<h2>​'SEE JORAKAY' เปิดโลกแห่งสีสันฉลอง 'National Color Day' ชี้ เทรนด์คนยุคใหม่เลือกสีแต่งบ้านแบบใส่ใจสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเผย 7 สีสุดฮอตเหมาะสำหรับงานดีไซต์ในปี 2568 </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;'สี' คือองค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันมากกว่าที่เราคิด เพราะทุกเฉดสีล้วนส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการ การศึกษาด้านจิตวิทยาสีได้แสดงให้เห็นว่า สีแต่ละเฉดมีผลต่อจิตใจและพฤติกรรมของผู้คนอย่างน่าสนใจ เช่น สีแดง มอบความรู้สึกมีพลัง จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการปลุกพลังและความกระตือรือร้น ส่วนสีน้ำเงิน ทำให้รู้สึกสงบ มั่นคง และเป็นมืออาชีพ สีเขียวเชื่อมโยงกับความสงบของธรรมชาติ จึงช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายและฟื้นฟูจิตใจ ส่วนสีเหลือง ช่วยนำพาความสดใสร่าเริงมาให้ทุกพื้นที่ ด้านสีม่วงก็ใช้เป็นตัวแทนของความหรูหราและความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่สีขาวให้ความรู้สึกสะอาดและสงบเยือกเย็น เป็นต้น ศาสตร์แห่งการใช้สีเพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึก จึงเป็นสิ่งที่นักออกแบบและศิลปินได้ศึกษาและนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารมาอย่างยาวนาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันที่ 6 มกราคมของทุกปี ถือเป็น 'วันแห่งสี' หรือ National Color Day ที่กำหนดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงพลังของสีที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้ทุกพื้นที่และการแต่งแต้มสีสันให้ชีวิต พร้อมเชิดชูคนในสายงานออกแบบที่นำสีมาสร้างสรรค์พื้นที่ให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คน&nbsp; &nbsp; ซึ่งในปี 2568 นี้ 'สีจระเข้ (SEE JORAKAY)' แบรนด์สี Ecological ภายใต้ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้เผยถึงเทรนด์การเลือกใช้สีของคนยุคใหม่ที่เน้นสีในการตกแต่งอาคารและที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพราะผู้บริโภคยุคปัจจุบันไม่เพียงต้องการสีที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารเคมีอันตรายและมีนวัตกรรมที่ช่วยลดโลกร้อน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก&nbsp; &nbsp; นอกจากนี้ สีจระเข้ SEE JORAKAY ยังได้เผยถึงเทรนด์สีมาแรงที่จะปลุกชีวิตชีวาให้วงการออกแบบ โดยสีที่มาแรงมากๆ ในปีนี้ได้แก่ Mocha Mousse โทนสีน้ำตาลนวลละมุนที่ได้รับประกาศให้เป็นสีแห่งปี 2568 ที่ผสมผสานระหว่างความอบอุ่นของธรรมชาติและความสงบที่สะท้อนถึงชีวิตที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง และยังสามารถนำไปจับคู่กับสีอื่นๆ ได้อย่างลงตัว ถือเป็นการตอบโจทย์การออกแบบในสไตล์มินิมอลและสไตล์โมเดิร์น เพื่อสร้างบรรยากาศสงบ เรียบง่าย&nbsp; แต่ยังมีความอบอุ่นได้อย่างลงตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC)&nbsp; ยังได้เผย 7 เทรนด์สีแห่งปี 2568 ที่คัดสรรมาแล้วว่าเป็นสีที่ช่วยสะท้อนความรู้สึกของยุคสมัยได้อย่างดีเยี่ยม ได้แก่สีม่วงอมน้ำเงิน (Skipper Blue) สื่อถึงความลึกลับและน่าดึงดูด เหมาะกับธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคใหม่สีองุ่นเหลือง (Chardonnay) สีสว่างสดใส สื่อถึงการมองโลกในแง่ดีสีฟ้าอ่อน (Clearwater) ตัวแทนของความหวังและการเริ่มต้นใหม่สีชมพูอ่อน (Crystal Pink) แสดงถึงการยอมรับตัวตนและความงามจากภายในสีแดงมะเขือเทศเชอร์รี่ (Cherry Tomato) กระตุ้นแรงบันดาลใจและความกล้าหาญสีเขียวมอส (Grenoble Green) สื่อถึงความอ่อนเยาว์และการเติบโตของธรรมชาติสีเทาอมน้ำตาล (Smokery Olive) สีแห่งความเรียบง่ายแต่ชัดเจน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/nbXEA1BqDxMECPkKrwro.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="nbXEA1BqDxMECPkKrwro.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="550,550" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในยุคที่ผู้บริโภคคำนึงถึงความปลอดภัยและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ผลิตภัณฑ์ของ SEE JORAKAY ตอบโจทย์เทรนด์ด้วยนวัตกรรมสีภายใต้แนวคิด 'สีปลอดภัย สีธรรมชาติ สีจระเข้' ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นส่วนผสมหลัก โดยเฉพาะการใช้หินปูนธรรมชาติหรือไลม์สโตน ผสานกับเทคโนโลยีกราฟีน นวัตกรรม Super Material ที่ได้รับรางวัลโนเบลมาช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและความทนทานให้กับผลิตภัณฑ์สี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สีจระเข้ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลมากมาย อาทิ Cradle to Cradle มาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม, Global Green Tag ระดับ A Level, Global Green Tag Health Rate ระดับ Platinum รับรองการปลอดสารที่ส่งผลต่อสุขภาพ, Eurofins ระดับ A+ รับรองความปลอดภัยสูงสุดจากการระเหยของสารพิษ, Sensitive Choice โดยสถาบันโรคหอบหืด ประเทศออสเตรเลีย ผลิตภัณฑ์ SEE JORAKAY จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยระดับโลกในการตกแต่งบ้าน อาคาร ไปจนถึงโครงการขนาดใหญ่ เพื่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ปลอดภัยต่อทุกชีวิตและสิ่งแวดล้อม<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/LtQii4L1fmCaZ7Mfrdz3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="LtQii4L1fmCaZ7Mfrdz3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="550,550" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp; &nbsp; ในเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา SEE JORAKAY ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการสีด้วยการเปิดตัว SEE JORAKAY Flagship Store โฉมใหม่ด้วยแนวคิด "สตูดิโอสีสันแห่งแรงบันดาลใจไม่รู้จบ" (The Color Studio of Boundless Inspiration) ณ สำนักงานใหญ่ ถนนกรุงเทพกรีฑา สเปซแห่งนี้ไม่เพียงเป็นโชว์รูมสี แต่เป็นฮับเพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และเปลี่ยนจินตนาการให้กลายเป็นพื้นที่จริง ด้วยการผสานนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับงานดีไซน์ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ภาพ :&nbsp;SEE JORAKAY เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/tiktok-shop-reveals-thai-brands-sales-in-2024-grew-8-times-from-the-previous-year" alt="TikTok Shop เผย ร้านค้า-แบรนด์ไทยยอดขายปี 67 โต 8 เท่าจากปีก่อน เมกะแคมเปญส่งท้ายปีออเดอร์พุ่ง 300%">TikTok Shop เผย ร้านค้า-แบรนด์ไทยยอดขายปี 67 โต 8 เท่าจากปีก่อน เมกะแคมเปญส่งท้ายปีออเดอร์พุ่ง 300%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'SEE JORAKAY' ชี้ คนยุคใหม่เลือกสีแต่งบ้านเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเผยเทรนด์สีสุดฮอตปี 2568 

TikTok รันทุกวงการตลอดปี 2024 สร้างปรากฏการณ์สะเทือนโลกโซเชียล ตั้งแต่อีคอมเมิร์ซ บันเทิง ไปจนท่องเที่ยว

LINE เผย 10 เทรนด์ฮิตปี 2024 'น้องเนย หมูเด้ง' ขวัญใจชาวด้อม ครองโลกดิจิทัล

<h2>Agoda เผย 7 เทรนด์ท่องเที่ยวปี 2568 โดยการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน การท่องเที่ยวกับครอบครัว และการท่องเที่ยวเพื่อสำรวจสถานที่ใหม่ ๆ คือ หัวใจสำคัญของการเดินทางในปีหน้า ชี้ คนไทย 78% เน้นเที่ยวแบบคุ้มค่าโดยใช้จ่ายการเดินทางให้ถูกลง จะได้เที่ยวได้มากขึ้น และใช้งบที่พักเฉลี่ยสูงสุดต่อคืนไม่เกิน 8,500 บาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Agoda (อโกด้า) แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เผยผลสำรวจเทรนด์การท่องเที่ยวปี 2568 ว่าการเดินทางเพื่อการพักผ่อน การท่องเที่ยวกับครอบครัว และการสำรวจเที่ยวชมสถานที่ใหม่ๆ คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญที่สุด นอกจากนี้ นักเดินทางชาวไทยถึง 6% วางแผนที่จะทำงานแบบไม่ต้องเข้าบริษัทเพื่อให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้มากขึ้นอีกด้วย&nbsp;&nbsp; &nbsp;Mr,Ittai Chorev Chief Product Officer of Agoda&nbsp;กล่าวว่า “เรารู้สึกดีใจที่ได้เห็นนักเดินทางวางแผนท่องเที่ยวในปี 2568 ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเพื่อไปพักผ่อนกับครอบครัวหรือการไปสำรวจสถานที่ใหม่ๆ และเราก็พร้อมที่จะช่วยเหลือนักท่องเที่ยวให้ทุกการเดินทางกลายเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจในทุกขั้นตอนของการเดินทาง” แนวโน้ม 7 เทรนด์การเดินทางปี 2568 ของอโกด้า ได้แก่1. ยิ่งไปกันหลายคน ยิ่งสนุก: นักเดินทางเลือกเดินทางกับครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักเดินทางหลายคนชอบใช้เวลากับคนที่รัก โดย 34% ของนักเดินทางวางแผนที่จะท่องเที่ยวกับคนในครอบครัวในปี 2568 ชาวอินโดนีเซียถือเป็นกลุ่มที่มีความสนใจในการเดินทางกับครอบครัวมากที่สุด โดยมากถึง 58% คาดว่าจะเดินทางกับครอบครัวใหญ่หลายรุ่นอายุ ตามมาด้วยการเดินทางกับคู่รัก 23% และเดินทางคนเดียว 19% 2. เที่ยวแบบสบายๆ: การพักผ่อนคือแรงจูงใจหลักในการเดินทาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การหลบหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวันคือเหตุผลหลักที่ทำให้คนอยากเดินทาง ผลสำรวจพบว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกการพักผ่อนเป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่สุดในการเดินทาง โดยชาวสิงคโปร์มากถึง 87% ระบุว่าอยากเดินทางเพื่อพักผ่อน ส่วนในระดับภูมิภาค 39% เดินทางเพื่อไปหาครอบครัวและเพื่อน ขณะที่ 34% เลือกการสำรวจวัฒนธรรมเป็นเหตุผลหลักในการเดินทาง&nbsp;3. ตัวช่วยในการเดินทาง: ใช้เทคโนโลยีช่วยวางแผน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการวางแผนการเดินทางมากขึ้น นักเดินทางถึง 80% วางแผนที่จะใช้แอปพลิเคชันระหว่างการเดินทาง ขณะที่ 12% สนใจทัวร์เสมือนจริง โดยชาวอินเดียดูจะเป็นกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีมากที่สุด ซึ่ง 9 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าใช้แอปพลิเคชันการเดินทางช่วยในการจองทริป&nbsp;4. เดินทางในราคาถูกลง: ท่องเที่ยวมากขึ้น โดยใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การจัดการค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ โดยนักเดินทางชาวไทยมากถึง 78% ตั้งงบไว้ไม่เกิน 8,500 บาทต่อคืนสำหรับการจองที่พัก และ 71% คิดว่าจะตั้งงบในการเดินทางเท่ากันกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ราคาไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ เพราะ 84% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดระบุว่าจะเดินทางเท่าเดิมหรือมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567 โดย 52% วางแผนจะเดินทางไปต่างประเทศ 82% ของนักเดินทางจากฮ่องกงคาดว่าจะเดินทางไปต่างประเทศมากที่สุด และ 27% ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนจะเดินทางทั้งในและต่างประเทศ&nbsp;5. เที่ยวไปทำงานไป: บาลานซ์ชีวิตที่ลงตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถึงแม้ว่า 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามจะยังคงเดินทางเพื่อไปทำงานหรือติดต่อธุรกิจในรูปแบบเดิม แต่ผลสำรวจยังสะท้อนถึงการเติบโตของกลุ่ม “ดิจิทัลโนแมด” หรือคนที่ทำงานโดยไม่ต้องเข้าบริษัท โดย 1 ใน 25 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะทำงานแบบไม่เข้าบริษัทในปี 2568 โดยจะเน้นการผสมผสานระหว่างการทำงานและการพักผ่อนเข้าด้วยกัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มที่หลายบริษัทเริ่มเปิดรับระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น โดยดิจิทัลโนแมดในภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่มาจากประเทศฟิลิปปินส์ และ 1 ใน 14 ของนักเดินทางจากฟิลิปปินส์คาดว่าจะทำงานไปด้วยระหว่างการเดินทาง ตามมาด้วยนักเดินทางจากประเทศไทย ที่ 6% ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนที่จะทำงานแบบไม่ต้องเข้าบริษัทในปีหน้า 6. แรงบันดาลใจในการเดินทาง: หลากหลายวิธีในการค้นพบที่เที่ยวใหม่ ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการได้เดินทางไปสถานที่ใหม่ ๆ เป็นครั้งแรก นักเดินทาง 84% วางแผนที่จะเดินทางไปจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ในปี 2568 ซึ่งแรงบันดาลใจในการออกไปท่องเที่ยวสถานที่ใหม่ ๆ มาได้จากหลายทาง โดย 71% มาจากความสนใจส่วนตัวและงานอดิเรก 56% มาจากโปรโมชั่นราคาประหยัด และ 33% ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนและครอบครัว 20% ได้แรงบันดาลใจจากโซเชียลมีเดีย โดย 29% ของทั้งชาวมาเลเซียและอินโดนีเซียได้รับแรงบันดาลใจมากที่สุดจากอินสตาแกรมและสื่อโซเชียลมีเดียที่คล้ายกัน&nbsp;7. ชีวิตเปรียบเสมือนรถไฟเหาะ: สวนสนุกเป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้คนเลือกเดินทาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สวนสนุกชื่อดังในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น ดิสนีย์แลนด์ที่โตเกียว, เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง, ลอตเต้เวิลด์ที่โซล, ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอที่โอซาก้าและสิงคโปร์, เฟอร์รารีเวิลด์ที่อาบูดาบี เป็นจุดหมายปลายทางที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยนักเดินทาง 13% คาดว่าจะเดินทางไปเยือนสวนสนุกในปี 2568 และนักเดินทางชาวอินโดนีเซียดูจะตื่นเต้นที่สุดกับความบันเทิงในสวนสนุก ซึ่ง 1 ใน 5 คาดว่าจะเดินทางเพื่อไปสวนสนุกโดยเฉพาะ&nbsp; &nbsp; ท้งนี้ Agoda มีข้อเสนอที่พักให้เลือกมากกว่า 4.5 ล้านแห่ง มีเที่ยวบินมากกว่า 130,000 เส้นทาง และกิจกรรมที่น่าสนใจกว่า 300,000 รายการ ให้ความยืดหยุ่นแก่ผู้เดินทางในการปรับแผนทริปให้ตรงกับความสนใจและความต้องการของตัวเอง สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมและข้อเสนอสุดพิเศษ สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.agoda.com หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Agoda ภาพ: Agoda เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/it/lazada-laztravel-fulfil-travel-demand" alt="อยากเที่ยวก็จองผ่านลาซาด้า! ฟีเจอร์ LazTravel โตแรงต่อเนื่อง 11.11 ยอดขายสูงกว่าช่วงปกติ 200%">อยากเที่ยวก็จองผ่านลาซาด้า! ฟีเจอร์ LazTravel โตแรงต่อเนื่อง 11.11 ยอดขายสูงกว่าช่วงปกติ 200%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Agoda เผย เทรนด์ปี 68 คนไทย 78% เน้นเที่ยวแบบคุ้มค่า ใช้งบที่พักเฉลี่ยต่อคืนไม่เกิน 8,500 บาท 

Erewhon ธุรกิจสุดปัง จาก ‘สินค้าออร์แกนิกคุณภาพดี’ และ ‘สมูทตี้แก้วละ 800 บาท’  

