‘อินฟลูเอนเซอร์’ อีกหนึ่งอาชีพมาแรงยุคดิจิทัลที่อาจมีมูลค่าตลาดทะลุ 3 หมื่นล้านเหรียญในปีนี้ - Forbes Thailand

‘อินฟลูเอนเซอร์’ อีกหนึ่งอาชีพมาแรงยุคดิจิทัลที่อาจมีมูลค่าตลาดทะลุ 3 หมื่นล้านเหรียญในปีนี้

หากพูดถึงอาชีพมาแรงในปัจจุบัน หลายคนอาจนึกถึงงานสายไอทีที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งนับว่าไม่ผิด แต่ในโอกาสนี้ Forbes Thailand จะขอพูดถึงอีกสายงานที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบพลิกวงการโฆษณาและการตลาดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นั่นคืออาชีพ ‘อินฟลูเอนเซอร์’


    อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คือผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ ด้วยจำนวนผู้ติดตามมหาศาลที่พร้อมจะขานรับทุกการกระทำของพวกเขา จนเกิดเป็นกระแสตามมา ซึ่งมีทั้งเรื่องดีและเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ปะปนกันไป อินฟลูเอนเซอร์ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนทั้งตัวตน แนวคิด และเนื้อหาที่ผลิตออกมาหลายคนก็ไปเข้าตาแบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ จนได้รับการว่าจ้างให้ช่วยโปรโมตผลิตภัณฑ์แลกกับค่าตอบแทนที่แปรผันตามจำนวนผู้ติดตามและคุณภาพคอนเทนต์

    อินฟลูเอนเซอร์นั้นแตกต่างจากดารา นักแสดง หรือนักร้องบนสื่อกระแสหลักอย่างโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ พวกเขาอาจมีจุดเริ่มต้นจากคนทั่วๆ ไปที่หันมาสร้างคอนเทนต์ลงบนช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง ก่อนจะได้รับความนิยมมากขึ้น สะสมจำนวนผู้ติดตาม และกลายมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ในที่สุด

    การมาของแพลตฟอร์มคลิปสั้นอย่าง TikTok กอปรกับพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนไปช่วงโควิด-19 ยิ่งกระตุ้นให้นักการตลาดต้องหันมาใช้งานอินฟลูเอนเซอร์กันมากขึ้น กลายเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า Influencer Marketing ซึ่งมีจุดแข็งคือสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างใกล้ชนิด เพราะอินฟลูเอนเซอร์ที่นักการตลาดเลือกใช้จะต้องเป็นคนที่กลุ่มเป้าหมายรู้จัก และทรงอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของพวกเขานั่นเอง โดยอินฟลูเอนเซอร์หลายคนก็เข้าใจพฤติกรรมตลอดจนความคิดของกลุ่มเป้าหมายมากกว่าหรือพอๆ กับนักการตลาด

    อีกทั้งการจ้างงานอินฟลูเอนเซอร์ในบางครั้งก็อาจเป็นการใช้งบเพื่อการโฆษณาที่คุ้มค่ากว่าการจ้างดาราดังมาเป็นพรีเซนเตอร์แบบเดิมๆ ทำให้มูลค่าตลาดอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกเติบโตขึ้นจาก 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2015 สู่มูลค่า 24,000 ล้านเหรียญในปี 2024 อ้างอิงข้อมูลจาก Satista ซึ่งคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกจะเติบโตแตะ 32,500 ล้านเหรียญในสิ้นปีนี้ กล่าวคือเติบโตขึ้นถึง 36% เทียบกับปีก่อนหน้า

    เดิมนั้นแบรนด์ที่เลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์เจาะกลุ่มลูกค้ามักเป็นแบรนด์แฟชั่น แต่ในระยะหลังสินค้าอุปโภคบริโภครวมถึงบริการต่างๆ ก็มีการทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ไม่น้อย ตั้งแต่แบรนด์เล็กจับตลาดนิช ไปจนถึงแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก

    ยกตัวอย่าง Fernando Fernandez ซีอีโอคนใหม่ของ Unilever ที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2025 ก็ประกาศว่าจะจ้างอินฟลูเอนเซอร์เพิ่มขึ้นจากเดิม 20 เท่าโดยเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาด และจะมาการทุ่มงบโฆษณามากถึง 50% ลงกับโซเชียลมีเดีย เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ใช้เพียง 30% เท่านั้น เหตุผลของเขาคือ ผู้บริโภคเริ่มกังขาใน Corporate Branding มากขึ้น พร้อมกับมองหาช่องทางอื่นๆ ที่ดูจริงและน่าเชื่อถือมากกว่า

    Oliver Lewis ซีอีโอของ The Fifth แสดงความคิดเห็นว่า “สิ่งที่เคยมองว่าเป็นแค่ส่วนเสริม ตอนนี้กลับกลายเป็นจุดศูนย์กลาง” หรือก็คือ Influencer Marketing ที่ไม่ใช่แค่การสร้างสีสันให้กับสินค้าอีกต่อไป แต่กลับกลายมาเป็นตัวแปรสำคัญในการพิชิตใจผู้บริโภค

    อีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของอินฟลูเอนเซอร์คือกลุ่มคน Gen Z ที่ทยอยก้าวเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้บริโภคกันมากขึ้นเรื่อยๆ จุดเด่นของคนกลุ่มนี้คือการเติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีดิจิทัล การเล่นโซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเขา โดยชาว Gen Z ส่วนหนึ่งเข้าสู่วัยทำงานและมีกำลังซื้อแล้ว อีกส่วนก็อยู่ในวัยที่สามารถใช้โซเชียลมีเดียเป็น พวกเขาต่างมองหาคอนเทนต์ที่มีความเชื่อมโยงกับตัวเอง หากนักการตลาดใช้อินฟลูเอนเซอร์ถูกคน ก็ย่อมเข้าถึงผู้บริโภค Gen Z ได้อย่างแม่นยำ


ที่มา:

Big Brands Are Spending More on Influencer Marketing

Major Brands Are Shifting Budgets Towards Influencer Marketing

ภาพปก: Polina Tankilevitch from Pexels​


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ปี 2024 สหรัฐสร้างเศรษฐีใหม่ กว่า 1,000 คนต่อวัน รั้งตำแหน่งประเทศที่มีคนรวยมากสุดในโลก

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine