Flock Safety ธุรกิจขนาด 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ติดตั้งกล้องที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทั่วสหรัฐฯ และได้กลายเป็นเครื่องมือเฝ้าระวังที่ตำรวจเลือกใช้ปฏิบัติงานเป็นอันดับต้นๆ ปัจจุบัน CEO ของบริษัท Garrett Langley มองว่า มียักษ์ใหญ่เทคโนโลยีตำรวจ Axon และ DJI ผู้ผลิตโดรนสัญชาติจีนเป็นคู่ต่อกร ส่วนเส้นทางของเขาสู่เป้าหมาย (ที่ไม่เคยจบสิ้น) อันสูงสุดของเขาก็คือ ลดอาชญากรรมทั้งหมดทั่วอเมริกา
ในห้องไร้หน้าต่าง
ภายในสถานีตำรวจ Dunwoody เมือง Atlanta ร้อยโท Tim Fecht กดปุ่มให้โดรน DJI รูปร่างคล้ายแมลงบินออกจากหลังคาสถานีตำรวจอย่างเงียบๆ ปลายทาง คือ ห้างสรรพสินค้าในท้องถิ่นที่มีการโทรศัพท์แจ้งเหตุชายขโมยสินค้า จากมุมสูงเหนือห้างสรรพสินค้า Fecht ขยายหน้าจอดูชายคนหนึ่งที่กำลังดูโทรศัพท์ จากนั้นจึงหันไปสังเกตการณ์คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังรอรถไฟ แม้จะอยู่ห่างออกไปนับร้อยๆ หลา
แต่ภาพที่แสดงบนหน้าจอขนาดใหญ่ภายในศูนย์อาชญากรรมของสถานียังคมชัด ในพื้นที่ขนาดเท่าห้องเรียนจอมอนิเตอร์ที่ติดตั้งทั่วผนังแสดงข้อมูลการตรวจตราเหตุอาชญากรรมแบบเรียลไทม์ พร้อมข้อมูลจากกล้องอ่านทะเบียนรถยนต์ รายงานการตรวจจับเสียงปืน และแผนที่ดิจิทัลแสดงพิกัดรถตำรวจทั่วเมือง เมื่อมีโทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินเข้ามา AI จะแปลงเสียงเป็นข้อความแสดงขึ้นอีกหน้าจอหนึ่ง Fecht สามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ในการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง
จาก Dunwoody ห่างออกไปเพียง 20 นาทีเป็นสำนักงานจัดแสดงกล้องและเครื่องมือตรวจจับเสียงปืนของ Flock Safety ที่วางเรียงกันราวกับพิพิธภัณฑ์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Garrett Langley วัย 38 ปี ผู้ควบคุมกิจการขนาด 300 ล้านเหรียญ (ยอดขายประมาณการในปี 2024) นั้นเป็นเจ้าของผลงานที่กล่าวมาทั้งหมด นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2017 Flock ซึ่งมีมูลค่าประเมินกิจการอยู่ที่ 7.5 พันล้านเหรียญในรอบการจัดหาทุนล่าสุดแห่งนี้ได้สร้างอาณาจักรกล้อง 80,000 ตัวที่เล็งไปยังทางหลวง ทางสัญจร และลานจอดรถทั่วสหรัฐฯ อย่างเงียบๆ ไม่เพียงแต่จะบันทึกทะเบียนรถยนต์ที่ขับผ่านไปมาเท่านั้น แต่ยังสามารถบันทึกชื่อผู้ผลิต ตลอดจนลักษณะเด่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระจกแตก รอยบุบ หรือสติกเกอร์ท้ายรถ
Langley ประเมินว่า กล้องของบริษัทช่วยไขคดีอาชญากรรมได้ปีละ 1 ล้านคดี และอีกไม่นานจะช่วยได้มากกว่านี้อีก เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Flock จะส่งกล้องบินสู่ท้องฟ้าไปพร้อมกับโดรนที่ “ผลิตในสหรัฐฯ” ของตนเองจากโรงงานที่บริษัทเพิ่งเปิดใหม่ใกล้กับสำนักงานของพวกเขาใน Atlanta เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มมิติให้กับธุรกิจของ Flock โดยมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงเจ้าตลาดอย่าง DJI ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน
Langley ทำนายว่า เวลาอีกไม่ถึง 10 ปี กล้องของ Flock ทั้งในรูปแบบติดตั้งบนอุปกรณ์บินได้และภาคพื้นดินจะสามารถกำจัดอาชญากรรมในสหรัฐฯ ได้เกือบทั้งหมด (แม้จะยอมรับว่าโครงการส่งเสริมการจ้างงานเยาวชนและลดการก่ออาชญากรรมซ้ำจะช่วยได้เช่นกัน) อาจฟังดูเหมือนความฝันลมๆ แล้งๆ ของนักเทคโนโลยีที่เชื่อว่า AI แก้ปัญหาได้ทุกอย่างอีกแล้ว
แต่ Langley ยังคงเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ท่ามกลางกระแสคัดค้านจากกลุ่มผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวและการแข่งขันจาก Axon Enterprise บริษัทยักษ์ใหญ่สายเทคโนโลยีตำรวจ (รายได้ 2.1 พันล้านเหรียญเมื่อปี 2024) ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ Langley เชื่อว่าสหรัฐฯ ควรเป็นและสามารถเป็นสถานที่ที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยได้ และเมื่อสหรัฐฯ อยู่ภายใต้โครงข่ายการรักษาความปลอดภัยของ Flock ที่ผลิตขึ้นในสหรัฐฯ แล้วมันจะกลายเป็นจริง
“ผมคุยกับนักเคลื่อนไหวหลายคนที่คิดว่าอาชญากรรมคือราคาที่สังคมยุคใหม่ต้องจ่าย ซึ่งผมไม่เห็นด้วย” Langley กล่าว “ผมมองว่าเรามีเมืองปลอดอาชญากรรมไปพร้อมๆ กับเสรีภาพพลเมืองได้...เรามีได้ทุกอย่าง” เขาบอกด้วยว่า ในเมืองที่มีการใช้เครื่องมือของ Flock อาชญากรทั่วไปที่มีอายุ 16-24 ปี และก่อเหตุไม่รุนแรงนั้นมีโอกาสโดนจับสูงมาก”
แต่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้นเสมอไป ตัดภาพไป ณ สถานีตำรวจ Dunwoody เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุตัวหัวขโมยได้ แต่ Fecht กับพลตำรวจตรี Patrick Krieg ผู้บังคับบัญชาของเขารีบร่ายยาวคดีอื่นๆ โดยบอกว่า Flock มีบทบาทสำคัญในการหาตัวคนร้าย ไม่ว่าจะเป็นแก๊งโจรกรรมตู้ ATM ที่ปล้นร้านขายยามาแล้วทั่ว East Coast
กระทั่งกล้องของ Flock สามารถติดตามรถที่กำลังหลบหนีได้คันหนึ่ง หรือชายพกอาวุธบุกเข้าไปยังย่านบาร์อันพลุกพล่าน ก่อนที่โดรนจะระบุตัวได้จากรอยสักบริเวณคอและสามารถจับกุมได้ก่อนเกิดเหตุร้าย หรือผู้หญิงคนหนึ่งที่ชักปืนขู่เพื่อนบ้าน อีกเพียงไม่กี่วันขบวนพาเหรดวันชาติสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุดใน Georgia จะเดินทางมาถึง Dunwoody กล้องของ Flock จะทำหน้าที่สอดส่องผู้ที่อาจก่อความวุ่นวาย “ทำให้เราสามารถรักษาความปลอดภัยให้กับชุมชนในงานใหญ่ๆ แบบนั้นได้” Krieg กล่าว
Langley เพิ่งกลับมาทำงานหลังวันหยุดพักผ่อนกับครอบครัวในทวีปยุโรป เขาเป็นคนตัวสูง รูปร่างอย่างนักกีฬา และร่าเริงแจ่มใส กิจการของเขาเติบโตระเบิดระเบ้อ ทำรายได้เพิ่มขึ้นราว 70% จากปี 2023 ที่เคยมีรายได้โดยประมาณ 175 ล้านเหรียญ แต่บริษัทยังคงไม่มีกำไรและไม่มีแผนจะทำกำไรอีกไม่นานนี้ เพราะยังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตเป็นหลักด้วยทุน 275 ล้านเหรียญจากรอบการระดมทุนที่นำโดย Andreessen Horowitz เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ตัวเลขดังกล่าวเพียงพอที่จะส่ง Flock ขึ้นประจำทำเนียบ Cloud 100 จากการจัดอันดับบริษัทเอกชนด้านคลาวด์คอมพิวติ้งชั้นนำของ Forbes ในปี 2025 Langley บอกว่า การจะทำให้ Flock กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่า 1 แสนล้านเหรียญนั้น “ไม่ไกลเกินเอื้อม” Ilya Sukhar ผู้ลงทุนคนแรกๆ และหุ้นส่วนจากบริษัทร่วมลงทุน Matrix ซึ่งนั่งในตำแหน่งกรรมการของ Flock ด้วยนั้นเห็นด้วย “อาจจะฟังดูซ้ำซาก แต่รู้สึกได้ว่าเราเพิ่งจะเริ่มต้นกันจริงๆ ผมมองเห็นจุดที่เราจะไปถึงนั้นได้ไม่ยากเลย”
กล้องอ่านทะเบียนรถยนต์ของ Flock แต่ละตัวมีราคาประมาณ 3,000-3,500 เหรียญ บวกค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับระบบปฏิบัติการ FlockOS เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดที่ Flock เก็บรวบรวมมาผ่านทางเว็บไซต์หรือแอปอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ค่าธรรมเนียมจะคำนวณตามจำนวนผู้ใช้งานหรือไม่ก็จำนวนกล้อง เช่น สถานีตำรวจ Dunwoody มีกล้อง 105 ตัว เครื่องตรวจจับเสียงปืน โดรน DJI อันแสนปราดเปรียว พร้อมซอฟต์แวร์ควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมด คิดเป็นราคาปีละ 500,000 เหรียญ
การเติบโตของ Flock ไม่ได้มาจากลูกค้าในกลุ่มผู้บังคับใช้กฎหมาย 5,000 แห่งทั่วทั้ง 49 รัฐ (ยังไม่มีการติดตั้งกล้องที่ Alaska) แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีลูกค้าองค์กรอีก 1,000 ราย ไม่ว่าจะบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง FedEx รวมถึง Lowe’s และ Simon Property ซึ่งเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีสมาคมบ้านจัดสรรและสมาคมเจ้าของบ้านทั้งหลายธุรกิจ
Forbes ร่วมกับ Bessemer Venture Partners และ Salesforce Ventures จัดทำทำเนียบบริษัทคลาวด์คอมพิวติ้งเอกชนชั้นนำของโลกประจำปี พบว่า ในการจัดอันดับปีที่ 10 นี้ AI ครองทำเนียบอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง OpenAI ยังคงยืนหนึ่งอย่างแข็งแกร่ง โดยมีคู่แข่ง Anthropic ตามมาติดๆ (ขึ้นจากอันดับ 5) Anysphere น้องใหม่ผู้ผลิต Cursor เครื่องมือสำหรับเขียนโค้ดด้วยเ AI ยอดนิยม ทะยานเกาะ 10 บริษัทแถวหน้าด้วยอันดับที่ 8 ส่วน Ramp บริษัทฟินเทคที่เพิ่งติดทำเนียบเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วกระโดดจากอันดับ 37 มาเป็นที่ 6 ส่วนบริษัท 25 แถวหน้ามีดังนี้

ขนาดเล็ก โรงเรียน และองค์กรต่างๆ เช่น Jewish Federation of Greater Atlanta ที่มีการติดตั้งกล้องของ Flock จำนวน 64 ตัวกระจายตามสถานที่ต่างๆ ทั่วเมือง ซึ่งรวมถึงศูนย์กลางชุมชนที่เพิ่งจะมีการรายงานการคุกคามต่อต้านชาวยิวไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ Dunwoody เพิ่มขึ้น ลูกค้าจะอนุญาตให้ตำรวจเข้าถึงข้อมูลกล้องของตนเพื่อขยายขีดความสามารถในการสังเกตการณ์ของ Flock ในการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายหรือไม่ก็ได้ และหลายรายเลือกที่จะอนุญาต
Langley พร้อมกับเพื่อนศิษย์เก่าจาก Georgia Tech คือ Matt Feury วัย 36 ปี และ Paige Todd วัย 40 ปี เริ่มกิจการของบริษัทในปี 2017 โดยที่ Langley ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีสำหรับตำรวจเลย ก่อนหน้านั้นทั้ง 3 เคยทำงานร่วมกันให้กับแอปตัวหนึ่งที่ Langley เป็นผู้ร่วมก่อตั้งขึ้นเพื่อยกระดับที่นั่งชมการแข่งขันกีฬาหรือการแสดงคอนเสิร์ตเป็น VIP โดยมี Feury กับ Todd เป็นพนักงานยุคแรกๆ (ก่อนที่ Cox Enterprises กลุ่มนักธุรกิจจาก Atlanta จะเข้าซื้อกิจการ ปัจจุบันแอปหยุดให้บริการแล้ว)
ทั้ง 3 คนได้แรงบันดาลใจจากคดีปล้นชิงทรัพย์คดีหนึ่งในย่านที่พักของ Langley ซึ่งยังไม่สามารถไขคดีได้ จึงเริ่มพัฒนาอุปกรณ์ต้นแบบชิ้นแรกของ Flock เป็นกล้องโทรศัพท์แอนดรอยด์ติดตั้งในกล่องกันน้ำ สามารถถ่ายภาพรถยนต์และอ่านป้ายทะเบียนเพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันได้ แม้จะเป็นเพียงการพัฒนาแบบคร่าวๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงแนวคิด
ตอนที่ Sukhar เข้าลงทุนใน Flock ครั้งแรกเมื่อปี 2018 บริษัทกำลังประสบปัญหาในการพัฒนาอุปกรณ์ให้ได้ตรงกับที่บรรดาผู้ก่อตั้งวาดภาพไว้คือ กล้องกันน้ำขับเคลื่อนด้วยพลังแสงอาทิตย์ สามารถเปิดทำงานได้ตลอดเวลา ถ่ายภาพได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว และสามารถส่งภาพถ่ายไปยังเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ของ Amazon ผ่านทางอินเทอร์เน็ตเพื่อทำการตรวจสอบและเปรียบเทียบได้อย่างกว้างขวาง
“กว่าจะหาวิธีได้ก็ต้องใช้เวลาสักพัก” Sukhar กล่าว แต่ยังไม่ทันพ้นปี 2020 อุปกรณ์ของ Flock ก็พร้อมสำหรับการใช้งาน ไม่นานนักพวกเขาสามารถสร้างโครงข่ายกล้องรักษาความปลอดภัยที่มีการติดตั้งทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว และได้ต้อนรับลูกค้าจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่ตื่นเต้นกันไม่น้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจชอบแนวคิดที่พวกเขาจะสามารถเรียกดูกล้องวงจรปิดได้ทั่วประเทศเพื่อติดตามยานพาหนะต้องสงสัยสักคัน
แต่ใช่ว่าทุกคนจะตื่นเต้นไปกับการขยายอาณาจักรอุปกรณ์ของ Flock อย่างรวดเร็วเหมือนกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย กลุ่มผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวบอกว่า บริษัทกำลังสร้างสังคมอันเลวร้ายที่ประชาชนจะถูกจับตามองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กลุ่มนักเคลื่อนไหวกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อว่า DeFlock ได้รวบรวมข้อมูลและจัดทำแผนที่แสดงพิกัดกล้องอ่านทะเบียนรถยนต์ ซึ่งในเวลานี้มีมากถึง 29,000 จุด และ 2 ใน 3 เป็นกล้องของ Flock
นอกจากนี้ ยังเปิดช่องทาง Discord เรียกร้องให้ผู้ใช้ออกมาคัดค้านการติดตั้งกล้องในพื้นที่ของตน Will Freeman ชายจาก Boulder รัฐ Colorado ผู้สร้างกลุ่ม บอกว่า Flock กำลังสร้างสิ่งที่ “บิดเบี้ยวและขัดต่อหลักแห่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 4” เพราะ “พวกเขากำลังค้นหาตลอดเวลา” Freeman ยังกล่าวหาว่า Langley ต้องการให้ “ประเทศทั้งประเทศอยู่ภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัยขณะที่เขาโกยกำไร”