<h2>ฮาโลวีน (Halloween) ถือเป็นวัฒนธรรมของประเทศทางตะวันตก ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งในประเทศไทยอาจเรียกวันฮาโลวีนว่าเป็น “วันปล่อยผี” โดยในช่วงนี้ของทุกปี บริษัทหรือองค์กรในไทยไม่น้อยต่างจัดกิจกรรมเพื่อให้เข้ากับเทศกาลฮาโลวีน ทำให้ช่วงปลายเดือนตุลาคมจึงเต็มไปด้วยความคึกคักและสีสันเกี่ยวกับเรื่องผีผีมากเป็นพิเศษ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฮาโลวีนปีนี้ถ้าจะไม่พูดถึงหนังผีคงไม่ได้ แต่ก่อนที่จะพาไปส่องกระแสโซเชียลในเรื่องการพูดถึงเรื่องผีผี เรามาดูกันก่อนว่า เทศกาลฮาโลวีน มีผลกับจำนวนหนังผีที่ฉายในโรงภาพยนตร์มากน้อยแค่ไหน​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/KeZev8x3ar5KQvgYhW7H.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="75%," data-align="center" data-index="1" data-file-name="KeZev8x3ar5KQvgYhW7H.jpg" data-file-size="0" origin-size="1024,768" data-origin="1024px,768px" style="width: 100%;" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75,"></figure></div> ส่องกระแส “ฮาโลวีน” โซเชียลชอบคุยเรื่องหลอนมากแค่ไหน?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ผู้ให้บริการ Media Intelligence ได้รวบรวมข้อมูลบนโซเชียลมีเดียระหว่างวันที่ 21 กันยายน ถึง 29 ตุลาคม 2566 ผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสังคมออนไลน์ (Social Listening) พบว่า ผู้คนในสังคมออนไลน์ หรือ ในโซเชียลมีเดีย มีการพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องราวสยองขวัญหรือเรื่องผีอยู่ที่ 12,885 โพสต์ และได้รับเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) รวม 9,485,246 ครั้ง โดยเฟซบุ๊ก (Facebook) เป็นช่องทางโซเชียลมีเดียที่มีการกล่าวถึงเรื่องราวสยองขวัญหรือเรื่องผีมากที่สุด โดยมีการกล่าวถึง 7,774 โพสต์ และได้รับยอดเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) รวมสูงที่สุดถึง 5,101,514 ครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในช่วงเก็บข้อมูลยังพบคำยอดฮิตอื่น ๆ ที่คนโซเชียลสนใจพูดคุยและกล่าวถึง เช่น Halloween ฮาโลวีน สัปเหร่อ ผี ธี่หยด IMAX ณเดชน์ หลอน เดอะโกส เป็นต้น <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/vQtTeNxHM8ubE62zC3kf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="vQtTeNxHM8ubE62zC3kf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;"></figure></div>​ เรื่องเล่าผีเดอะโกส เป็นที่นิยมของคนชอบเรื่องหลอน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปีนี้ต้องยอมรับเลยว่ากระแสการฟังเรื่องผีนั้นกลับมาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่การเล่าผ่านเว็บบอร์ดและสื่อวิทยุกลายเป็นการเล่าผ่าน Live Streaming บน Social Media ที่มีความสะดวกในการเก็บเรื่องเล่านั้น ๆ ให้สามารถรับชมย้อนหลังได้ ซึ่งสามารถเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ฟังเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถฟังเวลาไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเดินทาง ทำงาน ออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาก่อนเข้านอน จากความสะดวกที่มากขึ้นดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณผู้ฟังเรื่องผีมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ที่ทำให้กระแสการฟังเรื่องผีได้รับความนิยมอย่างมากบนโลกโซเชียล คนที่ชอบฟังเรื่องราวสยองขวัญสุดหลอนต้องรู้จัก The Ghost Radio รายการของคนชอบฟังเรื่องหลอนบนยูทูบ (Youtube) ปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่า 3.7 ล้านคน และมียอดเข้าชมคลิปวิดีโอทั้งหมดมากถึง 2,700 ล้านครั้ง มีผู้ติดตามที่หลากหลายเพศ วัย และอาชีพ แม้กระทั่งศิลปินชื่อดังหรือนักการเมืองยังเป็นแฟนรายการ หนังผี “ธี่หยด” จากเรื่องเล่าสุดหลอนบนโซเชียลสู่โรงภาพยนตร์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรื่อง “ธี่หยด” ถูกวิวัฒนาการมาหลายขั้นตอนจากที่เคยเป็นเรื่องเล่าติดกระแสจนได้รับฉายาเรื่องสุดหลอนประจำเว็บบอร์ดพันทิป จนถูกนำมาเล่าใหม่ผ่านรายการเล่าเรื่องผีอย่าง The Ghost Radio ที่ทำให้กระแสกลับมาอีกครั้ง จนได้ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ อีกทั้งจะได้เป็นหนังผีไทยเรื่องแรกที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ประเภท IMAX อีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการหนังผีไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปัจจุบัน “ธี่หยด” เป็นที่พูดถึงอย่างมากในโซเชียลมีเดีย โดยในช่วงวันที่ 21 กันยายน - 29 ตุลาคม มีจำนวนการกล่าวถึง “ธี่หยด” ทั้งหมด 3,090 ข้อความ ได้รับ Engagement ทั้งหมด 3,112,753 ครั้ง โดยสามารถแยกตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการรวบรวมข้อมูลบน DXT360 แพลตฟอร์มการฟังเสียงบนสังคมออนไลน์ (Social Listening) พบว่าในช่องทาง Facebook มีจำนวนข้อความมากที่สุดที่ 1,758 ข้อความ และยังได้รับ Engagement สูงสุดที่ 2,774,572 ครั้ง รองลงมาด้วยช่องทาง X, Pantip, YouTube, Instagram และ TikTok ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่ามีการแสดงความคิดเห็นในเชิงสนใจที่จะเข้าชมภาพยนตร์ดังกล่าว และมีการบอกเล่าถึงความน่ากลัวของเรื่อง “ธี่หยด” เป็นจำนวนมาก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/sRfAGvrJu8N5ioB475M5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="sRfAGvrJu8N5ioB475M5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการรวบรวมข้อมูล พบว่าโดยเฉลี่ยภาพยนตร์หรือหนังที่เข้าฉายต่อเดือนมีอยู่ประมาณ 20 เรื่อง โดยเป็นหนังประเภทสยองขวัญประมาณ 2-3 เรื่องต่อเดือน แต่พบว่าในเดือนตุลาคมจะมีอัตราการเข้าฉายของหนังประเภทสยองขวัญเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า อ้างอิงจากเดือนตุลาคมปี 2566 พบว่ามีหนังผีเข้าฉายมากถึง 7 เรื่องเลยทีเดียว&nbsp; “สัปเหร่อ” หนังไทยติดลมบน กระแสดีมีแต่คนพูดถึง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สัปเหร่อ” ภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ได้รับความสนใจและได้รับการพูดถึงอย่างมากในโซเชียลมีเดียตั้งแต่หนังเข้าฉายวันแรก เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 66 และยังเป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้ การันตีด้วยยอดรายได้ที่ตอนนี้กวาดรายได้ทั่วประเทศไปแล้ว 600 ล้านบาท ได้กระแสทั้งตัวภาพยนตร์และทีมงาน โดยเฉพาะผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง “ต้องเต ธิติ” วันที่นำทีมนักแสดงไปให้สัมภาษณ์ในรายการออนไลน์ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” ถ่ายทอดสดพร้อมกันบนยูทูบ (Youtube) และ เฟซบุ๊ก (Facebook) ซึ่งบนเฟซบุ๊กมีคนเข้าชมถึง 5.6 ล้านวิว และได้รับ Engagement รวมอยู่ที่ 406,066 ครั้ง ส่วนใหญ่ของผู้ที่เข้ามาชมรายการได้แสดงความคิดเห็นร่วมยินดีกับความสำเร็จของนักแสดงและผู้กำกับ ทั้งยังกล่าวชื่นชมกับผลงานที่นำเสนอออกมา&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากกระแสความนิยมคอนเทนต์ประเภทสยองขวัญบนโซเชียล สามารถพัฒนาไปสู่ภาพยนตร์คุณภาพและมีโอกาสส่งออกไปฉายในต่างประเทศ หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังในการผลักดันให้เป็น Soft Power เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสามารถสร้างผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและส่งเสริมให้วัฒนธรรมไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น ​อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/loreal-%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1" alt="L’Oreal แถลงเติบโตต่อเนื่อง คว้ารางวัลด้านสิ่งแวดล้อม">L’Oreal แถลงเติบโตต่อเนื่อง คว้ารางวัลด้านสิ่งแวดล้อม</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ส่องเทรนด์ฮาโลวีนไทย ภาพยนตร์สองเรื่องมาแรง

<h2 class="p1">รายงาน “The Future 100” ประจำปี มองไปข้างหน้าหาเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค และนวัตกรรมที่จะกำหนดชะตาในปี 2020 ตั้งแต่เทรนด์ของการมองอนาคตในแง่บวก จนถึงการเปิดกว้าง และทัศนคติที่เปลี่ยนไปต่อประเด็นที่เคยเป็นสิ่งต้องห้ามในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ Wunderman Thompson Intelligence มองถึง 100 เทรนด์แห่งอนาคตและนำเสนอผ่านรายงาน “The Future 100”</h2>
“The Future 100” จะช่วยให้ทุกองค์กรได้เตรียมปรับตัวรับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภคกับ 100 เทรนด์ที่ The Innovation Group คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 10 หมวด และแต่ละเทรนด์ให้ภาพรวมของกระแสที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบันไว้อย่างกระชับ เข้าใจง่าย พร้อมอธิบายอย่างชัดเจนว่าเพราะเหตุใดแบรนด์และนักการตลาดจึงควรให้ความสนใจกับเทรนด์นั้นๆ
จากเทรนด์ที่หลากหลายตั้งแต่เครื่องดื่มค็อกเทลอันแสนซับซ้อน สปาดิจิทัล ไปจนถึงประกันภัยแบบบอกรับเป็นสมาชิก และการเดินทางสำรวจทางวิทยาศาสตร์ “The Future 100” คาดว่าปี 2020 จะเป็นการเปิดศักราชใหม่ที่อยู่กับความเป็นจริง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งจินตนาการสร้างสรรค์ด้วยพลังของนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และประสบการณ์ที่ถูกนิยามขึ้นใหม่เพื่อนักช็อปสายไฮสตรีต ดังนั้นรายงาน “The Future 100” จึงอัดแน่นไปด้วยข้อมูลเชิงลึก และมุมมองที่สดใหม่เกี่ยวกับปีนี้และปีต่อๆ ไป
“การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่แท้จริงได้เกิดขึ้นแล้ว โดยทั้งเจตนารมณ์และความโปร่งใสจะเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดที่ทำให้ลูกค้าเกิดความจงรักภักดี ในขณะที่จินตนาการจะมีบทบาทเหนือข้อมูลในเรื่องการดึงดูดผู้บริโภค “The Future 100” คือวิธีหนึ่งในการเกาะติดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และแนวโน้มย่อยที่ขยับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นโอกาสให้นักการตลาดได้พาตัวเองขึ้นนำหน้า”
รายงานนี้ได้จัดแบ่งเทรนด์ต่างๆ ออกเป็น 10 หมวดหมู่ ได้แก่ วัฒนธรรม (culture) เทคโนโลยีและนวัตกรรม (tech &amp; innovation) การเดินทางและภาคบริการ (travel &amp; hospitality) แบรนด์และการตลาด (brands &amp; marketing) อาหารและเครื่องดื่ม (food &amp; drink) ความงาม (beauty) ค้าปลีก (retail) สินค้าและบริการระดับหรูหรา (luxury) สุขภาพ (health) และการเงิน (finance)

