อิเกียอัดยาแรง อัดฉีดเงินลงทุน 200-250 ล้านบาท หั่นราคาสินค้ากว่า 2,500 รายการลงอีก 20-25% ตั้งแต่กันยายนปีนี้ถึงสิ้นสิงหาคมปีหน้า พร้อมรุกจริงจังธุรกิจ B2B ส่วนสาขาใหม่พร้อมลุยอีสานครั้งแรกกับคอมมูนิตี้ฯ ของกลุ่มซีพี เตรียมเปิดตัวเดือนกรกฎาคมปีหน้า ส่วนภาคใต้เตรียมย้ายสาขาภูเก็ตไปทำเลใหม่ เพิ่มพื้นที่ขายอีก 5 เท่าตัว
ลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม เปิดเผยว่า แม้ปีนี้ยังคงเป็นปีแห่งความท้าทายและมีความยากลำบากในการทำธุรกิจอีกปีหนึ่ง แต่บริษัทยังมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเติบโตธุรกิจของอิเกียให้ได้ถึง 6 เปอร์เซ็นต์ในปีงบประมาณ 2569 (กันยายน 2568 - สิงหาคม 2569) ด้วยการโฟกัสใน 3 ด้าน คือ ด้านราคา บริษัทจะเพิ่มเงินลงทุนด้านราคาเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ใช้ไป 2.5 ล้านยูโร เป็น 6.5 ล้านยูโร หรือประมาณ 200-250 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของลูกค้าในภาวะที่มีกำลังบางเบา ภายใต้แคมเปญ “Every Day More Value” ซึ่งมีสินค้ามากกว่า 2,500 รายการที่มีราคาต่ำกว่า 200 บาท การลดราคาสินค้าประมาณ 20-25% ในครั้งนี้จะตรึงราคาตลอดปีงบประมาณ 2569 ต่างจากปีงบประมาณ 2568 ที่จะลดราคาเพียง 6 เดือนเท่านั้น

“อิเกียมีการลงทุนเรื่องราคาสินค้า เพราะเราต้องการจะทำธุรกิจอยู่ในเมืองไทยระยะยาว และเราต้องการสร้างความไว้ใจในเรื่องราคาที่ดี เข้าถึงได้ของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านนอกจากให้ความสำคัญเรื่องราคาสินค้าแล้ว เรายังให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและรูปแบบดีไซน์ด้วย” ลีโอนี่ กล่าว
นอกจากนี้แล้ว อิเกียยังจะนำเข้า packaged food จากสวีเดนเพิ่มขึ้นใน Swedish Food Market จากที่ปัจจุบันมีสินค้ามากถึง 145 รายการ เพื่อเพิ่มทางเลือกและความหลากหลายให้ลูกค้าได้สัมผัสรสชาติแบบสวีเดน ทั้งในร้านและการทำกับข้าวทานเองที่บ้านมากขึ้น

ในส่วนที่ 2 จะให้ความสำคัญกับ IKEA Complete Kitchen, Cooking and Eating เพราะอิเกียเชื่อว่าครัวคือมากกว่าพื้นที่สำหรับปรุงอาหาร แต่เป็นจุดศูนย์กลางของชีวิต เป็นพื้นที่แห่งการเชื่อมโยง การเฉลิมฉลอง และการแบ่งปันความรู้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งอิเกียยังเล็งเห็นว่าวัฒนธรรมการกินยังเป็นเรื่องที่อยู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ในปีนี้ อิเกียจึงเดินหน้าโฟกัสกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุดครัวของอิเกียได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ผ่านแคมเปญ ‘แคมเปญ Whenever you're cooking, it's starts in the kitchen ความสุขไหนๆ เริ่มต้นได้ที่ห้องครัว’ เพื่อมุ่งสื่อสารถึงความหลากหลายในการใช้งาน ความสะดวกสบาย และคุณภาพที่เชื่อถือได้ ในราคาที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
ในส่วนที่ 3 บริษัทจะเน้นการขยายและเพิ่มการเข้าถึงในประเทศไทย ซึ่งลีโอนี่กล่าวต่ออีกว่า ปัจจุบันอิเกียมีสาขาทั้งหมด 5 แห่ง ในกรุงเทพฯ 3 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 2 แห่ง คือภูเก็ตและเชียงใหม่ ซึ่งเพิ่งเปิดตัว “IKEA Chiang Mai Order Point” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นคอนเซ็ปต์แรกที่พัฒนาโดยทีมอิเกียในไทย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ชอบความสะดวกสบาย จึงมีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า และมียอดขายเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก
บริษัทวางแผนจะเปิดอิเกียสาขาที่ 6 ในภาคอีสานครั้งแรก ในเดือนกรกฎาคมปีหน้า ส่วนรูปแบบจะขออนุมัติในการประชุมบอร์ดในสัปดาห์หน้า คาดว่าคงมีรูปแบบเดียวกับที่เชียงใหม่ มีขนาด 750 ตารางเมตร และเปิดกับคอมมูนิตี้มอลล์ของบริษัท ซีพี ฟิวเจอร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (CPFC) ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณการลงทุนมากกว่าที่สาขาเชียงใหม่ที่ลงทุนไป 30 ล้านบาทเพียงเล็กน้อย
ลีโอนี่ กล้าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจในภาคใต้ ด้วยการ relocate อิเกียสาขาภูเก็ตไปยังทำเลใหม่ และขยายพื้นที่ร้านจาก 2,000 ตารางเมตรในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นอีก 5 เท่าตัวเป็น 10,000 ตารางเมตร
นอกจากการขายสินค้าในระบบ B2C แล้ว บริษัทยังเห็นโอกาสที่จะขยายธุรกิจในระบบ B2B หรือ IKEA for Business Partners เป็นการขยายธุรกิจไปสู่ลูกค้าองค์กร เพราะเห็นว่ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันยังมีความท้าทาย โดยเฉพาะการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม อาคารสำนักงาน และการปรับโฉมของที่อยู่อาศัย คอนโดมิเนียมและโรงแรม จึงยังมีความต้องการสินค้าและโซลูชันเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านอยู่อย่างต่อเนื่อง อิเกียจะให้บริการเป็นแบบ One Stop Solution มีดีไซเนอร์ช่วยออกแบบให้ลูกค้า และบริการหลังการขายเฉพาะบุคคล

ปัจจุบันอิเกียมีลูกค้าใน B2B กว่า 3,000 กว่าราย เป็นลูกค้า SMEs 80% ที่เหลือเป็นลูกค้ารายใหญ่ ลูกค้าเหล่านี้มีการกลับมาใช้บริการซ้ำกว่า 30% อิเกียเริ่มให้บริการลูกค้าในระบบ B2B มาประมาณ 3 ปี มียอดขาย 137 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และจะเพิ่มเป็น 170 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2569 และเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านบาทในอีก 4 ปีข้างหน้า
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างวางแผนเซ็น MOU หรือ Memorandum of Understanding กับพันธมิตรรายใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ จึงคาดว่าธุรกิจ B2B จะเป็นอีกหนึ่ง growth driver ที่จะทำให้ยอดขายของอิเกียเติบโตได้ถึง 6% ในปีงบประมาณ 2569 นี้
สำหรับภาพรวมของอิเกียในปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมา (กันยายน 2567 - สิงหาคม 2568) ถือเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัว ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความตึงเครียดทางการค้าโลก ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภค
แม้จะมีแรงกดดันจากภายนอก อิเกีย ประเทศไทยยังสามารถสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยมีผลประกอบการเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 6.3% อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์หลายด้าน แต่ยอดขายมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเพียง 1% เท่านั้น สำหรับยอดขายของอิเกียในปีงบประมาณ 2568 มาจากสโตร์ 73% และที่เหลืออีก 27% มาจาก IKEA.co.th
ภาพ: อิเกีย ประเทศไทย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เพราะคนไทยชอบซื้อของใกล้บ้าน! เหตุผล ‘อิเกีย’ บุกเชียงใหม่ ลุ้นร่วมกับ ‘ซีพี-ดีแคทลอน’ ไปจังหวัดอื่นเพิ่ม
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine