<h2>หลังจากนักร้องสาวคนดังอย่าง 'ลิซ่า' ได้เปิดตัวเพลงใหม่ 'Moonlit Floor' เป็นครั้งแรก ผ่านการโชว์บนเวทีของเทศกาลดนตรี Global Citizen Festival 2024 ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในช่วงค่ำวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา หลายคนต่างชื่นชอบกับความไพเราะหวานละมุนของบทเพลง แถมยังพุ่งเป้าไปที่แต่ละประโยคของเนื้อร้องที่เป็นเรื่องราวความรักอันดูดดื่มของหญิงสาวที่ได้สัมผัสรอยจูบกับหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวท่ามกลางแสงจันทร์ยามคำ่คืน ณ กรุงปารีส ว่าหนุ่มคนดังกล่าวในเนื้อร้องจะเป็น 'เฟรเดอริก อาร์โนลต์' ลูกชายของมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม LVMH หรือไม่</h2><p><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แผน Marketing หรือการทำการตลาดเพื่อนำเสนอเรื่องราวทางดนตรีของนักร้องสาวคนดังอย่าง 'ลิซ่า' เรียกได้ว่ามีความแยบยลและสร้างกระแสจนเกิดเป็นไวรัลเรียกยอด engagement ในระดับมหาศาลผ่านสื่อโซเชียลได้หลายต่อหลายครั้ง เห็นได้จากเคสล่าสุดช่วง 3 วันก่อนหน้า แอคเคาน์ TikTok ของลิซ่าก็ได้ปล่อยคลิปวิดีโอสั้นๆ เพียง 14 วินาทีออกมาพร้อมกับวลีเด็ดของเนื้อเพลงติดหูที่ว่า "So Kiss Me" ซึ่งวลีดังกล่าวมาจากเพลงดังในอดีตยุค 90 อย่าง&nbsp;<span style="color: rgb(68, 68, 68)">“Kiss Me” ของศิลปิน Sixpence None The Richer ที่ปล่อยออกมาในปี พ.ศ. 2540&nbsp;</span> &nbsp;</p><p>​</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/bpVeLNpDiHes6yu21Y7e.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="bpVeLNpDiHes6yu21Y7e.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="0"></figure></div><p><br></p><p>&nbsp; &nbsp; หลังจากนั้นในช่วงค่ำของคืนวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา 'ลิซ่า' ได้ทำการแสดงบนเวทีของเทศกาลดนตรี Global Citizen Festival 2024 พร้อมกับเปิดตัวเพลง 'Moonlit Floor' เป็นครั้งแรก ***เพลงนี้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในทุกแพลตฟอร์มอีกครั้งใน<span style="color: rgb(68, 68, 68)">วันที่ 3 ต.ค.นี้ ซึ่งตรงกับวันที่ 4 ต.ค. เวลา 07.00 น. ตามเวลาประเทศไทย***&nbsp;</span>โดยเนื้อเพลงดังกล่าวมีการดึงวลีเด็ด 'So Kiss Me' จากเพลง 'Kiss Me' มาใช้ในช่วงท่อนฮุคสร้างความไพเราะติดหูแก่เหล่าแฟนเพลงและคนฟังเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เนื้อหาของเพลงยังเป็นการนำเสนอเรื่องราวความรักของหญิงสาวที่ได้รับสัมผัสจูบอันดูดดื่มจากหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเขียว ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องในยามค่ำคืนของกรุงปารีส ฝรั่งเศส หลายคนจึงพุ่งเป้าไปยัง&nbsp;'เฟรเดอริก อาร์โนลต์' ลูกชายของมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกที่ตกเป็นข่าวว่ากำลังซุ่มคบหาดูใจกับลิซ่ามาอย่างต่อเนื่องหลังจากที่เธอได้เริ่มออกมาทำผลงานเพลงเดี่ยวเป็นของตัวเอง</p><p><br></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/uEMt9EtXdqbgwUyAGhbg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uEMt9EtXdqbgwUyAGhbg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div><p>​</p><p>&nbsp; &nbsp; สำหรับประวัติที่น่าสนใจของ 'เฟรเดอริก อาร์โนลต์' ในวัย 29 ปี เขาเป็นลูกชายคนที่ 4 จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 5 คน โดย 2 คนแรก เป็นพี่น้องต่างมารดา ได้แก่ เดลฟีน และอองตวน ซึ่งเกิดจาก แอนด์ เดวาฟริน ภรรยาคนแรกของเบอร์นาด อาร์โนลต์, หลังจากนั้นเบอร์นาด ได้แต่งงานใหม่ครั้งที่ 2 กับ เฮเลน เมอร์ซิเออร์ โดยมีลูกด้วยกันถึง 3 คน ได้แก่ อเล็กซานเดร, เฟรเดริก และ ฌอน</p><p>​</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/EwR1kVqfaXtTuyax8EFk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="EwR1kVqfaXtTuyax8EFk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div><p><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนหน้าที่เฟรเดริกจะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจของครอบครัว เขาเคยฝึกงานระยะสั้นอยู่ที่ Facebook และ Mckinsey ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านที่ปรึกษาทางการเงินในระดับเบอร์ต้นของโลก ในปี พ.ศ. 2560 คือช่วงเวลาที่เฟรเดริกเริ่มเข้ามามีบทบาทในการทำงานกับบริษัทในเครือของครอบครัวอย่างเต็มตัวครั้งแรก เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าชั่วคราวแผนกเทคโนโลยี ทำหน้าที่คอยประสานงานกับผู้ผลิตนาฬิกาแบรนด์หรูที่สวิสเซอร์แลนด์&nbsp;</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1 ปีถัดมา เฟรเดริกได้นั่งแท่นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล (head of connected technologies) ของนาฬิกาแบรนด์ TAG Heuer และในปี 2563 เขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็น CEO ของแบรนด์ ด้วยวัยเพียง 25 ปี</p><p>​</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/2Wc3SGygu35kc3X956QR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="2Wc3SGygu35kc3X956QR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div><p><br></p><p>&nbsp; &nbsp; ณ ปัจจุบัน เฟรเดริก คือ CEO ผู้ขับเคลื่อนนาฬิกาแบรนด์หรูต่างๆ ที่อยู่ภายใต้อาณาจักร LVMH ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น&nbsp;Zenith, Hublot และ TAG Heuer เป็นต้น โดยที่ผ่านมาเขายังขึ้นชื่อด้วยว่าเป็นผู้ที่<span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">สนใจพัฒนาและผลักดันให้นาฬิกาหรูมีฟังก์ชันที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ อีกทั้งยังมีบทบาทในองค์กรที่ช่วยเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากการค้าส่งแบบเดิมไปสู่การค้าปลีกและช่วยเพิ่มยอดขายผ่าน E-Commerce อีกด้วย</span></p><p><span style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดของ Forbes ในช่วงเดือนเมษยน ปี 2024 ระบุว่า เบอร์นาด อาร์โนลต์ ผู้เป็นพ่อของเฟรเดริก ยังคงครองตำแหน่งมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวยเป็นอันดับ 1 ของโลก จากมูลค่าทรัพย์สินมหาศาลราว 2.33 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการเป็นผู้ครอบครองอาณาจักร LVMH ที่มีสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์ต่างๆ มากมายอยู่ในมือ อาทิ&nbsp;<span style="color: rgb(68, 68, 68);">Louis Vuitton, Tiffany &amp; Co. และ Dior เป็นต้น ขณะที่มหาเศรษฐีรายอื่นๆ ที่ติดอยู่ในอันดับ Top 10 ส่วนใหญ่จะมีรายได้มาจากธุรกิจด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก</span><br></span></p><p><br></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/2nhf93dVmwjo2JX6ybPm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="2nhf93dVmwjo2JX6ybPm.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"></figure></div><p>​</p><p>แปลและเรียบเรียงจากบทความ :&nbsp;<a href="https://www.forbes.com/sites/zacharyfolk/2024/01/05/who-is-frederic-arnault-billionaire-bernard-arnaults-29-year-old-son-picked-to-lead-lvmh-watch-division/" alt="Who Is Frederic Arnault? Billionaire Bernard Arnault's 29-Year-Old Son Picked To Lead LVMH Watch Division">Who Is Frederic Arnault? Billionaire Bernard Arnault's 29-Year-Old Son Picked To Lead LVMH Watch Division</a>​</p><p><br></p><p><br></p><p><br></p><p>เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/forbes-lists/world-billionaire/forbes-world-billionaires-list-2024" alt="10 อันดับมหาเศรษฐีโลก ประจำปี 2024">10 อันดับมหาเศรษฐีโลก ประจำปี 2024</a></p><p><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/dentiste-lisa-brand-ambassador-again" alt="เพราะลิซ่าช่วยดันมูลค่าแบรนด์เพิ่ม 3 เท่า! ‘เดนทิสเต้’ คว้าตัว ‘ลิซ่า’ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อีกครั้ง">เพราะลิซ่าช่วยดันมูลค่าแบรนด์เพิ่ม 3 เท่า! ‘เดนทิสเต้’ คว้าตัว ‘ลิซ่า’ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อีกครั้ง</a>​</p><p>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a></p>

ถอดรหัสเพลงใหม่ลิซ่า 'Moonlit Floor' กับ 'เฟรเดอริก อาร์โนลต์' ลูกชายมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก 

<h2>อันดับความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีชาวอินเดีย Gautam Adani ถึงกับสั่นคลอน หลังบริษัท Hindenburg Research ออกมาเปิดเผยข้อมูลทุจริต ไม่โปร่งใส และเข้าข่ายฟอกเงิน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นเหล่านักลงทุนพร้อมใจกันเทขายหุ้นมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ฉุดรายได้เจ้าของอาณาจักร Adani Group จากเดิมอยู่อันดับ 3 ของมหาเศรษฐีโลกร่วงลงมาอยู่อันดับ 16 ภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์</h2><p><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่คือไทม์ไลน์ในช่วงระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ที่มหาเศรษฐีชาวอินเดีย <strong>Gautam Adani</strong> ต้องสูญเสียเงินมูลค่ามหาศาลไปกว่า 5.17 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มบริษัทของเขาต้องต่อสู้กับข้อกล่าวหาเรื่องการยักย้ายถ่ายเทหุ้นและการฉ้อฉลทางบัญชีหลังจาก Hindenburg Research บริษัทวิจัยการลงทุนสัญชาติอเมริกันคือผู้ที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเกี่ยวกับการทำธุรกิจของเขาที่ส่อแววทุจริต</p><p><strong style="color: rgb(68, 68, 68); font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">24 มกราคม 2023</strong><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>Hindenburg Research</strong>&nbsp;ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลถึงการขายชอร์ตหุ้นของบริษัทในเครือ Adani Group พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าบรรดาธุรกิจและบริษัทต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมโดย Adani Group ในแคริบเบียน มอริเชียส และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็นแหล่งอำนวยความสะดวกในการทำทุจริต ฟอกเงิน ขณะเดียวกันก็ยังยักยอกเงินระหว่างบริษัทจดทะเบียนในเครือซึ่งทำธุรกิจตั้งแต่ท่าเรือไปจนถึงโรงไฟฟ้า ถือเป็นการฉ้อฉลจากการทำธุรกิจในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา&nbsp;</p><p><strong style="color: rgb(68, 68, 68); font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">&nbsp; &nbsp; </strong>ทั้งนี้ Hindenburg <span style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">คือ บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบค้นการกระทำผิดทางการเงินและธุรกิจ และยังเชี่ยวชาญด้าน Short Selling หรือการขอยืมหุ้นราคาสูงมาขาย แล้วซื้อมาคืนในราคาที่ต่ำเพื่อเอากำไรจากส่วนต่างราคา ทำให้ผู้ซื้อขายหุ้นด้วยวิธีนี้จะได้กำไรเมื่อราคาหุ้นที่ซื้อไว้ short ราคาต่ำลง&nbsp;</span></p><p><strong style="color: rgb(68, 68, 68); font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">25 มกราคม 2023</strong></p><p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jugeshinder Singh</strong> ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Adani Group  ได้ออกมาโต้แย้งและปฏิเสธข้อกล่าวหาเชิงลบที่มีต่อบริษัทผ่านคลิปวิดีโอที่โพสต์ลง youtube ทางช่อง Adani Group โดยมีใจความหลักว่า <span style="color: rgb(153, 56, 0);">“เป็นเรื่องที่น่าอดสูยิ่งนักที่รายงานของ Hindenburg มีความประสงค์ร้าย ให้ข้อมูลผิดพลาด อีกทั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวก็ยังได้รับการตรวจสอบโดยศาลสูงสุดของอินเดียแล้วว่าไม่มีมูลความจริง”</span>&nbsp;</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งในวันเดียวกันนี้สถานะความมั่งคั่งของ Gautam Adani จากเดิมที่มีอยู่ 1.264 แสนล้านเหรียญ ได้เริ่มดิ่งลงมาอยู่ที่ 1.20 แสนล้านเหรียญทันที   โดยเป็นผลมาจากตลาดหุ้นในอินเดียตอบสนองต่อกระแสข่าวในเชิงลบขณะที่เขาก็ยังคงสถานะผู้มีความมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสามของโลก</p><p><strong>26 มกราคม 2023</strong> <br><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jatin Jalundhwala </strong>หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ Adani Group ออกแถลงการณ์ว่าบริษัทกําลังประเมินบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องภายใต้กฎหมายทั้งของสหรัฐฯ และอินเดียสําหรับการแก้ไขคำครหาและบทลงโทษต่อการวิจัยของ Hindenburg ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงมูลค่ารายได้สุทธิของ Adani แต่อย่างใดเนื่องจากตลาดหุ้นยังคงปิดทําการในวันชาติของอินเดีย</p><p><strong>27 มกราคม 2023</strong> <br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หุ้นบริษัทจดทะเบียนของ Adani Group ถูกเทขายเป็นจำนวนมากหลังตลาดกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ส่งผลให้มูลค่ารายได้สุทธิของมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 9.81 หมื่นล้านเหรียญ นี่จึงเป็นสาเหตุให้ชื่อของเขาหลุดจากโผรายชื่ออันดับ 3 มหาเศรษฐีโลก</p><p><strong>29 มกราคม 2023</strong> <br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มบริษัท Adani Group จัดทำรายงานจำนวน 413 หน้า ออกมาโต้แย้งคำกล่าวหาของ Hindenburg Research โดยเรียกการกระทําดังกล่าวว่า <span style="color: rgb(153, 56, 0);">"การโจมตีอินเดียที่คำนวณไว้ล่วงหน้า ทั้งเรื่องความเป็นอิสระ ความซื่อสัตย์ คุณภาพของสถาบันต่างๆ รวมทั้งเรื่องราวการเติบโตอย่างทะเยอทะยานของอินเดีย"</span>&nbsp;</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ รายงานของ Hindenburg  ยังใช้คำครหาการดำเนินธุรกิจของ Adani Group ด้วยว่าสร้างภาพลักษณ์ฉากหน้าด้วยการประดับธงชาติของอินเดียเพราะมีความสนิทสนมเป็นอย่างดีกับ Narendra Modi นายกรัฐมนตรีของประเทศ ขณะที่ฉากหลังได้ทำการทุจริตปล้นสะดมในประเทศอย่างเป็นระบบ</p><p><strong>30 มกราคม 2023</strong> <br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หุ้นของบริษัทจดทะเบียนเครือ Adani Group ยังคงได้รับผลกระทบจากการเทขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มูลค่ารายได้สุทธิของมหาเศรษฐี Adani ลดลงอีก 8.5 พันล้านเหรียญ เหลือ 8.82 หมื่นล้านเหรียญ</p><p><strong>31 มกราคม 2023</strong><br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Adani Group ได้เสนอขายหุ้นผ่านการระดมทุนเพิ่มมูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญ ซึ่งผลตอบรับดีเกินคาดจากการมีผู้จองซื้อหุ้นเต็มจำนวนโดยเป็นผลมาจากความช่วยเหลือของมหาเศรษฐีอินเดียรายอื่นๆ และจากสถาบันการลงทุนในตะวันออกกลาง ส่งผลให้มูลค่ารายได้สุทธิของ Adani ขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 8.91 หมื่นล้านเหรียญ</p><p><strong>1 กุมภาพันธ์ 2023</strong> <br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทจดทะเบียนของ Adani Group เจอผลกระทบครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อหุ้น Adani Enterprises ซึ่งถือเป็นหุ้นตัวใหญ่และยังเป็นเรือธงของบริษัทมีราคาหลังปิดตลาดร่วงลงมาอยู่ในแดนลบถึง 28.20%&nbsp;</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในวันนี้ Adani ต้องสูญเสียตำแหน่งมหาเศรษฐีผู้มีความมั่งคั่งที่สุดในเอเชียให้แก่เพื่อนร่วมชาติอดีตเจ้าของตำแหน่งคนก่อนอย่าง Mukesh Ambani และยังถูกเลื่อนลงมาอยู่ในอันดับ 15 ของรายชื่อมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 7.47 หมื่นล้านเหรียญ</p><p>​</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/02/MraEm9rN2NEfhhiZae9k.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MraEm9rN2NEfhhiZae9k.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div><p><strong><br></strong></p><p><strong>2 กุมภาพันธ์ 2023</strong> <br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังถูกกล่าวหาโดย Hindenburg ถึงการดำเนินธุรกิจที่ไม่โปร่งใส ล่าสุด Adani ได้ออกมาแถลงข่าวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกด้วยการกล่าวยกเลิกแผนระดมทุนเพิ่มมูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญท่ามกลางภาวะตลาดปั่นป่วน ทั้งที่เพิ่งมีการประกาศแผนระดมทุนก่อนหน้าไปพียงไม่กี่วัน&nbsp;</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถ้อยแถลงของมหาเศรษฐีชาวอินเดียในครั้งนี้ ฉุดรายได้สุทธิของเขาให้ลดต่ำลงไปอีกเหลืออยู่ที่ 6.42 หมื่นล้านเหรียญ และรายชื่อของเขายังร่วงหล่นลงไปอยู่ในอันดับที่ 16 จากการจัดอันดับมหาเศรษฐีทั่วโลกของ Forbes</p><p><strong style="color: rgb(68, 68, 68); font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">มูลค่ามหาศาล</strong></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวเลข 1.07 แสนล้านเหรียญ คือ มูลค่าจากการประเมินของบริษัทจดทะเบียนในเครือ Adani Group ที่มีการปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ตามบันทึกการรายงานของสำนักข่าว Bloomberg โดยทั้งหมดนี้เป็นผลมาจาก Hindenburg ได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลพร้อมตั้งขอสงสัยถึงการดำเนินธุรกิจที่เติบโตเร็วอย่างก้าวกระโดด</p><p><strong style="color: rgb(68, 68, 68); font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">สถานการณ์ต่อไปที่ต้องจับตา</strong></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายกรัฐมนตรี <strong>Narendra Modi </strong>และรัฐบาลของอินเดียต้องเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากพรรคฝ่ายค้านเกี่ยวกับความนิ่งเฉยหลังบริษัท Adani Group ถูกครหาถึงการดำเนินธุรกิจที่ไม่โปร่งใส เข้าข่ายปั่นหุ้น ตกแต่งบัญชีและมีการฟอกเงิน โดยล่าสุดสำนักข่าว Reuters ยังรายงานด้วยว่า ได้ติดต่อกับคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของอินเดีย (SEBI) เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยหน่วยงานกํากับดูแลที่เกี่ยวข้องคาดว่าจะจัดทํารายงานต่อรัฐบาลในเร็วๆ นี้ รวมถึงธนาคารกลางอินเดีย (RBI) จะขอรายละเอียดจากธนาคารในประเทศเกี่ยวกับการเปิดรับกองทุน Adani Group รวมถึงหลักประกันที่ใช้ในการคืนเงินกู้ให้กับกลุ่มบริษัทต่อไป<br><br></p><p><em>แปลและเรียบเรียงจากบทความ:&nbsp;<br>How Gautam Adani Lost More Than $50 Billion In A Week—And His Ranking As Asia’s Richest&nbsp;</em><em style="color: rgb(68, 68, 68); font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">ซึ่งเผยแพร่บน forbes.com</em></p><p><em><br></em></p><p>อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/wristcheck-%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%9E-%E0%B8%AE%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1-%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AC%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B9" alt="​Wristcheck แพลตฟอร์มนาฬิกาหรูคว้าเงินระดมทุน 8 ล้านเหรียญฯ"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AF-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-3-m-microsoft-google-%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A7%E0%B8%99" alt="เปิดปี 2023 บริษัทเอกชนในสหรัฐฯ ลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงาน">เปิดปี 2023 บริษัทเอกชนในสหรัฐฯ ลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงาน</a>​<br></p><hr class="__se__solid"><p>ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine?mibextid=LQQJ4d" alt="Forbes Thailand Magazine">Forbes Thailand Magazine</a>​</p>

ธุรกิจไม่โปร่งใส ฉุดรายได้ Gautam Adani ร่วง "อันดับ 3 มหาเศรษฐีโลก”

“Technoprobe” ไอเดียธุรกิจจากผู้ก่อตั้งวัยเก๋า

การจัดอันดับ อภิมหาเศรษฐีโลก ประจำปี 2021

Jared  Isaacman จากนักเรียนมัธยม สู่มหาเศรษฐีในวัย 37 ปี

10 อันดับ มหาเศรษฐีเด่นน่าสนใจ ประจำปี 2020

David Koch มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดแห่ง New York
<h2><strong>มหาเศรษฐีโลกในทำเนียบ World’s Billionaires ประจำปี 2015 ทั้งหมด 1,826 ราย มากกว่า 1 ใน 3 พำนักอาศัยในเมืองระดับมหานคร 20 แห่งทั่วโลก</strong></h2>
<div>อันดับหนึ่งคือ New York City เมืองศูนย์กลางโลกที่มีมหาเศรษฐีใช้เป็นที่พักพิงถึง  78 คน อาทิ อดีตนายกเทศมนตรี Michael Bloomberg หรือเจ้าพ่อธุรกิจสื่อ Rupert Murdoch เป็นต้น ช่วยยืนยันว่าเมืองแห่งนี้ยังเป็นเมืองหลวงแห่งความมั่งคั่งของพื้นพิภพต่อไป นอกจาก New York แล้ว ในสหรัฐฯ ยังมีอีกถึง 11 เมือง ที่มหาเศรษฐีโลกใช้เป็นบ้านไม่ต่ำกว่า 10 ราย เช่น San Francisco, Los Angeles หรือ Dallas จนกลายเป็นประเทศที่เป็นแหล่งชุมชนของมหาเศรษฐีพันล้านมากที่สุดในโลก รวมแล้ว 541 คน</div>
<div></div>
<div>แม้ว่าเมืองในสหรัฐฯ จะยังครองอันดับหนึ่ง แต่ความเติบโตทางเศรษฐกิจในฝั่งเอเชียช่วยทวีจำนวนมหาเศรษฐีโลก ที่อาศัยในซีกโลกตะวันออก ตามเมืองใหญ่ในจีน อินเดีย ฮ่องกง และเกาหลีใต้  จนเกินครึ่งของ 20 เมืองแรกที่เป็นบ้านของมหาเศรษฐีโลกไปแล้ว มากที่สุดคือเมืองศูนย์กลางการเงินของเอเชีย Hong Kong มีเศรษฐีอาศัยรวม 64 คน มากกว่า London และแพ้ Moscow  ไปไม่กี่คน  ส่วนเมืองหลวงของจีน Beijing ตามมาไม่ห่างนัก รวม 45 คน  ใน Mumbai ของอินเดีย และ Seoul ของเกาหลีใต้ มีอยู่ 33 และ 29 คนตามลำดับ ซึ่งทั้งสองประเทศมีจำนวนเศรษฐีโลกเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้</div>
<div></div>
<div>แม้จะอยู่ในยุคเติบโตของเมืองในเอเชีย  แต่ Moscow ยังครองเมืองอันดับสอง ของศูนย์กลางที่พำนักมหาเศรษฐีโลก เนื่องจาก 80% ของคนร่ำรวยในรัสเซีย ต่างมารวมกันกินอยู่ในเมืองหลวงของประเทศ  ส่วน London ศูนย์กลางทางการเมืองยุโรป ตกมาอยู่อันดับ 4 รวม 46 คน ปล่อยให้ Hong Kong แซงหน้าไปเรียบร้อย และหากจีนยังมีศักยภาพสร้างเศรษฐีหน้าใหม่เข้าทำเนียบได้เป็นอันดับหนึ่งในปีต่อไป Beijing ซึ่งตามหลัง London เพียง 1 คน ก็จะมีอันดับสูงกว่าเมืองหลวงของอังกฤษในปีหน้าได้อย่างแน่นอน</div>
<div></div>
<div><strong>20 เมืองที่มีมหาเศรษฐีโลกพำนักอาศัย (ในวงเล็บคือจำนวน พร้อมชื่อมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเมือง)</strong></div>
<ol>
 	<li>New York สหรัฐอเมริกา (78) - David Koch 4.29 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Moscow รัสเซีย (68) - Vladimir Potanin 1.54 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Hong Kong จีน - Li Ka-shing 3.33 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>London สหราชอาณาจักร (46) - Len Blavatnik 2.02 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Beijing จีน (45) - Wang Jianlin 2.42 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Mumbai อินเดีย (33) - Mukesh Ambani 2.1 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Seoul เกาหลีใต้ (29) - Lee Kun-Hee 1.13 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Istanbul ตุรกี (28) - Murat Ulker 4.4 พันล้านเหรียญ</li>
 	<li>Paris ฝรั่งเศส (27) Liliane Bettencourt &amp; family 4.01 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>San Francisco สหรัฐอเมริกา (26) - Dustin Moskovitz 7.9 พันล้านเหรียญ</li>
 	<li>Sao Paulo บราซิล (25) - Jorge Paulo Lemann 2.5 พันล้านเหรียญ</li>
 	<li>Shenzhen จีน (25) - Ma Huateng 1.61 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Taipei ไต้หวัน (24) - Terry Gou 6.1 พันล้านเหรียญ</li>
 	<li>Los Angeles สหรัฐอเมริกา (22) - Patrick Soon-Shiong 1.22 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Singapore (22) - Robert &amp; Philip Ng 9.6 พันล้านเหรียญ</li>
 	<li>Shanghai จีน (19) - Tsai Eng-Meng 8.9 พันล้านเหรียญ</li>
 	<li>Delhi อินเดีย (17) - Shiv Nadar 1.48 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Dallas สหรัฐเอมริกา (16) - Andrew Beal 1.17 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Tokyo ญี่ปุ่น (16) - Tadashi Yanai &amp; family 2.02 หมื่นล้านเหรียญ</li>
 	<li>Jakarta อินโดนีเซีย (15) - Chairul Tanjung 4.3 พันล้านเหรียญ</li>
</ol>
<div></div>
<div>

<hr />

เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/liyanchen/2015/03/04/billionaire-havens-where-the-worlds-richest-live-in-2015/?utm_campaign=Forbes&amp;utm_source=TWITTER&amp;utm_medium=social&amp;utm_channel=Lists&amp;linkId=12684327">New York To Hong Kong: Cities With The Most Billionaires In 2015</a>

</div>

บ้านของเศรษฐีโลก จาก New York ข้ามโลกมา Hong Kong

<div>
	<strong><span style="color:#b22222;">World&#39;s Billionaires </span>เผยให้เห็นความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีพันโลกทั่วโลก แตะ 7.05 ล้านล้านเหรียญ &nbsp;Zuckerberg ไต่อันดับเข้า top 20 แล้ว &nbsp;จับตาเจ้าสัวจีนครองแชมป์เศรษฐีหน้าใหม่ถึง 71 คน&nbsp;</strong></div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ในการจัดทำเนียบมหาเศรษฐีโลกหรือ <span style="color:#b22222;">World&#39;s Billionaires</span> ซึ่งจัดทำโดย Forbes เป็นปีที่ 29 พบว่าในปี 2015 ทั่วโลกมีมหาเศรษฐีพันล้านรวม 1,826 คน รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด 7.05 ล้านล้านเหรียญ ขยับเพิ่มจาก 6.4 ล้านล้านของปีก่อน จำแนกที่มาตามประเทศพบว่ามาจากสหรัฐฯ มากสุด 536 คน รองลงมาเป็นจีน 213 คน เยอรมนี 103 คน อินเดีย 90 คน และรัสเซีย 88 คน &nbsp;หากพิจารณาเฉพาะภูมิลำเนาพบว่ามหาเศรษฐีโลกกระจุกตัวใน California 131 คน มากกว่าประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สหรัฐฯ และจีน</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกในปีนี้ คือ <span style="color:#b22222;">Bill Gates</span> &nbsp;ซึ่งครองอันดับหนึ่งมาแล้วถึง 16 ครั้ง ใน 21 ปีหลังสุด ปัจจุบันครอบครองทรัพย์สิย 7.92 หมื่นล้านเหรียญ จากปีก่อนที่มี 7.6 หมื่นล้านเหรียญ และเป็นปีที่สองติดต่อกันแล้วที่ราชา Microsoft โค่นเจ้าพ่อกิจการโทรคมนาคมชื่อดัง <span style="color:#b22222;">Carlos Slim Helu </span>ให้รั้งเพียงอันดับ 2 ด้วยทรัพย์สิน 7.71 หมื่นล้านเหรียญ จากปีก่อนที่ 7.2 หมื่นล้านเหรียญ</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	มหาเศรษฐีอันดับ 3 คือ <span style="color:#b22222;">Warren Buffett</span> เลื่อนอันดับขึ้นมาหนึ่งขั้น เนื่องจากมีทรัพย์สินพุ่งขึ้นถึง 1.45 ล้านเหรียญ รวมแล้วร่ำรวยถึง 7.27 ล้านเหรียญ แซงหน้าเจ้าพ่อค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นชาวสเปน <span style="color:#b22222;">Amancio Ortega</span> (เจ้าของเชนร้านเสื้อผ้าแฟชั่น Zara) อันดับ 4 ซึ่งมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 500 ล้านเหรียญ รวมเป็น 6.45 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่ <span style="color:#b22222;">Larry Ellison </span>แห่ง Oracle ยังคงรั้งอันดับ 5 เช่นเดิม ด้วยมูลค่า 5.43 หมื่นล้านเหรียญ&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	สำหรับ <span style="color:#b22222;">Mark Zuckerberg </span>นั้น ร่ำรวยพุ่งขึ้นเป็น 3.34 หมื่นล้านเหรียญ จนขึ้นมาติดอันดับ 16 ซึ่งนับว่าเป็นปีแรกที่เขาก้าวสู่ทำเนียบ top 20&nbsp;<br />
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: center;">
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/063_456877576.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
	<span style="color:#808080;">Evan Spiegel ผู้สร้าง Snapchat วัย 24 ปี เศรษฐีโลกอายุน้อยที่สุดในทำเนียบ</span></div>
<div>
	<br />
	ขณะที่เศรษฐีหน้าใหม่ประจำปี 2015 มีถึง 290 คน มากกว่าปีก่อนที่มี 268 คน &nbsp;พวกเหล่านี้มาจากประเทศจีนมากสุดถึง 71 คน มาจากสหรัฐฯ 57 คน มาจากอินเดีย 28 คน และจากเยอรมนี 23 คน &nbsp;หนึ่งในเศรษฐีใหม่กลุ่มนี้ก็คือ <span style="color:#b22222;">Evan Spiegel</span> อันดับ 1,250 ผู้สร้างโปรแกรมสนทนามาแรง Snapchat และยังครองตำแหน่งมหาเศรษฐีพันล้านที่มีอายุน้อยที่สุด ในวัยเพียง 24 ปีเท่านั้น นอกจากนี้ <span style="color:#b22222;">Michael Jordan</span> นักบาสเก็ตบอลระดับตำนาน ก็เป็นเศรษฐีพันล้านหน้าใหม่เช่นกัน หลังการลงทุนซื้อทีมบาสเกตบอล Charlotte Hornets เริ่มผลิดอกออกผล</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	หากแยกตามภูมิภาคพบว่า แถบเอเชียแปซิฟิกมีมหาเศรษฐีระดับโลกถึง 562 คน เฉพาะในสหรัฐฯ มี 536 ขณะที่ยุโรปมี 482 คน &nbsp;สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของตลาดเงินตราและความวุ่นวายทางการเมืองที่มีต่อการจัดทำเนียบประจำปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ในขณะเงินยูโรกลับอ่อนตัว ประกอบกับกระแสเทคโนโลยีไอที ทำให้สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีมหาเศรษฐีในทำเนียบมากที่สุด<br />
	<br />
	<br />
	<strong>20 อันดับแรกของ World&#39;s Billionaires 2015</strong><br />
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/top20.jpg" /><br />
	<br />
	<br />
	<hr />
	<p>
		<strong><span style="color:#b22222;">Markus Persson</span> ผู้สร้างเกมวิดีโอชื่อดัง <span style="color:#b22222;">Minecraft</span> เจ้าของทรัพย์สิน 1.3 พันล้านเหรียญ หนึ่งในทำเนียบ World&#39;s Billionaires ขึ้นหน้าปก Forbes ฉบับ 23 มีนาคม</strong></p>
</div>
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/Forbes%202015%20Billionaires_cover.jpg" /><br />

Bill Gates ยังครองมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของโลกต่อไป

<div>
	<strong>นับว่าเป็นปีสร้างประวัติศาสตร์อีกปีหนึ่ง สำหรับทำเนียบมหาเศรษฐีโลกหรือ <span style="color:#b22222;">World&#39;s Billionaires</span> ของ Forbes ประจำปี 2015 ในทำเนียบมหาเศรษฐีเงินล้านทั้งหมด 1,826 คนนั้น เป็นเศรษฐีนี 197 คน เพิ่มขึ้นจาก 172 คนในปี 2014 &nbsp;แม้จะเป็นแนวโน้มที่ดี แต่สัดส่วนของสตรีในทำเนียบยังมีแค่ 11% เท่านั้น&nbsp;</strong></div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	เศรษฐีนีหมายเลขหนึ่งของปี 2015 คือ <span style="color:#b22222;">Christy Walton</span> ซึ่งร่ำรวยจากการสืบทอดหุ้นในร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่ Wal-Mart &nbsp;ภรรยาม่ายของ John Walton ผู้นี้ครองตำแหน่งนี้รวมแล้ว 5 ครั้ง ในรอบ 6 ปีล่าสุด &nbsp;Forbes ประเมินทรัพย์สินสุทธิของเธอไว้ 4.17 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มจาก 3.67 เหรียญในปีที่แล้ว</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	<span style="color:#b22222;">Liliane Bettencourt</span> ทายาทหญิง &nbsp;จากตระกูลเศรษฐีผู้มั่งคั่งจากกิจการเครื่องสำอาง &nbsp;L&#39;Oreal ยังครองอันดับ 2 ต่อจากปีที่แล้ว ในวัย 92 ปี เธอมีทรัพย์สินราว 4.01 หมื่นล้านเหรียญ &nbsp;เธอมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในงานบริหารบริษัทที่ก่อตั้งโดยบิดาเธอเลย &nbsp;Jean-Victor Meyers ซึ่งเป็นหลานชายได้มาในบอร์ดบริหารแทนตัวเธอเมื่อปี 2012&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	อันดับ 3 ก็หาใช่ใคร <span style="color:#b22222;">Alice Walton</span> บุตรสาวของ Sam Walton ผู้ก่อตั้ง Walmart นั่นหมายความว่าเธอเป็นพี่สะใภ้ของ Christy Walton นั่นเอง แต่เจียดเงินบางส่วนจากความมั่งคั่ง 3.94 หมื่นล้านเหรียญ เพื่อสะสมศิลปกรรม กระทั่งปี 2011 ได้เปิดพิพิธภัณฑ์ศิลปอเมริกัน Crystal Bridges Museum ที่ Bentonville, Arkansas</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	และในปีนี้ทำเนียบเศรษฐีนีโลกได้ต้อนรับสตรีหน้าใหม่เข้าสู่ทำเนียบ <span style="color:#b22222;">&nbsp;Maria Franca Fissolo</span> ภรรยาเจ้าของ Michele Ferrero เจ้าของธุรกิจขนมหวานแบรนด์ระดับโลก Nutella ซึ่งเพิ่งจะล่วงลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้ง Fissolo และบุตรชาย Giovanni Ferrero ซึ่งนั่งเก้าอี้ซีอีโอ Ferrero Group รับทอดมรดกกิจการของหวานที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดในโลก เจ้าของแบรนด์ดังมากมาย เช่น Kinder, Ferrero และ Tic Tac เป็นต้น &nbsp;ประเมินว่าทั้งเธอและบุตรชายมีทรัพย์สินรวม 2.34 หมื่นล้านบาท ทำให้เธอก้าวขึ้นแท่นเศรษฐีนีอันดับ 5 ในปีแรกทันที</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	สุภาพสตรีผู้มั่งคั่งอันดับ 6 นั่นมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีใน Silicon Valley และแวดวงการศึกษา <span style="color:#b22222;">Laurene Powell Jobs</span> ภรรยาม่ายของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ประเมินว่ามีทรัพย์สินรวม 1.95 หมื่นล้านเหรียญ</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	เป็นที่น่าสังเกตว่า สตรีผู้มั่งคั่งหลายคนที่ติดอันดับโลกนั่นสืบทอดความร่ำรวยของพวกเธอจากสามีหรือไม่ก็บิดา มีเพียง 29 จากทั้งหมด 197 ราย ที่กลายเป็นเศรษฐีนีด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง หากเทียบกับสถิติรวมของทั้งทำเนียบ 1,826 คน มีถึง 2 ใน 3 หรือ 1,191 คน ที่ร่ำรวยด้วย "ลำแข้ง" ของตัวเอง</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ทั้งนี้ <span style="color:#b22222;">Elizabeth Holmes</span> เศรษฐีนีหน้าใหม่ในวัย 31 ปี เป็นสตรีผู้มั่งคั่งจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในโลกอีกด้วย เธอพักการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Standford เพื่อออกไปประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีตรวจเลือด ปัจจุบันเธอมีทรัพย์สินราว 4.5 พันล้านเหรียญ<br />
	<br />
	<br />
	<hr />
	<p>
		เรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="http://www.forbes.com/sites/kerryadolan/2015/03/02/the-richest-women-in-the-world-2015/">The Richest Women In The World 2015</a></p>
</div>
<br />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events