<h2 class="p1">ไฮไลต์แห่งปี 2020</h2>
ถ้าเรามองอนาคตในแง่บวก (optimistic futures) ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมจะทำให้ผู้บริโภคตกอยู่กับความวิตกกังวลแต่บริษัทที่คิดการณ์ไกลหลายรายกำลังทำให้บรรยากาศที่หมองหม่นกลับสดใสขึ้นด้วยภาพอนาคตที่เป็นไปได้จริงและมองโลกในแง่บวก ไม่ว่าจะด้วยสีแพนโทนในเฉดแดง flame scarlet สุดร้อนแรงสำหรับฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2020 หรือแคมเปญ “Rebuild the World” ของเลโก้
-ยุคแห่งความเป็นส่วนตัว (the privacy era)
ครั้งหนึ่งการเก็บรวบรวมข้อมูลเคยถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ช่วยผู้บริโภค แต่ในปัจจุบันมันกลับถูกตราหน้าว่ามีวาระซ่อนเร้น และไร้ซึ่งจริยธรรม ผู้บริโภคได้มาถึงจุดแตกหักแล้ว ท่ามกลางสภาวะที่มีการล้ำเส้นในเรื่องข้อมูลอยู่บ่อยครั้งและรุนแรง โครงการต่างๆ ที่บางแบรนด์ได้ดำเนินการไปในปี 2019 ถือเป็นก้าวแรกเพื่อไถ่โทษของตนเอง และแนวคิดที่จะให้ผู้บริโภคมีอำนาจควบคุมข้อมูลของตนเองก็กำลังมีความเป็นไปได้อย่างชัดเจน
-แบรนด์ที่ดีต่อภูมิอากาศ (climate positive brands)
ในขณะที่ปัญหาเรื่องสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นข่าวใหญ่อยู่เนืองๆ แบรนด์ต่างๆ จึงมุ่งสร้างหลักประกันว่าตนเองมีแผนธุรกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง และมีนโยบายที่ทำให้อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิของตนเองเป็นศูนย์ (carbon-neutral) ตลอดจนมีความโปร่งใสในเรื่องความรับผิดชอบของตน การทำเช่นนี้ไม่เพียงสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังช่วยสร้างความจงรักภักดีของลูกค้าอีกด้วย เนื่องจากผู้บริโภคมีความตระหนักและรอบรู้เรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี
-การปลดเปลื้องสิ่งต้องห้ามในโลกตะวันออก (untabooing in the east)
ความเปลี่ยนแปลงที่นำมาซึ่งการเปิดกว้างในเรื่องสิ่งต้องห้าม และข้อจำกัดทางเพศตามขนบเดิมๆ ในเอเชียกำลังจุดประกายให้เกิดแนวทางการตลาดที่สดใหม่ในภูมิภาคนี้ ทัศนคติต่อสุขภาพจิต สุขภาพทางเพศ และเพศสภาพ กำลังเปลี่ยนแปลงไปด้วยพลังสนับสนุนของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
-สวนสนุกความงามรูปแบบใหม่ (new beauty playgrounds)
การช็อปปิ้งแบบสร้างประสบการณ์มีความสอดคล้องกับเทรนด์ของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ความงามในปัจจุบัน ที่ยังคงชื่นชอบการได้ลองและเลือกซื้อเครื่องสำอางเองภายในร้าน จากเทรนด์ดังกล่าวแบรนด์ความงามจึงมุ่งสร้างพื้นที่ที่จะเป็นสวนสนุกที่สร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้อย่างแท้จริง พร้อมกับจินตนาการสร้างสรรค์เคาน์เตอร์ผลิตภัณฑ์ความงามขึ้นใหม่ให้เป็นที่หมาย ซึ่งผู้บริโภคสามารถใช้เวลาสนุกไปกับการเล่น การลองและแน่นอนว่าจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์ได้ด้วย
-ระบบสมาชิกบุกโลกตะวันออก (subscription goes east)
ระบบสมาชิกไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการรับข่าว การเข้าฟิตเนส หรือการฟังเพลงอีกต่อไป โลกของการใช้ชีวิตในระบบสมาชิกกำลังเฟื่องฟูถึงขีดสุดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทุกวันนี้คุณสามารถเป็นสมาชิกได้ทุกอย่างตั้งแต่เครื่องดื่มที่บาร์ไปจนถึงการทำผมการดูแลความงาม การหาเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปทำงาน หรือแม้กระทั่งรถยนต์เลกซัส
-สนามบินยกระดับ (elevated airports)
สนามบินกำลังก้าวไกลเกินความเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการเดินทางสู่การเป็นที่หมายทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ในตัวของมันเอง ดังที่ได้เห็นจากท่าอากาศยานชางงีของสิงคโปร์ซึ่งมีน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลก (Jewel Changi) และท่าอากาศยานนานาชาติต้าซิง (Daxing International Airport) ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งได้รับการออกแบบให้เป็นรูปปลาดาว โดยสถาปนิก Zaha Hadid ผู้ล่วงลับ
สำหรับ Wunderman Thompson Intelligence เป็นหน่วยงานวิจัยและนวัตกรรมของ Wunderman Thompson ที่มุ่งเน้นเรื่องอนาคตเป็นสำคัญ โดยเป็นผู้เชื่อมโยงให้เห็นแบบแผนแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และนวัตกรรมที่ปรากฏตัวขึ้นและกำลังจะก่อตัวขึ้นต่อไปในอนาคตทั่วโลกพร้อมทั้งแปลความหมายให้เป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อประโยชน์ของแบรนด์ต่างๆ
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b8%aa%e0%b8%96%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b9%8c%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%af-%e0%b9%81%e0%b8%a5.html">สรุปสถานการณ์อสังหาฯ และ New Normal หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร</a></li>
</ul>
&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-30771" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/Emma-Chiu.jpg" alt="" width="300" height="300" />
Emma Chiu
Global Director
วันเดอร์แมน ธอมป์สัน อินเทลลิเจนซ์


<hr />

<a href="https://bit.ly/3dp757n">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-29538" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/COVER_750.jpg" alt="" width="300" height="394" />

100 เทรนด์ต้องติดตามในทศวรรษ 2020

Google เสิร์ชเอนจินยอดนิยมระดับโลก ประกาศสุดยอดคำค้นหาประจำปี 2018 ซึ่งเเสดงให้เห็นถึงภาพรวมของสังคม ตลอดปีที่ผ่านมาผ่านมุมมองของผู้คนในประเทศไทย ทั้งความโดดเด่นจากเหตุการณ์สำคัญเเละเทรนด์การค้นหาสุดฮิตในเมืองไทย
โดย 4 ใน 5 อันดับแรกของคำค้นหายอดนิยมเป็น “ละคร” บ่งชี้ได้ชัดเจนว่าความบันเทิงยังครองเเชมป์ความสนใจของคนไทยในปีนี้ ซึ่งคำที่มีคนค้นหามากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2018 ที่ผ่านมาได้แก่ "บุพเพสันนิวาส" 
สำหรับ “บุพเพสันนิวาส" ซึ่งออกอากาศทางช่อง 3 เป็นละครแนวย้อนยุคที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม สร้างปรากฎการณ์ “ออเจ้า” ให้กลายเป็นสรรพนามฮิตติดปากของคนไทยจำนวนมาก
ตามมาด้วย “เมีย 2018” และ “เลือดข้นคนจาง” ละคร 2 เรื่องทางช่อง ONE31 และ “สัมปทานหัวใจ” ของช่อง 7 ติดโผอันดับ 5 ขณะที่คำค้น "บอลโลก 2018" คั่นอยู่ที่อันดับ 2 ส่วนอันดับ 6-10 ได้แก่ คำว่า "เกมเสน่หา", "หวย 30 ล้าน", "โอ วรุฒ", "ลิขิตรัก", และ "เด็กใหม่"
สุดยอดคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2018 
1) บุพเพสันนิวาส
2) บอลโลก 2018
3) เมีย 2018
4) เลือดข้นคนจาง
5) สัมปทานหัวใจ
6) เกมเสน่หา
7) หวย 30 ล้าน
8) โอ วรุฒ
9) ลิขิตรัก
10) เด็กใหม่
ด้าน หมวดข่าวในประเทศ คำค้นหายอดนิยมที่สุดประจำปีนี้ได้แก่ "ข่าวถ้ำหลวง 13 ชีวิต" ที่นอกจากจะเป็นข่าวดังในประเทศเเล้วยังเป็นเหตุการณ์ที่ดังไปทั่วโลก กับภารกิจช่วยเหลือชีวิตเด็ก 12 คนและผู้ฝึกสอน ทีมฟุตบอลหมูป่าอคาเดมี ออกมาจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนในจังหวัดเชียงรายได้สำเร็จ หลังจากติดอยู่เป็นเวลานาน 16-18 วัน โดยได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก มีอาสาสมัครเดินทางเข้ามาช่วยเหลือทั้งจากไทยและต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มากมาย

ตามมาด้วย "ข่าวหวย 30 ล้าน" ซึ่งเป็นความอลเวงของการตามหาความจริงว่าผู้ใดคือเจ้าของตัวจริงของล็อตเตอร์รีชุดที่ถูกรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ก็อยู่ในความสนใจของคนไทยต่อเนื่องมาตั้งเเต่ปีที่เเล้ว

ส่วนข่าวดังอื่นๆ เช่น ข่าว “เรือล่มภูเก็ต” และการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ “เจ้าสัววิชัย เเห่งคิงเพาเวอร์” ก็ติด 10 อันดับคำในการค้นหายอดนิยมประจำปีนี้ด้วยเช่นกัน

คำค้นหายอดนิยมหมวดข่าวในประเทศ

1) ข่าวถ้ำหลวง 13 ชีวิต
2) ข่าวหวย 30 ล้าน
3) ข่าวน้องอิน
4) ข่าวโอ วรุฒ
5) ข่าวนิว วงศกร
6) ข่าวเจ้าสัววิชัย
7) ข่าวราคาทอง
8) ข่าวเรือล่มภูเก็ต
9) ข่าวกัปตัน
10) ข่าวหมอปลาเสียชีวิต
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/ben-king-%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87-google-%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B9%8C-%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%A8.html">อ่านสัมภาษณ์พิเศษ : Ben King แห่ง Google ต่อจิ๊กซอว์ ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลไทย </a></li>
</ul>
ส่วนหมวด บุคคล คำที่มีการค้นหามากที่สุดในประเทศไทย ประจำปีนี้ ได้แก่ "แมท ภีรนีย์" นักเเสดงสาวที่มีข่าวการคบหาดูใจกับนักธุรกิจหนุ่ม "สงกรานต์ เตชะณรงค์" หลังจากหย่าขาดกับอดีตภรรยา "แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ" นักเเสดงสาวชื่อดัง ซึ่งทำให้เกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโซเชียลมีเดีย โดยส่วนใหญ่ในหมวดบุคคลจะเป็นคำค้นหาชื่อของคนดังในเเวดวงบันเทิง

เเต่ก็มีชื่อของบุคคลที่ตกเป็นข่าวดังอยู่ 3 คน ได้แก่ "ครูบา บุญชุ่ม" พระชื่อดังจากรัฐฉานของเมียนมาที่เดินทางมาทำพิธีเปิดทางหน้าถ้ำหลวงกับภารกิจช่วยชิวิตทีมหมูป่าอคาเดมี 13 คนที่ติดถ้ำ เเละ "บอย สกล" ซึ่งตกเป็นข่าวว่าเเอบอ้างเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ"ภาคิน" กับข่าวเจ้าบ่าวที่หนีงานแต่งงาน

