<h2>รายงานใหม่จาก Coursera ชี้ให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของนายจ้าง ไม่ว่าจะเป็น เทรนด์การตัดสินใจจ้างงานจากทักษะ GenAI และอิทธิพลของ micro-credentials ที่กำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานไทย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การจ้างงานแบบเน้นทักษะกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยนายจ้างกว่า 99% ได้นำเริ่มนำแนวทางนี้มาใช้หรือกำลังสำรวจแนวทางนี้เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ส่งผลให้การมี micro-credentials กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาขับเคลื่อนให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดแรงงานมีความต้องการที่แตกต่างออกไปจากในอดีตเช่นกัน การพัฒนาตัวเองจึงเป็นสิ่งที่คนทำงานยุคปัจจุบันจำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาความเชี่ยวชาญในทักษะเฉพาะทางและผ่านการรับรองที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ หรือ micro-credentials ซึ่งมีทั้งคอร์สเรียนที่เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัย และคอร์สเรียนเสริมระยะสั้นจากแหล่งความรู้อื่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Coursera ได้จัดทำรายงาน Micro-Credentials Impact Report 2025 ซึ่งดำเนินการสำรวจระหว่างเดือนธันวาคม 2567 - มกราคม 2568 โดยรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากนายจ้างกว่า 1,000 รายและผู้เรียน 1,200 รายใน 10 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร บราซิล ฝรั่งเศส อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก ซาอุดีอาระเบีย ไทย และตุรกี ชี้ให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นและอิทธิพลของ micro-credentials ต่อโลกแห่งการทำงาน&nbsp; &nbsp; สำหรับ อิทธิพลของ micro-credentials ที่ส่งผลต่อนักเรียนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่&nbsp; &nbsp; &nbsp;- 1 ใน 3 ของนักเรียนเคยได้รับ micro-credentials แล้ว&nbsp; &nbsp; &nbsp;- โอกาสในการสมัครเรียนระดับปริญญาเพิ่มจาก 38% เป็นสูงสุดถึง 90% เมื่อมี micro-credentials โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นใบรับรองแบบเก็บหน่วยกิต หรือใบรับรองเกี่ยวกับด้าน AI&nbsp; &nbsp; &nbsp;- 87% เชื่อว่า micro-credentials จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการทำงาน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/VDv1K7vEophCVxucgnV6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="VDv1K7vEophCVxucgnV6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1080,1350" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp; รายงานยังเผยว่า ทักษะ GenAI คือปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจจ้างงานของนายจ้าง&nbsp; &nbsp; &nbsp;- 99% ของนายจ้างต้องการให้มหาวิทยาลัยเสริมทักษะ GenAI ให้กับบัณฑิต เพื่อพร้อมทำงานในระดับเริ่มต้น&nbsp; &nbsp; &nbsp;- 95% ต้องการผู้สมัครที่มีใบรับรอง GenAI แม้จะมีประสบการณ์น้อย มากกว่าผู้สมัครที่มีประสบการณ์แต่ไม่มีใบรับรอง&nbsp; &nbsp; &nbsp;- 99% เชื่อว่า GenAI จะมอบข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ให้แก่องค์กร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับประเทศไทย นายจ้าง 95% ได้จ้างผู้สมัครที่มี micro-credentials แล้ว และนายจ้างกว่า 98% กล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะจ้างผู้สมัครที่มี micro-credentials ด้าน Gen AI มากกว่าผู้ที่ไม่มี ถือเป็นหนึ่งในความต้องการด้าน AI ที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยนายจ้างชาวไทยกว่า 95% กล่าวว่า micro-credentials ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการปฐมนิเทศพนักงานใหม่​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/tY3PduooE5qSyLgahs3h.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tY3PduooE5qSyLgahs3h.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1080,1350" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ นายจ้างชาวไทย 97% ยังเต็มใจที่จะเสนอเงินเดือนเริ่มต้นที่สูงขึ้นให้กับผู้สมัครที่ถือ micro-credentials ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในระดับโลก ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ที่เคยจ้างผู้สมัครที่มี micro-credentials กว่า 92% รายงานว่าประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมปีแรกได้จริง โดยส่วนใหญ่ระบุว่าประหยัดได้ถึง 20%&nbsp; &nbsp; รายงาน Micro-Credentials Impact Report 2025 เปิดเผยด้วยว่า นายจ้างไทยให้ความสำคัญกับ micro-credentials ในการจ้างงานและฝึกอบรมพนักงานมากขึ้น ดังนี้&nbsp; &nbsp; &nbsp;- 98% ระบุว่า micro-credentials ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผู้สมัครงาน&nbsp; &nbsp; &nbsp;-&nbsp;98% เห็นตรงกันว่าผู้สำเร็จการศึกษาที่มี Micro-credentials พร้อมทำงานได้ทันที 100% ยินดีที่จะฝึกอบรมพนักงานปัจจุบันของตนเองด้วย micro-credentials&nbsp; &nbsp; &nbsp;- 98% ให้ความสำคัญกับการจ้างงานผู้สมัครที่มีใบรับรองแบบเก็บหน่วยกิต มากกว่าผู้ที่ไม่มี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นายจ้างไทยได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า การมี micro-credentials ไม่ใช่แค่สิ่งที่ควรมีอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่ ‘ต้องมี’ สำหรับทุกคนที่ต้องการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทำงานในตลาดแรงงานยุคใหม่ ในยุคที่ GenAI กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม นายจ้างกำลังมองหาหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าผู้สมัครมีทักษะที่ตลาดต้องการ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ผ่านวุฒิการศึกษาที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรม” Eklavya Bhave ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Coursera เผย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/1aE8Pa5N1Nprbx1bSD8B.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="1aE8Pa5N1Nprbx1bSD8B.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1080,1350" style="width: 720px; height: auto;" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไทยกำลังเร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจบริการดิจิทัล มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้เริ่มบูรณาการ micro-credentials ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เพื่อเตรียมนักศึกษาให้พร้อมสำหรับตลาดแรงงานยุคใหม่ ผ่านการนำเสนอหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี GenAI พร้อมเส้นทางการเรียนรู้ที่สามารถสะสมหน่วยกิตได้ ในฝั่งของนักศึกษา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลจากรายงานของ Coursera ยังพบว่า ผู้คนต่างพร้อมปรับตัวและตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอย่างดี โดยกว่า 87% ของผู้เรียนในเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะลงทะเบียนในโปรแกรมปริญญาหาก micro-credentials สามารถนับหน่วยกิตได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การสนับสนุนจากรัฐบาลในการเรียนรู้ที่เน้นทักษะเหล่านี้ ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการเชื่อมโยงวุฒิการศึกษาจากอุตสาหกรรมเข้ากับหลักสูตรของมหาวิทยาลัย เพื่อให้นักศึกษาพร้อมรับมือกับทักษะที่นายจ้างต้องการ” Eklavya Bhave กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันสถาบันการศึกษาในประเทศไทยจำนวนมากเริ่มเปิดสอนหลักสูตรใบรับรองวิชาชีพแบบที่นับหน่วยกิตได้บน Coursera ในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา เช่น AI คลาวด์ และการวิเคราะห์ข้อมูล อินโฟกราฟิก: Courseraภาพปก:&nbsp;<a href="https://unsplash.com/photos/a-woman-shaking-hands-with-another-woman-at-a-table-wNC266LJamg?utm_content=creditShareLink&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" alt="Resume Genius">Resume Genius</a>&nbsp;on Unsplash​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/robert-walters-work-trend-2025" alt="‘โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ เปิดเทรนด์ทำงาน องค์กรไทย 9 ใน 10 ใช้ AI คัดพนักงาน และ Empathy คือสำคัญทักษะของผู้นำยุคใหม่">‘โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ เปิดเทรนด์ทำงาน องค์กรไทย 9 ใน 10 ใช้ AI คัดพนักงาน และ Empathy คือสำคัญทักษะของผู้นำยุคใหม่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เงินเดือนขึ้นแน่ แต่ทักษะต้องพร้อม! นายจ้างไทย 97% ไฟเขียวเพิ่มเงินเดือนผู้สมัครที่มี micro-credentials

‘โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ เปิดเทรนด์ทำงาน องค์กรไทย 9 ใน 10 ใช้ AI คัดพนักงาน และ Empathy คือสำคัญทักษะของผู้นำยุคใหม่

<h2>ผลการศึกษาใหม่ล่าสุดจาก Hult International Business School และบริษัทวิจัยอิสระ Workplace Intelligence ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ 21 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา พบว่า แม้ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนแรงงาน บรรดานายจ้างกลับเลือกที่จะจ้างหุ่นยนต์หรือ AI มากกว่าบัณฑิตจบใหม่</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การศึกษาดังกล่าวมีการสำรวจหัวหน้างานด้านทรัพยากรมนุษย์ (HR) จำนวน 800 คน และบัณฑิตจบใหม่ (อายุระหว่าง 22-27 ปี) อีก 800 คน ในตำแหน่งงานเกี่ยวกับธุรกิจ อาทิ การเงิน การบัญชี การตลาด การขาย การบริการจัดการ การปฏิบัติการ โลจิสติกส์ และการวิเคราะห์ธุรกิจ ซึ่งหัวหน้า HR ถึง 98% เผยว่าองค์กรของพวกเขากำลังมองหาแรงงานที่มีความสามารถอย่างยากลำบาก ทว่า 89% บอกว่าพวกเขาหลีกเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อถามถึงเหตุผล บรรดาผู้จัดการด้านการจ้างงานชี้ว่า บัณฑิตจบใหม่ขาดสิ่งต่างๆ เหล่านี้&nbsp; &nbsp; - ประสบการณ์ในโลกของการทำงานจริง (60%)&nbsp; &nbsp; - ทัศนคติแบบสากล (57%)&nbsp; &nbsp; - ทักษะการทำงานเป็นทีม (55%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ทักษะการทำงานที่เหมาะสม (51%)&nbsp; &nbsp; - มารยาททางธุรกิจและการทำงาน (50%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3 ใน 10 ของเหล่าหัวหน้า HR เผยว่า พวกเขาเลือกให้ตำแหน่งงานนั้นว่างดีกว่าจะจ้างบัณฑิตจบใหม่ ขณะที่ 37% เลือกจะใช้หุ่นยนต์หรือไม่ก็ AI เพื่อทำงานในส่วนนั้นแทน แต่ก็มีถึง 45% ที่เลือกจะจ้างฟรีแลนซ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับบริษัทที่เลือกจ้างบัณฑิตจบใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา 78% เผยว่าพวกเขาได้มีการเชิญพนักงานเหล่านั้นออกไปบ้างแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะเดียวกัน บัณฑิตจบใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการหางานและได้เข้าร่วมเป็นพนักงานบริษัทต่างพบว่า ประสบการณ์การทำงานนั้นเป็นสิ่งประเมินค่ามิได้ โดย 77% เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในระยะเวลาครึ่งปีที่ได้ทำงาน มากกว่าตลอด 4 ปีที่เรียนรู้ในระดับปริญญาตรีเสียอีก และ 87% เผยว่านายจ้างของพวกเขาสอนทักษะอาชีพได้ดีกว่าในรั้วมหาวิทยาลัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;55% ของบัณฑิตจบใหม่ที่ได้งานบอกว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้เตรียมพร้อมพวกเขาสำหรับงานที่พวกเขากำลังทำอยู่เลย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผลสำรวจของเราเผยให้เห็นว่าหลักสูตรในมหาวิทยาลัยแบบเดิมๆ อาจไม่ได้สอนสิ่งจำเป็นที่อำนวยให้นักศึกษาประสบความสำเร็จ ในสภาพแวดล้อมการทำงานยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและเทคโนโลยีก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น” Dan Schawbel หุ้นส่วนผู้จัดการ Workplace Intelligence กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แล้วสิ่งที่บัณฑิตจบใหม่ยังขาด แต่เป็นสิ่งที่หัวหน้า HR ต้องการคืออะไร?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คำตอบคือทักษะด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI, การวิเคราะห์ดาต้า และ IT ซึ่งหัวหน้า HR ถึง 97% มองว่าสำคัญ แต่มีบัณฑิตจบใหม่เพียง 20% เท่านั้นที่มีทักษะเหล่านี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การศึกษาเพียงทฤษฎีอย่างเดียวไม่พอแล้ว” Martin Boehm รองกรรมการผู้จัดการและคณบดีหลักสูตรปริญญาตรีจาก Hult International Business School กล่าว “การเตรียมพร้อมนักศึกษาด้วยวิธีการใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างทั้งทักษะและทัศนคติซึ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องนั้น คืออนาคตของการศึกษา” แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.entrepreneur.com/business-news/employers-would-rather-hire-ai-robots-than-recent-grads/485878" alt="37% of Employers Would Rather Hire a Robot or AI Than a Recent Grad: 'Theory Alone Is No Longer Enough'">37% of Employers Would Rather Hire a Robot or AI Than a Recent Grad: 'Theory Alone Is No Longer Enough'</a>​ Cover Photo by&nbsp;<a href="https://www.pexels.com/photo/photo-of-person-holding-graduation-cap-and-diploma-7944064/" alt="Pavel Danilyuk">Pavel Danilyuk</a>&nbsp;from Pexels​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/andy-jassy-ravenous-and-hungry-to-learn" alt="“กระหายการเรียนรู้และไม่หยุดพัฒนา” หลักการสำหรับผู้แสวงหาความสำเร็จที่ซีอีโอ Amazon แนะนำ">“กระหายการเรียนรู้และไม่หยุดพัฒนา” หลักการสำหรับผู้แสวงหาความสำเร็จที่ซีอีโอ Amazon แนะนำ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แม้ตำแหน่งว่างก็ไม่จ้างเด็กจบใหม่! เหตุผลหลักเพราะขาดประสบการณ์ บางส่วนขอไปจ้าง AI แทน

<h2>กระบวนการจ้างงาน.ในไทยยังขาดความเท่าเทียม!&nbsp;ผลสำรวจจาก Jobsdb by SEEK พบพนักงานชาวไทย 30% เชื่อว่า ‘ลำเอียง’ และ ‘เลือกปฏิบัติ’ ตอนจ้างงาน เป็นอุปสรรคในการเจองานที่ใช่ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แพลตฟอร์มหางาน Jobsdb by SEEK เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับความคิดเห็นของพนักงานชาวไทยที่มีต่องานและการวางแผนการเติบโตทางด้านอาชีพของพวกเขา ความพึงพอใจ และการมีความสุขในงานของพนักงานในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผลสำรวจพบกว่าพนักงานชาวไทยถึง 30% เชื่อว่าการลำเอียงและการเลือกปฏิบัติในกระบวนการจ้างงานเป็นอุปสรรคที่ทำให้พวกเขาเจองานที่ใช่และตอบโจทย์ โดยพบว่ากว่า 33 % ของบุคลากรในกลุ่มอายุ 25-34 ปี เชื่อว่าการเลือกปฏิบัติเป็นอุปสรรคหลักในการหางานที่ต้องการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งยังพบว่าการเลือกปฏิบัติสามารถทำให้บุคลากรบางส่วนไม่กล้าที่จะหางานใหม่ โดยพนักงาน 16% ในประเทศไทยระบุว่าอุปสรรคทางวัฒนธรรมทำให้พวกเขาไม่อยากเปลี่ยนงาน โดยเป็นพนักงานในกลุ่มอายุ 25-34 ปี คิดเป็นจำนวน 20% ที่รู้สึกเช่นนั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากผลสำรวจดังกล่าว ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติในกระบวนการจ้างงานยังขาดความเท่าเทียม ยังคงเป็นประเด็นที่มีอยู่จริงในสังคมไทย โดยผลสำรวจในกลุ่มอายุ 25-34 ปี คิดเป็น 33% ที่กังวลในการจะหางานใหม่ที่ตรงกับความสามารถของตน เพราะข้อจำกัดด้านการเลือกปฏิบัติในกระบวนการจ้างงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นการจะส่งเสริมสังคมให้เปิดกว้าง และเป็นธรรมทางการจ้างงานให้มากขึ้น จึงสอดคล้องกับแนวคิดของ Jobsdb by SEEK แพลตฟอร์มหางานอันดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าหนุนผู้ประกอบการ ด้วยการส่งเสริมการลดข้อจำกัดในกระบวนการจ้างงานเพื่ออนาคตแรงงานไทยที่ดีกว่า ผ่านแนวคิดการจ้างงานแบบ Fair Hiring ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการเปิดรับสมัครงานโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ เพศ เชื้อชาติ สัญชาติ หรือสถานภาพสมรส เพื่อเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้สมัครที่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และในปี 2567 นี้ Jobsdb by SEEK ที่มีฐานข้อมูลผู้หางานกว่า 3.6 ล้านคนในประเทศไทย ยังได้รับเกียรติจากมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม และสมาคมสร้างเสริมโอกาสและอาชีพคนพิการไทย (สอค.) ในการยกย่องว่าเป็นหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ประจำปี 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งนับเป็นการตอกย้ำความเป็นแพลตฟอร์มหางานอันดับหนึ่งที่ใส่ใจผู้หางานอย่างเท่าเทียม ภายใต้แนวคิดกลยุทธ์การส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานแบบ Fair Hiring จึงเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการในการค้นหาผู้สมัครที่เหมาะสม ด้วยประสบการณ์ ความรู้ และทักษะที่ตรงกับตำแหน่ง และยังเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จให้กับผู้สมัครงานทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติเพื่อสร้างโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมกันในที่สุด <a href="https://www.freepik.com/free-photo/part-paper-luxury-covering-depressed_1074221.htm#fromView=search&amp;page=7&amp;position=2&amp;uuid=2bb76126-3bdb-483b-964b-ee05caee8b09">Image by creativeart on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/hr/are-thai-employers-ready-let-employees-work-only-4-days-a-week" alt="นายจ้างพร้อมไหม? เมื่อพนักงาน/ลูกจ้างไทย 95% อยากให้ลดเวลาทำงานเหลือแค่ 4 วันต่อสัปดาห์">นายจ้างพร้อมไหม? เมื่อพนักงาน/ลูกจ้างไทย 95% อยากให้ลดเวลาทำงานเหลือแค่ 4 วันต่อสัปดาห์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Jobsdb by SEEK เผยผลสำรวจการเลือกปฏิบัติในกระบวนการจ้างงานยังขาดความเท่าเทียม

<h2>ผลการสำรวจในต่างประเทศล่าสุดได้รายงานว่า หลายบริษัทเกิดความไม่พอใจกับพฤติกรรมการทำงานร่วมกับพนักงานใหม่ที่ยังอ่อนประสบการณ์และมีทักษะการสื่อสารแย่อย่างกลุ่มคน Gen Z จึงเป็นผลให้เกิดความลังเลและอาจหลีกเลี่ยงการจ้างงานแก่เหล่าบัณฑิตจบใหม่ในอนาคตอีกด้วย </h2> ​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Intelligent&nbsp;แพลตฟอร์มที่ปรึกษาด้านการศึกษาและอาชีพ ได้ออกมาเผยแพร่ผลการรายงานล่าสุดโดยอ้างอิงจากการวิจัยสำรวจเหล่าผู้จัดการการจ้างงานเกือบ 1,000 คน โดยพบว่า 1 ใน 6 นายจ้าง ต่างเกิดความลังเลและไม่ค่อยเต็มใจที่จะจ้างพนักงาน Gen Z อันเป็นผลมาจากชื่อเสียงทางด้านพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่เกิดในช่วงระหว่างปี 1997-2010 นั้น ค่อนข้างเอาแต่ใจ มีอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียวง่าย&nbsp;อีกทั้งยังขาดความอดทนหรือมีจรรยาบรรณในการทำงานที่เข้มแข็ง มีปัญหาด้านการสื่อสาร และยังไม่สามารถรับมือกับข้อเสนอแนะต่างๆ ได้ดีอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Holly Schroth อาจารย์อาวุโสของ Haas School of Business ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้อธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของกลุ่ม Gen Z ว่า พวกเขามุ่งเน้นไปที่กิจกรรมนอกหลักสูตรเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในวิทยาลัย แทนที่จะได้รับประสบการณ์การทำงานจริงๆ จึงนำไปสู่ 'ความคาดหวังที่ไม่สมจริงซึ่งผิดเพี้ยนไป' เกี่ยวกับสถานที่ทำงานและวิธีการจัดการกับเจ้านายของพวกเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“กลุ่มคน Gen Z ไม่มีความรู้ทางทักษะพื้นฐานสำหรับการติดต่อสื่อสารหรือปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับกลุ่มลูกค้า เพื่อนร่วมงาน ซึ่งรวมไปถึงมารยาทที่ดีในที่ทำงาน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลที่แต่ละบริษัทจะเลือกรับพนักงานใหม่ของกลุ่มคน Gen ดังกล่าวตามความเหมาะสมและต้องให้การฝึกอบรมที่เพียงพอ รวมทั้งผู้ที่เป็นเจ้านายยังต้องทำหน้าที่เป็นโค้ชที่ดีเพื่อคอยดูแลด้วย” Schroth บอกเล่าเรื่องราวผ่านทางอีเมลแก่สำนักข่าว Euronews&nbsp; เหตุใดหลายบริษัทจึงตัดสินใจเลิกจ้างพนักงาน Gen Z ?&nbsp; &nbsp; บริษัทที่ร่วมทำการสำรวจ 6 ใน 10 แห่ง เผยว่า ได้ตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานที่เป็นบัณฑิตจบใหม่ทั้งๆ ที่เพิ่งรับเข้ามาทำงานในช่วงต้นปีนี้ โดยให้เหตุผลส่วนใหญ่ว่า พวกเขาขาดแรงจูงใจในการทำงาน ขาดความเป็นมืออาชีพ และยังมีทักษะในการสื่อสารที่ไม่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"เหล่าบรรดานักศึกษาจบใหม่อาจจะประสบปัญหาในการเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นครั้งแรก เนื่องจากสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิจากสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยมาตลอดระหว่างการเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย และแม้ว่าจะมีความรู้ที่ดีทางด้านทฤษฎีจากการศึกษา แต่พวกเขาก็มักจะขาดประสบการณ์จริงในเชิงปฏิบัติ รวมถึงทักษะที่ดีทางด้านอารมณ์ในสภาพแวดล้อมของการทำงาน"&nbsp;Huy Nguyen หัวหน้าที่ปรึกษาด้านการศึกษาและการพัฒนาอาชีพของ Intelligent กล่าวในรายงาน&nbsp; &nbsp; ตัวแทนของบริษัทในการสำรวจยังบอกอีกด้วยว่า พนักงาน Gen Z บางคนประสบปัญหาในการบริหารจัดการหน้าที่ของตนเอง และมักจะมาสาย แต่งกายไม่เรียบร้อยหรือมีการพูดสื่อสารที่ไม่เหมาะสม &nbsp; &nbsp; รายงานอีกฉบับของเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งจัดทำโดย&nbsp;ResumeTemplates ซึ่งรวมคำตอบของกลุ่มผู้หางานรุ่นใหม่เกือบ 1,500 คน ชี้ให้เห็นว่าร้อยละ 70&nbsp;ของกลุ่มคน Gen Z ยอมรับว่าตนเองได้ขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครองในกระบวนการหางาน ขณะที่อีกร้อยละ 25 ขาดความไม่มั่นใจจึงต้องพาพ่อแม่ไปนั่งรอระหว่างการสัมภาษณ์ และอีกหลายๆ คนก็ยังต้องพึ่งพาให้พ่อแม่ช่วยเขียนเรซูเม่หรือส่งใบสมัครงานให้แก่พวกเขา​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/3c7Gp8nLMskWiS4B7T9o.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3c7Gp8nLMskWiS4B7T9o.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div style="text-align: center;">เหตุผลที่บริษัทส่วนใหญ่เลิกจ้างพนักงาน Gen Z</div></figcaption></figure></div> ​ จะหางานทำในฐานะบัณฑิตใหม่ได้อย่างไร?&nbsp; &nbsp; เหล่าบรรดาบริษัทต่างๆ หรือนายจ้างต่างเน้นย้ำว่าคุณสมบัติหลักบางประการที่พวกเขาต้องการมองหาจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ก็คือ เรื่องของความคิดริเริ่มและทัศนคติเชิงบวก "แม้ปัจจุบันเหล่านายจ้างต่างลังเลที่จะจ้างงานกลุ่มคน Gen Z โดยเป็นผลมาจากอัตราการเลิกจ้างที่เพิ่มสูงขึ้นและความท้าทายในการรับคนเหล่านี้เข้ามาอยู่ในตลาดแรงงาน แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงมีสัดส่วนมากกว่า 25% ของพนักงานในองค์กรทั้งหมด ซึ่งผลที่ตามมาคือ&nbsp;บริษัทต่างๆ อาจจำเป็นต้องใช้เงินและเวลาเพิ่มมากขึ้นในการฝึกอบรมเพื่อเพาะบ่มกลุ่ม Gen Z ให้เติบโตได้เป็นอย่างดีต่อไป” &nbsp;Holly Schroth&nbsp;อาจารย์อาวุโส กล่าวทิ้งท้าย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/fArmFGawkrAqMuUgCiVs.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fArmFGawkrAqMuUgCiVs.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"><figcaption><div style="text-align: center;">คุณสมบัติในการทำงานของ Gen Z ที่บริษัทต่างๆ กำลังมองหา</div></figcaption></figure></div> เครดิตภาพ : Forbes.com แปลและเรียบเรียงจากบทความ :&nbsp;<a href="https://www.euronews.com/next/2024/10/15/companies-are-firing-gen-z-workers-soon-after-hiring-them-whats-behind-their-job-market-st" alt="Companies are firing Gen Z workers soon after hiring them. What's behind their job market struggles?">Companies are firing Gen Z workers soon after hiring them. What's behind their job market struggles?</a>​ ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/slingshot-group-says-48-percentage-of-new-gen-like-weekly-feedback" alt="หน่วยวิจัยของ ‘สลิงชอท กรุ๊ป’ ชี้คนเจนใหม่ 48% ชอบการฟีดแบครายสัปดาห์ ให้ความสำคัญกับ ‘ทำไมจึงต้องทำ’ (why)">หน่วยวิจัยของ ‘สลิงชอท กรุ๊ป’ ชี้คนเจนใหม่ 48% ชอบการฟีดแบครายสัปดาห์ ให้ความสำคัญกับ ‘ทำไมจึงต้องทำ’ (why)</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'อ่อนประสบการณ์ ทักษะสื่อสารแย่' หลายบริษัทในต่างประเทศลังเลและหลีกเลี่ยงจ้างพนักงาน 'Gen Z' 

<h2>สภาพัฒน์เผยไตรมาส 2 ปี 2567 อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังจากฟื้นตัวจากโควิด-19 โดยขยับมาสู่ 1.07% ย้ำผู้ว่างงานระดับอุดมศึกษา 63% จบด้านสังคมศาสตร์ ส่วนเทรนด์หนี้เสียยังเพิ่มขึ้นมาที่ 2.99% เร่งแบงก์ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ - จับตาประเด็นการกู้เงินนอกระบบบน Social Media</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2567 นี้ สถานการณ์แรงงานชะลอตัวลง สะท้อนจากการจ้างงานของไทยอยู่ที่ 39.5 ล้านคน ลดลง 0.4%YoY โดยภาคเกษตรกรรมมีการจ้างงานอยู่ที่ 11 ล้านคนลดลง 5% แต่การจ้างงานนอกภาคเกษตรฯ อยู่ที่ 28.5 ล้านคน ยังเพิ่มขึ้นที่ 1.5% ในทุกสาขา โดยสภาพัฒน์มองว่า เกิดจากการที่แรงงานเคลื่อนย้ายจากภาคการเกษตรฯ เข้าสู่นอกภาคการเกษตรฯมากขึ้น เช่น ในสาขาการผลิต, ก่อสร้าง, ค้าส่ง/ค้าปลีก, โรงแรม/ภัตตาคาร, ขนส่ง/เก็บสินค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านค่าจ้างภาคเอกชนอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 14,032 บาทต่อคนต่อเดือนลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 2 ปี 2566 ที่ 0.5% ขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ 15,329 บาทต่อคนต่อเดือนโดยเงินเฟ้อที่เร่งขึ้นส่งผลให้ค่าจ้างที่แท้จริงของแรงงานลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังเห็นอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังจากฟื้นตัวจากโควิด-19 อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.07% โดยมีผู้ว่างงาน 430,000 คนเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ที่เคยทำงานมาก่อนทั้งนี้ผู้ว่างงานระยะยาวลดลงต่อเนื่องที่ 5.7% ส่วนอัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมอยู่ที่ 1.92% ลดลงจาก 2.13% ในไตรมาส 2 ปี 2566&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกในการว่างงานระดับอุดมศึกษาพบว่า การว่างงานค่อนข้างสูงเพราะเป็นช่วงการจบการศึกษาของแรงงานใหม่ โดยผู้ว่างงานระดับอุดมศึกษา 63% จบด้านสังคมศาสตร์ ธุรกิจ ขณะที่สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ที่คิดเป็นสัดส่วนราว 22% ของผู้จบใหม่ มองว่าเป็นกลุ่มที่ต้องมีการเร่งพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้นเพื่อให้ตอบสนองความต้องการตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเด็นด้านแรงงานที่ต้องติดตาม มองว่า มี 3 ส่วนได้แก่ 1) แรงงานต้องมีการพัฒนาทักษะที่สอดคล้องกับทักษะที่จำเป็นในอนาคต 2) ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และการขาดสภาพคล่องของ SME อาจส่งผลกระทบให้เกิดการเลิกจ้างมากขึ้น 3) สถานการณ์น้ำท่วมส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรและรายได้ของเกษตรกร เช่น เหตุการณ์ช่วง 16 ก.ค. - 1 ส.ค. 67 ใน 15 จังหวัดส่งผลกระทบต่อเกษตรกร 47,944 ราย และพื้นที่กว่า 308,238 ในส่วนนี้ มองว่าต้องมีมาตรการเข้ามาช่วยเรื่องเงินทุนเพื่อให้คนกลับมาฟื้นตัวได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“(ผลกระทบสถานการณ์น้ำท่วม) ต้องดูเรื่องมาตรการที่เข้ามาช่วย Support เพราะรอบนี้เท่าที่ติดตามจากข่าว พี่น้องประชาชนไม่ได้คิดว่าน้ำจะมาเยอะขนาดนี้ เพราะฉะนั้นความเสียหายในแง่บุคคลอาจจะค่อนข้างเยอะ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการอิสระ ที่เปิดร้านต่างๆ เอง ต้องมาดูเรื่องมาตรการด้านการเงินหรือเงินช่วยเหลือตามกฎหมายที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือในขั้นต้นไปก่อน ส่วนเรื่องเกษตรกร เป็นเงินในแง่สินเชื่อต้องมาดูอีกชั้นหนึ่งภายหลัง” ดนุชา กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ในระยะถัดไป เชื่อว่าการว่างงานจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านหนี้สินครัวเรือนไทย ล่าสุด ณ ไตรมาส 1/2567 ยังเพิ่มขึ้น 2.5% (รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย) มองว่า ตอนนี้เป็นปัญหาเรื่องรายได้ที่กระจายไม่ทั่วถึง จึงต้องมีมาตรการที่สร้างรายได้สร้างอาชีพต่างๆ อย่างยั่งยืน พร้อมกับการปรับโครงสร้างหนี้ แต่ควรแก้ปัญหาที่ไม่สร้าง Moral Hazard ตามมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ควรจะมาทำเรื่องมาตรการสร้างรายได้อาจเป็นการลงทุนของรัฐที่เข้าไปช่วยสร้างการจ้างงานรายบุคคล แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของธนาคารต่างๆและ Non Bank ที่ต้องเอาหนี้พวกนี้มาปรับโครงสร้างหนี้ (หนี้เสียต่อสินเชื่อรวม) ในส่วนของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 2.99% ยังเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นเครดิตบูโร” หนี้เสียต่อสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 2.99% เพิ่มขึ้นจาก 2.88% ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน ในระยะต่อไป ต้องติดตาม 2 เรื่องหลัก คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้บัตรเครดิตที่เริ่มมีปัญหาการชำระหนี้คืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) จับตารูปแบบการให้กู้ยืมนอกระบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะที่ผ่านช่องทาง Social Media อาจสร้างความเสี่ยงที่นำไปสู่พฤติกรรมการก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย Photo by <a href="https://unsplash.com/@medion4you?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Norbert Braun</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-group-of-people-walking-down-a-long-hallway-FJxM_yUCOsg?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a>,&nbsp;สภาพัฒน์&nbsp;​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/fti-herbs-factories-are-under-standard" alt="อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยวิกฤต! ส.อ.ท. เผยโรงงาน 500 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน เสี่ยงถูกปิดตัว"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/thai-2023-mentalhealth-situation" alt="สภาพัฒน์ชี้สังคมไทยเครียดสะสม ทุกช่วงอายุเจอปัญหา Mental Health ปี 66 ผู้ป่วยจิตเวชพุ่ง 2.9 ล้านคน">สภาพัฒน์ชี้สังคมไทยเครียดสะสม ทุกช่วงอายุเจอปัญหา Mental Health ปี 66 ผู้ป่วยจิตเวชพุ่ง 2.9 ล้านคน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สภาพัฒน์เผยไตรมาส 2 ปี 67 การว่างงาน-เทรนด์หนี้เสียยังเพิ่ม จับตากู้เงินนอกระบบบน Social Media

<h2>​CP AXTRA ตอกย้ำจุดยืน 'สร้างงาน สร้างอาชีพ' ให้คนไทย พร้อมหนุน 'ผู้สูงอายุ' วัยเกษียณผ่านการจ้างงานที่เหมาะสมให้มีรายได้เพื่อลดภาระการพึ่งพิงสวัสดิการจากภาครัฐ ตั้งเป้าภายในปี 2573 สร้างอาชีพแก่ผู้คนในสังคมทุกมิติจำนวน 400,000 ราย </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันสถานการณ์ด้านแรงงานได้เปลี่ยนแปลงไป และประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ และจะกลายเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super Aged Society)&nbsp; นั่นหมายถึงทั้งประเทศไทยจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป สูงถึง 28% ในปี 2576&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;'การจ้างงานผู้สูงอายุ' ถือเป็นหนึ่งในมาตรการของ&nbsp;บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ที่จะรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ โดยจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีรายได้หลังเกษียณอย่างเพียงพอและช่วยบรรเทาภาระงบประมาณภาครัฐ อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางวิชาชีพ โดยปัจจุบันหลายองค์กรได้เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้รับการจ้างงานมากขึ้น และตลาดแรงงานเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากเดิม สอดรับกับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังขยายตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจห้างค้าส่ง แม็คโคร และ ห้างค้าปลีกโลตัส ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการเตรียมตัวรับมือกับสังคมผู้สูงอายุด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุสามารถเป็นส่วนหนึ่งของตลาดแรงงานมากขึ้น ตระหนักถึงการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้เป็นหนึ่งในกำลังแรงงาน พร้อมมีเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการทำธุรกิจเคียงข้างสังคมไทย เพราะไม่เพียงช่วยให้เกิดรายได้เท่านั้น แต่ยังช่วยลดภาระพึ่งพิงสวัสดิการจากภาครัฐ ไปพร้อมการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้สูงอายุอีกด้วย โดย “โครงการ 60 ยังแจ๋ว” เป็นหนึ่งในโครงการที่ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2562&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/SkD99Aqcu8fmYsUERvXv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="SkD99Aqcu8fmYsUERvXv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด ซีพี แอ็กซ์ตร้า จึงได้ตอกย้ำจุดยืนการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนไทย ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ ร่วมกับ กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อร่วมมือกันเดินหน้าจ้างงานผู้สูงอายุผ่าน 3 กิจกรรมในโครงการ '60 ยังแจ๋ว' ประกอบด้วย&nbsp;1. การจ้างงาน ผู้สูงอายุ ปฏิบัติงานในสาขาของ แม็คโคร และโลตัส ตำแหน่งที่เปิดรับอาทิ พนักงานจัดเรียงสินค้า, พนักงานชั่งน้ำหนักสินค้า และ พนักงานบริการลูกค้า2. เถ้าแก่วัยเก๋า โครงการฝึกอาชีพ สร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุที่ต้องการทำงานอิสระหรือมีธุรกิจของตนเอง&nbsp;3. ตลาดสุขใจวัยเก๋า เปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับพ่อค้าแม่ค้าสูงวัยในพื้นที่ของสาขาแม็คโคร-โลตัส โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตอกย้ำการสร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาสให้กับคนไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ทาง ซีพี แอ็กซ์ตร้า ยังเผยด้วยว่า ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นเดินหน้าโครงการ “สร้างงาน สร้างอาชีพ” ในทุกมิติเพราะถือเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยให้การสนับสนุนในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การฝึกอบรม พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในทุกมิติ การจ้างงานผ่านทุกส่วนในธุรกิจ การสร้างงานในกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มคนพิการและผู้ต้องขัง การสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรและเอสเอ็มอี รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย โดยในปี 2566 สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนไทยรวมกว่า 262,000 คน และพร้อมเดินหน้าสร้างงาน สร้างอาชีพในทุกมิติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการสร้างงาน 400,000 ราย ภายในปี 2573&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/Lfh6m41xnNVQht7RRKdf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Lfh6m41xnNVQht7RRKdf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/VSuZKVbrjtsSai8xgnRU.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="VSuZKVbrjtsSai8xgnRU.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> ​​ ​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/inter-express-second-half-2024-support-chilled-frozen-business-logistic-transportation-system" alt="Inter Express เผยแผนครึ่งหลังปี 67 พร้อมหนุนธุรกิจสินค้าแช่เย็น-แช่แข็ง ผ่านระบบโลจิสติกส์ขนส่งครบวงจร">Inter Express เผยแผนครึ่งหลังปี 67 พร้อมหนุนธุรกิจสินค้าแช่เย็น-แช่แข็ง ผ่านระบบโลจิสติกส์ขนส่งครบวงจร</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

CP AXTRA หนุนสร้างงาน 'ผู้สูงอายุ' หลังเกษียณ ตั้งเป้าในปี 2573 สร้างอาชีพให้คนไทย 400,000 ราย 

<h2>ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ร่วมกับ LinkedIn เผยผลงานวิจัย Work Trend Index 2024 เปิดข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสถานะความคืบหน้าของคนทำงานในประเทศไทยและทั่วโลก ในการนำนวัตกรรม AI มาใช้ในที่ทำงาน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงาน Work Trend Index 2024 รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจพนักงานและผู้บริหารกว่า 31,000 คน ใน 31 ประเทศทั่วโลก* รวมถึงประเทศไทย พร้อมด้วยแนวโน้มตลาดแรงงานและเทรนด์การจ้างงานผ่านทาง LinkedIn รวมถึงข้อมูลที่เก็บรวบรวมมานับล้านล้านรายการจากการใช้งาน Microsoft 365 และการศึกษาวิจัยลูกค้าของบริษัทที่อยู่ใน Fortune 500 เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในช่วงระยะเวลาเพียง 1 ปีที่ผ่านมา นวัตกรรม AI ได้มีอิทธิพลต่อรูปแบบการทำงาน การบริหาร และการจ้างงานของผู้คนทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปี 2024 ถือเป็นปีของ AI เพื่อการทำงานอย่างแท้จริง หลังจากที่มีพนักงานทั่วโลกนำ Generative AI มาใช้ทำงานเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ใช้ LinkedIn จำนวนไม่น้อยได้นำเอาทักษะความสามารถที่เกี่ยวกับ AI มาเพิ่มเติมลงในเรซูเม่ของตนมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทางด้านผู้บริหารส่วนใหญ่มีมุมมองว่าจะไม่จ้างผู้สมัครที่ไม่มีทักษะด้าน AI แต่ขณะเดียวกัน ผู้บริหารจำนวนมาก ทั้งในเอเชียและทั่วโลก ยังคงกังวลเกี่ยวกับการขาดวิสัยทัศน์ด้าน AI ของบริษัท และการที่พนักงานนำเครื่องมือ AI ส่วนตัวมาใช้ในสถานที่ทำงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารในหลายองค์กรจึงต้องเผชิญความยากลำบากกับการปรับตัว เมื่อการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ต้องเปลี่ยนผ่านจากช่วงการทดลองใช้งาน ไปสู่การสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ รายงานการสำรวจ Work Trend Index 2024 ได้สรุปข้อมูลเชิงลึกใน 3 ประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมากต่อทั้งผู้บริหารและพนักงานในประเทศไทย และสะท้อนถึงผลกระทบของ AI ที่มีต่อการทำงานและตลาดแรงงานตลอดทั้งปีนี้ 1.พนักงานต้องการนำนวัตกรรม AI มาช่วยในการทำงาน โดยไม่รอให้บริษัทมีความพร้อม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจ Work Trend Index เผยว่าพนักงานคนไทยกว่า 92% นำนวัตกรรม AI มาใช้ในการทำงานแล้ว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 75% โดยในกลุ่มผู้ใช้งาน AI ยังพบอีกว่า 81% เลือกนำเครื่องมือ AI ของตนเองมาใช้งาน จนเกิดเป็นกระแสที่เรียกได้ว่า Bring Your Own AI (BYOAI) ซึ่งอาจทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการใช้งาน AI อย่างไม่เต็มที่ เนื่องจากยังขาดทิศทางและกลยุทธ์ในระดับองค์กร และยังเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แนวโน้มการนำ AI มาใช้ในที่ทำงานนี้ อาจเป็นผลมาจากภาระงานที่พนักงานแต่ละคนต้องแบกรับ โดย 68% ของพนักงานทั่วโลกระบุว่าพวกเขาต้องเจอกับปัญหาในการทำงานจำนวนมากให้เสร็จทันเวลา ดังนั้น AI จึงเป็นตัวช่วยประหยัดเวลา เสริมความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งทำให้มีเวลาจดจ่อกับเนื้องานในส่วนที่สำคัญที่สุดได้มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทางด้านผู้บริหาร พบว่า 91% ของผู้บริหารในประเทศไทยเชื่อว่าบริษัทของตนจำเป็นต้องนำนวัตกรรม AI มาใช้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับตลาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 79%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ยังมีผู้บริหารในประเทศไทยกว่า 64% ที่มีความกังวลว่าองค์กรของตนยังขาดแผนงานและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในด้านการนำ AI มาใช้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเล็กน้อยที่ 60% นอกจากนี้ ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยยังพบกับอุปสรรคในการประเมินผลลัพธ์ที่ได้รับจากการใช้ AI ออกมาเป็นตัวเลขหรือตัวเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ผู้บริหารและองค์กรยังต้องก้าวผ่านไปให้ได้ 2.ผู้ใช้งาน AI ในระดับ Power Users มีเพิ่มมากขึ้น และอาจช่วยปลดล็อกเส้นทางสู่ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจได้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างในพฤติกรรม AI ของกลุ่มพนักงานที่เป็น AI Power Users หรือผู้ใช้งาน AI ระดับสูง มักจะนำเครื่องมือและบริการ AI ต่างๆ มาปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานในแต่ละวัน และสามารถลดเวลาที่ใช้ทำงานที่มีอยู่เดิมลงได้วันละ 30 นาที หรือเฉลี่ยออกมาเป็น 10 ชั่วโมงต่อเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในประเทศไทย กว่า 86% ของพนักงานกลุ่มนี้เลือกที่จะเริ่มและจบวันทำงานด้วย AI สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของ AI Power Users ทั่วโลกที่ 85% แต่ในทางกลับกัน ผู้ใช้ AI ระดับสูงในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะทดลองใช้ AI ในรูปแบบหรือวิธีการใหม่ๆ เพียง 45% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระดับโลกที่ 68%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ โครงสร้างในการสนับสนุนการใช้งาน AI ในองค์กรไทยมีความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากทั่วโลก โดยกลุ่ม AI Power Users ในไทย มีเพียง 28% เท่านั้นที่มีโอกาสได้ฟังเนื้อหาสาระหรือความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับบทบาทของ AI ในการทำงานจากแผนกหรือฝ่ายที่ตนเองทำงานอยู่ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 40%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ด้านการเรียนรู้และฝึกอบรมทักษะเพิ่มเติม พบว่ามีผู้ใช้งาน AI ระดับสูงในประเทศไทยเพียง 22% เท่านั้นที่ได้รับโอกาสจากองค์กรให้ฝึกฝนทักษะด้าน AI เพิ่มเติม เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 42% 3.AI กลายเป็นมาตรฐานใหม่ด้านทักษะ และช่วยทำลายขีดจำกัดในสายอาชีพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทักษะการใช้งาน AI ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานไปแล้ว ทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก โดยผู้บริหารในไทยกว่า 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะทางด้าน AI ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 66% &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ หากต้องเลือกระหว่างทักษะ AI กับประสบการณ์การทำงาน ผู้บริหารไทยกว่า 90% ก็เลือกที่จะจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์น้อย แต่มีทักษะด้านการใช้ AI แทนที่จะเลือกพนักงานที่มีประสบการณ์สูงกว่า แต่ขาดทักษะในด้านนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 71% &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านแนวโน้มการจ้างงาน ผลสำรวจระบุว่าผู้บริหารทั่วโลกราว 55% มีความกังวลว่าจะเผชิญสภาวะการขาดแคลนแรงงานที่มีความสามารถในปีนี้ โดยเฉพาะในสาขาความปลอดภัยทางไซเบอร์ วิศวกรรม และการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นสาขาที่กังวลว่าจะขาดแคลนมากที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากผู้ใช้ LinkedIn ทั้งในระดับองค์กรและคนทำงาน ยังเผยอีกว่าข้อมูลจากช่วงปลายปีที่แล้ว พบว่า จำนวนของสมาชิก LinkedIn ทั่วโลกที่ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับทักษะการใช้งาน AI อย่าง ChatGPT และ Copilot ในโปรไฟล์ของตนเอง มีมากขึ้นถึง 142 เท่าตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วง 2 ที่ผ่านมา พบว่า ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครทาง LinkedIn หากมีการระบุถึงทักษะการทำงานที่เกี่ยวกับ AI ด้วย จะมีผู้สมัครเพิ่มขึ้นถึง 17%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในกลุ่ม 10 ตำแหน่งงานที่เพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับทักษะด้าน AI มากที่สุดนั้น พบว่าเป็นตำแหน่งในสายงานด้านเทคโนโลยีโดยตรงเพียง 2 ตำแหน่ง (นักพัฒนา ระบบ Front-End และนักพัฒนาเว็บ) ขณะที่ 3 อันดับแรกเป็นตำแหน่งงานด้านการเขียนคอนเทนต์ กราฟิกดีไซน์ และการตลาด <a href="https://www.freepik.com/free-photo/representation-user-experience-interface-design_94963707.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=23&amp;uuid=92610797-6597-4a98-9d80-85a9dfe90719">Image by freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/it/3000-ai-copied-images-creates-crisis-japanese-animation-film-industry" alt="ภัยคุกคามจากภาพ AI เลียนแบบราว 2,500 ภาพ สร้างวิกฤตต่ออุตสาหกรรม 'ภาพยนตร์แอนิเมชัน' ญี่ปุ่น">ภัยคุกคามจากภาพ AI เลียนแบบราว 2,500 ภาพ สร้างวิกฤตต่ออุตสาหกรรม 'ภาพยนตร์แอนิเมชัน' ญี่ปุ่น</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Microsoft ผนึก LinkedIn เผยผลสำรวจ ผู้บริหารไทย 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะด้าน AI

<h2>Jobsdb by SEEK เผยผลรายงานการจ้างงาน ค่าตอบแทน และสวัสดิการประจำปี 2567 ชี้แนวโน้มตลาดแรงงานยังคงเทรนด์ Work life Balance บริษัทให้ความสำคัญกับการรักษาพนักงาน จ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการสอดคล้องอัตราเงินเฟ้อของประเทศ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK เผยว่า จากรายงานการจ้างงาน ค่าตอบแทน และสวัสดิการประจำปี 2567 โดย Jobsdb by SEEK ซึ่งแบบสำรวจนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลจาก 685 บริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรมและตำแหน่งงานในประเทศไทย พบว่าแนวโน้มการจ้างงานในปี 2567 ยังคงอยู่ในเทรนด์ชีวิตแบบวิถีใหม่หรือนิวนอร์มอล ที่เน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานรวมถึงการทำงานระยะไกล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยร้อยละ 54 ของผู้ประกอบการมั่นใจว่าใน ครึ่งปีแรกตลาดงานจะมีความคึกคักอันเนื่องมาจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจและการหางาน เชิงรุกของผู้สมัครงาน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/T6BxBoDvzP3QWNrfEFAq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="T6BxBoDvzP3QWNrfEFAq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2566 ที่ผ่านมา ร้อยละ 99 บริษัทมีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 คน โดยร้อยละ 97 เป็นพนักงานประจำแบบเต็มเวลา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างบุคลากรที่มีความมั่นคงและทำงานในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลำดับถัดมาร้อยละ 36 จะเป็นพนักงานตามสัญญาจ้างหรือพนักงานชั่วคราวแบบเต็มเวลา เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดตารางเวลา ต้นทุนด้านสวัสดิการ ปริมาณงาน ทักษะ ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้คนที่ต้องการความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว (Work life Balance)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดที่น่าสนใจคือพนักงานตามสัญญาจ้างหรือพนักงานชั่วคราวแบบเต็มเวลา ได้รับการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากธุรกิจทุกขนาด คิดเป็นร้อยละ 17 ในธุรกิจขนาดเล็ก ร้อยละ 22 ในธุรกิจขนาดกลาง และร้อยละ 20 ในธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่ามาจากเหตุผลข้างต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภาพรวมการจ้างงานในปี 2566 พบว่า ตำแหน่งธุรการ/ทรัพยากรบุคคลและตำแหน่งบัญชี มาเป็นอันดับหนึ่งที่ร้อยละ 42 ถัดมาคือตำแหน่งการขาย/พัฒนาธุรกิจ ร้อยละ 42 ตำแหน่งการตลาด/การสร้างแบรนด์ ร้อยละ 24 และตำแหน่งวิศวกร ร้อยละ 20 ตามลำดับ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตำแหน่งงานเหล่านี้ในธุรกิจยุคปัจจุบัน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/uZo6jQGhaDNGYWkcEVqY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="uZo6jQGhaDNGYWkcEVqY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนการลดจำนวนพนักงานในภาพรวมคิดเป็นร้อยละ 19 โดยร้อยละ 13 เป็นพนักงานประจำแบบเต็มเวลาในตำแหน่งการขาย/พัฒนาธุรกิจ ตำแหน่งธุรการ/ทรัพยากรบุคคล ตำแหน่งการบริการลูกค้า ตำแหน่งบัญชีและตำแหน่งการตลาด/การสร้างแบรนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนพนักงานตามสัญญาจ้างหรือพนักงานชั่วคราวแบบเต็มเวลา คิดเป็นร้อยละ 7 โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงมีอัตราการลดสูงสุด คาดว่ามาจากการปรับโครงสร้างแผนก การลดขนาดและต้องการผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2567 ผลการสำรวจพบว่าบริษัททุกขนาดมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนพนักงานถึงร้อยละ 51 โดยพนักงานตามสัญญาจ้างและพนักงานชั่วคราวยังคงมีความสำคัญและเป็นที่ต้องการควบคู่ไปกับพนักงานประจำ โดยคำนึงถึงเป้าหมายธุรกิจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจ การจัดการจำนวนพนักงานอย่างเหมาะสม รวมถึงการลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งบริษัทขนาดเล็กตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนพนักงานถึงร้อยละ 54 เนื่องจากมีความมั่นใจในโอกาสการเติบโตและตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทขนาดกลาง ร้อยละ 59 แม้จะไม่มีแนวโน้มเพิ่มพนักงาน แต่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาพนักงาน เพื่อดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลดขนาดหรือหยุดชะงัก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/C6JBUrLFNV6RcTP6Wjsj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="C6JBUrLFNV6RcTP6Wjsj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการเพิ่มศักยภาพให้พนักงาน ค่าจ้างเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพนักงาน ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็ส่งผลต่อกลยุทธ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการพนักงานของผู้ประกอบการ โดยร้อยละ 56 ใช้ตัวชี้วัดด้านเงินเดือนในการรักษาพนักงานไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามมาด้วยการเพิ่มหรือปรับสวัสดิการใหม่ที่ร้อยละ 52 รวมถึงการประเมินแนวทางหรือนโยบายการจ่ายเงิน การเปรียบเทียบสวัสดิการ การพัฒนาหรือปรับปรุงโครงสร้างการจ่ายเงินเดือน การใช้อัตราเงินเฟ้อในการคำนวณปรับเงินเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซี่งจากการสำรวจพบจุดที่น่าสนใจว่าร้อยละ 24 ของผู้ประกอบการคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อในการคำนวณส่วนเพิ่มและผู้ประกอบการเกือบทุกรายอ้างว่าอัตราที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นสอดคล้องหรือสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากการฟื้นตัวต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทส่วนใหญ่ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานเฉลี่ยที่ร้อยละ 6.69 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อของประเทศในปี 2565 ทำให้พนักงานได้เงินเดือนครอบคลุมในส่วนที่ต้องเสียไปและยังได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนการประเมินโบนัสตามผลการปฏิบัติงานในปี 2566 มีค่าเฉลี่ยการจ่ายโบนัสอยู่ที่ 1.5 เดือน โดยร้อยละ 72 ของบริษัทมีการอธิบายวิธีการคำนวณการจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ประกอบการและพนักงานในการการเปิดเผยอย่างโปร่งใส ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจและอนาคตที่ดีกำลังเกิดขึ้นในตลาดแรงงานของไทย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/global/education-reflects-economic-growth-vietnamese-study-abroad-in-southeast-asia" alt="การศึกษาสะท้อนการเติบโตเศรษฐกิจ 'เด็กเวียดนาม' เรียนต่อนอกมากสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้">การศึกษาสะท้อนการเติบโตเศรษฐกิจ 'เด็กเวียดนาม' เรียนต่อนอกมากสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Jobsdb เผยปี 66 บริษัทไทยขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 6.69% ส่วนปีนี้เทรนด์จ้างงานยังคงเน้น Work life Balance

<h2>เมื่อต้องการมองหาบุคคลที่มีคุณสมบัติให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ประสบการณ์ทำงานและเรซูเม่อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะถูกนำมาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะนายจ้างจำนวนหนึ่งในสิงคโปร์ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องของวันและเวลาที่ผู้สมัครเกิดด้วยไม่แพ้กัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซีอีโอรายหนึ่งเผยว่าเขาต้องปรึกษากับซินแสฮวงจุ้ยเพื่อตัดสินว่าผู้สมัครเหมาะสมสำหรับบริษัทหรือไม่&nbsp;“หากซินแสฮวงจุ้ยอ่านชะตาแล้วพบว่าไม่ดี พวกเขาอาจไม่ได้รับการพิจารณามากเท่าใดนัก” Benedict (นามสมมติ) อดีตพนักงานของทีมจ้างงานในบริษัทการตลาดแห่งหนึ่งกล่าว เขาปฏิเสธจะใช้ชื่อจริงเพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นอ่อนไหว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ฮวงจุ้ยคือศิลปะการอ่านดวงชะตาและบุคลิกภาพอ้างอิงจากวันเดือนปีเกิดของแต่ละคน อาจจัดว่าเป็นหนึ่งในศาสตร์การพยากรณ์ที่มีมาแต่โบราณดุจเดียวกับไพ่ทาโรต์และการดูลายมือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Benedict เผยว่า ในตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมีผู้สมัครจำนวนมาก การปรึกษากับหมอดูช่วยตีวงหาผู้ที่เหมาะสมให้แคบลงมา เพราะผู้สมัครจะเข้ารอบก็ต่อเมื่อดวงของพวกเขาเข้ากันได้กับบริษัท "หากนำวันเดือนปีเกิดของผู้สมัครไปให้ซิสแสฮวงจุ้ยดูและผลออกมาไม่ดี พวกเขาจะถูกคัดออกก่อนได้นัดสัมภาษณ์เสียอีก"&nbsp;เขากล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในสิงคโปร์ ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการดูดวงชะตามากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ว่าจะจ้างใคร เอาเงินไปลงทุนกับอะไร หรือกระทั่งควรแต่งงานเมื่อไหร่ ธุรกิจดูดวงเติบโตอย่างมั่นคงตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2021 พร้อมตัวเลขกิจการพยากรณ์อนาคตเพิ่มขึ้น 32.6% จากข้อมูลล่าสุดของกรมสถิติสิงคโปร์ โดยรายได้จากการดำเนินงานของธุรกิจกลุ่มดังกล่าวทะยานสูงเกือบ 70% แตะ 76.2 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ราว 56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ตลอดช่วงเวลาเดียวกัน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 75%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/Nu7qzLa1paJtzss3RQK1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Nu7qzLa1paJtzss3RQK1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="0"><figcaption><div>ไพ่ทาโร่ต์ ศาสตร์พยาการณ์โบราณยอดนิยม</div></figcaption></figure></div>​ควรจ้างงานคนไหน?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Mark Tan ซีอีโอแห่ง Way Fengshui Group เผยว่ามีบริษัทราว 100 แห่งใช้บริการธุรกิจของเขาเพื่อสอบถามว่าควรจ้างงานผู้สมัครคนไหน&nbsp;“บริษัทพวกนั้นอาจส่งปาจื่อของผู้สมัครมาแล้วถามผมว่า คนนี้เหมาะสมกับตำแหน่งที่พวกเขากำลังเปิดรับหรือเปล่า” ปาจื่อคืออักษรแปดตัวที่ชี้วันเดือนปีและเวลาเกิดของแต่ละคน อ้างอิงจากตำราของจีน&nbsp; &nbsp;&nbsp;Tan บอกว่า ท้ายที่สุดแล้วทางบริษัทยังคงต้องเป็นผู้ตัดสินใจหลังพิจารณาการประเมินว่าผู้สมัครคนนี้เหมาะสมหรือไม่ ทั้งยังเสริมว่า “ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เราเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกช่วยพิจารณาเมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจจ้างใครสักคน โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;“ยิ่งเป็นตำแหน่งระดับ C หรือการจ้างครั้งสำคัญมาก และทางบริษัทยังลังเล หรือไม่ก็ลังเลมาก พวกเขาแค่อยากดูว่ามีจุดบอดอะไรที่ต้องระวังหรือเปล่า” Tan อธิบาย&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เมื่อลองถามความคิดเห็นของกระทรวงแรงงานและ TAFEP ของสิงคโปร์ ต่างชี้ไปยังกฎเกณฑ์การจ้างงานที่เป็นธรรมของสิงคโปร์ ที่ระบุว่านายจ้างต้องเลือกจ้างพนักงานตามความเหมาะสมของความสามารถ จะลงทุนกับอะไร? &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทสิงคโปร์หลายแห่งยังหันมาขอคำแนะนำจากหมอดูก่อนทำการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญ&nbsp;Jing (นามสมมติ) ผู้ทำงานกับบริษัทผลิตเหล็กในสิงเคราะห์เล่าว่า เหนือกว่าเรื่องการจ้างงาน บริษัทของเธอขอคำปรึกษาจากหมอดูเพื่อพิจารณาโอกาสการลงทุนหากจะเปิดโรงงานใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการทำวิจัยควบคู่ไปด้วย ใช่ว่าจะพึ่งพาความเชื่อเพียงอย่างเดียว&nbsp;“มันเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจภายในที่มีตัวเลขสนับสนุน และเมื่อตัดสินใจแล้ว ซินแสฮวงจุ้ยจะช่วยแนะนำว่าเวลาที่เหมาะสมให้” เธอกล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ซินแสจะวิเคราะห์เกณฑ์ต่างๆ เช่น ที่ตั้งของอาคาร ว่ามีโครงสร้างไม่พึงประสงค์อยู่รอบๆ ไหม หรือด้านหน้าอาคารว่าหันไปยังทิศทางใด&nbsp;“พอซินแสให้ผ่าน เราก็จะเดินหน้าโปรเจ็กต์ต่อจนลุล่วง” Jing เผย “เหมือนเป็นการยืนยันขั้นพิเศษ...พวกเขาแค่อยากดูแลให้ครอบคลุมพื้นฐานทุกด้านเท่าที่เป็นไปได้ และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด” ซึ่งฮวงจุ้ยก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/6p7wU4fPGoydtkz5c6zE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6p7wU4fPGoydtkz5c6zE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"><figcaption><div>ซินแส ผู้เชี่ยวชาญการอ่านชะตาตามตำราจีน</div></figcaption></figure></div>​ จะมั่งคั่งได้อย่างไร?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คำถามทั่วไปที่ผู้คนมักถามคือ จะรวยเมื่อไหร่? ทำไมถึงยังไม่รวย?” Chase Whoo ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยที่รับให้คำปรึกษาทั้งยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ Hoseiki เผยพร้อมให้คำตอบแก่คำถามเหล่านั้นว่า ส่วนใหญ่เป็นเพราะกลยุทธ์การลงทุนนั้นมาผิดทาง&nbsp;เขาอธิบายว่าหากพิจารณาจากตารางวันเกิด หลายคนก็มีธาตุประจำตัวที่ให้โทษและขัดขวางความมั่งคั่ง&nbsp; &nbsp;&nbsp;Woo เล่าว่าลูกค้าราว 60% ของเขาถามหาหนทางสู่ความร่ำรวย ผู้ที่ถามคำถามนี้โดยส่วนใหญ่เป็นชาวสิงคโปร์อายุราว 35-45 ปี ลูกค้าจำนวนมากของเขาทำงานขาย เช่น ตัวแทนประกันภัยทางการเงิน ซึ่งต่างขอคำปรึกษาว่าจะเพิ่มยอดขายได้อย่างไร&nbsp; &nbsp;&nbsp;“เราจะสอนศาสตร์แห่งตัวเลขและเทคนิคการอ่านใบหน้าบางประการ เพื่อให้พวกเขานำไปพิจารณาหาปัญหาที่เป็นความต้องการของลูกค้า” Woo กล่าวและยกตัวอย่างว่า “คนที่มีเลขหกในตารางมาก มีแนวโน้มยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางกว่าคนอื่นเล็กน้อย คุณจะบอกเขาว่านโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อลูกของเขาไม่ได้ เพราะเขาอาจไม่สนใจ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;ศาสตร์พยากรณ์และการดูดวงจึงนับได้ว่ามีบทบาทสำคัญในชีวิตของชาวสิงคโปร์อย่างมาก โดยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจของผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตาม ผลทำนายไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง อาจนำมาใช้เป็นแนวทาง แต่ควรนำข้อมูลอื่นๆ มาพิจารณาประกอบด้วยเช่นกัน แปลและเรียบเรียงจาก Who should I hire? Will I get rich? Fortune telling is a booming business in Singapore ซึ่งเผยแพร่บน cnbc.com อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99" alt="อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มผนึกกำลังเกษตรกรร่วมกันลดคาร์บอน">อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มผนึกกำลังเกษตรกรร่วมกันลดคาร์บอน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ฮวงจุ้ย ศาสตร์พยากรณ์โบราณกับบทบาทในธุรกิจสิงคโปร์

<h2>จากรายงานของเจเนอเรชัน และ OECD พบว่า แรงงานที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่ความยั่งยืน แต่กลับเป็นแรงงานที่ถูกมองข้ามเพราะอคติของนายจ้าง ย้อนแย้งกับการจ้างงานในสหรัฐและยุโรปที่มองว่าแรงงานกลุ่มนี้รับมือกับเทคโนโลยีได้ดีเทียบเท่าคนรุ่นใหม่</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจเนอเรชัน (Generation) เครือข่ายไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลกที่มุ่งส่งเสริมการจ้างงาน และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีข้อเสนอแนะว่า นายจ้างจำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับผู้สมัครงานในช่วงกลางของอาชีพ (midcareer) และผู้สมัครงานสูงวัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากรายงานในหัวข้อ "โอกาสในช่วงกลางของอาชีพ รับมือกับความท้าทายของแรงงานสูงวัย" (Midcareer Opportunity: Meeting the challenges of an ageing workforce) ได้สรุปข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลโดย OECD และจากการสำรวจนายจ้าง ผู้สมัครงาน และลูกจ้างหลายพันคนใน 8 ประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-64 ปี คิดเป็นสัดส่วน 40% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศสมาชิก OECD ณ ปี 2563 เทียบกับเพียง 28% ในปี 2533 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบุคลากรมากความสามารถในช่วงอายุดังกล่าวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/VL8MG4VdqcQfaH6dUQ5t.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="VL8MG4VdqcQfaH6dUQ5t.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"แรงงานสูงวัยถือเป็นทรัพยากรที่มีค่า เมื่อพิจารณาจากทักษะ ประสบการณ์ และความมุ่งมั่นตั้งใจของแรงงานกลุ่มนี้" สเตฟาโน สการ์เปตตา (Stefano Scarpetta) ผู้อำนวยการฝ่ายการจ้างงาน แรงงาน และกิจการสังคมของ OECD กล่าวและว่า การรักษาคนกลุ่มนี้ไว้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรักษามาตรฐานการครองชีพระดับสูงในประเทศสมาชิกของเรา ปัจจุบันธุรกิจต่างๆ กำลังประสบความยากลำบากในการสรรหาบุคลากร จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องพยายามมากขึ้นเพื่อทำให้พนักงานทุกคนมีอาชีพการงานที่ประสบความสำเร็จและยืนยาว โดยไม่มีอคติเรื่องอายุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่อย่างไรก็ตาม รายงานแสดงให้เห็นด้วยว่านายจ้างไม่คว้าโอกาสนี้ โดยนายจ้างเกือบ 40% ต้องการจ้างคนอายุ 20-29 ปี และเกือบครึ่งหนึ่ง (47%) ต้องการจ้างคนอายุ 30-44 ปี ขณะที่มีเพียงหนึ่งในสาม (35%) ที่ต้องการจ้างคนอายุ 45-54 ปี และมีเพียง 13% ที่ต้องการจ้างคนอายุ 55-65 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีอายุ 45-64 ปี จึงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มผู้ว่างงานระยะยาว โดยในประเทศที่สำรวจ ได้แก่ สาธารณรัฐเช็ก ฝรั่งเศส เยอรมนี โรมาเนีย สเปน สวีเดน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา คนช่วงวัยดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 44% ของผู้ว่างงานระยะยาวในปี 2563 เพิ่มขึ้นจาก 36% ในปี 2543 นายจ้างมองสูงวัยทำงานได้ดีเท่าพนักงานอายุน้อย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่านายจ้างจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ แต่ข้อได้เปรียบนี้ก็ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยในการสำรวจ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีแนวโน้มที่จะสัมภาษณ์ผู้ที่มีประสบการณ์ 5 ปี พอๆ กับผู้ที่มีประสบการณ์ 25 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สาเหตุสำคัญ คือความกังวลว่าผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ โดยนายจ้างมากกว่าครึ่ง (52%) มองว่าคนอายุ 30-44 ปีมีทักษะด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน แต่มีเพียง 30% ที่มีมุมมองเช่นนี้ต่อคนอายุ 45 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ นายจ้างยังเชื่อว่าผู้สมัครงานในช่วงกลางของอาชีพและผู้สมัครงานสูงวัยมีแนวโน้มน้อยกว่าคนอายุน้อยในการลองเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 75%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/R4azPejp8vyE8jJAypwc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="R4azPejp8vyE8jJAypwc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดี ยังคงมีความย้อนแย้งเกี่ยวกับอายุของพนักงาน โดยพบว่านายจ้างให้ความสำคัญมากกับพนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไปที่มีอยู่แล้วในองค์กร โดยนายจ้าง 89% มองว่าพนักงานในช่วงกลางของอาชีพและพนักงานสูงวัยที่อยู่ในองค์กรอยู่แล้ว สามารถทำงานได้ดีพอ ๆ กันหรือดีกว่าพนักงานอายุน้อย และเรียนรู้ได้เร็วพอ ๆ กัน (83%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"นายจ้างกำลังมองข้ามผู้สมัครงานมากความสามารถที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป" โมนา มัวร์เชด (Mona Mourshed) ซีอีโอระดับโลกของเจเนอเรชัน กล่าวว่า มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าพนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไป สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ โดยนายจ้างสามารถเติมเต็มตำแหน่งงานที่จำเป็นและเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรได้ด้วยการเปลี่ยนแนวปฏิบัติในการจ้างงานเพื่อรองรับผู้สมัครงานทุกวัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้สมัครงานในช่วงกลางของอาชีพและผู้สมัครงานสูงวัยรู้สึกถึงอคติด้านอายุอย่างชัดเจน โดยไม่คำนึงถึงระดับการศึกษา ผู้สมัครงานมากกว่าครึ่งหนึ่ง (53-54%) รู้สึกว่าการหางานทำได้ยาก โดยอายุคืออุปสรรคที่พบบ่อยที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการวิจัยยังตอกย้ำถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งที่นายจ้างให้ความสำคัญมากที่สุดกับการวางตัวในที่ทำงานของพนักงานที่อยู่ในช่วงกลางของอาชีพและพนักงานสูงวัย โดยนายจ้างให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการฝึกอบรมและยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง แต่พนักงานที่อยู่ในช่วงกลางของอาชีพและพนักงานสูงวัยมักเชื่อว่าประสบการณ์การทำงานเพียงอย่างเดียวเป็นข้อพิสูจน์ถึงความพร้อมในการทำงาน โดยมีไม่ถึง 1 ใน 4 ที่เข้าร่วมการฝึกอบรมในช่วงสามปีที่ผ่านมา และพบว่าการเข้าร่วมการฝึกอบรมลดลงตามอายุ ไม่ว่าพนักงานจะมีการศึกษาระดับใดก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อุปสรรคอย่างหนึ่งอาจเป็นเพราะการเข้าถึงโอกาสเหล่านี้ เพราะมีนายจ้างเพียงครึ่งหนึ่ง (53%) ที่เสนอการฝึกอบรมให้แก่พนักงาน ส่งผลให้พนักงานต้องค้นหาทางเลือกอื่น ๆ ด้วยตัวเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ พนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไปไม่ได้สมัครงานในที่ที่เหมาะสม โดยนายจ้างมักหาพนักงานผ่านบริษัทจัดหางาน ผ่านการแนะนำ และผ่านลิงด์อิน (LinkedIn) แต่ในขณะที่นายจ้าง 50% ใช้ลิงด์อิน กลับมีพนักงานสูงวัยเพียง 24% ที่นิยมใช้ลิงด์อินเป็นช่องทางสมัครงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับประเทศไทย ตัวเลขจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ผู้ว่างงานในไตรมาสสอง ปี 2566 มีจำนวน 4.3 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.06 ลดลงจากไตรมาสสอง ปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.37 โดยผู้ว่างงานส่วนใหญ่จะอยู่ในอายุ 15 – 19 ปี ว่างงานร้อยละ 7.8 ขณะที่อายุ 20 – 24 ปี ว่างงานร้อยละ 6.41 อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/world/america/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A-forbes-400-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2023" alt="10 อันดับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในอเมริกาแห่งทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2023">10 อันดับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในอเมริกาแห่งทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2023</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แรงงานสูงวัย กองหนุนองค์กรสู่ความยั่งยืน

