แม้ว่าความอดทนจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จ แต่บางครั้งการ “เลิกทำ” บางสิ่งบางอย่างกลับมีประสิทธิภาพมากกว่า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นโครงการที่ล้มเหลว งานที่ไม่ได้รับคำขอบคุณ หรือความสัมพันธ์ที่พังพินาศ การเลิกเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านั้นอาจจะเป็นคุณธรรมใหม่ที่คุณควรยึดถือ
บางคนรู้ดีว่าจังหวะไหนควรจะปฏิเสธ ในขณะที่อีกหลายคนนั้นช่างยากลำบากเหลือเกินกว่าจะพาตัวเองออกจากความอึดอัดมาได้ ดังนั้น การรู้จังหวะว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะละความพยายามเสียทีถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ถ้าคุณมีแนวโน้มว่าจะยึดติดกับสิ่งใดอย่างยาวนานแม้เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันไม่ประสบความสำเร็จ ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะฝึกตัวเองให้ดีขึ้น โชคดีที่ชีวิตให้โอกาสเราได้ฝึกปฏิเสธบ่อยครั้งกว่าที่คิด และนี่คือ 5 สิ่งที่เราควรจะเลิกทำเสียที1. เลิกทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ และหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป
Albert Einstein กล่าวไว้ว่า ความบ้าบอหมายถึงการกระทำสิ่งเดิมๆ แล้วคาดหวังว่ามันจะให้ผลที่แตกต่าง ทั้งที่เขามีชื่อเสียงขนาดนั้นและคำกล่าวนี้ก็ตรงประเด็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังมีคนมากมายที่มุ่งมั่นจะทำให้สองบวกสองเท่ากับห้าให้ได้ ข้อเท็จจริงนั้นแสนง่ายดาย คือถ้าหากคุณยังใช้วิธีการแบบเดิม คุณก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิม ไม่ว่าคุณจะคาดหวังให้มันออกมาในทางตรงข้ามมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่าง คุณต้องเปลี่ยนวิธีการ แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่เจ็บปวด2. เลิกพูดว่า “ได้ค่ะ/ครับ”
ทุกครั้งที่คุณเอ่ยคำว่า “ได้ค่ะ/ครับ” การแลกเปลี่ยนได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะการพูดว่า “ได้” ให้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันคือการปฏิเสธว่า “ไม่ได้” กับเรื่องอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น การพูดว่า “ได้” เมื่อเจ้านายขอให้อยู่ทำงานต่อจนถึงดึกดื่น อาจจะหมายถึงการเสียโอกาสที่คุณจะได้ไปออกกำลังกายที่ยิมหรือกลับบ้านไปใช้เวลากับครอบครัว งานวิจัยโดย University of California, San Francisco ชิ้นหนึ่งเสนอว่า ยิ่งคุณพูดปฏิเสธว่า “ไม่” ได้ยากลำบากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งประสบกับความเครียด หมดไฟในการทำงาน หรือกระทั่งภาวะซึมเศร้ามากขึ้นเท่านั้น การปฏิเสธไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจึงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหลายคน แต่จริงๆ แล้ว “ไม่” คือคำอันทรงพลังที่คุณต้องกล้าใช้มันเป็นอาวุธ เมื่อถึงเวลาปฏิเสธ โปรดหลีกเลี่ยงการใช้วลีเดิมๆ ประเภท “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำได้ไหม” หรือ “ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เริ่มพูดปฏิเสธตรงๆ ให้กับพันธะใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามาตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะพูดว่า “ไม่” คุณจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากข้อผูกมัดที่ไม่จำเป็น ทำให้คุณมีเวลาและพลังงานมากขึ้นสำหรับสิ่งสำคัญอื่นๆ ในชีวิต3. เลิกไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง
Hewlett-Packard ทำการศึกษาที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง โดยพวกเขาวิเคราะห์กระบวนการที่พนักงานจะยื่นสมัครขอเลื่อนตำแหน่งในบริษัท ผลปรากฏว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่จะยื่นสมัครเมื่อพบว่าตนเองมีคุณสมบัติตรงกับที่ตำแหน่งนั้นกำหนด 100% เท่านั้น ในขณะที่ผู้ชาย หากมีคุณสมบัติเกิน 60% ของที่กำหนด พวกเขาก็จะร่อนใบสมัครกันแล้ว การศึกษานี้ได้สรุปสมมติฐานไว้ว่า หนึ่งในเหตุผลหลายข้อที่ทำให้ผู้ชายมีสัดส่วนมากกว่าผู้หญิงในตำแหน่งบริหารระดับสูงของบริษัทก็คือ พวกเขามีความสมัครใจและมั่นใจในตัวเองมากพอที่จะทดลองตำแหน่งใหม่ๆ มากกว่าผู้หญิง ดังนั้น ความมั่นใจจึงมีบทบาทอย่างมากต่อความสำเร็จ มันอาจจะเป็นปราการเดียวที่ขวางทางคุณไปสู่อีกระดับ เคล็ดลับก็คือคุณต้องเชื่อในตัวเอง หากคุณสงสัยในความสามารถที่มี ความสำเร็จก็จะไม่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าการเสแสร้งว่ามั่นใจก็ช่วยอะไรไม่ได้ คุณต้องมั่นใจจริงๆ เท่านั้น4. เลิกผัดวันประกันพรุ่ง
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก การพัฒนาตนเองเป็นเรื่องยาก การเรียกความกล้าหาญออกมาเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการก็เป็นเรื่องยาก เมื่อเรื่องยากๆ อยู่ตรงหน้า สิ่งที่ง่ายกว่าเสมอคือการตัดสินใจว่าจะสู้กับมันในวันพรุ่งนี้แทน แต่ปัญหาก็คือ พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง การบอกตัวเองว่าจะเริ่มทำวันพรุ่งนี้เป็นเพียงแค่ข้อแก้ตัว และในใจลึกๆ ของคุณคือ คุณอาจจะไม่ได้ต้องการความสำเร็จขนาดนั้น หรือต้องการผลลัพธ์โดยหลีกเลี่ยงงานหนักที่ต้องทำกว่าที่จะได้มันมา5. เลิกคิดว่าทุกอย่างจะออกมาดีเอง
ช่างเป็นเรื่องเย้ายวนใจเหลือเกินที่จะขอเลือกปล่อยให้ทุกอย่างออกมาดีเองในตอนจบ แต่ความจริงก็คือ คุณต้องเป็นคนทำให้เรื่องต่างๆ ออกมาดีด้วยตนเองต่างหาก เรื่องนี้ปรับใช้ได้กับหลายเหตุการณ์ เช่น อย่าหวังว่าหัวหน้าของคุณจะสังเกตเห็นเองว่าคุณพร้อมสำหรับการเลื่อนขั้นแล้ว อย่าหวังว่าเพื่อนร่วมงานจะเลิกเอางานมากองที่คุณถ้าคุณยังไม่เลิกทำท่าพอใจที่จะช่วยเหลืออยู่ และอย่าคิดว่าใครจะหยุดการกระทำดูถูกคุณถ้าคุณยังไม่เคยต่อต้านมันเลย ทุกอย่าง “ไม่มีทาง” ที่จะออกมาดีเองราวกับมีมนต์วิเศษ คุณต้องทำงานเชิงรุกและรับผิดชอบชีวิตตัวเองมากกว่านี้จับทั้งหมดมารวมกัน
มีอุปสรรคมากมายระหว่างทางที่จะไปให้ถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเรา เราเกิดความสงสัยในตัวเอง เรามองว่าบางอย่างยากเกินความสามารถ หรือเราบอกว่าขอรอเวลาอีกหน่อย แต่ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จ “จริงๆ” แทนที่คุณจะคิดแต่เรื่องที่คุณควรทำ คุณต้องไตร่ตรองให้ดีถึงสิ่งที่คุณควรจะเลิกทำต่างหากแปลและเรียบเรียงจาก 5 Things You Must Quit Doing To Be More Successful โดย Travis Bradberry / forbes.com ผู้ร่วมก่อตั้ง TalentSmart บริษัทที่ปรึกษาการฝึกหัดและทดสอบบุคลากรด้านความฉลาดทางอารมณ์