อชุบชีวิตให้กับบริษัท หลังจากที่ยื่นหนังสือไปยังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ เพื่อยกเลิกการเข้าทำ IPO ทั้งยังได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขาดทุน 1.9 พันล้านเหรียญของบริษัทในปี 2018, การขาดผู้หญิงในบอร์ดบริหาร จนถึงเรื่องอำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้ของ Neumann และความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ซึ่งได้ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทจาก 4.7 หมื่นล้านเหรียญลดลงเหลือเพียง 2.9 พันล้านเหรียญจนต้องมีการฟื้นฟูกิจการครั้งใหญ่
“ข้อตกลงในครั้งนี้ คือ ผลลัพธ์ของการตัดสินใจของทุกฝ่ายเพื่ออนาคตที่ดีที่สุดของ WeWork” Marcelo Claure ประธานกรรมการบริหาร WeWork และประธานกรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ SoftBank กล่าว
ไม่เพียงเท่านี้<a style="color: #333333;" href="https://www.wsj.com/articles/wework-in-talks-to-combine-with-spac-or-raise-money-privately-11611857306"> Wall Street Journal </a>รายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา WeWork ได้เข้าเจรจากับ Bow Capital  Management LLC และอีกหนึ่งบริษัทที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยข้อมูล เพื่อที่จะนำบริษัทกลับเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งผ่านวิธี SPAC
โดย SPAC หรือ Special Purpose Acquisition Companies เป็นบริษัทที่ระดมเงินทุนจากตลาดหลักทรัพย์มาเพื่อที่จะควบรวมกิจการหรือลงทุนบางส่วนในบริษัทเป้าหมาย จัดเป็นหนึ่งในวิธีการระดมทุนที่มีมาตั้งแต่ปี 1993 และเริ่มได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วง 2018 เป็นต้นมา ล่าสุดในปี 2020 สามารถระดมทุนไปได้มากถึง 7.8 หมื่นล้านเหรียญจากการรายงานของ Bloomberg

แปลและเรียบเรียงจากบทความ WeWork Founder Adam Neumann, Softbank Reach Settlement In Legal Battle เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/ye-guofu-ผู้ก่อตั้ง-miniso-เผยถึงกลยุ.html">Ye Guofu ผู้ก่อตั้ง Miniso เผยถึงกลยุทธ์ในการรุกสู่ตลาดต่างประเทศในยุคโควิด-19</a>

Adam Neumann บรรลุข้อตกลงกับ Softbank นำ WeWork ระดมทุนอีกครั้ง

<h2 class="p1">SoftBank Group บริษัทเทคโนโลยีและการลงทุนของญี่ปุ่น และ NAVER บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของเกาหลีใต้ ได้ออกมาประกาศว่า การควบรวมกิจการของบริษัทลูกอย่าง ZHD Corporation และ Line Corporation ถือเป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามกระบวนการต่างๆ ด้านกฎหมายเรียบร้อยแล้ว พร้อมวางแผนเดินหน้าผนวกแอปพลิเคชันรับชำระเงินของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน</h2>
<img class="alignnone wp-image-42284" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/linepayapppress.png" alt="SoftBank" width="720" height="330" />
ในที่นี้  SoftBank และ NAVER ได้ตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ขึ้นมาในชื่อว่า A Holding Corporation โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นรายละร้อยละ 50 ส่งผลให้ทั้ง 2 บริษัทจะเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดร้อยละ 100 ของทั้ง Yahoo Japan และ LINE
สำหรับที่มาของชื่อบริษัทแห่งใหม่นี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นสัญลักษณ์ของทุกสิ่งทุกอย่าง “ตั้งแต่ A ถึง Z” ซึ่งคล้ายคลึงกับวิสัยทัศน์ของทาง Amazon.com 
นอกจากนี้ ทั้ง 2 บริษัทยังได้มีการเจรจาในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่กำลังดำเนินการ เพื่อประโยชน์ในการทำงานร่วมกันหลังจากการควบรวมธุรกิจดังกล่าวแล้ว
อาทิเช่น การเตรียมพร้อมที่จะเชื่อมโยงผู้ค้าที่ให้บริการการจ่ายเงินผ่าน PayPay และ LINE Pay โดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนปี 2021 นี้ ผู้ใช้งาน LINE Pay จะสามารถจ่ายเงินผ่านผู้ค้า PayPay กว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศญี่ปุ่น ที่ใช้งานผ่านโหมด Merchant-Presented Mode (MPM) 
ไม่เพียงเท่านี้ PayPay และ LINE Pay ยังเริ่มเจรจาเรื่องการจ่ายเงินโดยใช้คิวอาร์โค้ดและบาร์โค้ดของ LINE Pay ผ่าน PayPay ภายในเดือนเมษายน 2022 เช่นกัน
ปัจจุบัน PayPay และ Line Pay ผู้ให้บริการรับชำระเงินผ่านมือถือมีผู้ใช้บริการในญี่ปุ่น ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2021 อยู่ที่ 36 ล้านรายและ 39 ล้านราย ตามลำดับ ซึ่งการควบรวมกิจการในครั้งนี้ได้ส่งผลให้ PayPay สามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการในญี่ปุ่นมากถึง 80 ล้านรายบนแอปพลิเคชัน Line 
ทั้งนี้<a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/masayoshi-son/?sh=112bc7ca3818"> Masayoshi Son </a>ผู้ก่อตั้งและประธาน SoftBank วางแผนที่จะเดินหน้าพัฒนาบริษัทเทคโนโลยีของญี่ปุ่นให้มีศักยภาพเทียบเท่าคู่แข่งระดับโลกอย่าง Google, Amazon และ Tencent โดยคาดการณ์ว่าต่อจากนี้ A Holding จะลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนเยนหรือราว 939 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้าน AI
แปลและเรียบเรียงจากบทความ SoftBank to Merge PayPay and Line Pay Apps in Japan เผยแพร่บน Bloomberg.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/coupang-%e0%b8%ad%e0%b8%b5-%e0%b8%84%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%8b%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88.html">Coupang อี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ในเกาหลีใต้ เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก</a>