คำค้นหายอดนิยมหมวดบุคคล

1) แมท ภีรนีย์
2) กัปตัน ชลธร
3) BNK48
4) สายป่าน
5) ครูบา บุญชุ่ม
6) บอย สกล
7) ภาคิน
8) เบลล่า
9) ติ๊ก Big Brother
10) โป๊ป ธนวรรธน์

ขยับมาที่สายดนตรีด้วย ชื่อเพลง ที่มีการค้นหามากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย โด่งดังกับกระเเสท่าเต้นสุดฮิตกับเพลงครึกครื้นสนุกสนานอย่าง "ปานามา" (Panama) ผลงานของศิลปิน Matteo จากโรมาเนีย ตามมาด้วยเพลง "ประเทศกูมี" ของกลุ่ม Rap Against Dictatorship ที่มีเนื้อหาเเละมิวสิควิดิโอเสียดสีสังคมไทย ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก หลังปล่อยเพลงออกมาในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เเละมียอดเข้าชมผ่านเว็บไซต์ youtube เเล้วกว่า 46 ล้านวิวในวันนี้ (13 ธันวาคม) ขณะที่ปรากฎการณ์เพลงฮิตที่มีท่าเต้นน่าจดจำอย่าง "คุกกี้เสี่ยงทาย" ของศิลปิน “BNK48” ก็ติดอันดับ 3 คำค้นหาในหมวดเพลงปีนี้ นอกจากนี้ยังมี ค้นหาเพลงใหม่ต่างๆ เช่น “วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า” “ซ่อนกลิ่น” และ “ถอย” จากวงกลิสส์

คำค้นหายอดนิยมหมวดเพลง

1) ปานามา
2) ประเทศกูมี
3) คุกกี้เสี่ยงทาย
4) วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า
5) ซ่อนกลิ่น
6) นอกจากชื่อฉัน
7) ถอย
8) ภาวะแทรกซ้อน
9) รักควาย ๆ
10) ช้ำคือเรา

ด้านหมวด สถานที่ทั่วไปในประเทศไทย "เขาค้อ" ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง ตามมาติดๆด้วย "เขาใหญ่", "อยุธยา" ที่ได้อานิสงส์จากความโด่งดังของละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเเละเมืองเงียบสงบอย่าง "น่าน"

คำค้นหายอดนิยมหมวดสถานที่ทั่วไป

1) เขาค้อ
2) เขาใหญ่
3) อยุธยา
4) น่าน
5) กรุงเทพ
6) พัทยา
7) เชียงใหม่
8) สุราษฎร์ธานี
9) หัวหิน
10) เชียงคาน

นอกจากนี้ยังมีคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2018 ในหมวดที่น่าสนใจต่างๆ ดังนี้

คำค้นหายอดนิยมหมวดทีมฟุตบอล

1) ฝรั่งเศส
2)โครเอเชีย
3) บราซิล
4) เบลเยียม
5) เลสเตอร์ ซิตี้
6) อาร์เจนติน่า
7) ยูเวนตุส
8) อาร์เซนอล
9) ลิเวอร์พูล
10) แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

คำค้นหายอดนิยมหมวดสถานที่ (ร้านอาหาร)

1) ร้านกาแฟชายทุ่ง
2) ร้านป้าบุญล้อม
3) ร้านตู้กับข้าว
4) ร้านลมโชย
5) ร้านโรงพัก
6) ร้านแสงแดด
7) ร้านสายลม บางปู
8) ร้านปูเป็น
9) ร้านเปิ้ลนาคร
10) ร้านใส่นม

คำค้นหายอดนิยมหมวด How to

1) วิธีทำเกี๊ยวน้ำ
2) วิธีกดเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
3) วิธีนุ่งโจงกระเบน
4) วิธีทําหมูโสร่ง
5) วิธีทำขนมเข่ง
6) วิธีทําบัวลอย
7) วิธีทําน้ำปลาหวาน
8) วิธีกําจัดแมลงหวี่
9) วิธีพับแบงค์เป็นดอกกุหลาบ
10) วิธีไหว้ตรุษจีน

คำค้นหายอดนิยมหมวดราคาสินค้า

1) ดอกมุราคามิ
2) iPhone 8
3) Honda PCX 2018
4) Mitsubishi Xpander
5) ทองครึ่งสลึง
6) Netflix
7) MG ZS
8) แบตเตอรี่รถยนต์
9) เสื้อบอลโลก 2018
10) Nissan March

คำค้นหายอดนิยมหมวดรายการโทรทัศน์

1) บุพเพสันนิวาส
2) เมีย 2018
3) เลือดข้นคนจาง
4) สัมปทานหัวใจ
5) เกมเสน่หา
6) ลิขิตรัก
7) เด็กใหม่
8) ล่า
9) หนึ่งด้าวฟ้าเดียว
10) บาปรัก

ทั้งนี้ Google ได้เผยผลการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่า “Year in Search” หรือ “1 ปีแห่งการค้นหา” ผ่านการสำรวจเพื่อตอบความสงสัยที่เกิดขึ้นจากคำค้นจำนวนกว่าล้านล้านคำในแต่ละปี โดยนอกจาก Year in Search ที่เป็นไฮไลต์เทรนด์การค้นหายอดนิยมประจำปี 2019 ยังมีเครื่องมือต่างๆ ที่แสดงแนวโน้มเชิงลึกของข้อมูลในระดับโลก ระดับภูมิภาค ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ ซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์  <a href="https://trends.google.com/trends/yis/2018/TH/">google.co.th/trends</a>

&nbsp;

credit photo : AFP

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events