แม้นักเคลื่อนไหวคนอื่นๆ อาจไม่ได้แสดงออกทางคำพูดมากนัก แต่กลับมีกล้องหลายตัวถูกทำลายหรือแม้กระทั่งโดนขโมย และยังมีการขู่ทำร้ายพนักงานของบริษัท ด้าน Langley เองกังวลว่าจะตกเป็นเป้าหมาย สำนักงาน โรงงานผลิต รวมถึงรถติดตั้งของ Flock จึงไม่มีการติดโลโก้บริษัท เขาเรียกผู้คุกคามเหล่านี้ว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย”
ยิ่งเปลี่ยน ยิ่งเหมือนเดิม
นานมาแล้วก่อนที่ Flock จะติดตั้งกล้องวงจรปิดพลังงานแสงอาทิตย์ครอบคลุมทั่วสหรัฐฯ การอ่านทะเบียนรถยนต์จะใช้วิธีเดิมๆ คือ ใช้คนอ่าน ในปี 1925 รัฐบาลกลางต้องการทำป้ายทะเบียนรถยนต์ให้มองเห็นได้ง่ายขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการจับคนร้าย อย่างไรก็ตาม Forbes ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และยังคงตั้งข้อสงสัย ไม่เพียงแต่ในเรื่องของเครื่องอ่านทะเบียนรถยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์เองด้วย
“ป้ายทะเบียนรถยนต์มีขนาด สี ความสูงของตัวเลข ตลอดจนข้อกำหนดว่าด้วยการติดตั้งและการส่องสว่างที่แตกต่างกัน Ray M. Hudson หัวหน้ากองปฏิบัติแบบย่อ กระทรวงพาณิชย์ (Division of Simplified Practice, Department of Commerce) ต้องการให้ป้ายทะเบียนรถยนต์มีลักษณะเดียวกันในทุกรัฐ เพื่อประโยชน์ในการจับกุมผู้กระทำผิด
คิดง่ายเกินไปหรือเปล่า? สมมติว่าใน 100 คดี มีการอ่านเลขทะเบียนได้ 1 คดี ตำรวจผู้ได้รับข้อมูลสามารถจับกุมคนร้ายได้ 1 คดีจาก 1,000 คดี เท่ากับว่าทะเบียนรถยนต์จะมีประโยชน์เพียง 1 คดีจาก 100,000 คดี
โดยรวมแล้วหากกองฯ สั่งยกเลิกป้ายทะเบียนที่มีขนาดใหญ่ ไม่สวยสะอาดตา ส่องสว่างในเวลากลางคืน สกปรกเลอะเทอะ มีการทำใหม่ทุกปี หรือเป็นป้ายทะเบียนที่มีการถอดเปลี่ยน ยังอาจดีเสียกว่าทำให้ป้ายทะเบียนรถยนต์เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด” —Forbes 1 มีนาคม ปี 1925
อย่างไรก็ตาม สำหรับ Langley แล้ว เรื่องที่กดดันและน่าวิตกมากที่สุดคือ ยักษ์ใหญ่สายเทคโนโลยีตำรวจอย่าง Axon ต่างหาก ก่อนหน้านี้ Flock เคยขยายความร่วมมือกับ Axon บริษัทมหาชนผู้สร้างเทคโนโลยี Taser ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 5.9 หมื่นล้านเหรียญ หลังจากที่ Axon เคยเข้ามาเป็นผู้ลงทุนรายเล็กในปี 2020 สำหรับจอมเก๋าประจำตลาดอย่าง Axon ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1993 นั้นเคยสัญญาว่า จะช่วยผลักดันเครื่องอ่านทะเบียนรถยนต์ของ Flock พร้อมกับพัฒนาการทำงานให้เข้ากับเทคโนโลยีของ Axon อย่างไร้รอยต่อ

แต่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Rick Smith เศรษฐีพันล้าน ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Axon กลับล้มข้อตกลงเสียอย่างนั้น เขากล่าวหาว่า Flock มีราคาแพงเกินไปและพยายามบีบให้ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ของตน ต่อมาในเดือนเมษายน Axon เปิดตัวกล้องอ่านทะเบียนรถยนต์ที่สามารถทำงานได้ด้วยตนเอง พร้อมกับลูกค้ารายแรกคือ สถานีตำรวจ Atlanta (ลูกค้าเก่าของ Flock) หน้าตาเฉย Axon คิดราคากล้องถูกกว่า Flock 20% และให้ลูกค้าใหม่สามารถใช้ซอฟต์แวร์ได้ฟรีในปีแรก
Langley ลุกขึ้นสู้กลับ เขาบอกว่า Axon ผูกขาดตลาดและใช้อำนาจกดดันให้ออกจากการแข่งขัน “ผมต้องการจะกำจัดพวกเขา เราจะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าในราคาถูกกว่า”
Langley ไม่ใช่คนแรกที่กล่าวหา Axon เมื่อปี 2020 คณะกรรมการการค้าสหรัฐฯ (FTC) คัดค้าน Axon ไม่ให้เข้าซื้อกล้องบอดีแคมของคู่แข่งคือ VieVu โดยให้เหตุผลว่า การควบรวมกิจการดังกล่าวจะทำให้เกิดการผูกขาดอย่างแท้จริง แม้ว่า FTC จะถอนคำร้องในอีก 3 ปีต่อมาเนื่องจากกระบวนการทางกฎหมายที่ล่าช้า
แต่รัฐบาลท้องถิ่นอีก 3 แห่งคือ Baltimore, Holmdel รัฐ New Jersey และ LaSalle County รัฐ Illinois กำลังฟ้องร้อง Axon ด้วยข้อหาเดียวกัน แม้ว่า Axon จะปฏิเสธข้อกล่าวหาว่า ตนมีพฤติกรรมกีดกันการแข่งขัน แต่คดียังคงดำเนินต่อไป โดยในการนำเสนอกิจการต่อนักลงทุนล่าสุดนั้น Axon บอกว่า พวกเขาครองตลาดเพียงไม่ถึง 15% ของลูกค้าในส่วนงานบังคับใช้กฎหมายทั้งหมดที่มีมูลค่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญ
Flock เองใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องกฎหมายกวนใจเสียเมื่อไร เวลานี้รัฐ Illinois อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า การอนุญาตให้หน่วยงานในรัฐอื่นๆ เข้าถึงข้อมูลผ่านเทคโนโลยีของ Flock เพื่อติดตามผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองหรือกฎหมายว่าด้วยการทำแท้งนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ (นับตั้งแต่นั้นมา Flock ได้ปรับปรุงเครื่องมือไม่ให้มีการแบ่งปันข้อมูลข้ามรัฐในรัฐที่มีข้อห้ามตามกฎหมาย)
จากการตรวจสอบของ Forbes พบว่า ในปีที่ผ่านมานั้นหลายครั้งที่ Flock ไม่สามารถขอรับการอนุญาตหรือใบอนุญาตใช้อุปกรณ์ของตนให้ถูกต้อง ซึ่งดูเหมือนจะว่าจะผิดกฎหมายท้องถิ่นหลายส่วนด้วยกัน Langley ยอมรับว่า บริษัทของเขา “ยังคงห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบอยู่มาก” ส่วนเรื่องที่บริษัทมีปัญหาในการขออนุญาตจากหน่วยงานคมนาคมให้ได้ทันเวลานั้น การต้องรอนานถึง 12 เดือน “ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เหมือนกับเราโดนลงโทษเพราะไม่ยอมปล่อยให้เด็กโดนรถชน และถูกจับเพียงเพราะข้ามถนนในที่ต้องห้าม” Langley บ่นอุบ
อย่าปล่อยให้ว่าง
Flock ลงทุนธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ใน Atlanta เป็นเงิน 10 ล้านเหรียญ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร Tex-Mex สาขาหนึ่ง และเครือข่ายร้านเสริมสวย “วิธีการหนึ่งในการป้องกันอาชญากรรมคือ การสร้างงานให้กับเด็กๆ” Langley ผู้เป็น CEO กล่าว
หน่วยงานในพื้นที่อื่นๆ ต่างพยายามที่จะสั่งห้ามหรือยกเลิกบริการของ Flock รวมทั้งบริษัทอื่นในลักษณะเดียวกัน เมื่อต้นปีที่ผ่านมาสภาเมือง Austin รัฐ Texas ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับ Flock โดยสมาชิกสภาคนหนึ่งได้ยกการตรวจสอบของ Forbes และชี้ให้เห็นว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (Immigration and Customs Enforcement) เคยเข้าถึงข้อมูลของ Flock
ปี 2023 Camden County Commission รัฐ Missouri ผ่านกฎหมายห้ามตำรวจใช้เครื่องอ่านทะเบียนรถยนต์ แต่กล้องของ Flock ที่ติดตั้งไปแล้วยังไม่มีการรื้อถอนในทันที เมื่อ Flock เพิกเฉยต่อคำของ Ike Skelton กรรมาธิการคนหนึ่งในพื้นที่มาหลายครั้ง เขาจึงตัดสินใจถอดกล้องออกเสียเอง
ไม่นานเขาก็ถูกพนักงานอัยการในพื้นที่ตั้งข้อหาแทรกแซงสาธารณูปโภคและขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหากตัดสินว่ามีความผิดจริง เขาจะไม่สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้อีก แม้คดีดังกล่าวจะยังไม่เข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล แต่ Skelton บอกกับ Forbes ว่า เขาเชื่อว่าตนเองดำเนินการในขอบเขต “กฎหมายของแผ่นดิน” และเป็นไปตามคำสั่งห้ามใช้เครื่องอ่านทะเบียนรถยนต์ใน Camden County
อย่างไรก็ตาม Skelton ยังคงรู้สึกกังวล ไม่เพียงแต่เรื่องหน้าที่การงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่ Flock ได้สร้าง “ระบบสังเกตการณ์ที่คุณไม่มีวันรู้ตัวเลยว่ากำลังถูกติดตาม”
ไม่มีอะไรที่จะเหนี่ยวรั้ง Langley ได้อีกต่อไป เขาบอกว่า “ผลลัพธ์จากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้จริงก็คือ ตลอดทางย่อมจะมีหลายคนที่ไม่พอใจ เพราะสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มีความสำคัญอย่างแท้จริง” บริษัทยังคงเดินหน้าไปทีละก้าวอย่างมั่นคงด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เช่น การเพิ่มคุณสมบัติตรวจจับอุบัติเหตุรถยนต์เข้าไว้ในระบบตรวจจับเสียงปืนอย่าง Raven และปรับปรุงข้อมูลที่ได้จากกล้องอ่านทะเบียนรถยนต์ นอกจากนี้ ยังมี Nova “เพชรเม็ดงาม” ของ Flock ที่ได้มาจากการเข้าซื้อ Lucidus ธุรกิจสตาร์ทอัพจาก Nashville รัฐ Tennessee เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
จากนั้น Flock ได้นำเครื่องมือของ Lucidus มาพัฒนาใหม่ โดยยังคงแนวคิดพื้นฐานไว้คือ Nova สัญญาว่าจะเชื่อมโยงบันทึกของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเข้ากับข้อมูลสาธารณะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลอสังหาริมทรัพย์และการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ หมายเลขประกันสังคม และประวัติเครดิตบูโรของบุคคล และทำให้ข้อมูลดังกล่าวสามารถค้นหาได้อย่างละเอียดด้วย AI
Martin Howley หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Nova เล่าเหตุการณ์ที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นพันธมิตรกันนั้นตามหาตัวผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ Nova ในการวิเคราะห์วิดีโอที่บันทึกด้วยโดรนจนสามารถระบุกรอบระยะเวลา 6 ชั่วโมงที่ร่างของเหยื่อถูกนำมาทิ้งไว้ ณ สถานที่หนึ่งได้ ทำให้สามารถจำกัดการตรวจสอบกล้องของ Flock เพื่อค้นหารถยนต์ในสถานที่ดังกล่าว
ณ เวลานั้นได้ ในบรรดาอีเมลที่ Forbes ได้มานั้น ผู้อำนวยการส่วนงานบังคับใช้กฎหมายของ Amazon Web Services บอกว่า เทคโนโลยีของ Lucidus เป็น “เครื่องมือที่น่าทึ่งที่สุดชิ้นหนึ่งที่ผมเคยเห็นในการบังคับใช้กฎหมาย” นั่นเกิดขึ้น ก่อนที่ Flock จะเข้าซื้อกิจการเสียอีก ขณะที่ Jay Stanley นักวิเคราะห์นโยบายอาวุโสของ ACLU บอกว่า “มันคือการหลบเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวและกฎหมายรัฐธรรมนูญดีๆ นี่เอง”
Flock ขยายสายผลิตภัณฑ์ไปพร้อมๆ กับภารกิจสำคัญ Flock มองว่า ตนเองไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาอาชญากรรมได้เท่านั้น แต่ยังปรับปรุงการจัดการจราจร รวมถึงการซ่อมถนนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น Langley วาดภาพสหรัฐฯ อยู่ภายใต้การจับตามองด้วยเจตนาดี ทุกคนรู้สึกปลอดภัย บรรดาเมืองต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลทั้งหมดที่มีในการยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเราทุกคน “เรามีกล้องของ Flock ทั้งหมดนี้สำหรับใช้ในงานอาชญากรรม” Langley กล่าว “แล้วทำไมเราถึงไม่เดินไปหากรมโยธาธิการและบอกพวกเขาว่า หยุดส่งคนออกไปสำรวจหลุมบ่อบนถนนได้แล้ว เพราะผมมีข้อมูลทั้งหมด เรามาสร้างเมืองให้ดีขึ้นด้วยกันดีกว่า”
สิ่งที่ทำให้ Langley ตื่นเต้นมากที่สุดคือ โดรนของ Flock ณ โรงงานผลิตขนาด 97,000 ตารางฟุต มูลค่า 10 ล้านเหรียญ ภายในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจาก Atlanta ขึ้นไปทางเหนือ 10 ไมล์ เขานำโดรนลำหนึ่งมาแสดงให้ดู ซึ่งก็ไม่ใช่โดรนที่โดดเด่นหรือแตกต่างไปจากโดรนลำอื่นๆ ของตำรวจเท่าไรนัก แต่มันคือโดรนที่ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งจะมีความสำคัญขึ้นมาทันทีหากรัฐต่างๆ มีคำสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้โดรนจากประเทศจีน เช่นเดียวกับคำสั่งล่าสุดของรัฐ Florida อย่างไรก็ตาม Langley ยอมรับว่า เวลานี้ยังไม่มีบริษัทไหนที่จะโค่น DJI ลงได้เลย แต่เขาจะลองดูสักตั้ง
ความพยายามครั้งแรกของ Flock ในภารกิจครั้งใหม่นี้จะไปถึงมือลูกค้าในเดือนสิงหาคม ในการทดสอบครั้งหนึ่งโดรนลำหนึ่งใน Riverside County รัฐ California ทะยานขึ้นจากหลังคาโรงงานของ Flock ที่ตั้งอยู่ชานเมืองด้วยการบังคับผ่านเบราว์เซอร์โดยใช้เพียงคีย์บอร์ดและเมาส์ เหมือนเล่นวิดีโอเกม อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะ Flock ว่าจ้างนักพัฒนามาจากเกม Overwatch ซีรี่ส์เกมยิงแบบ FPS ข้อความปรากฏขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งที่แสดงบนหน้าจอ
ไม่ว่าจะเป็นศูนย์สุขภาพจิตหรือร้าน McDonald’s จากนั้นเมื่อเลื่อนเมาส์ กล้องจึงซูมให้เห็นชาย 2 คนกำลังเล่นซอฟต์บอลอยู่ในสนามที่ห่างออกไปนับร้อยๆ หลา แบตเตอร์ตีพลาดไป 1 ครั้ง ก่อนจะกลับมาหวดลูกต่อไปได้อย่างเหลือเชื่อ เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกจับตามองจากโรงงานบริษัทผลิตกล้องรักษาความปลอดภัยที่อยู่ห่างออกไปกว่า 2,000 ไมล์
ภาพ JAME TOPPIN
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Joe Agresti ยอดนักขายติดล้อ