<h2>โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่กรุงลอนดอนและ สำนักงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เปิดเผยผลสำรวจอัตราเงินเดือนครั้งที่ 23 ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับผลสำรวจเงินเดือนประจำปีและแนวโน้มการจ้างงาน  ผลสำรวจดังกล่าวยังได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดการจ้างานในประเทศไทยระหว่างปี 2564 และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2565</h2>
รายงานผลสำรวจเงินเดือนประจำปีของ โรเบิร์ต วอลเตอร์ส จัดทำขึ้นสำหรับทั้งนายจ้างและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอาชีพในตลาดงานทั่วทั้งภูมิภาค โดยรายงานดังกล่าวนี้ ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการจ้างงาน การคาดการณ์เงินเดือนในแต่ละอุตสาหกรรม และในแต่ละตำแหน่งงาน นอกจากนี้ยังได้เจาะลึกเกี่ยวกับทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในปีหน้าซึ่งทำให้เห็นถึงภาพรวมของตลาดการจ้างงานในปัจจุบันและในปีถัดไป

การจ้างงานของบริษัทต่างๆ ทั้งในกรุงเทพและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ESB) เริ่มที่จะฟื้นกลับมาในปี 2564 หลังจากที่หยุดชะงักไปในช่วงปี 2563 นโยบายการทำงานจากที่บ้านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตวิถีใหม่ ได้กลายมาเป็นเงื่อนไขใหม่ในการจ้างงาน ในขณะเดียวกันในปีนี้มีประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่ง คือ การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานของบุคลากรในประเทศ เนื่องจากบุคลากรต่างประเทศต้องเผชิญกับข้อจำกัดของการเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ

<img class="alignnone size-full wp-image-55084" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/ปุณยนุช-ศิริสวัสดิ์วัฒนา.jpg" alt="" width="600" height="450" />

ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ประจำประเทศไทย ให้ความเห็นว่าในปี 2564 มีการจ้างงานที่เพิ่มสูงขึ้นในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการตลาดดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวยังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) การผลิต  ซัพพลายเชนและวิศวกรรม

ในด้านของการจ้างงานการระบาดของโควิด-19 ในปี 2564 ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานไทยและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก น้อยกว่าเมื่อเทียบกับปี 2563 อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2564 การจ้างงานในหลายประเทศในภูมิภาคได้มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ในประเทศไทยการฟื้นตัวยังค่อนข้างช้าเนื่องจากการระบาดในช่วงแรกยังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิต ในทางตรงกันข้าม ภาคเทคโนโลยีและดิจิทัล ได้มีการจ้างงานที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกอุตสาหกรรมและพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดและนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจในยุคดิจิทัล

ทิศทางการจ้างงานในปี 2565 การทำงานแบบในออฟฟิศจะถูกให้ความสำคัญน้อยลงแต่จะเน้นรูปแบบการทำงานจากระยะไกลไกล (remote working) ที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้มากขึ้น รวมไปถึงความต้องการในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลจะมีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในด้านเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ การขายและการตลาด รวมไปถึงตำแหน่งที่ผู้สมัครสามารถใช้ทักษะของตนได้โดยไม่ต้องมีการฝึกอบรมใดๆ จะสามารถเรียกเงินเดือนที่สูงได้ การปรับตัวของเงินเดือนในปี 2565 ยังคงสอดคล้องกับปีก่อนหน้าที่ค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ จะอิงตามความสามารถในการแข่งขัน

 สาระสำคัญของผลสำรวจเงินเดือนปี 2565 สำหรับประเทศไทย มีดังนี้

- ในประเทศไทยอัตราเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-30 สำหรับผู้ที่หางานในปี 2565
- ความต้องการในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจะเพิ่มสูงขึ้น
- พนักงานที่มีทักษะทางเทคโนโลยีจะเป็นที่ต้องการอย่างสูงด้วยข้อเสนอที่น่าจูงใจ ในขณะที่บริษัทจะต้องปรับค่าตอบแทนและสวัสดิการเพื่อให้สามารถรักษาบุคลากรด้านเทคโนโลยี ด้านระบบการจัดการอัตโนมัติและการวิเคราะห์ผล ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดไว้ได้
- ตำแหน่งที่สามารถทำงานจากระยะไกลได้ (remote working) จะดึงดูดผู้สมัครจากต่างประเทศที่ไม่จำเป็นต้องย้ายมาประเทศไทย
- ภาคการผลิตของไทยจะฟื้นตัวเพื่อเตรียมพร้อมกับความต้องการที่มาจากทั่วโลก
- ผู้สมัครงานต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่น และแผนการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมเพิ่มมากขึ้น
- การทำงานระยะไกล (remote working) กำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- อัตราการลาออกของพนักงานจะสูงขึ้นเนื่องจากพนักงานกำลังมองหางานใหม่ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะเป็นทักษะที่นายจ้างต้องการในตัวผู้สมัครควบคู่ไปกับทักษะการเรียนรู้และการทำงานเชิงรุก
- การเพิ่มขึ้นของทำงานจากระยะไกล (remote working) ส่งผลต่อการเพิ่มความหลากหลายของพนักงาน นำไปสู่พนักงานที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น
- สิ่งที่ถูกให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น คือ การที่นายจ้างจะต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนแก่พนักงานในกรณีที่ต้องมีการเรียกมาทำงานที่หน้างาน

ข้อมูลจากผลสำรวจเงินเดือนประจำปี 2565 ของโรเบิร์ต วอลเตอร์ส ชี้ให้เห็นว่าในประเทศไทยร้อยละ 96 ของบุคลากรที่ทำงานด้านทรัพยากรบุคคลพร้อมที่จะหางานใหม่ในปี 2565 ในทุกอุตสาหกรรมพนักงานมีความมั่นใจในโอกาสการจ้างงานใหม่และส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะได้รับค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ยอดเยี่ยมแล้ว ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่านโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น เพื่อนร่วมงาน และวัฒนธรรมที่สร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานทำงานอย่างดีที่สุด รวมถึงการทำงานที่ท้าทายและน่าสนใจ เป็นปัจจัยที่ได้รับคะแนนสูงที่สุด

ในปี 2565 การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ ได้ก่อให้เกิดความต้องการจ้างงานในหลายตำแหน่ง  ตัวอย่างเช่น บริการทางการเงิน ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการขยายโครงข่าย 5G  การวิเคราะห์ข้อมูล และบล็อกเชน รวมถึงการบริการลูกค้า การบริการทางธนาคารแบบเสมือนจริง นอกเหนือจากนี้ ในปี 2565  เทคโนโลยีจะยังมีบทบาทเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทคโนโลยีด้านการศึกษา  เทคโนโลยีด้านสุขภาพ และเทคโนโลยีการผลิตแบบอัตโนมัติจะเป็นที่ต้องการอย่างมาก

ควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การทำงานจากที่บ้านทำให้เกิดการขยายขอบเขตการสรรหาบุคลากรซึ่งมุ่งเน้นที่ความหลากหลายและการทำงานร่วมกันมากขึ้น  ทักษะด้านการจัดการ (soft skills)  เช่น ความสามารถในการทำงานได้ดีในสภาพแวดล้อมของทีมที่อยู่ห่างไกลกันจะมีความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน ดังที่ นางปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา เน้นย้ำว่า “บริษัทต้องมีความสามารถในการเชื่อมต่อ โน้มน้าวและกระจายอำนาจให้แก่พนักงานได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือในประเทศเดียวกันก็ตาม ทักษะด้านการสื่อสารจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ข้อความที่สื่อสารจะต้องชัดเจน รัดกุม และส่งเสริมการมีส่วนร่วมสำหรับการทำงานเป็นทีมจากที่ต่างๆ”

ในทำนองเดียวกัน บริษัทที่สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วจะได้เปรียบมากขึ้น ส่วนหนึ่งของการได้เปรียบจะเกี่ยวข้องกับการค้นหาวิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ ที่ช่วยในการสร้างความผูกพันและการมองเห็นคุณค่าในตัวพนักงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยรักษาอัตราการลาออก   ควบคู่ไปกับการสร้างภาพลักษณ์นายจ้างในเชิงบวกในตลาดการจ้างงานซึ่งจำเป็นต่อการดึงดูดผู้สมัครงาน

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/people/forbes-life-people/%e0%b8%9a%e0%b8%b8%e0%b8%8d%e0%b8%a2%e0%b8%87-%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%81%e0%b8%b8%e0%b8%a5-%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%a7.html">บุญยง ตันสกุล หาโอกาสในวิกฤต ชีวิตและธุรกิจที่ต้องเรียนรู้</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events