<h2>ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้ว นับตั้งแต่ฟูจิฟิล์ม (Fujifilm) เปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์กล้องอินสแตนท์อย่าง instax ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 ซึ่งได้กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการถ่ายภาพ ด้วยขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก และใช้งานได้ง่าย โดยบริษัทฯ ได้มีการพัฒนากล้อง instax รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ เรื่อยมา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในรุ่นที่มีเสียงตอบรับยอดเยี่ยมคือ&nbsp;instax mini 40 ที่ปล่อยออกมาในปี 2021 โดดเด่นด้วยดีไซน์สไตล์วินเทจ ใช้งานง่ายโดยมีแค่ 2 ปุ่มคือปุ่มเปิด-ปิดและปุ่มชัตเตอร์ และมาพร้อมฟังก์ชันปรับแสงอัตโนมัติ ทำให้เป็นที่ถูกใจของคนรักการถ่ายภาพสายแฟชั่น <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/tSUMi3PrQigLzUB4peL7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tSUMi3PrQigLzUB4peL7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด ฟูจิฟิล์ม ได้ประกาศการมาของ instax mini 41 กล้องอินสแตนท์รุ่นเริ่มต้นตัวใหม่ที่จะมาเติมความสนุกสนานในการถ่ายแล้วได้รูปเลย สานต่อความสนุกจาก instax mini 40 ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยไปอีกขั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กล้องรุ่น instax mini 41 มาในตัวกล้องสีดำสลับเงินเข้มสุดเท่ ตัดด้วยตัวอักษรสีส้มสดใสบนตัวกล้อง ผิวสัมผัสบริเวณส่วนล่างของตัวกล้องออกแบบมาให้จับถนัดมือ ทำให้ mini 41 เป็นทั้งกล้องถ่ายภาพและไอเทมแฟชั่นที่ใช้งานสะดวก&nbsp;เติมเต็มสไตล์ของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/DSoVPD7AuQh9rxQZkyh7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DSoVPD7AuQh9rxQZkyh7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,360" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp; &nbsp; นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา ‘โหมดถ่ายระยะใกล้’ ที่ช่วยให้ภาพวัตถุตรงกับช่องมองภาพ&nbsp;เพื่อการถ่ายระยะใกล้และเซลฟี่ที่ง่ายกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานโหมดนี้ กล้องจะปรับช่องมองภาพให้ตรงกับตำแหน่งภาพจริง (Parallax Adjustment) จึงไม่ต้องกะจุดกึ่งกลางใหม่อีกครั้ง <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/WbhR53ypWyW3kXFeTqYY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="WbhR53ypWyW3kXFeTqYY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และยังมีฟังก์ชัน ‘ปรับแสงอัตโนมัติ’&nbsp;ช่วยปรับค่าความสว่างอัตโนมัติ โดยวัดระดับแสงทันทีเมื่อกดชัตเตอร์ และเลือกความเร็วชัตเตอร์และระดับแฟลชที่เหมาะสมที่สุดให้ทันที ทำให้ภาพถ่ายออกมาสวยทั้งตัวแบบและฉากหลัง ไม่ว่าจะถ่ายกลางแจ้งที่แสงจ้า ในที่ร่มแสงน้อย ถ่ายระยะใกล้ หรือเซลฟี่ก็ตาม <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/kPbP8bMM7eaPhFSokPVB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="kPbP8bMM7eaPhFSokPVB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="3"></figure></div>​​&nbsp; &nbsp; สำหรับประเทศไทย&nbsp;กล้อง instax mini 41 จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ในราคา 3,590 บาท ผ่านช่องทางจำหน่ายของฟูจิฟิล์มและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ภาพ: บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/travel/hyatt-regency-bangkok-sukhumvit-promotes-thai-soft-power-through-premium-durian-afternoon-tea-campaign" alt="รับเทรนด์ ‘ท่องเที่ยวเชิงอาหาร’ โตพุ่ง และดัน ‘ทุเรียน’ สู่ซอฟต์พาวเวอร์ ‘ไฮแอท รีเจนซี่ฯ’ จัดแคมเปญพิเศษ ชุดน้ำชายามบ่ายธีมทุเรียนหมอนทอง">รับเทรนด์ ‘ท่องเที่ยวเชิงอาหาร’ โตพุ่ง และดัน ‘ทุเรียน’ สู่ซอฟต์พาวเวอร์ ‘ไฮแอท รีเจนซี่ฯ’ จัดแคมเปญพิเศษ ชุดน้ำชายามบ่ายธีมทุเรียนหมอนทอง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สานต่อกล้องอินสแตนท์รุ่นฮิต! ฟูจิฟิล์มเปิดตัว instax mini 41 ใหม่ เตรียมจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย 9 พ.ค.นี้

<h2>‘แคนนอน’ เผยคนไทยยังมีกำลังซื้อกล้องระดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมที่โตแรงต่อเนื่อง หลังผู้บริโภคหันมาใช้แทน DSLR ลุยเปิดตัว 2 รุ่นใหม่ขายในไทยครึ่งปีหลังนี้ คือ EOS R1 ราคาบอดี้ 235,900 บาท และ EOS R5 Mark II ราคาบอดี้เริ่ม 147,900 บาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฮิโรชิ โยโกตะ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “ปี 2567 ถือเป็นหลักชัยสำคัญสำหรับแคนนอน ประเทศไทย ในโอกาสที่ได้ดำเนินธุรกิจในไทยมาครบ 30 ปี ซึ่งตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา เราได้ร่วมสร้างความเติบโตเคียงข้างพันธมิตร ช่างภาพ และลูกค้าผู้มีอุปการคุณมาอย่างมั่นคง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในปัจจุบัน เราได้เข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อันน่าตื่นใจ ซึ่งแคนนอนได้ผสานศักยภาพของสิ่งเหล่านี้เข้ากับเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ จนสามารถทำในสิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้ว ซึ่งสิ่งนี้เกิดจากความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี AI ของเรานั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“วันนี้ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์กล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปที่ทุกคนรอคอยทั้ง EOS R1 และ EOS R5 Mark II สู่ตลาดกล้องเมืองไทยอย่างเป็นทางการ โดยแคนนอนมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมกล้องเหล่านี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและยกระดับงานถ่ายภาพไปสู่มาตรฐานอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าหากทุกท่านได้สัมผัสใช้งาน จะต้องรู้สึกประทับใจอย่างแน่นอน”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/eHD6vxfec4CCp3MHUHA6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="eHD6vxfec4CCp3MHUHA6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดกล้องในปี 2024 แคนนอนยังครองมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ของโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนในแง่ของตลาดกล้องประเทศไทย ครึ่งปีแรกของปี 2024 ที่ผ่านมา ภาพรวมจำนวนยูนิตเติบโต 15% ส่วนในแง่มูลค่าตลาดเติบโต 25% ทั้งนี้ กล้องกลุ่มที่เติบโตอย่างน่าสนใจคือกลุ่มมิเรอร์เลสฟูลเฟรม ที่ในแง่ยูนิตเติบโตถึง 33% และในแง่ของมูลค่าเติบโตถึง 30%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ยอดขายกล้องมิเรอร์เลสในปัจจุบันมีสัดส่วนมากถึง 2 ใน 3 ของตลาดรวมทั้งหมด ขณะที่กล้อง DSLR มียอดขายตกลงเรื่อยๆ ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะผู้บริโภคหันมาใช้กล้องมิเรอร์เลสแทน เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งในแง่คุณภาพ เทคโนโลยี น้ำหนัก ทุกแบรนด์ตอนนี้ก็จะไปพัฒนากล้องมิเรอร์เลสเพราะเทคโนโลยียังพัฒนาต่อไปได้อีก ขณะที่กล้องคอมแพคในแง่ของจำนวนยูนิตที่ขายได้ก็ค่อนข้างทรงๆ แต่มูลค่าเพิ่ม เนื่องจากกลุ่มไฮเอนด์ยังใช้กล้องกลุ่มนี้อยู่” เนตรนรินทร์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แคนนอนยังคาดการณ์มูลค่าตลาดกล้องรวม ปี 2024 ว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท หรือในแง่ของยูนิตคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 90,000 ตัว โดยแบ่งเป็น กล้องมิเรอร์เลส 60% รองลงมาคือกลุ่ม DC ประมาณ 35% และกล้อง DSLR ประมาณ 5% ของจำนวนตัวทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของแคนนอนเอง ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมปีนี้ที่ 40% จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 35%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แม้ภาพรวมกำลังซื้อของคนไทยไม่ค่อยสู้ดีนักจากสภาวะเศรษฐกิจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับตลาดกล้อง โดยเนตรนรินทร์เผยว่ากำลังซื้อของตลาดกล้องเรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่ต้องการซื้อกล้องไปประกอบอาชีพ และกลุ่มที่ซื้อกล้องเพื่อการใช้งานทั่วไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ภาพรวมกำลังซื้อที่ชะลอตัวไม่กระทบตลาด เห็นได้จากการเติบโตของกล้องฟูลเฟรม ซึ่งกำลังซื้อของคนที่ใช้กล้องกลุ่มนี้ยังมีอยู่ นอกจากนี้ ลูกค้าที่ใช้กล้องแบบ APSC ก็ขยับขึ้นมาใช้กล้องฟูลเฟรมมากขึ้น หรือกลุ่มที่ใช้กล้องฟูลเฟรมในระดับเริ่มต้น ก็ขยับมารุ่นสูงขึ้นด้วย” เนตรนรินทร์ระบุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกล้อง 2 รุ่นใหม่ที่เปิดตัวล่าสุด ได้แก่ EOS R1 กล้องเรือธงระดับมาสเตอร์สำหรับมืออาชีพตัวจริง โดดเด่นทั้งความเร็วและฟีเจอร์ครบครัน ทั้งความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่อง ความเร็วในการโฟกัส รวมถึงความเร็วในการถ่ายโอนไฟล์ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับมืออาชีพที่เน้นเรื่องความรวดเร็วในการทำงานเป็นหลัก ทั้งการถ่ายการแข่งขันกีฬา ชีวิตสัตว์ป่า รวมถึงงานข่าว ส่งให้กล้อง EOS R1 ได้รับฉายา Speed Champion “You’R Difference” นำเสนอราคาเฉพาะตัวกล้องที่ 235,900 บาท โดยจะวางขายอย่างเป็นทางการปลายเดือนพฤศจิกายนนี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/opAfntcFL2MPkAzPRSCD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="opAfntcFL2MPkAzPRSCD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนอีกรุ่นหนึ่ง คือ EOS R5 Mark II กล้องมิเรอร์เลสไฮบริด ที่มีความโด่นเด่นในเรื่องความละเอียด แบบ High Resolution ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว พร้อมจัดเต็มฟังก์ชันด้านวิดีโอ เพื่อให้เป็นที่สุดของ VDO performance รองรับกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการผลงานคุณภาพสูง โดยเฉพาะกลุ่มงานเวดดิ้ง งานผลิตวิดีโอเชิงพาณิชย์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ไปจนถึงช่างภาพอาชีพทุกสาย โดยนำเสนอ 2 รุ่นได้แก่ EOS R5 Mark II เฉพาะตัวกล้อง ราคา 147,900 บาท และ EOS R5 Mark II พร้อมเลนส์ RF24-105mm f/4L IS USM ราคา 192,900 บาท เริ่มขายเดือนกันยายนนี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/JEBK2XjFuxr1b4CqKLc8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="JEBK2XjFuxr1b4CqKLc8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกล้อง 2 รุ่นใหม่นี้เรียกได้ว่าได้รับกระแสดีตั้งแต่มีข่าวว่าจะเปิดตัว และมียอดจองเข้ามาแล้ว โดยยอดจองของ EOS R1 อยู่ที่ประมาณ 100 กว่าตัว ส่วน EOS R5 Mark II มียอดจองมากกว่า 200 ตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สำหรับ EOS R1 เราประเมินว่าปีนี้อาจจะมียอดขายค่อนข้างน้อย คืออาจไม่ถึง 5% ของกล้องมิเรอร์เลสทั้งหมดของเรา เนื่องจากเริ่มวางขายในช่วงปลายปี หรือมีเวลาแค่เดือนเดียว เทียบกับรุ่นอื่นๆ ที่ขายมาทั้งปี แต่เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับดีเนื่องจากเป็นรุ่นที่ช่างภาพทุกคนตั้งตารอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ส่วนการทำการตลาดปีนี้เราคงเน้นไปที่ EOS R5 Mark II มากกว่า โดยทุ่มงบประมาณกว่า 10 ล้านบาทในการทำการตลาดสำหรับรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำโปรโมชั่น การจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้สมน้ำสมเนื้อกับแฟนๆ แคนนอนที่รอมา” เนตรนรินทร์กล่าวทิ้งท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/energylib-launches-solar-cells-save-electricity-up-to-70-percent" alt="'ตอบโจทย์ค่าไฟแพง' EnergyLIB เปิตัวโซล่าร์เซลล์ ใช้ได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน ประหยัดไฟสูงสุด 70%">'ตอบโจทย์ค่าไฟแพง' EnergyLIB เปิตัวโซล่าร์เซลล์ ใช้ได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน ประหยัดไฟสูงสุด 70%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คนไทยยังมีกำลังซื้อกล้องหลักแสน! ‘แคนนอน’ เผยมิเรอร์เลสฟูลเฟรมโตแรง ลุยเปิดตัว 2 รุ่นใหม่ ราคาเริ่ม 147,900 บาท

<h2>แคนนอน (Canon) ประกาศความสำเร็จครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทยเป็นปีที่ 17 ติดต่อกันในกลุ่มผลิตภัณฑ์ กล้องดีเอสแอลอาร์ (DSLR) โดยข้อมูลในปีที่ผ่านมาชี้แคนนอนสามารถครองส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มได้ราว 51% บริษัทฯ เผยทิศทางปี 2567 เน้นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการถ่ายภาพใหม่ๆ ในกลุ่มกล้องดิจิทัลเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้าน Branding ในฐานะผู้นำตลาด DSLR ตอบโจทย์เทรนด์การผลิตคอนเทนต์ในปัจจุบันและกระตุ้นยอดขายโตอย่างต่อเนื่อง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากพูดถึงแบรนด์กล้องถ่ายภาพแล้ว “แคนนอน” ถือเป็นแบรนด์ชั้นนำในกลุ่มกล้องดิจิทัลและอิมเมจจิ้งเทคโนโลยีที่ได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน โดยสินค้าแคนนอนในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคทั้งในเมืองไทยและในต่างประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด แคนนอนตอกย้ำสถานะแบรนด์อันดับ 1 สามารถครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของไทยเป็นปีที่ 17 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 – 2567 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ กล้องดีเอสแอลอาร์ (DSLR)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในปี 2567 แคนนอนจะให้ความสำคัญกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ซึ่งขับเคลื่อนผ่านนวัตกรรม โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ๆ ในกล้องดิจิทัลแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ เพื่อมอบทางเลือกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับประเภทการทำงานในปัจจุบัน โดยเฉพาะเทรนด์การผลิตคอนเทนต์เพื่อเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ และงานโปรดักชันระดับมืออาชีพทั้งในส่วนของภาพนิ่งและวิดีโอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ แคนนอนยังคงเดินหน้าเพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ตลอดจนยกระดับการจดจำแบรนด์ในฐานะ Canon = Hybrid Camera เก่งทั้งภาพนิ่ง ตอบโจทย์ทั้งงานวิดีโอ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดกล้องดิจิทัลอย่างต่อเนื่องทั้งในเมืองไทยและระดับโลก

‘แคนนอน’ อวดความสำเร็จ แชมป์ตลาดกล้อง DSLR ในไทย 17 ปี ครองส่วนแบ่งตลาด 51%

Olympus กับการเปลี่ยนโฟกัสเพื่ออนาคต

<h2>เอลิส ไพรเวต ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายในเมืองไทย แบรนด์กล้องซูเปอร์พรีเมียมคลาสสิก “Leica” (ไลก้า) ปิดยอดขายปี 2560 ทะลุเป้า 300 ล้านบาท เน้นกลยุทธ์สร้างสร้างความภักดีต่อแบรนด์ถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง พร้อมเปิด “Leica Gallery Bangkok” (ไลก้า แกลเลอรี แบงค็อก) แห่งแรกในเมืองไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนผลงานของศิลปินในเมืองไทยสู่สายตาชาวโลก คาดกระตุ้นเป้าปลายปีโตเกิน 500 ล้าน</h2>
ดนัย สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอลิส ไพรเวต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์กล้อง ไลก้า ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2559 ในปีแรกสามารถปิดยอดจำหน่ายได้ 150 ล้านบาทตามเป้าหมาย และปลายปี 2560 ที่ผ่านมา สรุปตัวเลขยอดขายที่ 300 ล้านบาท เติบโตขึ้น 100%

ที่ผ่านมาเน้นการใช้กลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และกลุ่มผู้ใช้ผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยตรง เพื่อสร้างความจงรักภักดี หรือ Brand respect ให้เกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้ใช้งานไลก้าในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น กลุ่มผู้ใช้เดิม ที่เอลิสฯ ยังรักษาฐานไว้อย่างเหนียวแน่น พร้อมกับขยายฐานกลุ่มใหม่ ให้สามารถเรียนรู้การใช้งานตัวผลิตภัณฑ์เมื่อมีการซื้อสินค้า

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ef85405497676a8d8cbc458471b54324.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ดนัย สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอลิส ไพรเวต จำกัด บริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายกล้องไลก้า</figcaption></figure>

ดนัยกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทจัด 3 กลยุทธ์หลักเพื่อสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ได้แก่

1.Leica Academy (ไลก้า อะคาเดมี) ที่ให้ผู้ใช้งานไลก้า สามารถมาเรียนรู้ผ่านเวิร์คช็อปในขั้นต่างๆ ของการถ่ายภาพทั้งขั้นเริ่มต้น ไปจนถึงระดับแอดวานซ์ โดยมีช่างภาพมืออาชีพมาเป็นผู้อบรม

2.กิจกรรมต่างๆ อาทิ ทริปการถ่ายภาพในแบบฉบับของไลก้า ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับแบรนด์

3.ไลก้า แกลเลอรี แบงค็อก ที่ดำเนินการเปิดเป็นแห่งที่ 19 ของโลก และแห่งที่ 4 ของเอเชีย รองจาก Tokyo, Kyoto ประเทศญี่ปุ่น และประเทศสิงคโปร์ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแสดงผลงานของช่างภาพระดับโลก รวมทั้งผลงานของช่างภาพไทยที่จะได้มีโอกาสนำมาแสดงและผลักดันไปสู่เวทีระดับโลก

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/56a0b19f04f1670f83839937ef9dc36c.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ไลก้า แกลลอรี แบงค็อก เปิดเข้าชมทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น.</figcaption></figure>

โดยผลงานแรกที่จะจัดแสดงในไลก้า แกลลอรี แบงค็อก บนชั้น 2 ศูนย์การค้าเกษร วิลเลจ แยกราชประสงค์นั้น ได้รับเกียรติจาก Nick Ut ช่างภาพระดับโลกชาวเวียดนาม เจ้าของรางวัล Pulitzer (พูลิตเซอร์) ที่นำผลงานกว่า 25 ภาพ ซึ่งมีคุณค่าทางศิลปะและประวัติศาสตร์มาแสดงในนิทรรศการ “My Story by Nick Ut” โดยมีภาพไฮไลต์คือ “The Terror of War” มาร่วมแสดงถึง 30 เมษายน 2561

“สำหรับเป้าหมายในปีนี้ หวังว่าจะยังสามารถรักษากลุ่มผู้ใช้เดิม พร้อมกับเพิ่มกลุ่มผู้ใช้ใหม่ให้เพิ่มขึ้น โดยคาดยอดขายไว้ที่ 500 ล้านบาท และตั้งเป้าครองใจกลุ่มผู้ใช้งานกล้องระดับซูเปอร์ลักชัวรีผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งกลยุทธ์ด้านราคาที่เทียบเท่ากับต่างประเทศ” ดนัยกล่าวทิ้งท้าย

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/98d17d6d38272bcc644a5400a0a144a3.png" alt="" />

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4dc9d8884f5e532cc482e3d7b391d047.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> The Terror of War ภาพไฮไลต์ของนิทรรศการ My Story by Nick Ut</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f3f9660b276f7328c0d77c495bc533b9.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ไลก้า สโตร์ ชั้น 2 เกษร วิลเลจ</figcaption></figure>

‘เอลิส’ พร้อมเปิด ‘ไลก้า แกลเลอรี แบงค็อก’ โชว์ผลงานช่างภาพระดับพูลิตเซอร์ ตั้งเป้ายอดขายกล้องไลก้า 500 ล้าน

<h2>บริษัทผู้พัฒนากล้องประเภท action camera อย่าง GoPro อาจมีความหวังที่สดใสเมื่อปี 2017 มาถึง แต่ทว่าสถานการณ์ยังคงดำดิ่งอย่างต่อเนื่องจากปี 2016</h2>
เมื่อวันพุธที่ 15 มีนาคม 2017 GoPro ประกาศว่าบริษัทเตรียมยื่นซองขาวให้พนักงาน 270 ตำแหน่ง ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากที่บริษัทประกาศไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อนว่าจะมีการจ้างออกทั้งหมด 200 ตำแหน่ง อดีตพนักงาน GoPro รายหนึ่งกล่าวว่า พนักงานส่วนหนึ่งในแผนกสัญญาณดาวเทียม (satellite) ได้รับแจ้งการสิ้นสุดการทำงานแล้วเมื่อวันอังคารสัปดาห์ก่อน ขณะที่พนักงานบางส่วนในสำนักงานใหญ่ที่ San Mateo มลรัฐ California ได้รับแจ้งในวันพุธที่ผ่านมา

การปลดพนักงานรอบล่าสุดสะเทือนไปถึงทุกแผนก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ การตลาด และทีมเซลส์ แหล่งข่าวหลายรายกล่าวตรงกันว่าทีมพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับตัดต่อวิดีโอบนเดสก์ทอปซึ่งมีสำนักงานใน Carlsbad รัฐ California ถูกปลดไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ขณะที่ทีมสื่อของ GoPro ซึ่งมีทั้งหมด 30 คนจะถูกปลดออกครึ่งหนึ่ง

ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2016 ที่ GoPro แถลงข่าวการเลย์ออฟพนักงาน Fabrice Barbier รองประธานอาวุโสฝ่าย consumer devices ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาสินค้ากล้องถ่ายรูปและโดรนรุ่น Karma ที่มีปัญหาถูกเรียกคืนสินค้า เป็นบุคลากรรายแรกๆ ที่ถูกปลดออก และบริษัทแถลงในครั้งนั้นว่าผู้บริหารระดับรองประธานประมาณ 1 ใน 3 จะถูกเลย์ออฟ

ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารหลายรายถูกลบออกจากหน้าเว็บไซต์ขององค์กรเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาด รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ รองประธานฝ่ายพัฒนาองค์กร และรองประธานฝ่ายบันเทิง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/01229813fe2021b294055442ced05e8a.png" alt="" width="680" height="449" /><figcaption> โดรนรุ่น Karma ของ GoPro (ขอบคุณภาพจาก fortune.com)</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>จับกระแสเลย์ออฟเพิ่มอีกระลอก</h2>
การตัดลดค่าใช้จ่ายหมายถึงบางแผนกของบริษัทจะต้องถูกปิดตัวลง มีความเป็นไปได้ว่าทีมพัฒนาแอพพลิเคชั่นตัดต่อวิดีโอบนสมาร์ตโฟนชื่อ Replay และ Splice ซึ่ง GoPro ได้มาจากการควบรวมกิจการมูลค่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสำนักงานอยู่ในเมือง Austin รัฐ Texus กับ Paris ประเทศฝรั่งเศส จะถูกเลย์ออฟ