SoftBank เดินหน้าควบรวม PayPay และ Line Pay ในญี่ปุ่น

<h2 class="p1">Masayoshi Son มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้งและประธาน SoftBank Group บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นผู้ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี กล่าวในการแถลงการณ์ผลประกอบการว่า บริษัทมีความตั้งใจที่จะผลักดันบริษัท หรือ “ไข่ทองคำ” ที่อยู่ในกองทุน Vision Funds เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ราว 10-20 บริษัทต่อปี</h2>
<img class="alignnone wp-image-41248" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/golden-eggs.jpg" alt="Masayoshi Son" width="720" height="406" />
Masayoshi <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/masayoshi-son/?sh=3ecff0e83818">Son </a>มักจะเปรียบเทียบ<a href="https://www.forbes.com/companies/softbank/?sh=1c1033f96cf8"> SoftBank Group </a>เหมือนกับห่านที่กำลังกกไข่ทองคำ ด้วยการเร่งการเติบโตของธุรกิจจนกระทั่งมีศักยภาพมากพอ และสามารถเข้าระดมทุนจากสาธารณะในตลาดหลักทรัพย์ได้
“ห่านของเรามีไข่ทองคำประมาณ 160 ฟอง” Son กล่าวในงานแถลงข่าวของทางบริษัทถึง 164 บริษัทที่อยู่ในกองทุน Vision Funds ทั้ง 3 ประเภท พร้อมเสริมว่า “ขณะนี้หลายบริษัทได้อยู่ในจุดที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว”
โดยผลประกอบการประจำไตรมาส สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2020 มีกำไรสุทธิ 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุน Vision Fund 2 มากถึง 1.3 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่ Vision Fund 1 เป็นกองทุนที่สร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2017 อันเป็นผลมาจากความน่าสนใจของหุ้นเทคโนโลยี
การประกาศข้างต้นจึงเป็น<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/williampesek/2020/03/19/coronavirus-has-warren-buffett-of-japan-on-the-ropes-as-softbank-takes-dive/?sh=675064ec509b">การพิสูจน์ข้อกังหา</a>ในประเด็นที่ถูกตั้งคำถามว่า การลงทุนของ SoftBank และ Vision Fund คุ้มค่าจริงๆ หรือไม่ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาหลายบริษัทที่ลงทุนไปนั้นไม่สามารถทำกำไรได้หรือผลประกอบการไม่เป็นที่น่าพอใจ จนส่งผลให้ไตรมาสแรกของปี 2019 SoftBank ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี คิดเป็นมูลค่า 1.7 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งนับเป็นการขาดทุนรายไตรมาสที่มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทด้วย
“ปีที่ผ่านมา สื่อต่างๆ ต่างรายงานว่าเรากกแต่ไข่เน่า” Son กล่าว
ในที่นี้ SoftBank ได้เปิดเผยถึงทิศทางการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการลงทุนอย่างการตัดสินใจขายสินทรัพย์ส่วนหนึ่งของบริษัทมูลค่ารวมกันกว่า 4.1 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งหมายรวมถึงการถอนหุ้นบางส่วนของ Alibaba บริษัทที่ SoftBank ได้เข้าลงทุนเป็นระยะเวลามากถึง 14 ปี และสร้างผลตอบแทนให้บริษัทมหาศาล เพื่อนำเงินส่วนนั้นมาชำระหนี้ ไถ่ถอนหุ้นกู้ และเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัท
“ผมรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจ แต่ในเชิงกลยุทธ์ วิสัยทัศน์ของผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” Son กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับ<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/alexkonrad/2020/04/05/exclusive-interview-masayoshi-son-talks-wework-vision-fund-softbank/?sh=7f80d4937f41"> Forbes </a>ในเดือนมีนาคม 2020
สำหรับในปีนี้ SoftBank คาดว่าจะยังคงได้รับประโยชน์จากตลาดที่มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากบริษัทที่อยู่ในกองทุน Vision Funds ที่มีมูลค่าระดับหลายพันล้านเหรียญ ที่เตรียมจะเข้าระดมทุนภายในปีนี้
ปัจจุบัน SoftBank ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก อาทิเช่น  Grab บริการร่วมเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Coupang ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ในเกาหลีใต้, ByteDance บริษัทแม่ของแอปพลิเคชัน TikTok และ Paytm ผู้ให้บริการธุรกรรมออนไลน์ในอินเดีย
ล่าสุด Forbes ประเมินมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Son มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งอันดับ 1 ของญี่ปุ่นอยู่ที่<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/real-time-billionaires/#3b0110243d78"> 4.55 </a><a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/real-time-billionaires/#3b0110243d78">หมื่นล้านเหรียญ</a> 
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Japan’s Richest Person Promises More ‘Golden Eggs’ After Fund Posts Best Quarter Yet เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/news/other/tadashi-yanai-%e0%b9%80%e0%b8%9c%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b8%b1%e0%b9%88.html">Tadashi Yanai เผยรายงานด้านความยั่งยืน “ฟาสต์ รีเทลลิ่ง” ปี 64</a>

Masayoshi Son เตรียมนำบริษัทเข้าระดมทุนเพิ่ม หลังผลประกอบการไตรมาสล่าสุดดีเกินคาด

<h2 class="p1">Masayoshi Son ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ SoftBank บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีและการลงทุนของญี่ปุ่น แถลงรายงานผลประกอบการในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน 2020 ว่า บริษัทขาดทุน 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ “จากการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ”</h2>
ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา The Wall Steet Journal และ The Financial Times <a style="color: #333333;" href="https://www.wsj.com/articles/softbanks-bet-on-tech-giants-fueled-powerful-market-rally-11599232205">รายงานว่า</a> SoftBank ได้ใช้<a style="color: #333333;" href="https://edition.cnn.com/2020/09/07/investing/softbank-stock-options-intl-hnk/index.html">เงินราว</a><a style="color: #333333;" href="https://edition.cnn.com/2020/09/07/investing/softbank-stock-options-intl-hnk/index.html"> 4 </a><a style="color: #333333;" href="https://edition.cnn.com/2020/09/07/investing/softbank-stock-options-intl-hnk/index.html">พันล้านเหรียญ</a>เข้าซื้อหุ้นใน Amazon (<a style="color: #333333;" href="https://money.cnn.com/quote/quote.html?symb=AMZN&amp;source=story_quote_link">AMZN</a>), Microsoft (<a style="color: #333333;" href="https://money.cnn.com/quote/quote.html?symb=MSFT&amp;source=story_quote_link">MSFT</a>) และ Netflix (<a style="color: #333333;" href="https://money.cnn.com/quote/quote.html?symb=NFLX&amp;source=story_quote_link">NFLX) </a>ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอยู่แล้ว จากเดิมที่ SoftBank มักลงทุนในสตาร์ทอัพที่ยังไม่เข้าตลาดหุ้น อย่างไรก็ดี กลยุทธ์การลงทุนในครั้งนี้ได้สร้างมูลค่าให้กับบริษัทมากถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ
<img class="alignnone wp-image-37134" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/20190104105456-softbank.jpeg" alt="Masayoshi Son" width="720" height="480" />
ด้วยเหตุนี้ SoftBank จึงเป็นที่กล่าวขานในหมู่นักวิเคราะห์ว่าเป็น “Nasdaq whale” ซึ่งในที่นี้ หมายถึง ผู้เล่นรายใหญ่มากๆ ที่การซื้อขายของผู้เล่นคนนี้เพียงคนเดียวก็สามารถขยับตลาดทั้งหมดได้
อย่างไรก็ดี ในการแถลงการณ์ครั้งนี้ Son ไม่ได้เปิดเผยถึงกลยุทธ์ล่าสุดของ SoftBank ที่จะเข้าลงทุนในหุ้นบลูชิพ (Blue Chip Stock) หรือหุ้นที่มีมูลค่าสูงในช่วงนี้
“เมื่อพูดถึงการทำสัญญาทางการเงินเพื่อตกลงซื้อขายมักจะตามมาด้วยความเสี่ยง แต่ด้วยการเข้าถือครองที่ร้อยละ 1 ของธุรกิจนั้นๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อบริษัทเพียงแค่ร้อยละ 1-2 ของมูลค่าหุ้นที่ถือทั้งหมดของ SoftBank หากเกิดความผันผวนขึ้นในอนาคต เพราะฉะนั้นจึงเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนเดียวของภาพใหญ่เท่านั้น” Son กล่าว
ทั้งนี้ Vision Funds กองทุนสายเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกของ SoftBank ที่เน้นลงทุนในสตาร์ทอัพชื่อดังมากมาย โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากรัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้กลับมาสร้างผลตอบแทนอีกครั้ง จากการลงทุนใน 83 บริษัท ที่มีมูลค่ารวมกันถึง 7.5 หมื่นล้านเหรียญ และสร้างรายได้ให้กับบริษัทกว่า 7.64 หมื่นล้านเหรียญจากการรายงาน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2020 
โดยรายได้ส่วนหนึ่งของกองทุนดังกล่าวจากการขายหุ้นใน 4 บริษัทในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ที่ทาง SoftBank ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อ ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1.41 แสนล้านเหรียญ
<img class="alignnone wp-image-37135" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/whsyE.jpg" alt="Masayoshi Son" width="720" height="497" />
ในที่นี้ Yoshio Ando นักวิเคราะห์จาก Daiwa มองว่า “ขณะนี้ทางบริษัทกำลังมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่สร้างผลตอบแทนที่ดีและสามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน ซึ่งก็อยู่ที่ว่า SoftBank จะสามารถหาอุตสาหกรรมประเภทใหม่ที่เหมาะกับการลงทุน หรือว่าจะอาศัยบริษัทที่ Vision Funds กำลังลงทุนอยู่เป็นในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม”
ในทำนองเดียวกัน กองทุน Vision Fund 2 ที่เน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่มีพื้นฐานในด้านปัญญาประดิษฐ์ ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นสูงถึง 5.2 พันล้านเหรียญ ภายหลังจากนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
โดยสรุป ผลประกอบการของ SoftBank ในเดือนกรกฎาคม-กันยายนประจำปี 2020 นี้  มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 6 พันล้านเหรียญ แม้ว่ากำไรของบริษัทอาจน้อยลงจากการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ผลประกอบการในปีนี้นับว่าแตกต่างจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ขาดทุนถึง 6.8 พันล้านเหรียญ
ทั้งนี้ ณ เวลาปิดตลาดของวันที่ 8 พฤศจิกายน 2020 <a style="color: #333333;" href="https://money.cnn.com/quote/quote.html?symb=SFTBY%20SOFTBANK&amp;source=story_quote_link">SoftBank</a> มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.43 แสนล้านเหรียญ

<h3 class="p1">SoftBank ขายหุ้นที่ถืออยู่เกือบ 1 แสนล้านเหรียญ</h3>
ในปีงบประมาณ 2020 นี้ SoftBank ได้ขายหุ้นมูลค่ากว่า 9.65 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าที่เคยประกาศไว้ในเดือนมีนาคมว่าจะขายเพียง 4.34 หมื่นล้านเหรียญ เพื่อบริหารกระแสเงินสดของบริษัท
โดยหุ้นที่ได้ตัดสินใจขายในครั้งนี้ ได้แก่ หุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท<a style="color: #333333;" href="https://edition.cnn.com/2020/08/28/tech/softbank-asset-sale-hnk-intl/index.html">โทรคมนาคมของญี่ปุ่น</a> และการขาย<a style="color: #333333;" href="https://edition.cnn.com/2020/09/14/tech/nvidia-arm-softbank-intl-hnk/index.html"> ARM </a>ผู้ผลิตชิปสัญชาติอังกฤษให้กับ Nvidia (NVDA) บริษัทผลิตการ์ดจอเกมคอมพิวเตอร์และรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการอนุมัติจากหน่วยงาน
ในที่นี้ Son ผู้ก่อตั้งและซีอีโอวางแผนว่ากระแสเงินสดที่ได้รับมาในครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้ลงทุนในบริษัทลงทุน เพื่อการควบรวมธุรกิจสตาร์ทอัพที่อยู่ในระดับยูนิคอร์น แต่ในขณะเดียวกัน Son ก็ยังยืนยันว่าจะต้องทำการพิจารณาหลายๆ ทางเลือกเสียก่อน เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจได้ว่า SoftBank ได้ตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง และมีกระแสเงินสดสำรองเหลือมากพอที่จะลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกลยุทธ์การลงทุนที่ผิดพลาดในอดีต ที่ทำให้กองทุนขาดทุนอย่างยับเยิน

<h3 class="p1">การเปลี่ยนแปลงด้านการบริหาร</h3>
ในวันเดียวกัน SoftBank ยังประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงในบอร์ดบริหารที่เหลือเพียง 9 คน จากการลาออกของ Marcelo Claure ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ, Katsunori Sago ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์, Rajeev Misra รองประธานกรรมการบริหาร และ Yasir Al-Rumayyan ผู้กำหนดนโยบายและสมาชิกกองทุนการลงทุนในธุรกิจเอกชนของ Saudi Arabia
อย่างไรก็ดี การลาออกของ Claure, Sago และ Misra “เป็นไปเพื่อแบ่งแยกฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติงานออกจากกันอย่างชัดเจน” ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งใหม่ใน SoftBank เพื่อทำงานร่วมกับ Son
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ SoftBank's big bet on listed tech stocks cost it $1.3 billion เผยแพร่บน cnn.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/10-%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99-%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89.html">10 อันดับ มหาเศรษฐีจีนหน้าใหม่ ประจำปี 2020</a>

Masayoshi Son ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ SoftBank เผยขาดทุนหนักกว่า 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

หัวเราะทีหลังของ Masayoshi Son ผู้ก่อตั้ง SoftBank

<h2 class="p1">SoftBank วิกฤตหนัก หลังผลดำเนินงานล่าสุดขาดทุนหนักสุด 1.27 หมื่นล้านเหรียญ ทั้งกรรมการบิ๊กเนมอย่าง Jack Ma ลาออก</h2>
SoftBank สูญเสียคณะกรรมการรายใหญ่ของบริษัท หลังผลประกอบการขาดทุนหนักจากผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในญี่ปุ่น และอาการที่ไม่ค่อยดีนักของบริษัทเทคโนโลยีที่ SoftBank ลงทุนไว้
โดย SoftBank รายงานผลการดำเนินประจำปี เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทขาดทุน 1.36 ล้านล้านเยน (1.27 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดที่เคยมีมา
ผลการดำเนินงานนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของบริษัทแม่ผู้ขับเคลื่อนการดำเนินงานส่วนใหญ่ในบริษัทอย่าง Vision Fund กองทุนเทคโนโลยีมูลค่า 1 แสนล้านเหรียญที่มีผู้ก่อตั้งและซีอีโอ SoftBank อย่าง Masayoshi Son คุมหางเสือไว้
ทั้งนี้ Vision Fund และกองทุนในเครือประสบภาวะขาดทุนจากการดำเนินงานราว 1.9 ล้านล้านเยน (1.77 หมื่นล้านเหรียญ) สำหรับปีงบการเงินล่าสุดที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังมูลค่าของ Uber, WeWork และธุรกิจอื่นๆ ในพอร์ตได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด-19


<figure><img class="size-full wp-image-23681" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/000_1M13LT.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Masayoshi Son ซีอีโอ SoftBank Group (ภาพจาก AFP)</figcaption></figure>
“นี่เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของพวกเราหลายคน” Son กล่าว ซึ่งหมายถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งนี้ทำให้สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น (บริษัทด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าอย่างน้อย 1 พันล้านเหรียญ) หลายบริษัทของ Vision Fund มีสภาพเหมือนตกลงไปหุบเขาลึก
นอกจากนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา SoftBank ยังประกาศอีกว่าผู้ก่อตั้ง Aibaba อย่าง Jack Ma ได้ตัดสินใจลาออกจากคณะกรรมการบริษัท โดย Ma ผู้ที่ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัทอี-คอมเมิร์ซจีน ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการของ SoftBank มาเป็นเวลาเกือบ 13 ปี
เขาเป็นสมาชิกของบอร์ดรายล่าสุดที่ตัดสินใจลาออก หลังก่อนหน้านี้มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Fast Retailing อย่าง Tadashi Yanai ลาออกไปเมื่อปลายปีก่อน
การลาออกของ Ma เป็นที่น่าประหลาดใจอย่างมาก เนื่องจากเขามีความสนิทสนมกับ Son ผู้ที่ลงทุน 20 ล้านเหรียญใน Alibaba ในปี 2000 จน Alibaba กลายเป็นบริษัทที่มูลค่า 6 หมื่นล้านเหรียญจากการเข้าตลาดและเปิดระดมทุนในปี 2014
ก่อนการระบาดครั้งนี้จะเกิดขึ้น Son กล่าวว่า เขาได้ไปดินเนอร์กับ Ma ทุกเดือน เป็นการพบปะเพื่อพูดคุยถึงชีวิตและธุรกิจ “เราจะยังคงเป็นเพื่อนกันตลอดชีวิต ผมเชื่อแบบนั้น” เขากล่าว


<figure><img class="wp-image-18816" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2015/03/150304164059ST4r-2.jpg" alt="" width="721" height="492" /><figcaption> Jack Ma</figcaption></figure>
การก้าวจากไปของ Ma เกิดขึ้นหลังจาก SoftBank ออกมาตรการสนับสนุนด้านการเงินมากมาย รวมถึงแผนการขายสินทรัพย์มูลค่า 4.1 หมื่นล้านเหรียญ เพื่อซื้อหุ้นคืนและลดภาระหนี้ก้อนโตของบริษัท
Son เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า บริษัทได้รับเงินทุน 1.15 หมื่นล้านเหรียญ โดยใช้หุ้นของ Alibaba เป็นหลักประกัน ซึ่ง SoftBank ถือหุ้นสัดส่วน 25.1% ใน Alibaba โดยมีมูลค่ามากกว่า 1.33 แสนล้านเหรียญ
เมื่อพูดถึงโอกาสที่ SoftBank จะลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี Son กล่าวว่า บางบริษัทจะ “สามารถกระโดดข้ามหุบเขา และบินขึ้นมาได้” หลังวิกฤต
ทั้งนี้ จากบริษัททั้งหมด 88 บริษัทในพอร์ตของ Vision Fund Son คาดการณ์ว่าจะมีบริษัท 15 รายที่จะล้มละลาย, 15 บริษัทจะฝ่าวิกฤตออกไปได้และประสบความสำเร็จ และส่วนที่เหลือจะอยู่รอด แต่ไม่สร้างผลตอบแทนที่มีความหมายใดๆ
เขาบอกว่า การลงทุนขนาดใหญ่ในหลายบริษัท เช่น Didi ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกรถในจีน นั้นสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างดี และมีโอกาสดีๆ จากการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 แต่ไม่ใช่กับอีกหนึ่งบริษัทในพอร์ตอย่าง WeWork
“การลงทุนใน WeWork ของเรานั้นล้มเหลว ซึ่งผมได้ยอมรับในเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว” เขากล่าว

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b8%8b%e0%b8%b5%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b9%82%e0%b8%ad-softbank-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%88%e0%b9%83.html">ซีอีโอ Softbank รับการตัดสินใจใน WeWork ของตนผิดพลาด หลังบริษัทขาดทุนครั้งแรกใน 14 ปี</a></li>
</ul>
ถึงกระนั้น Son ไม่ได้บอกว่า WeWork จะไปถึงขั้นล้มละลาย เขายังตั้งข้อสังเกตว่าวิกฤตไวรัสโคโรนาส่งผลให้บริษัทต่างๆ ต้องทบทวนเรื่องการทำสัญญาเช่าสำนักงานในระยะยาว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทผู้ให้บริการ co-working ในอนาคต
SoftBank ยังระบุอีกว่า บริษัทจะซื้อหุ้นคืนราว 5 แสนล้านเเยน (4.7 พันล้านเหรียญ) ซึ่งเป็นมูลค่าราคราหุ้นในปีหน้า โดยถือเป็นการซื้อหุ้นคืนในมูลค่าขนาดนี้ครั้งที่ 2 ของ SoftBank ตั้งแต่เดือนมีนาคม
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก  <a href="https://edition.cnn.com/2020/05/18/tech/softbank-earnings-intl-hnk/index.html">SoftBank loses Jack Ma from its board and posts worst loss ever</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

วิกฤตของ SoftBank ขาดทุนยับ 1.27 หมื่นล้านเหรียญ - Jack Ma ลาออกจากบอร์ด

<h2 class="p1">ซีอีโอ Softbank Group เผยไตรมาสนี้บริษัทขาดทุนกว่า 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ พร้อมยอมรับ วิจารณญาณของตนใน WeWork นั้นผิดพลาด</h2>
Masayoshi Son ซีอีโอ Softbank Group ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของญี่ปุ่น และยังมุ่งลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพและเทคโนโลยี กล่าวยอมรับว่า บริษัทได้รับความเสียหายจากการลงทุนใน WeWork และ Uber Technologies และการตัดสินใจใน WeWork ของตนนั้นมีความผิดพลาด
โดยนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่นรายงานว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ที่ขาดทุนไปราว 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้นเป็นไตรมาสแรกที่ขาดทุนในรอบ 14 ปี ซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากบริษัทสตาร์ทอัพชื่อดังจาก Silicon Valley ที่มีการคาดการณ์ว่าธุรกิจจะไปได้สวยอย่าง WeWork ถึง 4.97 แสนล้านเยน หรือราว 4.6 พันล้านเหรียญ
การขาดทุนครั้งนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงวิธีการทำข้อตกลงของมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Softbank อย่าง Son เช่นเดียวกับการที่ก่อนหน้านี้เขาพยายามจะนำอภิมหากองทุน 1 แสนล้านเหรียญอย่าง Vision Fund ของเขาเข้าระดมทุนรอบใหม่ ขณะที่การลงทุนในธุรกิจยานพาหนะเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้ Softbank โดยเป็นรายได้ส่วนใหญ่ในรายได้ 1.4 หมื่นล้านเหรียญของบริษัทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ปัจจุบัน Uber และ WeWork ถูกประมาณการว่ามูลค่าของบริษัทลดลง แต่ครั้งหนึ่งทั้งสองบริษัทเคยเป็นดาวที่แสนเจิดจรัสในหมู่บริษัทที่ Softbank ลงทุน จนสามารถยกระดับมุมมองการลงทุนในพอร์ตของ Vision Fund ว่าเป็นธุรกิจมีความเสี่ยงสูงที่ให้ความสำคัญในการทำกำไรมากกว่า
สำหรับการแถลงผลประกอบการที่ผ่านมา Son ยอมรับถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา “การตัดสินใจของผมมีปัญหา นั่นคือสิ่งที่ผมจะต้องไตร่ตรอง”
ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้ของ SoftBank (กรกฎาคม-กันยายน) ขาดทุนไป 7.04 แสนล้านเยน (6.5 พันล้านเหรียญ) มากกว่าที่นักวิเคราะห์หลายคนประมาณการไว้ 2.30 แสนล้านเยน ขณะที่ช่วงเดียวกันปีก่อนบริษัทสามารถทำกำไรได้ 7.05 แสนล้านเยน


<figure><img class="size-full wp-image-23681" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/000_1M13LT.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Masayoshi Son ซีอีโอของ Softbank Group (ภาพจาก AFP)</figcaption></figure>
ส่วน Vision Fund ซึ่งเป็นแหล่งรวมการลงทุนในสตาร์ทอัพแหล่งใหญ่ของโลก ในไตรมาสล่าสุดนี้ขาดทุนไป 9.70 แสนล้านเยน อย่างไรก็ตาม Softbank ระบุว่า 88 บริษัทที่ Vision Fund ลงทุนไปนั้นมีมูลค่ารวมกัน 7.76 หมื่นล้านเหรียญแล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ลงทุนไป
ขณะที่สตาร์ทอัพโคเวิร์กกิ้งสเปซอย่าง WeWork มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 7.8 พันล้านเหรียญในสิ้นเดือนกันยายน ลดลงอย่างมากจากเดือนมกราคมที่มีมูลค่าอยู่ที่ 4.7 หมื่นล้านเหรียญ โดยเมื่อเดือนกันยายนบริษัทต้องพบกระแสวิพากษ์วิจารณ์รอบด้าน รวมถึงความกังวลในเรื่องการบริหารของบริษัท นอกจากนี้ นักลงทุนยังตั้งคำถามถึงอำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้ของ Adam Neumann ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ WeWork

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/global/adam-neumann-%e0%b8%8b%e0%b8%b5%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b9%82%e0%b8%ad-wework-%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%95%e0%b8%b3%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b9%81.html">Adam Neumann ซีอีโอ WeWork ลงจากตำแหน่งแล้ว เซ่นพิษมรสุม IPO</a></li>
</ul>
ในปลายเดือนที่ผ่านมา Softbank ได้อัดฉีดเม็ดเงินเพื่อช่วยเหลือ WeWork ถึง 9.5 พันล้านเหรียญ โดยแบ่งเป็นเงินเพิ่มทุน 1.5 พันล้านเหรียญ, ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม 3 พันล้านเหรียญ และให้กู้อีก 5 พันล้านเหรียญ โดย Softbank จะเข้าถือหุ้นใน WeWork ถึง 80% ขณะที่ Neumann จะต้องลงจากตำแหน่งประธานบอร์ดและเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ โดยได้รับเงินชดเชย 1.7 พันล้านเหรียญ และให้ผู้บริหารจาก Softbank อย่าง Marcelo Claure ดำรงตำแหน่งแทน
แต่หลังจากที่ผลประกอบการบริษัทขาดทุนมหาศาล Son ระบุว่า “การตัดสินใจของผมเกี่ยวกับ WeWork ไม่ถูกต้องในหลายๆ ด้าน” และว่า “ผมประเมินแต่ด้านที่ดีของ Adam Neumann ผมควรต้องรู้ดีกว่านี้”
“ผมแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นด้านที่ไม่ดีของ Adam Neumann อย่างเรื่องการกำกับดูแลกิจการ ซึ่งทำให้ผมได้บทเรียนครั้งใหญ่จากประสบการณ์ครั้งนี้” Son กล่าว และว่า อย่างไรก็ตาม แม้ Softbank จะอยู่ในทะเลที่เจอพายุรุนแรง แต่ WeWork ไม่ใช่เรือที่กำลังจะจม
Son กล่าวว่า เขามีแผนฟื้นฟูง่ายๆ สำหรับ WeWork ที่ตอนนี้เป็นของ Softbank แล้ว ซึ่งรวมไปถึงการที่ WeWork ต้องหยุดสร้างออฟฟิศใหม่เป็นเวลา 3-4 ปี เพราะการก่อสร้างใหม่ทำให้ต้นทุนของบริษัทสูงขึ้น และตัดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรของ WeWork ออกไป "จากแผนการฟื้นฟูนี้ เราเชื่อว่าจะสามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานของ WeWork ได้อย่างมาก"
กระนั้น Atyul Goyal นักวิเคราะห์ระดับสูงจาก Jefferies Group กล่าวว่า “การตัดสินใจใน WeWork ของ Son ทำให้ต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับกลยุทธ์ของเขาซึ่งควรต้องได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ หากมีการลงทุนที่ล้มเหลวเกิดขึ้นอีกในอนาคต เขามีแผนจะจัดการปัญหานี้อย่างไร?”
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2019-11-06/softbank-posts-6-5-billion-operating-loss-on-wework-and-uber?utm_campaign=socialflow-organic&amp;utm_source=facebook&amp;utm_medium=social&amp;utm_content=business&amp;cmpid=socialflow-facebook-business&amp;fbclid=IwAR1wTS4YxNJ0S5xPeKsmXH0cjhHNGls6oMcces6gsSjEPHWmvEDnyHp4c_c">SoftBank Reveals $6.5 Billion Loss From Uber, WeWork Turmoil</a></li>
 	<li><a href="https://www.bbc.com/news/business-50312345">WeWork investor Softbank: My judgment was not right</a></li>
 	<li><a href="https://www.theverge.com/2019/11/6/20951946/softbank-masayoshi-son-admits-wework-was-bad-judgement-q2-2019?fbclid=IwAR1pOZeEWg-XnhICA0Fl1QXE7w0m1B5lWrdRk34CNqPb7zyB-Q3yU1lbZ1I">SoftBank’s chairman admits he blew it with WeWork after disastrous earnings</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ซีอีโอ Softbank รับการตัดสินใจใน WeWork ของตนผิดพลาด หลังบริษัทขาดทุนครั้งแรกใน 14 ปี

<h2 class="p3">SoftBank ทุ่มทุน 940 ล้านเหรียญสหรัฐฯ​ ใน Nuro บริษัทจาก Silicon Valley 'สตาร์ทอัพรถไร้คนขับเดลิเวอรี่' รูปทรงเครื่องปิ้งขนมปัง โดยการลงทุนครั้งนี้ของ SoftBank นับว่าเป็นหนึ่งในรอบระดมทุนที่มีผู้ลงทุนรายเดียวครั้งใหญ่ที่สุดของวงการเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติเชิงพาณิชย์</h2>
แปลและเรียบเรียงจาก<a href="https://www.forbes.com/sites/alanohnsman/2019/02/11/softbank-gives-nuros-robo-delivery-tech-a-hefty-940-million-boost/?utm_source=newsletter&amp;utm_medium=email&amp;utm_campaign=daily-dozen#5db5061b3cad"> SoftBank Gives Nuro’s Robo-Delivery Tech A Hefty $940 Million Boost</a> โดย Alan Ohnsman กองบรรณาธิการ Forbes
บริษัท Nuro แถลงถึงการลงทุนจาก SoftBank ในรอบนี้ว่า เงินทุนที่ได้จะทำให้บริษัทสามารถขยายการบริการเดลิเวอรี่ด้วยยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ได้มากขึ้น สามารถจับมือกับพันธมิตรเพิ่มเติม เพิ่มจำนวนรถอัตโนมัติ เร่งการพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงเพิ่มขนาดทีมงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
Nuro ก่อตั้งโดย Dave Ferguson และ Jiajun “JZ” Zhu อดีตสมาชิกทีมพัฒนาโครงการรถยนต์ไร้คนขับของ Google ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้รับเม็ดเงินลงทุนมูลค่า 92 ล้านเหรียญมาแล้วจากกองทุนอย่าง Greylock Partners และ Gaorong Capital เมื่อรวมกับเงินทุนรอบนี้จึงทำให้สตาร์ทอัพน้องใหม่รายนี้ระดมทุนรวมได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A-waymo-one-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4.html">รถยนต์ไร้คนขับ Waymo One ของ Google เปิดบริการจริงใน Arizona</a></li>
</ul>
“เราใช้เวลา 2 ปีครึ่งที่ผ่านมาในการสร้างทีมงานที่มหัศจรรย์ และได้เปิดบริการเดลิเวอรี่ด้วยรถไร้คนขับ ได้ร่วมงานกับพันธมิตรที่เหลือเชื่อ ทั้งยังได้สร้างเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาพื้นฐานการใช้ชีวิตประจำวันของคน” Ferguson กล่าวในแถลงการณ์ “การร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้ให้โอกาสเราในการก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ด้านการค้าในชุมชน และการขยายเทคโนโลยีของเราให้กว้างขวางยิ่งขึ้น”


<figure><img class="size-full wp-image-4646" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/960x0-1-1-e1550057473614.jpg" alt="สตาร์ทอัพหุ่นยนต์ขนส่ง" width="800" height="450" /><figcaption> Dave Ferguson และ Jiajun “JZ” Zhu ผู้ร่วมก่อตั้ง Nuro สตาร์ทอัพหุ่นยนต์ขนส่ง (PHOTO CREDIT: Nuro)</figcaption></figure>
รถบรรทุกและโลจิสติกส์นั้นกลายมาเป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีพาหนะไร้คนขับ เนื่องจากการสร้างระบบยานพาหนะไร้คนขับสำหรับขนส่งคนนั้นมีความท้าทายสูงกว่าที่ผู้สนับสนุนหลายรายคาดไว้
หลังจากที่ช่วงปลายปี 2018 ข่าวเกี่ยวกับการลงทุนขนาดใหญ่ในเทคสตาร์ทอัพด้านรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเริ่มจะแผ่วลงไป ดีลลงทุนใน Nuro ครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการจุดระเบิดความน่าสนใจของวงการอีกครั้ง และเป็นดีลที่เกิดขึ้นมาติดๆ กับข่าวการลงทุนมูลค่า 530 ล้านเหรียญในบริษัท Aurora อีกหนึ่งสตาร์ทอัพพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งก่อตั้งโดย Chris Urmson อดีตเพื่อนร่วมงานของ Ferguson และ Zhu ที่ Google
จุดประสงค์ของ Nuro สตาร์ทอัพรถไร้คนขับเดลิเวอรี่ แห่งนี้ แตกต่างจากบริษัทอย่าง TuSimple, Embark หรือแม้แต่ Waymo ของ Alphabet Inc. ซึ่งเน้นโปรเจ็กต์พัฒนารถขับเคลื่อนอัตโนมัติที่สามารถเดินทางระยะไกลได้ Nuro นั้นมุ่งเน้นการพัฒนารถขับเคลื่อนอัตโนมัติขนาดเล็กกว่ารถปกติครึ่งหนึ่ง เพื่อใช้ในบริการเดลิเวอรี่ต้นทุนต่ำในวงพื้นที่ที่แคบกว่า
https://www.youtube.com/watch?time_continue=118&amp;v=XKXbacNQGI8
บริษัทเริ่มทดสอบบริการ Nuro ไปเมื่อปีก่อน โดยรับบริการจัดส่งสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ต อาหาร และผลิตภัณฑ์อื่นๆ บริษัทยังได้เป็นพันธมิตรกับ Kroger เพื่อทดลองส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และยังเซ็นสัญญาอนุญาตใช้เทคโนโลยีนี้ให้กับ Ike บริษัทรถบรรทุกส่งของ
“ทีมงานระดับโลกของ Nuro สามารถยกระดับเทคโนโลยีพาหนะไร้คนขับจากในห้องวิจัยออกมาสู่ถนนจริงได้สำเร็จ” Michael Ronen พาร์ทเนอร์บริหารของ SoftBank Investment Advisers กล่าว “ในเวลาเพียง 2 ปี Dave และ Jiajun พร้อมกับทีมงานสามารถพัฒนา Nuro ให้เติบโตจากภาพคอนเซปท์กลายเป็นธุรกิจของจริงที่ใช้หุ่นยนต์เชื่อมต่อร้านค้าเข้ากับลูกค้า”

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/toyota-softbank-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A.html">Toyota จับมือ SoftBank พัฒนารถยนต์ไร้คนขับ เปลี่ยนการขนส่งใหม่เพื่ออนาคต</a></li>
</ul>
ยานยนต์เดลิเวอรี่ขนาดเล็กของ Nuro นั้นใช้อุปกรณ์เซนเซอร์ขั้นสูงแบบเดียวกับ Waymo และ Cruise ในเครือ GM อุปกรณ์นี้ใช้ระบบเลเซอร์ Lidar เพื่อประมวลภาพความละเอียดสูง 3 มิติ รวมถึงกล้องและเรดาร์ขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโมเดลธุรกิจของ Nuro ไม่จำเป็นต้องใช้ศักยภาพในระดับเดียวกับรถยนต์สำหรับวิ่งระยะไกล บริษัทจึงใช้ฮาร์ดแวร์ที่ต้นทุนต่ำกว่าได้ รวมถึงการใช้พาหนะนี้เพื่อส่งของมิใช่ขนส่งคน จึงใช้วัสดุน้อยกว่าในการสร้าง และไม่ต้องใส่อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น ถุงลมนิรภัย เข็มขัดนิรภัย ฯลฯ

SoftBank เทเม็ดเงิน 940 ล้านเหรียญลงทุนใน Nuro สตาร์ทอัพรถไร้คนขับเดลิเวอรี่

<h2>WeWorkแถลงบริษัทได้รับเงินลงทุน 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก "SoftBank"</h2>
จากเงินลงทุนดังกล่าวจาก SoftBank  นั้น 5 พันล้านนั้นอยู่ในรูปของเงินทุนเพื่อการเติบโตขั้นต้นและส่วนที่เหลืออีก 1 พันล้านเหรียญฯ เป็นเงินทุนรองเพื่อการลงทุนซื้อหุ้นจากนักลงทุนและพนักงาน ขณะนี้การประเมินมูลค่าของWeWork ภายหลังการได้รับเงินอยู่ที่ 4.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

การลงทุนครั้งนี้รวมข้อผูกพันธ์ด้านเงินทุนที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้จำนวน 4 พันล้านสหรัฐฯ จาก SoftBank ในรูปแบบของตราสารหนี้มูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และใบแสดงสิทธิ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯWeWorkและบริษัทในเครือได้ระดมทุนจาก SoftBank มากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2017

“WeWorkส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมมูลค่าหลายล้านล้านดอลล่าร์ด้วยแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ให้โซลูชั่นที่สมบูรณ์ WeWorkมีประสบการณ์การเติบโตที่เหนือชั้นและเรามั่นใจว่าด้วยวิสัยทัศน์ของ Adam และทุนการเติบโตนี้ บริษัทจะสามารถไขว่คว้าโอกาสทางการตลาดอันยิ่งใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้าพวกเขาได้” Masayoshi Son ประธานและซีอีโอของ SoftBank Group Corp

WeWork ในวันนี้ยังได้ประกาศการเปิดตัวของ The We Company บริษัทนี้จะก่อตั้ง WeWork, WeLive และ WeGrow เป็นสามสายธุรกิจที่แตกต่างกัน

โดยภารกิจของWeWork คือการสร้างโลกที่ผู้คนทำงานเพื่อสร้างชีวิต ไม่ใช่แค่มีชีวิต ภารกิจของ WeLive คือการสร้างโลกที่ไม่มีใครรู้สึกโดดเดี่ยว และภารกิจของ WeGrow คือการปลดปล่อยพลังของมนุษย์ทุกคน

“ผ่านเครือข่าย WeWork ที่ขยายใหญ่ขึ้นและชุมชน Meetup ทำให้บริษัท The We Company ครอบคลุมถึงผู้คนประมาณ 5 ล้านคนทั่วโลก พร้อมการระดมทุนที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงผู้คนอีกนับล้าน เราขับเคลื่อนโดยผลกระทบที่เรารู้ว่าเราสามารถทำได้เมื่อเราทุกคนทำงานร่วมกันด้วยความตั้งใจที่จะแบ่งปัน ผมรู้สึกขอบคุณพนักงานของเรา สมาชิก และพันธมิตรที่ยอดเยี่ยมของเราใน SoftBank สำหรับความมุ่งมั่นในภารกิจของเรา” Adam Neumann ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ The We Company กล่าว

WeWorkเริ่มต้นปี 2019 ด้วยสมาชิกมากกว่า 400,000 คนในสถานที่ 425 แห่งใน 100 เมืองทั่ว 27 ประเทศ  ลูกค้าองค์กร (สมาชิกที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คน) คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของฐานสมาชิกทั้งหมดของบริษัท  ร้อยละสี่สิบหกของสมาชิกองค์กรยกย่องWeWork ที่ได้ให้อิสระและความยืดหยุ่นแก่พวกเขาในการเติบโตสู่ตลาดใหม่  ณ เดือนกันยายน 2018

คลิกอ่านบทความเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://www.forbesthailand.com/world-detail.php?did=2266">วิถีแห่ง WeWork เครือข่าย coworking space 10 ล้านตารางฟุต</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/forbes-life/flexible-workspace-%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%a3.html">Flexible Workspace เทรนด์อาคารสำนักงานรูปแบบใหม่ที่น่าจับตามอง</a></li>
</ul>

"WeWork" ได้เงินลงทุน 6 พันล้านเหรียญฯจาก "SoftBank"

<h2>บริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำ Toyota Motor Corp ประกาศความร่วมมือกับยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี SoftBank Group Corp ร่วมพัฒนารถยนต์ไร้คนขับเเละเทคโนโลยียานยนต์ขั้นสูง เพื่อพัฒนาการบริการขนส่งด้านใหม่ที่จะเปลี่ยนวิธีการใช้รถยนต์ของผู้คนในอนาคต</h2>
ทั้งสองบริษัทจะร่วมจัดตั้งเเละร่วมทุนเปิดบริษัทใหม่ ที่มีชื่อว่า Monet Technologies Corp ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน 2 พันล้านเยน หรือราว 17.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เเละตั้งเป้าเพิ่มทุนเป็น 1 หมื่นล้านเยนในอนาคต โดยทาง SoftBank จะถือครองหุ้น 50.25% ขณะที่หุ้นส่วนที่เหลือจะเป็นของ Toyota Motor (49.75%)

นับเป็นกรณีความร่วมมือล่าสุดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ที่หันมาจับมือกับบริษัทโทรคมนาคม ท่ามกลางยุควิวัฒนาการของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบัน ซึ่งบ่งชี้ว่าเเม้จะเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่เเละได้รับการสนับสนุนที่ดี หากไม่ร่วมมือกับเจ้าอื่นก็อาจจะตามไม่ทันการเเข่งขันในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับเเละระบบการเชื่อมต่อของรถยนต์

“เราต้องการทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ถูกจำกัดการเข้าถึงระบบขนส่ง” Junichi Miyakawa ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ SoftBank Corp ผู้ซึ่งกำลังจะเป็น CEO ของบริษัทใหม่กล่าว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8fbf2f5cc54cc088df09aa928822d45d.jpg" alt="" width="638" height="426" /><figcaption> Junichi Miyakawa ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ SoftBank Corp</figcaption></figure>

Toyota Motor เป็นบริษัทที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีรถยนต์เเละเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ขณะที่ SoftBank ก็มีหน่วยพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับในรถโดยสารอย่าง SB Drive เช่นกัน เเละทั้งสองบริษัทยังมีการลงทุนเเละเป็นพันธมิตรกับ UBER.UL, Grab เเละ Didi Chuxing

"เรากำลังพยายามที่จะนำรถยนต์แบบดั้งเดิมเข้าสู่สิ่งใหม่ๆ" Akio Toyoda ประธานโตโยต้า มอเตอร์กล่าว "เราตระหนักว่า Softbank มีวิสัยทัศน์เหมือนกันเมื่อยุครถยนต์เเห่งอนาคตมาถึง ก็ถึงเวลาที่เราจะร่วมมือกัน"

สำหรับการประกาศความร่วมมือครั้งนี้ เกิดขึ้นในวันต่อมา ภายหลังจาก Honda Motor Co Ltd ประกาศว่าจะลงทุนกว่า 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเเละเข้าถือหุ้น 5.7 % ใน General Motors ผู้ผลิตรถยนต์จากอเมริกา ซึ่ง SoftBank ก็เป็นอีกหนึ่งในผู้ลงทุนในบริษัทนี้

ที่มา: https://www.reuters.com/article/us-toyota-softbank/toyota-softbank-team-up-to-develop-self-driving-car-services-idUSKCN1ME00Y

ภาพ : AFP

Toyota จับมือ SoftBank พัฒนารถยนต์ไร้คนขับ เปลี่ยนการขนส่งใหม่เพื่ออนาคต

ในปี 2014 บริษัทอินเทอร์เน็ตจีนที่ชื่อ Alibaba เข้าสู่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นครั้งแรก ด้วยสถิติการซื้อขายหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์วอลล์สตรีท เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ผู้ก่อตั้งบริษัทชาวจีนที่ชื่อ Jack Ma กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกในทันที หลังจากที่เขาได้ริเริ่มกิจการนี้ในห้องพักตัวเองเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมมั่นใจว่า ในอีกไม่ถึง 15 ปีข้างหน้าก็จะมีผู้ประสบความสำเร็จเช่นนี้อีก จะมีอีกหลายคนด้วย และเป็นไปได้ที่หนึ่งในนั้นจะมาจากประเทศไทยเราเอง

ผมลองไปสำรวจอนาคตในงานชื่อว่า Echelon ซึ่งเป็นงานที่ผู้ริเริ่มกิจการที่เป็นอี-คอมเมิร์ซ หรือบริษัทสตาร์ทอัพ ทั้งหลายมาเสนอตัวให้กับเหล่านักลงทุนเฉพาะทางที่มาคอยสอดส่อง (เผื่อว่าจะได้เจออะไรแบบ Facebook, Google หรือแม้แต่ Alibaba ตัวใหม่) งานนี้เป็นเหมือนกับงานเทรดแฟร์ที่มีสินค้าเป็นบริษัทเกิดใหม่ที่ต้องการทุนหรือต้องการโอกาสในการเปิดตัว

ในสมัยที่ผมอยู่ในวงการหุ้น เรามีงานลักษณะคล้ายๆ อย่างนี้ที่เราเรียกว่า Investor Conference ซึ่งล่าสุดจัดไปโดยมีตลาดหลักทรัพย์เป็นเจ้าภาพ ในงานก็มีบริษัทอย่าง ปตท. และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ มาเสนอผลประกอบการให้กับนักลงทุน ความคล้ายกับงานของตลาดหลักทรัพย์คือมีการนำเสนอโดยผู้ประกอบการ มีนิทรรศการ มีองค์ปาฐกเป็น keynote มีผู้มาร่วมจากหลากหลายประเทศ และภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ

สิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างงาน Echelon กับงานสำหรับนักลงทุนในอดีต คือบรรยากาศและการบริหารจัดการ งานนี้เป็นงานเอกชนล้วนๆ ไม่มีนายพลมาเปิดงาน ไม่มีใครใส่สูท ไม่มีอารัมภบท (ความจริงมีนิดหน่อยโดยเจ้าของสถานที่ ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที) แต่งานนี้มีเสียงเชียร์ผู้ขึ้นเวทีเหมือนอยู่ในบาร์เบียร์อเมริกัน และที่สำคัญคือ นอกจากจะมีการจำกัดเวลาผู้พูดไว้คนละประมาณ 10 นาทีแล้ว ยังมีการกำหนดให้อยู่ในกรอบเวลาอย่างเคร่งครัดโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ดังนั้นทุกคนที่พูดต้องเตรียมตัวมาอย่างดี พูดให้กระชับและครบถ้วนได้ใจความ

ที่น่าปลื้มคืองานสำคัญของเอเชียงานนี้ไม่ได้จัดที่ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ หรือสิงค์โปร์ แต่งานนี้จัดที่กรุงเทพฯ นี่เองครับ ดังที่รัฐบาลคุณประยุทธ์บอกว่าจะส่งเสริมอี-คอมเมิร์ซซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเห็นด้วยที่สุด และจากที่ผมได้เห็นวันนั้น ผมว่าวิธีที่ดีที่สุดที่รัฐบาลจะช่วยได้คือช่วยเปิดทางให้เอกชนจากทั่วโลกเข้ามาสร้างธุรกิจของเขาที่นี่ ที่สำคัญคือรัฐอย่าสร้างเงื่อนไขมาก และอย่าแม้แต่คิดที่จะลงมือทำธุรกิจเอง เพราะไม่มีทางสู้เด็กพวกนี้ได้ครับ

เด็กรุ่นนี้เขาอาจจะริเริ่มกิจการของเขาที่เมืองไทยก็จริง แต่ทุกคนถูกฝึกมาให้คิดเผื่อไว้แต่แรกว่าจะขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างไรโดยเร็ว หน้าที่ของรัฐคือสนับสนุนและเปิดทางสะดวก เพื่อให้เราได้พบกับ Jack Ma คนต่อไปในสิบปีข้างหน้า แต่เขาจะเป็นใครนั้นผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่มั่นใจคือเรามีอนาคตที่จะก้าวไปได้อีกไกลแน่นอน

ผมได้มีโอกาสไปฟัง Masayoshi Son เจ้าของบริษัท IT ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นชื่อ SoftBank พูดถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคตจากมุมมองของเขา Son เป็นมหาเศรษฐีที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของเขา มีกำไรมหาศาลจากการเข้าไปถือหุ้นใน Alibaba ของ Ma ก่อนที่ Alibaba จะเข้าตลาดหุ้น และมีตำนานเล่าว่าหลังจากที่ Son อึดอัดมานานกับความล่าช้าในการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของญี่ปุ่น เขาได้บุกเข้าไปในที่ทำงานของรัฐมนตรี ICT พร้อมถังนํ้ามันหนึ่งถัง และขู่ว่าหากรัฐมนตรีไม่ยอมฟังข้อเสนอของเขาสักครึ่งชั่วโมง เขาจะจุดไฟเผาตัวเอง (และคงเผารัฐมนตรีไปด้วยพร้อมกัน!)

จากนั้นจึงมีการปฏิรูปธุรกิจโทรคมนาคมที่ญี่ปุ่น และ Son ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจของเขาขึ้นมา เขาเล่าว่าที่ผ่านมาการพัฒนาของมนุษย์มีการก้าวกระโดดสำคัญสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อหลายพันปีก่อนคือการปฏิวัติทางการเกษตร (เริ่มทำฟาร์ม) จากนั้นเมื่อสามร้อยปีก่อนก็คือการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม (เริ่มมีเครื่องจักร) มาวันนี้ความก้าวกระโดดในการพัฒนาขั้นต่อไปมาจาก Information Technology (IT) เขาเปรียบเทียบให้ดูว่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนารถยนต์ให้วิ่งเร็วขึ้นประมาณ 2 เท่า แต่การทำงานของ Micro Processor มีการพัฒนาให้เร็วขึ้นถึง 1 ล้านเท่า

ประเด็นสำคัญของเขาคือ เขาบอกว่า ‘ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้’ คือ Artificial Intelligence (AI) จะมีการพัฒนาให้ฉลาดกว่ามนุษย์ได้ภายในอีก 2-3ปี (เขาวัดโดยเปรียบเทียบว่าในสมองมนุษย์มี 4 หมื่นล้าน ‘นิวทรอน’ ซึ่งภายในปี 2018 จะมี transistor กว่า 4 หมื่นล้านตัวในหนึ่ง microchip) และเร็วๆ นี้ถ้านำ AI ไปวัด IQ จะพบว่ามันมี IQ สูงถึง 10,000 เมื่อเทียบกับมนุษย์อัจฉริยะอย่าง Einstein ที่มี IQ ประมาณ 200
<div>คำถามคือ เมื่อเป็นเช่นนั้นชีวิตเราจะเป็นอย่างไร เราควรต้องกลัว AI หรือไม่ จะมีอาชีพไหนเหลือให้มนุษย์ และถ้าอายุเราจะยืดยาวถึง 200 ปีจากมาตรฐานการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น เราจะอยู่กันอย่างไร แบ่งทรัพยากรกันอย่างไร ผมยังไม่มีคำตอบ แต่ที่แน่นอนคือหากเราปฏิเสธความจริงว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราก็จะมีแต่เสียเปรียบผู้อื่น ลองนึกดูสิครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอดีตที่ไม่ได้เรียนรู้การเกษตรกรรม หรือเกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่ไม่ได้พัฒนาทางอุตสาหกรรมพร้อมกับประเทศทางตะวันตก คำตอบก็คือสูญพันธุ์บ้าง กลายเป็นเมืองขึ้นเขาบ้าง ดังนั้นเราต้องตื่นตัวกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงทางด้าน IT ให้ได้ครับ<img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%20march/korn.png" alt="" width="241" height="249" />

</div>
กรณ์ จาติกวณิช
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
และประธานคณะทำงานด้านนโยบายพรรคประชาธิปัตย์

<hr />

<a href="http://goo.gl/JeQCAL">คลิ๊กเพื่ออ่านบทความหลากหลายทัศนะได้ที่ Forbes Thailand ในรูปแบบ E-Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events