<h2>ในงาน CES 2025 ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา โตโยต้า มอเตอร์ ระบุถึงความคืบหน้าโครงการ ‘เมืองแห่งอนาคต’ ของบริษัทซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงภูเขาไฟฟูจิในญี่ปุ่น ว่ามีแผนจะย้ายผู้อยู่อาศัย 100 คนแรกเข้าไปอยู่ในเมืองภายในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โตโยต้าเผยว่า ผู้อยู่อาศัยในช่วงแรกของเมืองแห่งอนาคตที่มีชื่อว่า Woven City นั้นส่วนใหญ่จะประกอบด้วยพนักงานของบริษัทและครอบครัว และจะค่อยๆ ขยายจำนวนผู้อยู่อาศัยเป็นประมาณ 2,000 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระยะเริ่มต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในปีนี้ ผู้อยู่อาศัยจะเริ่มย้ายเข้ามาอยู่ ในขณะที่เราค่อยๆ เนรมิตให้ Woven City มีชีวิตชีวาขึ้น” Akio Toyoda ประธานบริษัทโตโยต้า กล่าวในการแถลงข่าวที่งาน CES ในลาสเวกัส “เราตั้งเป้าที่จะเร่งสปีดเรื่องการทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ Woven City”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Toyoda เปิดตัวแผนการพัฒนาเมืองแห่งนี้ในฐานะ “ห้องทดลองที่มีชีวิต” เมื่อ 5 ปีก่อนในฐานะประธานโตโยต้าในขณะนั้น โดยเขาระบุว่านี่จะเป็นเมืองที่มีความยั่งยืนอย่างสมบูรณ์ และจัดแสดงโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับปัญญาประดิษฐ์, หุ่นยนต์ขั้นสูง, รถยนต์ไร้คนขับ และบ้านอัจฉริยะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่โครงการ Woven City นี้จะไม่เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเป็นวงกว้างไปอีกอย่างน้อย 2 ปี และประธานบริษัทโตโยต้ากล่าวว่าโครงการนี้อาจ “ไม่ทำกำไรเลย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โครงการ Woven City จะทำให้โตโยต้ามีรายได้หรือไม่? อาจจะไม่” Toyoda กล่าว “ในฐานะพลเมืองโลก ผมเชื่อว่าโตโยต้ามีความรับผิดชอบในการลงทุนเพื่ออนาคตร่วมกันของเรา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนสำคัญของโครงการ Woven City ของโตโยต้าคือแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ใหม่และระบบปฏิบัติการรถยนต์ที่เรียกว่า Arene ซึ่งออกแบบมาเพื่อเร่งการพัฒนารถยนต์และลดต้นทุน โดยบริษัทวางแผนที่จะนำระบบนี้มาใช้ในปีนี้และทำให้เป็นองค์ประกอบหลักของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่จะออกตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2023 โตโยต้าแต่งตั้งหัวหน้าคนใหม่ของบริษัท Woven ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่โตโยต้าเข้าไปถือหุ้นทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง จากการเน้นด้านการวิจัยไปสู่การมีส่วนร่วมมากขึ้นในการผลิตยานยนต์รุ่นถัดไป ภาพ: Toyota แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-01-06/toyota-aims-to-open-its-futuristic-city-in-japan-later-this-year" alt="Toyota Aims to Open Its Futuristic City in Japan This Year">Toyota Aims to Open Its Futuristic City in Japan This Year</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/motoring/global/tesla-annual-sales-declined-first-time" alt="ตลาด EV เดือดสะเทือน Tesla ยอดขายตกครั้งแรกในรอบ 12 ปี">ตลาด EV เดือดสะเทือน Tesla ยอดขายตกครั้งแรกในรอบ 12 ปี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘Woven City’ เมืองแห่งอนาคต แต่อาจไม่ทำกำไรของโตโยต้า เตรียมให้ 100 คนแรกเข้าไปอยู่ในปีนี้

<h2>สองค่ายรถชั้นนำจากญี่ปุ่น Suzuki และ Toyota ผนึกกำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ (SUV) ขับเคลื่อนบน 4 ล้อ โดย Suzuki ได้ออกมาเผยโฉมผลลัพธ์จากความร่วมมือกันที่อิตาลีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 นั่นคือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รุ่น e Vitara โดยมีกำหนดการผลิตที่ Suzuki Motor Gujarat ณ ประเทศอินเดีย ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คาดการณ์ว่า e Vitara จะเปิดตัวในยุโรป อินเดีย และญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อนปีหน้า โดย e Vitara ที่เปิดตัวออกมาประดับโลโก้แบรนด์ Suzuki แต่จะมีเวอร์ชั่นติดโลโก้ Toyota ตามมา ซึ่งจะเป็นไปได้ว่าจะมีหน้าตาคล้ายรถ Urban SUV ที่ Toyota เคยเผยคอนเซ็ปต์การออกแบบเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/xUQF4vtUYuErskCZKCgv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xUQF4vtUYuErskCZKCgv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Toyota และ Suzuki นับเป็นบริษัทรถยนต์ที่ขยาย EV เข้ามาในไลน์ผลิตภัณฑ์ช้ากว่าผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมยานยนต์ สำหรับ Toyota นั้นเพิ่งจะหันกลับมาทุ่มเทกับการสร้างรถยนต์ไฮบริดและ SUV ชนิด 3 แถวสำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา รายงานของ Autocar เผยว่า Suzuki เพิ่งประกาศชะลอเป้าหมายในการเปิดตัวรถ EV หลายรุ่นภายในปี 2030 เอาไว้ก่อน ซึ่งประธานบริษัทอย่าง Toshihiro Suzuki ให้เหตุผลว่า Suzuki จะ “เฝ้ามองสถานการณ์ตลาด” ก่อนหลังความต้องการรถ EV ทั่วโลกคลายความร้อนแรงลง​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/turmUy6JWaayvKB1tdHV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="turmUy6JWaayvKB1tdHV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/k7wLHYXmNEZcLRZF8dXg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="k7wLHYXmNEZcLRZF8dXg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของ e Vitara ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ lithium iron phosphate มีทั้งแบบ 49 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง และแบบ 60 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สื่อ The Japan Times ระบุว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าวสามารถวิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร (ราว 248 ไมล์) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยราคาของ e Vitara ออกมาแต่อย่างใด แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.theverge.com/2024/11/5/24289169/suzuki-e-vitara-ev-electric-suv-toyota-launch" alt="Suzuki teams up with Toyota on its first EV: the E Vitara">Suzuki teams up with Toyota on its first EV: the E Vitara</a>​ ภาพ: Suzuki เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/motoring/news/global/byd-q-3-2024-revenue-beat-tesla" alt="รายได้ BYD แซง Tesla แล้ว! Q3 นำหน้ากว่า 3 พันล้านเหรียญ">รายได้ BYD แซง Tesla แล้ว! Q3 นำหน้ากว่า 3 พันล้านเหรียญ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

e Vitara รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกจาก Suzuki และ Toyota เตรียมบุกตลาดยุโรป อินเดีย และญี่ปุ่นปีหน้า

<h2>ซีอีโอของค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง 'Toyota' มั่นใจยอดขายจะกระเตื้องขึ้น หลังรถ Yaris Cross และ Corolla อีก 2 รุ่น จะกลับมาผลิตได้ตามปกติ หลังจากที่ผ่านมาต้องประสบปัญหาเรื่องความปลอดภัยที่ไม่ได้มาตรฐานจนต้องถูกระงับการผลิตและส่งออกชั่วคราว </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากกรณีปัญหาเรื่องการทดสอบระบบความปลอดภัยของรถยนต์ที่ไม่ตรงตามมาตรฐานของแบรนด์ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ Yaris Cross, Corolla Fielder และ Corolla Axio ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จนเป็นผลให้ทาง Toyota Motor ต้องสั่งระงับการผลิตรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นดังกล่าวเป็นการชั่วคราว อีกทั้งรัฐบาลของญี่ปุ่นเองยังได้สั่งการให้ระงับการส่งออก ทางบริษัทจึงต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ทางภาครัฐได้กำหนดไว้นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดทางสำนักข่าว Nikkei Asia ได้รายงานว่า ทาง Toyota ได้เตรียมความพร้อมกลับมาผลิตรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นอีกครั้งในเดือนกันยายน หลังจากดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้แล้วเสร็จ และทางกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่นเองก็ได้ทำการ ‘ยกเลิกคำสั่ง’ ห้ามส่งออก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน Koji Sato ซีอีโอ Toyota Motor ได้ออกมาให้ข้อมูลเพียงสั้นๆ ว่า “ทางบริษัทจะหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นซ้ำอีก พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า การกลับมาผลิตรถทั้ง 3 รุ่นได้ตามปกติจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้ฟื้นขึ้นได้”&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/E8V5i3USsCW52aawRzak.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="E8V5i3USsCW52aawRzak.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หากย้อนดูผลประกอบการของ Toyota ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มียอดขายรถเพียง 121,533 คันเท่านั้น ถือเป็นอัตราตัวเลขที่ลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งตลาดที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือสหรัฐอเมริกา ที่มียอดขายลดลง 5% จากการรระงับขายรถยนต์รุ่น Grand Highlander และ Lexus TX หลังจากเจอปัญหาด้านถุงลมนิรภัย และในส่วนของตลาดจีนนั้นปัจจุบันก็ถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ภายในประเทศแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไปเป็นจำนวนมากอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Toyota ยังได้ปรับลดกำลังการผลิตทั่วโลกของปี 2024 จากเดิมวางไว้ 10.3 ล้านคัน ลดลงเหลือ 9.8 ล้านคัน ซึ่งสาเหตุของการปรับลดตัวเลขนี้ ก็เป็นผลมาจาการที่บริษัทต้องหยุดการผลิตรถยนต์บางรุ่นที่มีปัญหาการทดสอบมาตรฐานต่างๆ นั่นเอง แปลและเรียบเรียงจากบทความ :&nbsp;<a href="https://asia.nikkei.com/Business/Automobiles/Toyota-restarts-Yaris-and-Corolla-production-after-safety-test-scandal" alt="Toyota restarts Yaris and Corolla production after safety test scandal">Toyota restarts Yaris and Corolla production after safety test scandal</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/it/xiaomi-q-2-2024-revenue-growth-yoy" alt="Xiaomi อวดรายรับ Q2/67 ทำนิวไฮที่ 8.89 หมื่นล้านหยวน โตเพิ่ม 32% YoY"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/global/byd-huawei-agreement-on-technology-for-ev" alt="ยักษ์จีนจับมือ! BYD เซ็นสัญญา Huawei พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถ EV รุ่นใหม่">ยักษ์จีนจับมือ! BYD เซ็นสัญญา Huawei พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถ EV รุ่นใหม่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Toyota มั่นใจยอดขายกระเตื้อง หลัง Yaris Cross และ Corolla กลับมาผลิตและส่งออกได้ตามปกติ

<h2>เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทดสอบความปลอดภัยของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นดูเหมือนจะเริ่มขยายวงกว้างขึ้น โดย Toyota และ Mazda ได้ประกาศระงับการจัดส่งรถยนต์บางส่วนแล้ว หลังจากกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่นพบว่ามีความผิดปกติในการขอรับรองรถยนต์บางรุ่น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งไม่ใช่แค่สองค่ายนั้น แต่ยังพบความปิดปกติในการขอรับรองของทั้ง Honda, Suzuki และ Yamaha ด้วย โดยกระทรวงคมนาคมพบว่า ผู้ผลิตรถยนต์ส่งข้อมูลการทดสอบความปลอดภัยที่ไม่ถูกต้องหรือดัดแปลงเมื่อยื่นขอการรับรองยานพาหนะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระทรวงจึงสั่งให้ Toyota ซึ่งถือผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกเมื่อพิจารณาจากจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ รวมไปถึง Mazda และ Yamaha ให้ระงับการจัดส่งรถยนต์บางรุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปิดเผยล่าสุดเกิดขึ้นหลังจากที่ในเดือนมกราคม กระทรวงขอให้ผู้ผลิตรถยนต์ตรวจสอบการสมัครขอใบรับรองยานพาหนะ ภายหลังเรื่องอื้อฉาวในการทดสอบความปลอดภัยในรถยนต์ Daihatsu ของ Toyota ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เหตุการณ์เปิดเผยที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้ มีแนวโน้มที่จะเน้นไปที่การประชุมสามัญประจำปีของ Toyota ในปลายเดือนนี้ บริษัทที่ปรึกษาตัวแทนผู้ทรงอิทธิพล Institutional Shareholder Services และ Glass Lewis แนะนำให้ผู้ถือหุ้นลงมติไม่รับเลือก Akio Toyoda เป็นประธานในที่ประชุมอีกครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งในรายงานต่อผู้ถือหุ้น ISS ได้ระบุ “ความผิดปกติของการรับรองจำนวนมาก” ในกลุ่มบริษัท Toyota&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Toyoda นั้นเป็นหลานชายของผู้ก่อตั้ง Toyota เขากล่าวกับนักข่าวเมื่อวันจันทร์ว่า “ในฐานะบุคคลที่รับผิดชอบกลุ่มบริษัท Toyota ผมต้องขออภัยอย่างจริงใจต่อลูกค้าของเรา แฟนรถยนต์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดสำหรับเรื่องนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขากล่าวว่ารถยนต์ไม่ผ่านกระบวนการรับรองที่ถูกต้องก่อนจำหน่าย ซึ่ง Toyota ระบุว่าได้ระงับการจัดส่งและจำหน่ายรถยนต์ 3 รุ่นที่ผลิตในญี่ปุ่นชั่วคราว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรื่องอื้อฉาวของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ครั้งนี้กำลังสร้างความเจ็บปวดให้กับรัฐบาลญี่ปุ่น โดย Yoshimasa Hayashi โฆษกรัฐบาล เรียกการกระทำผิดครั้งนี้ว่า “น่าเสียใจ” หุ้นร่วงระนาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Toyota ระบุว่า การกระทำผิดของบริษัทเกิดขึ้นระหว่างการทดสอบ 6 ครั้งในปี 2014, 2015 และ 2020 โมเดลที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ Corolla Fielder, Corolla Axio และ Yaris Cross และเวอร์ชั่นที่ไม่ได้ไปต่อของรถ 4 รุ่นยอดนิยม ซึ่งหนึ่งในนั้นมีรถภายใต้แบรนด์หรู Lexus ด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในตัวอย่างหนึ่งที่บิดเบือนผลการทดสอบคือ บริษัทได้วัดความเสียหายจากการชนที่ด้านหนึ่งของฝากระโปรงของโมเดลเท่านั้น ทั้งที่จำเป็นต้องทำทั้งสองด้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Toyota ยังกล่าวอีกว่ายังคงตรวจสอบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยมลพิษของรถยนต์ และตั้งเป้าที่จะเสร็จสิ้นการสอบสวนดังกล่าวภายในสิ้นเดือนมิถุนายน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเสริมว่าไม่มีปัญหาด้านประสิทธิภาพที่ละเมิดกฎระเบียบ และลูกค้าไม่จำเป็นต้องหยุดใช้รถยนต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หุ้น Toyota ปิดตัวลดลง 1.8% ตรงกันข้ามกับการเพิ่มขึ้น 0.9% ในดัชนี Topix ในวงกว้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน Mazda ระงับการจัดส่งรถสปอร์ตโรดสเตอร์ RF และ Mazda 2 แฮตช์แบ็กตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่แล้ว หลังจากพบว่าคนงานได้แก้ไขผลการทดสอบซอฟต์แวร์ควบคุมเครื่องยนต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังพบว่าการทดสอบการชนของรถรุ่น Atenza และ Axela ซึ่งไม่มีการผลิตแล้ว ได้รับการแก้ไขโดยใช้ตัวจับเวลาเพื่อปิดถุงลมนิรภัยในระหว่างการทดสอบการชนด้านหน้า แทนที่จะอาศัยเซ็นเซอร์ออนบอร์ดเพื่อตรวจจับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยหุ้นมาสด้าร่วง 3.3%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ฝั่ง Yamaha กล่าวว่าได้ระงับการจัดส่งรถจักรยานยนต์สปอร์ตแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน Honda กล่าวว่าพบการกระทำผิดในการทดสอบเสียงและเอาต์พุตในช่วงระยะเวลากว่า 8 ปีจนถึงเดือนตุลาคม 2017 ในรถยนต์กว่า 20 รุ่นที่ไม่มีการผลิตแล้ว แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://edition.cnn.com/2024/06/03/business/toyota-mazda-halt-shipments-japan-safety/index.html" alt="Toyota halts some shipments as Japan’s auto safety scandal widens">Toyota halts some shipments as Japan’s auto safety scandal widens</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/motoring/deloitte-ev-trend-th-bev-hev" alt="Deloitte เผยคนไทยนิยมรถไฟฟ้า BEV ลดลง ถ้าจะซื้อรถใหม่เน้น ‘ราคา’ มากกว่า ‘แบรนด์’">Deloitte เผยคนไทยนิยมรถไฟฟ้า BEV ลดลง ถ้าจะซื้อรถใหม่เน้น ‘ราคา’ มากกว่า ‘แบรนด์’</a>​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

เรื่องฉาว 5 ค่ายรถญี่ปุ่น บิดเบือนผลทดสอบรถยนต์ Toyota ขอโทษแล้ว ระงับจัดส่งให้ลูกค้า

<h2>โตโยต้า “เติมเต็มทุกการขับเคลื่อน  เพื่อเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ” ส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า Hilux Revo-e ที่ประกอบในไทยเป็นครั้งแรก  สำหรับทดลองให้บริการในรูปแบบรถสองแถวในเมืองพัทยาจำนวน 12 คัน ย้ำพันธกิจบริษัทสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า Hilux Revo-e สำหรับทดลองให้บริการในรูปแบบรถสองแถวสาธารณะ  แก่ เรวัฒน์ เซี่ยงฉิน ประธานกรรมการ สหกรณ์เดินรถพัทยา จำกัด เพื่อเป็นการเติมเต็ม ระบบนิเวศการเดินทางที่ยั่งยืนในเมืองพัทยา โดยจะมีจำนวนทั้งหมด 12 คัน ภายใต้ “โครงการ พัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ” โดยมีปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา  ร่วมเป็นประธานในพิธี ณ ศาลาว่าการเมืองพัทยา เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/AGv3HzioR4B9MxYPc7Cm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AGv3HzioR4B9MxYPc7Cm.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในพันธกิจที่สำคัญของโตโยต้าคือการ สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ผ่านการจัดการกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ควบคู่ไปกับ การเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง (Multi Pathway) ที่ว่าด้วยการมุ่งมั่นในการพัฒนาทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน นำมาสู่การคิดค้นนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์รูปแบบใหม่ๆ ทั้งการวิจัยพัฒนาระบบขับเคลื่อนต่างๆ  ที่มีคุณลักษณะแตกต่างกัน รองรับการใช้งานพลังงานได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางของผู้คนด้วยยานยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม สามารถใช้งานได้จริง และเหมาะสมกับโครงสร้างพื้นฐานแต่ละพื้นที่​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/snHYxaSG3Z2vkxxsgaFE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="snHYxaSG3Z2vkxxsgaFE.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เพื่อศึกษาในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ตลอดจนการรับรู้ของผู้คน และพฤติกรรมการใช้งาน ภายใต้สภาพแวดล้อมจริงในประเทศไทย โตโยต้าจึงได้เริ่มโครงการทดลองเพื่อศึกษาวิจัยข้อมูลดังกล่าว ภายใต้ “โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ” ณ เมืองพัทยา โดยร่วมกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ อาทิ องค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงาน ตลอดจนภาครัฐ และผู้ประกอบการในจังหวัดชลบุรี ร่วมจัดสร้างระบบนิเวศเพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในระบบส่งกำลังที่หลากหลาย ภายใต้แนวทาง Multi Pathway สำหรับให้ชุมชนและนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยาได้ทดลองใช้งานในทุกรูปแบบการเดินทาง​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/1Ap6LEKpvXGbZ26AkgKR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="1Ap6LEKpvXGbZ26AkgKR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div>​&nbsp; &nbsp; โดยระบบนิเวศดังกล่าวประกอบด้วย การเดินทางระยะสั้น (Last mile) ด้วยรถยนต์โตโยต้า รุ่นซีพลัส พอด (C+Pod) ตามด้วยการเดินทางระยะกลาง (Inter City) ด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) ตลอดจนการประสานความร่วมมือในการเปิดสถานีไฮโดรเจนแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) รุ่นโตโยต้า มิไร ที่โตโยต้านำมาสาธิตการใช้งานในรูปแบบของ การเดินทางระยะไกล (Long Distance) รับส่งระหว่างสนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจในพื้นที่พัทยา - ชลบุรี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในวันนี้ โตโยต้าได้ส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า Hilux Revo-e สำหรับทดลองให้บริการในรูปแบบ รถสองแถวโดยสารประจำทางสาธารณะ (Fixed Route) ในพื้นที่เมืองพัทยา ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 - ธันวาคม 2568 โดยจะมีการส่งมอบเป็นจำนวนทั้งสิ้น 12 คัน ภายใต้โครงการฯ อันจะเป็นประโยชน์ ในการวางรากฐานระบบขนส่งสาธารณะของเมืองพัทยา ให้มีความทันสมัยและปราศจากมลภาวะต่อไป​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/g2DRJcdfiAudwPxvD87g.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="g2DRJcdfiAudwPxvD87g.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวและประชาชนในเมืองพัทยาให้ความสนใจใช้บริการรถยนต์พลังงานทางเลือกของโตโยต้าที่ส่งรถเข้าร่วมโครงการฯไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 4,500 ครั้ง รวมเป็นระยะทางกว่า 335,000 กิโลเมตร  อันเป็น ส่วนสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการเดินทางในเมืองพัทยา ซึ่งตั้งเป้าตลอดระยะเวลาโครงการ อยู่ที่ 4,225 ตัน ภายในปี 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ในวันนี้ เราได้ เติมเต็มทุกการขับเคลื่อน เพื่อเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ ภายใต้แนวทาง Multi Pathway โดยการนำรถกระบะ Hilux Revo-e มาดัดแปลงเป็นรถสองแถว เพื่อให้บริการแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ทั้งนี้ต้องขอบคุณความร่วมมือจากพันธมิตรทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในการผลักดันพัทยาให้เป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะของไทย ในด้านการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันเป็นส่วนสนับสนุนเป้าหมายของประเทศ ในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนต่อไป” ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/lpp-sole-agent-sol-midtown" alt="LPP รุกธุรกิจ Sole Agent ประเดิมโครงการแรก SOL Midtown ทาวน์โฮมหรูเพชรเกษม ราคาเริ่ม 12.5 ล้าน">LPP รุกธุรกิจ Sole Agent ประเดิมโครงการแรก SOL Midtown ทาวน์โฮมหรูเพชรเกษม ราคาเริ่ม 12.5 ล้าน</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘โตโยต้า’ ส่งมอบกระบะไฟฟ้า Hilux Revo-e 12 คัน ทดลองวิ่งสองแถวที่พัทยา

<h2>วันที่ 25 เม.ย. 2567 สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า Toyota Motor ได้เปิดเผยว่ากำลังสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Tencent Holdings บริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีน โดยจะร่วมมือกันในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI), คลาวด์คอมพิวติ้ง และบิ๊กดาต้า สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้าในประเทศจีน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ดีมานด์รถยนต์ไฟฟ้าในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่โตโยต้าประสบปัญหาในตลาดนี้ ทั้งในเรื่องการกำหนดราคาและการตลาดเชิงรุกจากคู่แข่งท้องถิ่น โดยค่ายรถญี่ปุ่นอย่างโตโยต้าจะร่วมมือกับ Tencent ในด้านซอฟต์แวร์ในรถยนต์ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสำหรับยานยนต์ยุคหน้า เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะเร่งตัวขึ้นในภาคส่วนนี้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Hiroki Nakajima รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของโตโยต้า ได้ประกาศความเคลื่อนไหวครั้งนี้ในการแถลงข่าวในงานมหกรรม Beijing Auto Show ซึ่งมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ Tencent นั้นให้บริการโซเชียลเน็ตเวิร์กที่คาดว่ามีผู้ใช้งานมากกว่า 1,000 ล้านคน โดยบริษัทกำลังดันตัวเองเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากคาดว่าตลาดนี้ในจีนจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามรายงานของสื่อจีน Tencent ยังได้ร่วมมือกับ Audi ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Volkswagen ของเยอรมนี และกลุ่มบริษัทของ Mercedes-Benz ของเยอรมนี และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังทำงานร่วมกับบริษัทร่วมทุนระหว่างโตโยต้าและ Guangzhou Automobile Group บริษัทจีนที่รัฐเป็นเจ้าของ ในการทำงานด้านคลาวด์คอมพิวติ้งด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ รถยนต์ไฟฟ้าในจีนกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากความสะดวกในการใช้งานที่รถ EV จำนวนมากสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ ทำให้บริษัทในแวดวงเทคโนโลยีหลายรายเข้ามาร่วมในตลาด EV ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Xiaomi, บริษัทเสิร์ชยักษ์ใหญ่ Baidu และ Huawei Technologies เป็นต้น แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://asia.nikkei.com/Business/Business-deals/Toyota-teams-up-with-Tencent-for-drive-into-China-s-EV-market" alt="Toyota teams up with Tencent for drive into China's EV market">Toyota teams up with Tencent for drive into China's EV market</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/motoring/byd-test-ev-bus-at-thong-lor" alt="BYD ทดสอบการวิ่ง ‘รถบัสไฟฟ้า’ รับ-ส่งฟรีย่านทองหล่อ จ่อขยายสู่รถ EV เชิงพาณิชย์">BYD ทดสอบการวิ่ง ‘รถบัสไฟฟ้า’ รับ-ส่งฟรีย่านทองหล่อ จ่อขยายสู่รถ EV เชิงพาณิชย์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Toyota จับมือ Tencent ผสานกำลังด้านเทคโนโลยี เตรียมรุกตลาด EV ในจีน

<h2>Toyota ประกาศปิดตำนานกว่า 43 ปี ยุติขายรถ Camry ในตลาดญี่ปุ่น หลังยอดขายปี 2022 ต่ำกว่า 6,000 คัน แต่ยังคงจำหน่ายในตลาดต่างประเทศต่อไป เพราะสหรัฐ จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงนิยมรถรุ่นดังกล่าว</h2><h2> </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท Toyota Motor ได้ประกาศเตรียมแผนยุติการจำหน่ายรถยนต์รุ่น Camry ในตลาดญี่ปุ่น หลังจากเปิดขายมากว่า 43 ปี ซึ่งได้แจ้งตัวแทนจำหน่ายในญี่ปุ่นแล้วว่าจะยุติการผลิต Camry สำหรับลูกค้าในประเทศภายในสิ้นปี 2023 นี้ แต่จะยังดำเนินการผลิตเพื่อการส่งออกจำหน่ายในต่างประเทศต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การขายรถรุ่น Camry ในประเทศญี่ปุ่นจะสิ้นสุดลงเป็นระยะ และ Toyota ได้หยุดรับคำสั่งซื้อใหม่เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งรถ Camry รุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาจะจัดจำหน่ายเฉพาะในตลาดต่างประเทศเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเหตุผลในการประกาศยุติการจำหน่ายรถ Camry ในญี่ปุ่น มาจากยอดจำหน่ายที่น้อยกว่า 6,000 คันในปีที่แล้ว เนื่องจากขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ในการผลิตรถรุ่นดังกล่าว อีกทั้งรถ SUV และรถ Mini Van ได้รับความนิยมมากขึ้นเพื่อทดแทนความต้องการรถเก๋งซีดาน ซึ่งในปี 2022 ที่ผ่านมานั้น ทาง Nissan Motor เอง ยังได้ยุติการผลิตรถรุ่น Fuga ขณะที่ Honda Motor ได้ยุติการผลิตรุ่น Legend เช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ รถเก๋งซีดานแบบ 4 ประตูส่วนใหญ่ของ Toyota เช่นรุ่น Corolla และ Camry จะผลิตในสหรัฐอเมริกา จีน และโรงงาน Tsutsumi ในจังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยรถรุ่น Camry ถือเป็นรถยนต์เชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ Toyota ซึ่งชื่อ Camry มาจากคำในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า “มงกุฎ”&nbsp;ยอดจำหน่ายรถรุ่น Camry ในญี่ปุ่นนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1980 มีอยู่ราว 1.3 ล้านคัน ซึ่งราคารถซีดานที่จำหน่ายในญี่ปุ่นนั้นจะมีราคาระหว่าง 3.49-4.68 ล้านเยน หรือราว 26,400-35,450 เหรียญสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันรถรุ่นนี้ได้จำหน่ายไปยังกว่า 100 ประเทศ โดยมียอดซื้อสะสมมากกว่า 21 ล้านคันจนถึงสิ้นปี 2565 อ้างอิงจากข้อมูลของ MarkLines ผู้ให้บริการข้อมูลรถยนต์ของ Toyota <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/jwXUGPRvVzGvCESi5GZB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jwXUGPRvVzGvCESi5GZB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Camry ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมียอดขายมากกว่า 13 ล้านคัน ผู้บริโภคชาวอเมริกันชื่นชอบ Camry ในด้านความน่าเชื่อถือ ความสะดวกในการใช้งาน และการตกแต่งภายในที่กว้างขวาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Camry ได้รับการจัดอันดับให้เป็นรถยนต์นั่งที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 15 ปีติดต่อกันจนถึงปี 2016 Camry เป็นที่รู้จักในฐานะรุ่นยอดนิยมเนื่องจากมีมูลค่าการขายต่อที่ค่อนข้างสูงในตลาดรถยนต์มือสอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Camry ถูกมองว่าเป็นรถยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจสำหรับภาพลักษณ์ระดับไฮเอนด์&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถ Toyota รุ่น RAV4 จะคว้ายอดขายในสหรัฐอเมริกาแซงหน้า Camry ในปี 2017 เนื่องจากรถยนต์อเนกประสงค์แบบสปอร์ตได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ Camry ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยอดขายรถซีดานทั่วโลกในปีที่แล้วมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 600,000 คัน อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-3-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95" alt="วันเดอร์แมน ธอมสัน เผย 3 อันดับแบรนด์ดังสร้างแรงบันดาลใจหนุนธุรกิจเติบโต">วันเดอร์แมน ธอมสัน เผย 3 อันดับแบรนด์ดังสร้างแรงบันดาลใจหนุนธุรกิจเติบโต</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 Toyota ประกาศปิดตำนานกว่า 43 ปี ยุติขายรถ Camry ในตลาดญี่ปุ่น

เราต่างก็เห็นค่าแบรนด์ต่างๆ ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป บ้างก็ทั้งมูลค่าและคุณภาพเยี่ยม บ้างก็ตรงกับค่านิยมและตัวตนของเราเหมือนกับมีข้อความที่คัดสรรมาให้ตรงกับสิ่งที่เราเป็น หรือไม่ก็สิ่งที่เราอยากเป็นมากที่สุด ในปีแรกของการจัดอันดับ Forbes Halo 100 นี้ ทาง Forbes อยากจะเน้นไปที่ความสุดยอดในการมอบประสบการณ์ที่ลูกค้าต้องการเป็นหลัก เราจะวัดว่าแบรนด์ต่างๆ ให้บริการผู้บริโภคในสหรัฐได้ดี และอย่างมีความรับผิดชอบมากขนาดไหน

ก่อนจะเริ่ม เราได้จับมือกับ HundredX บริษัทวิเคราะห์ดาต้าจาก Dallas ที่ได้พัฒนานวัตกรรมสุดล้ำในการเก็บความคิดเห็นจากลูกค้า โดยลูกค้าจะเลือกแบรนด์มาไม่เกิน 75 แบรนด์ที่สำคัญต่อพวกเขาจากตัวเลือกกว่า 2,000 ตัวเลือก และแชร์ความคิดเห็น รวมถึงประสบการณ์ที่มีต่อแบรนด์นั้นๆ สุดท้ายทาง HundredX ก็จะนำเงินไปมอบให้กับมูลนิธิที่ถูกใจพวกเขาที่สุดเป็นการตอบแทน

เป้าหมายก็คือ “เพื่อที่จะวัดผลลัพธ์ที่คุณกำลังสร้างให้กับลูกค้าตัวเองเมื่อเทียบกับตัวเลือกที่พวกเขามี” Rob Pace ผู้ก่อตั้งกล่าว ลิสต์นี้มาจากการเก็บความคิดเห็นของลูกค้ากว่า 110,000 คนจากมากกว่า 2.8 ล้านปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ต่างๆ ในปีที่ผ่านมา ทำให้เราได้เห็นได้ชัดมากขึ้นว่าใครกำลังไปได้สวยกับกลุ่มลูกค้าไหนบ้าง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเก็บข้อมูล Forbes Halo 100 สามารถอ่านได้<a href="http://www.forbes.com/sites/dianebrady/2021/12/16/halo-100-methodology-calculating-customer-satisfaction-and-social-good/">ที่นี่</a>

แบรนด์ที่มาเหนือใครเลยคือ Costco ซึ่งได้ทำการเช่าเรือเป็นของตัวเองเพื่อรักษาราคาสินค้าให้ต่ำ และมีซัพพลายให้กับกว่า 113 ล้านสาขาของทางบริษัทอยู่ตลอดเวลา

<figure><img class="wp-image-56506" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/food_chain_content4.jpg" alt="" width="600" height="411" /><figcaption> Chick-fil-A</figcaption></figure>

ตามมาด้วย In-N-Out Burger และ Chick-fil-A สองแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดที่ลูกค้าชอบทั้งอาหาร, ความสะอาด และการบริการชั้นยอดในขณะเดียวกัน แต่ละแบรนด์ก็มีเรื่องให้ปวดหัวของตัวเองกันอยู่

ทาง In-N-Out เองก็ยึดมั่นในหลักธรรมของชาวคริสเตียนมาเนิ่นนาน จนกระทั่งตีพิมพ์ข้อพระคัมภีร์ลงไปบนกระดาษห่อเบอร์เกอร์ ทำให้มีทั้งแฟนคลับและคนไม่ชอบขี้หน้า ส่วนอีกฝั่งหนึ่งนั้น คอมเมนต์ของ Dan Cathy ซีอีโอของ Chick-fil-A เกี่ยวกับการสมรสเท่าเทียมและเห็นด้วยกับกลุ่มต่อต้าน LGBTQ+ เป็นหนึ่งในสาเหตุว่าทำไมแบรนด์ที่คะแนนสูงแบรนด์นี้ถึงมีเรตติ้งต่ำกว่าในด้านความไว้วางใจและคุณค่าของแบรนด์

ทั้งนี้ ก็ยังมีแบรนด์ที่ได้รับสปอตไลท์น้อยกว่าเพื่อนแต่ก็กำลังแซงหน้าไปอย่างเงียบๆ เช่น แบรนด์จาก Florida อย่าง Publix ติดโผมาในอันดับที่สูงกว่า Trader Joe’s เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็มีหลายแบรนด์ที่กำลังได้ชัยชนะด้วยแนวคิดแบบ function-over-fashion เช่น Columbia Sportswear เป็นต้น

<figure><img class="wp-image-56505 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-5d8b0b1a6de3150009a509e7-0x0.jpg" alt="" width="416" height="416" /><figcaption> Tim Boyle ซีอีโอ Columbia Sportswear</figcaption></figure>

Tim Boyle ซีอีโอของ Columbia Sportswear ยังคงเป็นบุคคลที่หลายๆ คนมีภาพติดตาว่าเมื่อช่วงปี 1980s โดน Gert แม่ของเขา (ซีอีโอ ณ ตอนนั้น) ผลักเขาไปในเครื่องล้างรถอัตโนมัติเพื่อแสดงให้เขาเห็นถึงความทนทานของเสื้อโค้ตแบบเดียวกับที่ Columbia วางขายอยู่ในทุกวันนี้ และด้วยคุณค่าที่ส่งมอบให้กับลูกค้านั้น บวกกับราคา อาจเป็นตัวอธิบายว่าทำไมแบรนด์เสื้อผ้า Outdoor นี้ถึงเป็นที่ 1 เมื่อพูดถึงการรับรู้ถึงคุณค่าของแบรนด์และความไว้วางใจที่ลูกค้าหลากหลายกลุ่มมีให้ต่อแบรนด์นี้ โดยในบทสัมภาษณ์กับ Forbes Boyle ให้เหตุผลว่าทั้งหมดนี้มากจากของแบรนด์เขา “ความเข้าถึงได้” ของแบรนด์เขา

ความไว้วางใจและคุณค่าของแบรนด์คือหัวใจหลักที่จะเป็นตัวสินว่าผู้บริโภคจะรู้สึกอย่างไรต่อแบรนด์นั้นๆ นี่คือหนึ่งเหตุผลที่ Toyota แซงแบรนด์รถยนต์อื่นๆ ในรายชื่อของปีนี้ โดยร้อยละ 80 ของลูกค้ากล่าวว่าพวกเขาจะซื้อจากแบรนด์นี้อีก

แบรนด์อย่าง Netflix กำลังไปได้สวยเมื่อเราพูดถึงการตอบโจทย์ลูกค้าที่ไม่ใช่ชาวผิวขาว ซึ่งมาจากคอนเทนต์ที่มีความหลากหลายบนบนริการสตรีมมิ่งนี้นั่นเอง โดย Andre Benjamin รองประธานด้านกลยุทธ์แห่ง HundredX อธิบายว่า เมื่อเราดูที่การตอบรับของลูกค้า “ชาวเอเชียบอกว่า พวกเขาชอบที่อนิเมะและซีรีย์เกาหลีได้รับความสนใจ [และ] ชาวผิวดำบางคนก็ชอบที่ละครตลกและภาพยนตร์ของชาวผิวดำได้รับความสนใจ”

ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์นั้นมันก็ค่อนข้างจะส่วนตัว เมื่อบริษัททำให้คุณรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ของเขาถูกดีไซน์มาเพื่อคุณ คุณก็จะมีประสบการณ์ดีๆ เมื่อได้ใช้มัน เมื่อคุณรู้สึกว่าแบรนด์นั้นๆ ยังเป็นพลังบวกให้แก่โลกด้วยล่ะก็ มันก็ยิ่งมีอะไรที่ดึงคุณกลับมาหาแบรนด์นั้นมากกว่าเดิม
<h3>10 อันดับแบรนด์จากทำเนียบ Forbes Halo 100</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-56495" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Forbes-Halo-100_Costco.jpg" alt="Forbes Halo 100_Costco" width="350" height="350" />

อันดับ 1

Costco

อุตสาหกรรม: ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่

สำนักงานใหญ่: Issaquah, Washington

<img class="alignnone size-full wp-image-56490" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Forbes-Halo-100_In-N-Out.jpg" alt="Forbes Halo 100_In-N-Out" width="350" height="350" />

อันดับ 2

In-N-Out Burger

อุตสาหกรรม: ฟาสต์ฟู้ด

สำนักงานใหญ่: Irvine, California

<img class="alignnone size-full wp-image-56494" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Forbes-Halo-100_Chick-fil-A.jpg" alt="Forbes Halo 100_Chick-fil-A" width="350" height="350" />

อันดับ 3

Chick-fil-A

อุตสาหกรรม: ฟาสต์ฟู้ด

สำนักงานใหญ่: Atlanta, Georgia

<img class="alignnone size-full wp-image-56493" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Forbes-Halo-100_Publix.jpg" alt="Forbes Halo 100_Publix" width="350" height="350" />

อันดับ 4

Publix Super Markets

อุตสาหกรรม: ค้าปลีกประเภทซูเปอร์มาร์เก็ต

สำนักงานใหญ่: Lakeland, Florida

<img class="alignnone size-full wp-image-56488" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Forbes-Halo-100_Trader-Joes.jpg" alt="Forbes Halo 100_Trader Joe's" width="350" height="350" />

อันดับ 5

Trader Joe's

อุตสาหกรรม: ค้าปลีกประเภทซูเปอร์มาร์เก็ต

สำนักงานใหญ่: Monrovia, California

&nbsp;

อันดับ 6

Toyota

อุตสาหกรรม: ยานยนต์

สำนักงานใหญ่: Tokyo, Japan

<img class="alignnone size-full wp-image-56489" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Forbes-Halo-100_Honda.jpg" alt="Forbes Halo 100_Honda" width="350" height="350" />

อันดับ 7

Honda

อุตสาหกรรม: ยานยนต์

สำนักงานใหญ่: Tokyo, Japan

<img class="alignnone size-full wp-image-56491" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Forbes-Halo-100_Marriott.jpg" alt="Forbes Halo 100_Marriott" width="350" height="350" />

อันดับ 8

Marriott

อุตสาหกรรม: โรงแรม

สำนักงานใหญ่: Bethesda, Maryland

<img class="alignnone wp-image-56486 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Forbes-Halo-100_Apple.jpg" alt="Forbes Halo 100_Apple" width="350" height="350" />

อันดับ 9

Apple

อุตสาหกรรม: อิเล็กทรอนิกส์

สำนักงานใหญ่: Cupertino, California

<img class="alignnone size-full wp-image-56492" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Forbes-Halo-100_Subaru.jpg" alt="Forbes Halo 100_Subaru" width="350" height="350" />

อันดับ 10

Subaru

อุตสาหกรรม: ยานยนต์

สำนักงานใหญ่: Tokyo, Japan

สามารถดูอันดับที่ 11-100 ต่อได้ใน<a href="https://www.forbes.com/halo-100/#303c87af32da">บทความนี้</a>
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ  The Forbes Halo 100 2022 เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b8%94%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%94.html">มหาเศรษฐีหน้าใหม่ ดาวเด่นประจำปี 2021</a>


<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Forbes Halo 100: บริษัทผู้สร้างแบรนด์ขวัญใจมหาชน

<h2 class="p1">นับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ Toyota ขึ้นครองอันดับ 1 บริษัทรถยนต์ที่ขายดีที่สุดประจำปี 2020 แซงหน้า Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19</h2>
<figure><img class="wp-image-40927" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/960x0-1.jpg" alt="Volkswagen " width="720" height="405" /><figcaption> ภาพร่างที่โชว์โครงสร้างภายในรถยนต์ไฮบริด ของ Toyota</figcaption></figure>
ล่าสุด<a href="https://www.toyota.com/prius/?addisclaimer=awd_e,see&amp;srchid=SEM_700000001483645:GOOGLE:Model_Prius:58700006186212924:toyota%20prius%202021:p55874918650:451112320542&amp;gclsrc=aw.ds&amp;&amp;gclid=Cj0KCQiA6t6ABhDMARIsAONIYyw5u1KXWKGy9UnGt5JJ-Vh-rWeecRToFa4sgH-lML7O8rBF87P_X3caAjdQEALw_wcB&amp;gclsrc=aw.ds"> Toyota </a>เผยผลประกอบการของกลุ่มบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทผลิตรถยนต์ในเครืออย่าง Lexus, Daihatsu และ Hino ว่า มียอดขายลดลงร้อยละ 11 หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 9.5 ล้านคันในปี 2020 ขณะที่ยอดขายของทาง Volkswagen (VW) ซึ่งประกอบไปด้วย Porsche, Audi และ Lamborghini ปรับตัวลดลงมากถึงร้อยละ 15.2 หรือราว 9.3 ล้านคัน
ด้านกลุ่มพันธมิตรยานยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Renault-Nissan-Mitsubishi ครองส่วนแบ่งของตลาดเป็นลำดับที่ 3 ตามมาด้วย General Motors ในลำดับที่ 4
ในปี 2020 ที่ผ่านมา มาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศทั่วโลกได้ส่งผลให้ลูกค้าหลายรายจำเป็นต้องอยู่บ้าน และหลีกเลี่ยงการเข้าชมโชว์รูม จึงเป็นเหตุให้โรงงานผลิตยานยนต์หลายแห่งลดหรือหยุดผลิตรถยนต์บางรุ่นลง
อย่างไรก็ดี จากสถิติการติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตในญี่ปุ่นที่ต่ำกว่าในเชิงเปรียบเทียบกับฝั่งยุโรป ทำให้ Toyota สามารถดำเนินการผลิตและทำยอดขายได้ดีกว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยหากพิจารณาจำนวนประชากรภายในประเทศทั้งหมด 126 ล้านคน ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 อยู่ราว 5,000 คน ขณะที่สหราชอาณาจักร ซึ่งมีประชากร 66 ล้านคน มียอดผู้เสียชีวิตมากถึง 100,000 คน
เป็นระยะเวลาหลายทศวรรษที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อขึ้นเป็นที่ 1 ของอุตสาหกรรม โดยในปี 2013 Toyota ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า General Motors ที่รั้งอันดับที่ 2 จนกระทั่งถูก VW เข้ามายึดครองตำแหน่งไปในปี 2015 ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ในปี 2017 เป็นต้นมา และเสียแชมป์ให้กับ Toyota ในปี 2021 นี้
ท่ามกลางอุปสงค์ในตลาดรถยนต์ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งจากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ผนวกกับความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน บริษัทผู้ผลิตยานยนต์หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Toyota, VW, GM และรายอื่นๆ ต่างเริ่มหันมาให้ความสำคัญในการกระตุ้นยอดขายในรถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า
แต่ในขณะเดียวกัน ข้อท้าทายของ Toyota ในการรักษาอันดับ 1 ก็คือ ความล่าช้าในการเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่ในปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตจากยุโรปและสหรัฐฯ ต่างทยอยนำเสนอไลน์รถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก แม้ว่าจะเป็นที่ทราบกันว่า ในปี 2021 นี้ Toyota พร้อมเปิดตัวรถยนต์ตระกูล Prius ที่ในคราวนี้ได้ถูกต่อยอด เพื่อเน้นทำการตลาดรถยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ
ในที่นี้ ทาง Toyota Europe ระบุเพิ่มเติมว่า "เทคโนโลยีไฮบริดของทางบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ราว 2 ใน 3 ของกำลังผลิต ได้มีส่วนช่วยให้บริษัทผ่านมาตรฐานการควบคุมมลพิษจากสหภาพยุโรป (European Emission Standards) ที่เข้มงวด ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว" โดยมาตรฐานดังกล่าวเป็นไปเพื่อควบคุมยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้มีการเผาไหม้ไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ทำให้ผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลกต้องพัฒนาเครื่องยนต์ให้ปล่อยมลพิษออกมาน้อยที่สุด รวมไปถึงค่ามาตรฐานเสียงที่ออกมาจากปลายท่อด้วย
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Toyota Grabs No 1 Spot From Volkswagen In 2020, GM Takes 4th เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/foxconn-technology-%e0%b8%8b%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-apple.html">Foxconn ซัพพลายเออร์ของ Apple เตรียมสร้างโรงงาน 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเวียดนาม</a>

Toyota ขึ้นครองอันดับ 1 บริษัทรถยนต์ที่ขายดีที่สุดประจำปี 2020

<h2>ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทุกประเภท Toyato ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นกลับรายงานว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2020 กำลังการผลิตรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นราวร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 826,066 คัน</h2>
<img class="alignnone wp-image-39701" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/innovation_04_main_visual_pc-1024x517.jpg" alt="รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น" width="723" height="365" />

โดยทาง <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/peterlyon/2020/12/26/toyota-posts-record-global-output-despite-effects-of-pandemic/?sh=92d4dc87659e">Toyota</a> ระบุเพิ่มเติมว่า การปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้เป็นผลมาจากอุปสงค์ในจีนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าร้อยละ 48.5 ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายอื่นๆ กลับรายงานผลประกอบการที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวมของบริษัทประจำเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มียอดขายรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 1.8 หรือ  852,213 คัน จากรุ่น RAV4 และ Lexus ในจีน ขณะที่ Harrier และ Yaris อีโคคาร์รุ่นปรับปรุงใหม่ล่าสุดในปี 2020 ก็มีกระแสตอบรับดีเกินคาดในตลาดญี่ปุ่น

ด้าน Nissan ที่แม้ว่าในปีนี้ ยอดขาย Nissan Rogue รถครอสโอเวอร์จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่กำลังการผลิตโดยรวมของบริษัทกลับลดลงถึงร้อยละ 5.6 เป็นเดือนที่ 14 อย่างต่อเนื่อง โดยในที่นี้ ทางบริษัทได้เดินหน้าปรับกลยุทธ์ไปสู่การมุ่งเน้นการสร้างผลกำไรมากกว่าการสร้างยอดขาย

ในทำนองเดียวกันกับ Toyota ปีนี้ Honda ก็ได้เปิดตัว Honda e รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก ซึ่งก็ได้ส่งผลให้มูลค่าการผลิตทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นมากถึงร้อยละ 11.4 ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการซื้อในจีนที่เพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่ Mitsubishi หนึ่งในพันธมิตรของอีก 2 ค่ายรถยนต์รายใหญ่อย่าง Renault-Nissan ก็ได้เพิ่งเปิดตัวครอสโอเวอร์อย่าง Eclipse Cross แต่กลับมีรายงานผลประกอบการลดลงถึงร้อยละ 25.7 โดยในปี 2021 ที่ใกล้จะถึงนี้ ทางบริษัทพร้อมเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่น Outlander SUV ให้ได้ยลโฉมกัน

โดยสรุป มูลค่าการขายรถยนต์ของทั้ง 8 ค่ายรถสัฐชาติญี่ปุ่น ณ เดือนพฤศจิกายน ลดลงร้อยละ 3.6 หรืออยู่ที่ 2.24 ล้านคัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว แต่หลายบริษัทยังคงมีความหวังว่าตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์จะกลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้งในช่วงกลางปี 2021 พร้อมวางแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าและรถสปอร์ตในงาน Tokyo Motor Show ในเดือนตุลาคมเช่นกัน

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Toyota Posts Record Global Output Despite Effects Of Pandemic เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/america/apple-เตรียมเผยโฉม-titan-โปรเจ็กต.html">Apple เตรียมเผยโฉม Titan โปรเจ็กต์รถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2024</a>

ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นในช่วงโควิด-19

<h2 class="p1">ผู้ผลิตรถยนต์รายยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น Toyota เปิดตัวโปรเจกต์สร้าง “เมืองแห่งอนาคต” ที่สามารถรองรับคนได้ 2,000 คน โดยเมืองแห่งนี้จะใช้สำหรับทดสอบยานยนต์ไร้คนขับ, เทคโนโลยีอัจฉริยะ และหุ่นยนต์ผู้ช่วยในชีวิตประจำวัน</h2>
โครงการแสนยิ่งใหญ่ของ Toyota นี้ได้ถูกขนานนามว่าเป็น Woven City ซึ่งจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปีหน้า หรือปี 2021 ในบริเวณเชิงเขาของภูเขา Fuji ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งห่างจากกรุง Tokyo ราว 60 กิโลเมตร
การประกาศโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นใน Consumer Electronics Show หรือ CES ที่นคร Las Vegas โดย Akio Toyoda ซีอีโอของ Toyota อธิบายว่าเมืองใหม่นี้เปรียบเป็น “ห้องปฏิบัติการทดลองการอยู่อาศัย” ซึ่งจะอนุญาตให้นักวิจัย, นักวิทยาศาสตร์ และวิศวกร ได้ทดสอบเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ใน “สภาพแวดล้อมของชีวิตจริง”
<img class="alignnone size-full wp-image-25805" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/wovencity03.jpg" alt="" width="720" height="480" />
“ผู้คนในอาคารบ้านเรือนและยานพาหนะทั้งหมดจะสามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกันได้ผ่านดาต้าและระบบเซ็นเซอร์ เราจะสามารถทดสอบเทคโนโลยี AI ได้ทั้งในโลกเสมือนและโลกจริง เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ได้สูงสุด” Toyoda กล่าวระหว่างการเปิดตัวโปรเจกต์นี้เมื่อวันอังคารที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา “เราต้องการจะเปลี่ยนปัญญาประดิษฐ์ให้กลายเป็นระบบสารสนเทศอัจฉริยะ”
สำหรับการพัฒนาเมืองใหม่นี้จะตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 175 เอเคอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้พื้นที่บริเวณดังกล่าวเคยเป็นที่ตั้งโรงงานของ Toyota
ผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ยังอธิบายอีกว่า เมืองแห่งนี้จะเป็นเมืองที่คำนึงถึงความยั่งยืนอย่างเต็มรูปแบบ โดยจะเป็นเมืองที่ใช้พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน และพลังงานแสงแดดจากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้ที่หลังคาของอาคารบ้านเรือน
<img class="alignnone size-full wp-image-25809" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/wovencity04.jpg" alt="" width="720" height="480" />
นอกจากนี้ รถยนต์ที่ได้รับอนุญาตให้ขับเคลื่อนบนท้องถนนจะมีแต่รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ และรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์เท่านั้น ขณะที่รถยนต์ไร้คนขับที่รู้จักกันในนาม Toyota e-Palettes จะถูกใช้สำหรับการจัดส่งแบบเดลิเวอรี่และการขนส่งสินค้า
เมืองอัจฉริยะแห่งนี้ยังถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของคน 2,000 คน โดยผู้อยู่อาศัยกลุ่มแรกจะเป็นพนักงานของบริษัทพร้อมครอบครัว รวมถึงผู้สูงอายุวัยเกษียณ, ผู้ค้าปลีก, นักวิจัย และพาร์ทเนอร์ที่ร่วมทำโปรเจกต์อื่นๆ

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%88%e0%b8%89%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a2%e0%b8%b0.html">เมกะเทรนด์โลกที่ผู้ประกอบการต้องรับมือ และทิศทางของไทยสู่การเป็น ‘เมืองอัจฉริยะ’</a></li>
</ul>
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นรายนี้ และ Bjarke Ingels Group หรือ BIG บริษัทด้านสถาปัตยกรรมจากเดนมาร์ก ซึ่งรับหน้าที่ในการออกแบบผังเมือง
<img class="alignnone size-full wp-image-25808" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/wovencity02.jpg" alt="" width="720" height="480" />
โดยออกแบบให้อาคารส่วนใหญ่ทำขึ้นจากไม้ และบางส่วนจะใช้หุ่นยนต์ในการก่อสร้าง ทั้งนี้ การออกแบบราวกับได้รับแรงบันดาลใจมาจากบ้านเมืองของญี่ปุ่นในอดีต ผสมผสานเทคนิคดั้งเดิมเข้ากับลักษณะสถาปัตยกรรมของประเทศ
Ingels ผู้ออกแบบตึก World Trade Center ทั้ง 2 ตึกใน New York ทั้งยังออกแบบสำนักงานใหญ่ของ Google ทั้งใน London และ Silicon Valley ระบุว่า เทคโนโลยีอัจฉริยะจะถูกขยายออกไปสู่บ้านของผู้คน
“บ้านเรือนใน Woven City นี้จะเป็นสถานที่สำหรับทดสอบเทคโนโลยีใหม่ อย่างเช่น หุ่นยนต์ในบ้านสำหรับการช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน” สถาปนิกกล่าวบนเวทีระหว่างการเปิดตัวโปรเจกต์ในงาน CES “บ้านอัจฉริยะเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากการเชื่อมต่อเต็มรูปแบบผ่าน AI เพื่อให้ทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติ เช่น การเติมของเข้าตู้เย็น หรือนำของในตู้เย็นมาทิ้งขยะ หรือแม้แต่การดูแลสุขภาพของคุณ”
<img class="alignnone size-full wp-image-25806" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/wovencity05.jpg" alt="" width="720" height="480" />
ขณะที่แหล่งเก็บพลังงานและอุปกรณ์กรองน้ำจะซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดิน ส่วนบนพื้นดินจะประกอบไปด้วยพลาซ่า, สวน และทางเดินที่ปราศจากรถยนต์ บนความตั้งใจของ Ingels ที่การออกแบบจะเน้นให้ความสำคัญกับพื้นที่สาธารณะ
“ในยุคที่เทคโนโลยี, โซเชียลมีเดีย และค้าปลีกออนไลน์ กำลังจะเข้ามาแทนที่และขจัดสถานที่พบปะของเรา Woven City จะมีบทบาทในการพิเคราะห์ถึงวิธีการที่จะกระตุ้นให้มนุษย์ในพื้นที่เมืองมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น” เขากล่าว และว่า “ท้ายที่สุดแล้ว การเชื่อมต่อกันของมนุษย์นั้นเป็นการเชื่อมต่อที่ก่อให้เกิดความสุข, ผลิตผล และนวัตกรรม”
สำหรับการก่อสร้างในเฟสแรกซึ่ง BIG ระบุว่าจะประกอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างมากกว่า 12 แห่ง จะเริ่มขึ้นในปี 2021 โดยยังไม่มีกำหนดว่าโครงการนี้จะแล้วเสร็จเมื่อใด
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/style/article/ces-toyota-big-smart-city/index.html?utm_medium=social&amp;utm_source=fbbusiness&amp;utm_term=link&amp;utm_content=2020-01-13T11%3A02%3A07&amp;fbclid=IwAR3FNYa-YvGMgkwRIvjsfR0PjvXW6axPRIotyGDOpQeWrNHB5lsh0Oprs-g">Toyota is building a 'smart' city to test AI, robots and self-driving cars</a></li>
</ul>
&nbsp;

Photo Credit: Toyota/Bjarke Ingels Group

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Toyota ผุดโปรเจกต์สร้างเมืองอัจฉริยะไว้ทดสอบ AI หุ่นยนต์ และรถไร้คนขับ

<h2 class="p1">Toyota Motor กำลังวางแผนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในประเทศเมียนมา โดยจะเริ่มสร้างโรงงานในปีนี้</h2>
โดยโรงงานดังกล่าวของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่นจะตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ Thilawa ซึ่งตั้งอยู่ชานเมือง Yangon มีภารกิจหลักคือประกอบรถรถกระบะ โดยชิ้นส่วนจะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศใกล้เคียง
ทั้งนี้ เมียนมาเป็นประเทศที่มีประชากรราว 50 ล้านคน เท่าๆ กับเกาหลีใต้และสเปน เป็นประเทศที่มีคนหนุ่มสาวอยู่มาก อายุเฉลี่ยของคนในประเทศอยู่ที่ 27.9 ปีเท่านั้น และถึงแม้จะจัดเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในทวีปเอเชีย แต่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในอัตราปีละ 6-7%
แม้ว่าปี 2018 ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศเมียนมาจะอยู่ที่ 17,500 คัน แต่หากเทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยปัจจุบัน Toyota ส่งออกรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์เชิงพาณิชย์ไปยังเมียนมาราว 2,000 คัน/ปี และมองว่าตลาดเมียนมาเป็นหนึ่งในแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง
เมื่อเดือนธันวาคม 2018 Toyota Motor มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนและชิ้นส่วนรถยนต์ใน 27 ประเทศและภูมิภาค ซึ่งโรงงานในเมียนมาจะเป็นฐานใหม่ของ Toyota
ขณะที่รัฐบาลเมียนมาได้ดำเนินนโยบายให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่บริษัทที่ผลิตรถยนต์ในประเทศ จึงทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายสนใจเข้ามาลงทุนในเมียนมามากขึ้น
Suzuki Motor Corp เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นรายแรกๆ ที่เข้ามาในประเทศเมียนมา โดยปัจจุบัน Suzuki มีโรงงานประกอบรถยนต์ 2 แห่งในเมียนมา และมียอดคำสั่งซื้อมากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาด 
ส่วน Nissan และ Ford ก็เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศเมียนมาเช่นกัน


<figure><img class="size-full wp-image-8029" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/thilawa.jpg" alt="" width="720" height="405" /><figcaption> เขตเศรษฐกิจพิเศษ Thilawa / ภาพจากศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเมียนมา</figcaption></figure>
สำหรับ Toyota ที่ตัดสินใจสร้างโรงงานแห่งใหม่ในประเทศเมียนมาเนื่องจากคาดว่าประเทศที่มีประชากร 50 ล้านคนนี้จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในอนาคต และส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความพยายามของรัฐบาลเมียนมาในการโน้มน้าวให้บริษัทต่างชาติมาลงทุนในประเทศ

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/motoring/toyota-softbank-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A.html">TOYOTA จับมือ SOFTBANK พัฒนารถยนต์ไร้คนขับ เปลี่ยนการขนส่งใหม่เพื่ออนาคต</a></li>
</ul>
ทั้งนี้ GDP ของเมียนมาอยู่ที่ประมาณ 1,300 เหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม อายุเฉลี่ยของคนในประเทศที่น้อย ซึ่งเป็นแรงงานชั้นดี และจำนวนประชากรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับนักลงทุนต่างชาติเลยทีเดียว
นักวิเคราะห์เชื่อว่า ตลาดรถยนต์เมียนมามีแนวโน้มที่จะเติบโตเท่ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 69 ล้านคน และมียอดขายรถยนต์อยู่ที่ 1 ล้านคันได้ ขณะที่ที่ผ่านมา รถยนต์มือสองจากญี่ปุ่นได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดรถยนต์ญี่ปุ่น แต่ยอดขายรถใหม่ในปี 2018 ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวก็นับเป็นสัญญาณการเติบโตที่ดีสำหรับรถใหม่
ประกอบกับรัฐบาลเมียนมายังคงสิทธิพิเศษทางภาษีให้แก่บริษัทที่ผลิตรถยนต์ในประเทศ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต้องย้ายการผลิตเข้ามาในประเทศเมียนมา
รายงานจาก Myanmar Survey Research ระบุว่า นอกจาก Toyota แล้ว Suzuki และ Nissan จากญี่ปุ่น Kia และ Hyundai จากเกาหลีใต้ Ford จากสหรัฐฯ และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ได้เข้ามามีโรงงานผลิตในเมียนมาแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเมียนมามีบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไม่กี่รายเท่านั้น ทำให้ค่ายรถยนต์ต่างๆ ต้องนำเข้าชิ้นส่วนเข้ามาประกอบในประเทศ การเติบโตของอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ในเมียนมาจึงอาจขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนจะย้ายฐานการผลิตเข้ามาในเมียนมาด้วยหรือไม่
การลงทุนในเมียนมาเฟื่องฟูขึ้นหลังจากเมียนมาเปลี่ยนรัฐบาลเป็นรัฐบาลพลเรือนในปี 2011 และสหรัฐอเมริกาและยุโรปยกเลิกการคว่ำบาตร อย่างไรก็ตาม หากดูปีงบฯ 2018 เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศลดลงต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน
สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ Thilawa เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นและเมียนมา ซึ่งเปิดตั้งแต่ปี 2015 และถูกเรียกว่า “สัญลักษณ์ของการประสบความสำเร็จมากที่สุดของการพัฒนาเศรษฐกิจเมียนมา” และยังสามารถดึงดูดการลงทุนได้จากทั่วโลก
และการตัดสินใจสร้างโรงงานใหม่ของ Toyota ในเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้ อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของการลงทุนในประเทศก็เป็นได้
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/japanese-automaker-toyota-to-build-factory-in-myanmar">Japanese automaker Toyota to build factory in Myanmar</a></li>
</ul>

Toyota Motor เตรียมสร้างโรงงานใหม่ในเมียนมาปีนี้ หลังแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้น

<h2 class="p3">ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในรายชื่อของเรา โดยมี Apple ขึ้นอันดับ 1 เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน</h2>
บริษัทเทคโนโลยียังคงแสดงพลังยึดครองหัวตารางแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก แม้ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายจะต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ บริการค้นหา รีเทล โซเชียลมีเดีย หรือซอฟต์แวร์ แต่สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของบริษัทเทคโนโลยีก็คือ “แบรนด์” 
ชื่อแบรนด์อันโด่งดังคือสิ่งที่ช่วยสร้างดีมานด์และพลังการต่อรองราคา สังเกตได้จาก Top 5 ของแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดประจำปี 2018 Apple, Google, Microsoft และ Facebook ที่ยังคงยึดตำแหน่งเดิมของตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น รวมถึง Amazon ที่มูลค่าแบรนด์เติบโตถึง 31% และพุ่งแซงยักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มอย่าง Coca-Cola ขึ้นมา ทั้งนี้ Coca-Cola เองกำลังประสบปัญหายอดขายลดลงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่รักสุขภาพมากขึ้น
ไฮไลต์ที่น่าสนใจอยู่ที่วงการโทรศัพท์มือถือ Samsung Electronics สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า Apple ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2017 ยอดขายของ Samsung ช่วยดันให้มูลค่าแบรนด์ก้าวกระโดดจากอันดับ 10 ขึ้นมาเป็นอันดับ 7 
อย่างไรก็ตาม Canaccord Genuity ประเมินว่า Apple ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนถึง 87% หากวัดกันที่กำไร จากการวางจำหน่าย iPhone X สมาร์ทโฟนราคาแรง ความสามารถในทำกำไรเช่นนี้คือสิ่งที่สะท้อนมูลค่าแบรนด์อย่างชัดเจน และทำให้ Apple มีมูลค่าสูงกว่า Samsung ถึง 4 เท่า
&nbsp;
<h3 class="p4">อันดับ 1 Apple</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1654" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/01_Apple.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 1.828 แสนล้านเหรียญ (+8% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 2.286 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 1
&nbsp;
<h3 class="p4">อันดับ 2 Google</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1655" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/02_Google.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 1.321 แสนล้านเหรียญ (+30% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 9.72 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 2
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 3 Microsoft</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1656" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/03_Microsoft.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 1.049 แสนล้านเหรียญ (+21% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 9.84 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 3
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 4 Facebook</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1657" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/04_Facebook.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 9.48 หมื่นล้านเหรียญ (+29% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 3.57 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 4
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 5 Amazon</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1658" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/05_Amazon.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 7.09 หมื่นล้านเหรียญ (+31% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 1.693 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 6
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 6 Coca-Cola</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1659" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/06_CocaCola.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 5.73 หมื่นล้านเหรียญ (+2% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 2.34 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 5
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 7 Samsung</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1660" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/07_Samsung.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.76 หมื่นล้านเหรียญ (+25% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 2.034 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 10
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 8 Disney</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1661" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/08_Disney.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.75 หมื่นล้านเหรียญ (+8% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 3.04 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 7
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 9 Toyota</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1662" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/09_Toyota.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.47 หมื่นล้านเหรียญ (+9% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 1.764 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 8
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 10 AT&amp;T</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1663" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/10_ATT.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.19 หมื่นล้านเหรียญ (+14% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 1.605 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 12
&nbsp;

สำหรับวิธีรวบรวมรายชื่อ FORBES มีการประเมินแบรนด์ทั้งหมด 200 แบรนด์เพื่อคัดเลือกเหลือ 100 แบรนด์สุดท้าย เราดูกำไรช่วง 3 ปีและบทบาทที่แต่ละแบรนด์มีในอุตสาหกรรมของตนเพื่อประเมิน ทั้งนี้ ต้องเป็นแบรนด์ที่มีการทำตลาดในสหรัฐอเมริกาด้วย หากต้องการทราบวิธีการจัดอันดับและรายชื่อทั้งหมด สามารถอ่านได้ที่ <a href="http://forbes.com/valuable-brands">forbes.com/valuable-brands</a>

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard-detail.php?did=2099">15 บริษัท ‘ผลิตชิ้นส่วน’ ที่มูลค่าหุ้นทะยานหลังจับมือกับ ‘Apple’</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard-detail.php?did=1933">ย้อนรอยดีลควบรวม Disney ปี 1995 ชัยชนะของ Warren Buffett</a></li>
</ul>

10 “แบรนด์” มูลค่าสูงที่สุดในโลก ปี 2018

<h2>บริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำ Toyota Motor Corp ประกาศความร่วมมือกับยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี SoftBank Group Corp ร่วมพัฒนารถยนต์ไร้คนขับเเละเทคโนโลยียานยนต์ขั้นสูง เพื่อพัฒนาการบริการขนส่งด้านใหม่ที่จะเปลี่ยนวิธีการใช้รถยนต์ของผู้คนในอนาคต</h2>
ทั้งสองบริษัทจะร่วมจัดตั้งเเละร่วมทุนเปิดบริษัทใหม่ ที่มีชื่อว่า Monet Technologies Corp ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน 2 พันล้านเยน หรือราว 17.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เเละตั้งเป้าเพิ่มทุนเป็น 1 หมื่นล้านเยนในอนาคต โดยทาง SoftBank จะถือครองหุ้น 50.25% ขณะที่หุ้นส่วนที่เหลือจะเป็นของ Toyota Motor (49.75%)

นับเป็นกรณีความร่วมมือล่าสุดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ที่หันมาจับมือกับบริษัทโทรคมนาคม ท่ามกลางยุควิวัฒนาการของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบัน ซึ่งบ่งชี้ว่าเเม้จะเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่เเละได้รับการสนับสนุนที่ดี หากไม่ร่วมมือกับเจ้าอื่นก็อาจจะตามไม่ทันการเเข่งขันในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับเเละระบบการเชื่อมต่อของรถยนต์

“เราต้องการทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ถูกจำกัดการเข้าถึงระบบขนส่ง” Junichi Miyakawa ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ SoftBank Corp ผู้ซึ่งกำลังจะเป็น CEO ของบริษัทใหม่กล่าว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8fbf2f5cc54cc088df09aa928822d45d.jpg" alt="" width="638" height="426" /><figcaption> Junichi Miyakawa ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ SoftBank Corp</figcaption></figure>

Toyota Motor เป็นบริษัทที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีรถยนต์เเละเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ขณะที่ SoftBank ก็มีหน่วยพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับในรถโดยสารอย่าง SB Drive เช่นกัน เเละทั้งสองบริษัทยังมีการลงทุนเเละเป็นพันธมิตรกับ UBER.UL, Grab เเละ Didi Chuxing

"เรากำลังพยายามที่จะนำรถยนต์แบบดั้งเดิมเข้าสู่สิ่งใหม่ๆ" Akio Toyoda ประธานโตโยต้า มอเตอร์กล่าว "เราตระหนักว่า Softbank มีวิสัยทัศน์เหมือนกันเมื่อยุครถยนต์เเห่งอนาคตมาถึง ก็ถึงเวลาที่เราจะร่วมมือกัน"

สำหรับการประกาศความร่วมมือครั้งนี้ เกิดขึ้นในวันต่อมา ภายหลังจาก Honda Motor Co Ltd ประกาศว่าจะลงทุนกว่า 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเเละเข้าถือหุ้น 5.7 % ใน General Motors ผู้ผลิตรถยนต์จากอเมริกา ซึ่ง SoftBank ก็เป็นอีกหนึ่งในผู้ลงทุนในบริษัทนี้

ที่มา: https://www.reuters.com/article/us-toyota-softbank/toyota-softbank-team-up-to-develop-self-driving-car-services-idUSKCN1ME00Y

ภาพ : AFP

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events