“การตัดค่าใช้จ่ายเป็นแผนปฏิบัติงานสำหรับทุกสาขาทั่วโลก บางตำแหน่งในตลาดยุโรปอยู่ระหว่างหารือการเลย์ออฟและจะเปิดเผยในภายหลัง” Jeff Brown โฆษกของ GoPro กล่าว อย่างไรก็ตาม Brown ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดว่าทีมงานชุดใดที่จะได้รับผลกระทบจากการปลดพนักงานรอบต่อไป

แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งกล่าวว่า ถึงแม้ GoPro ได้ทำการปลดพนักงานแผนกพัฒนาเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality) และแผนกเทคโนโลยีเผยแพร่ภาพสดสำหรับมืออาชีพ (professional broadcasters) ไปแล้วบางส่วน แต่คาดว่าต่อจากนี้จะมีการปลดอย่างต่อเนื่องเพื่อ “ปิดแผนก” ลงทั้งหมด

&nbsp;
<h2>เหตุป่วนหนัก: เรียกคืนสินค้า-ขยายธุรกิจเกินตัว</h2>
ครั้งหนึ่ง GoPro เป็นสตาร์ทอัพมาแรงในฐานะบริษัทผู้นำในการผลิตกล้อง action camera สู่ตลาด ส่งให้ Nick Woodman ซีอีโอ GoPro ติดโผการจัดอันดับ The Forbes 400 อภิมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในสหรัฐฯ 400 คนแรกเมื่อปี 2013

แต่หลังการเปิดขายหุ้น IPO เมื่อเดือนมิถุนายน 2014 GoPro กลับดำดิ่งในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จากการเรียกคืนสินค้าที่มีปัญหาคือ โดรนรุ่น Karma ที่ชิ้นส่วนหลุดออกระหว่างใช้งานบนอากาศ และบริษัทยังไม่สามารถพัฒนาสินค้าใหม่หรือธุรกิจใหม่ที่เป็นที่นิยมได้อีก ซ้ำร้ายเมื่อไตรมาส 4 ปีก่อน บริษัทยังสูญเสียรายได้ไปกว่า 116 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากการผลิตกล้องรุ่น Hero5 ล่าช้า ทำให้หุ้นของบริษัทตกฮวบ 40% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และ Woodman หลุดโผ The Forbes 400 ไปในปี 2016

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d16b225392c94fdef74d2e54862157e9.png" alt="" width="680" height="581" /><figcaption> Nick Woodman ซีอีโอ GoPro</figcaption></figure>

หลังการประกาศปลดพนักงานในเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ซีอีโอ Nick Woodman แสดงความเสียใจต่อหน้าสาธารณะและยอมรับความผิดพลาดที่บริษัทพยายามรุกคืบเข้าไปในธุรกิจบันเทิง (entertainment) และเน้นย้ำว่าจุดมุ่งหมายใหม่ของบริษัทจะกลับมาเป็นธุรกิจหลักนั่นคือการพัฒนา action camera

“เรารู้สึกผิดพลาดที่พยายามจะก้าวไปไกลกว่าที่ควร บริษัทได้ตัดสินใจแล้วว่าจะหันกลับมามุ่งความสนใจกับการเป็นองค์กรที่ทำธุรกิจไม่มากประเภทแต่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม มากกว่าจะพัฒนาสินค้าหลายอย่างโดยมีข้อจำกัด” Woodman กล่าวบนเวที Consumer Electronics Show เมื่อเดือนมกราคมปีนี้

&nbsp;
เรียบเรียงจาก Troubled GoPro Deepens Layoffs, Eliminating Positions In Media And Virtual Reality Divisions โดย Ryan Mac

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events