POLA สกินแคร์แบรนด์ญี่ปุ่น มั่นใจโตต่อเนื่อง หลังปี 2024 ยอดขายผ่าน E-Commerce พุ่ง 157% เล็งปักหมุดขยายช่องทางผ่านเคาเตอร์แบรนด์ตามห้างสรรพสินค้าในต่างจังหวัด แต่ต้องเตรียมความพร้อมเรื่องข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค และติวเข้มพนักงานขายให้เข้าใจสินค้าที่ผลิตด้วยนวัตกรรมก่อนจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ลูกค้าและกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นได้
จุดกำเนิดของแบรนด์ที่เกิดจาก “ความรัก” อย่างแท้จริง โดย ชิโนบุ ซูซูกิ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ POLA (โพลา) ได้สังเกตเห็นมือของภรรยาแห้งกร้าน จึงคิดค้นครีมทามือขึ้นเพื่อมอบให้แก่เธอ ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากความใส่ใจนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นจนพัฒนาและเติบโต เป็นอาณาจักรความงามของแบรนด์โพลา ที่สืบทอดมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 96 ปี
การดำเนินงานภายใต้ปรัชญา “Science. Art. Love.” ที่ผสานวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และความรักเข้าด้วยกัน ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย และงานออกแบบที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ มุ่งมั่นสู่การมอบประสบการณ์ความงามที่ดีที่สุด
"โพลา ประเทศไทย" จึงสร้างภาพจำต่อตลาดถึงความเป็นแบรนด์พรีเมี่ยมให้เป็นภาพเดียวเท่ากับที่ประเทศญี่ปุ่น ท่ามกลางภาวะการแข่งขันกันอย่างดุเดือดของตลาดเครื่องสำอางและสกินแคร์ในประเทศไทย
Mr. Takayuki Suenaga ผู้อำนวยการ บริษัท โพลาคอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ท่ามกลางเครื่องสำอางและสกินแคร์ที่มีอยู่มากมายในตลาด หลายแบรนด์เลือกใช้เทคนิคทางการตลาดที่ต่างกัน เช่น มีการให้ของแถมเยอะๆ มีการทำส่วนลด หรือทำโปรโมชั่นต่างๆ แต่สำหรับแบรนด์โพลานั้น เน้นชูจุดแข็งเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกิดจากการค้นคว้าวิจัย และพัฒนาไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์

ในอดีต โพลา ประเทศไทย เริ่มต้นธุรกิจอย่างแข็งแกร่งด้วยการจำหน่ายแบบขายตรงหรือ ไดเร็คเซลล์ (Direct Sales) และจากการมีเน็ตเวิร์ค ซึ่งก็คือ ผู้จำหน่ายอิสระ ที่คอยช่วยสนับสนุนการขายให้แก่บริษัทฯ แต่ทว่ายุคปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงไป ทางธุรกิจจึงต้องต้องมีการพัฒนา ปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้ดีที่สุด
ปัจจุบัน โพลา ประเทศไทย มีช่องทางการจำหน่ายแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. การขายช่องทางไดเร็คเซลล์ ถือเป็นช่องทางที่ครองสัดส่วนการขายได้สูงสุดถึง 70% ของภาพรวมธุรกิจทั้งหมด
2. การขายผ่านเคาน์เตอร์แบรนด์ ตามห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ และมีทั้งหมด 10 สาขา ครองสัดส่วนการขายราวๆ 20%
3. การขายผ่านร้าน Duty Free ใน King Power
4. การขายผ่านช่องทาง E-Commerce มีสัดส่วนประมาณ 10%
ทั้งนี้ ทางแบรนด์ยังได้จัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ B.A (Bio-Active) รุ่นที่ 7 ซึ่ง B.A ถือเป็นแบรนด์ระดับสูงสุดของโพลา ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่อุตสาหกรรมความงามมาหลายรุ่นอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี จนมาถึงรุ่นล่าสุดนี้ ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่ดีไซน์ออกแบบมาเป็นโทนสีดำ “Inclusion Black” สื่อถึงความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด ถ่ายทอดผ่านรูปทรงโค้งมน ปราศจากเส้นตรง ซึ่งสะท้อนถึงความงาม ความแตกต่าง และการเปลี่ยนแปลงได้อย่างอิสระ พร้อมต่อยอดไปสู่แบรนด์เฉพาะทางอีกหลากหลาย อาทิ Wrinkle Shot (ริงเคิล ช็อท) ผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการดูแลและลดเลือนริ้วรอย รวมถึงผลิตภัณฑ์ White Shot (ไวท์ ช็อท) เพื่อดูแลผิวให้แลดูกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของ โพลา ประเทศไทย ยังบอกด้วยว่า ภาพรวมยอดขายของปี 2024 ที่ผ่านมา ยังทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า เหตุจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวและกระทบต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งมีผลต่อยอดขายผ่านช่องทาง duty free
แต่ทั้งนี้ หากดูตัวเลขของยอดขายในแต่ละช่องทางแล้ว จะเห็นได้ว่า ช่องทางเคาน์เตอร์แบรนด์มียอดขายเติบโต 103% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในส่วนของช่องทางการขายผ่าน E-Commerce หรือออนไลน์ที่ทางบริษัทเพิ่งเริ่มโฟกัสอย่างจริงจังในปีที่แล้ว ก็สร้างการเติบโตได้สูงถึง 157% เลยทีเดียว

"อนาคตเรามีแผนที่จะขยายช่องทางการขายผ่านเคาน์เตอร์แบรนด์ตามห้างสรรพสินค้าในต่างจังหวัดด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ ยังต้องศึกษาความต้องการของผู้บริโภค และยังต้องควบคุมการบริการของแบรนด์ให้ได้ตามมาตรฐานด้วย พนักงานของเราจะต้องมีความสามารถในการบริการ และสื่อสารถึงนวัตกรรมต่างๆ ของสินค้าได้อย่างแม่นยำ เพราะในปัจจุบันลูกค้าเคาน์เตอร์แบรนด์ส่วนใหญ่จะศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์มาเป็นอย่างดี ทำให้ต้องมีการเทรนพนักงานที่ให้บริการอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์ได้อย่างลึกซึ้งจริงๆ" Mr. Takayuki กล่าวทิ้งท้าย

ภาพ : POLA ประเทศไทย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : บุกออฟฟิศ Coway เกาหลี เปิดเบื้องหลังศูนย์วิจัย + โมเดล Subscription ที่พาแบรนด์โต 36 ปีไม่เคยขาดทุน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine