เมื่อกระแสนิยม หรือ เทรนด์ของผู้คนในยุคปัจจุบันมีผลต่อการผลักดันธุรกิจเครื่องสำอางของไทยให้ก้าวสู่เวทีสากลมากยิ่งขึ้น โดย 1 ในเทรนด์สำคัญของปี 2025 ผู้บริโภคจำนวน 67% ของ Gen Z ในเอเชียต่างให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากกว่าสินค้าราคาถูก ดังนั้นผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ต่างๆ ควรคำนึงถึงการผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายหรือรีไซเคิลได้ และต้องมีความโปร่งใสแสดงให้เห็นถึงที่มาของวัตถุดิบหรือส่วนผสมให้ผู้บริโภคได้ทราบอย่างจริงใจด้วย
ปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการเครื่องสำอางที่เฉพาะเจาะจงและมีความหลากหลายมากขึ้น โดย “เทรนด์” หรือกระแสนิยมในปัจจุบัน ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือทรงพลังที่จะผลักดันธุรกิจให้ก้าวสู่เวทีสากล ดังนั้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) จึงร่วมมือกับสาขาเคมีผลิตภัณฑ์และธุรกิจเครื่องสำอาง ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เปิดประตูให้ Hero Brand พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยและปรับตัวให้เข้ากับความต้องการใหม่ของตลาด ผ่าน “กิจกรรมการพัฒนาภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์สู่ Fashion Hero Brand สาขาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทย” ในหัวข้อ Future of Beauty: Trends and Forecasts 2025
เกียรติภูมิ แสงศร กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอร์สเมติค อินโนวาทีค แลบ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสูตรตำรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง กล่าวว่า อุตสาหกรรมความงามและการดูแลส่วนบุคคลทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากการขับเคลื่อนของเทคโนโลยี ความยั่งยืน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่เน้นทำผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งข้อมูลจากแหล่งวิจัยชั้นนำ ยังชี้ให้เห็นถึง 4 เทรนด์สำคัญในปี 2025 ดังนี้

1. ความยั่งยืนและความโปร่งใส (Sustainability & Transparency)
ถือเป็นหนึ่งในแกนหลักของอุตสาหกรรมความงามโลกปี 2025 ต่อเนื่องถึงอนาคต เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการให้ผลิตภัณฑ์และแบรนด์ “ดีต่อโลก” ด้วย เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายหรือรีไซเคิลได้ อีกทั้งต้องมีความโปร่งใสของส่วนผสม ซึ่งผู้บริโภคต้องการทราบถึงส่วนผสมและแหล่งที่มาของวัตถุดิบ เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยและจริยธรรมของผลิตภัณฑ์ สะท้อนจากผลสำรวจผู้บริโภคที่พบว่า 67% ของ Gen Z ในเอเชียให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากกว่าราคาถูก และ 78% ของผู้บริโภคในยุโรปและอเมริกาเหนือเลือกแบรนด์ที่มีความโปร่งใสเรื่องส่วนผสม รวมถึงแบรนด์ที่เน้นความโปร่งใสมียอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-20%
2. เทคโนโลยีและการปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Technology & Personalization)
อีกหนึ่งเทรนด์ความงามระดับโลกที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในปี 2025 และต่อเนื่องไปอีกหลายปี โดยคาดการณ์ว่าตลาด AI ในเครื่องสำอางจะเติบโตจาก 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2022 สู่ 13.3 พันล้านเหรียญ ในปี 2030 ซึ่งการใช้ AI และ AR ในการวิเคราะห์สภาพผิวและแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลกำลังได้รับความนิยม เพื่อมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่แม่นยำและตอบโจทย์ผู้บริโภคเฉพาะราย โดย AI ช่วยให้แบรนด์นำข้อมูลของผู้บริโภคไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์และประสบการณ์การใช้งานให้ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล รวมทั้งแก้ pain point เช่น วิเคราะห์จากภาพถ่าย หรือการสแกนใบหน้า เพื่อประเมินความชุ่มชื่น, จุดด่างดำ หรือริ้วรอย ในขณะที่การใช้ AR ให้ผู้ใช้ลองเมคอัพเสมือนจริงผ่านกล้องมือ ช่วยลดปัญหาการคืนสินค้าในอีคอมเมิร์ซ
3. ความเป็นอยู่ที่ดีและการดูแลตนเอง (Wellness & Self-Care)
ปัจจุบันผู้บริโภคไม่ได้ต้องการเพียง “ผิวที่ดี” แต่ยังต้องการสุขภาพจิตดี การนอนหลับดี ความสมดุลของร่างกายและอารมณ์ ส่งผลให้เกิดนวัตกรรม “Well-Beauty Integration” ซึ่งเชื่อมโยง “สกิน แคร์ บวก สุขภาพ บวก จิตใจ” เข้าด้วยกัน Wellness & Self-Care จึงกำลังกลายเป็นหัวใจของอุตสาหกรรมความงามปี 2025 ไม่ว่าจะเป็นการบูรณาการสุขภาพและความงาม อาทิ สกินแคร์ที่ช่วยในการนอนหลับ ผลิตภัณฑ์ช่วยลดความเครียด และการดูแลตนเองแบบองค์รวม โดยผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแค่ดูแลผิวพรรณ แต่ยังส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นผู้ที่ดูดีโดยรวม ทั้งนี้ ข้อมูลเชิงพฤติกรรมผู้บริโภค ระบุว่า 72% ของผู้บริโภค Gen Z และ Millennials ใช้สกินแคร์เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพจิต และตลาดสินค้า Beauty + Wellness คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 1.1 ล้านล้านเหรียญ
4. ความงามที่ครอบคลุมและหลากหลาย (Inclusivity & Diversity)
เทรนด์นี้กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของความงามทั่วโลกในปี 2025 โดยผู้บริโภคคาดหวังให้แบรนด์ “ยอมรับและเคารพตัวตนที่แตกต่าง” ทั้งในเรื่องสีผิว เพศ วัย ศาสนา ความพิการ และอัตลักษณ์ทางเพศ (LGBTQ+) ผ่านผลิตภัณฑ์ การสื่อสาร และการตลาดอย่างจริงใจ ซึ่งปัจจุบันแบรนด์ต่างๆ กำลังขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับความหลากหลาย เพื่อให้ทุกคนรู้สึกเป็นที่ยอมรับ รวมถึงทำการตลาดที่ครอบคลุม ผ่านการใช้โมเดลและมีผู้อิทธิพลจากหลากหลายภูมิหลังในแคมเปญการตลาด เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายของผู้บริโภคอีกด้วย
"นอกจาก 4 เทรนด์หลักแล้ว พฤติกรรมผู้บริโภคยังเปลี่ยนมาซื้อสินค้าผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ มากขึ้น ทั้ง TikTok เฟซบุ๊ค ไอจี ซึ่งเป็นอีกเทรนด์ที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ โดยหากมีการใช้แพลตฟอร์มออนล์ ร่วมกับ AI หรือ AR ก็จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และช่วยลดต้นทุนให้เจ้าของแบรนด์จากการไม่ต้องมีหน้าร้าน นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้ดาราเบอร์หนึ่งอย่างเดียวในการประชาสัมพันธ์" เกียรติภูมิ แสงศร กล่าวทิ้งท้าย

ภาพ : บริษัท คอร์สเมติค อินโนวาทีค แลบ จำกัด
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ศรีจันทร์ ผงาด 'สกินแคร์' เบอร์ 1 ของไทยมั่นใจปี 2025 ยอดขายแตะ 2,000 ล้าน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine