&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภาคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาให้มีความซับซ้อนและมีความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้ประสบความสำเร็จในเศรษฐกิจยุคปัจจุบันและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั่วโลก ไทยสามารถใช้ความร่วมมือกับจีนเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์หลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การพัฒนาโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของประเทศ เพราะสองอุตสาหกรรมนี้เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการบรรลุเป้าหมายด้านอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทย การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วในตลาดดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกที่ติดตามการเคลื่อนไหวของเงินทุนและโครงสร้างเศรษฐกิจผ่านช่องทางทางการเงินที่มั่นคง เช่น <a href="https://www.hfm.com/int/en/" alt="HFM">HFM</a> ซึ่งดำเนินงานในฐานะโบรกเกอร์ออนไลน์ชั้นนำสำหรับนักลงทุนที่ต้องการใช้โอกาสจากแนวโน้มเหล่านี้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นจากโครงการพัฒนาแห่งชาติและการแข่งขันระดับโลกเพื่อครองตลาด ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ที่มีอยู่เดิม เพื่อดึงดูดการลงทุนจากจีนในการสร้างโรงงานประกอบ ศูนย์วิจัย และโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยี จีนเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกจากการควบคุมการผลิตชิประดับกลางและความสามารถในการจัดหาวัตถุดิบสำคัญ ไทยสามารถเสริมความแข็งแกร่งในห่วงโซ่นี้ด้วยการใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีการเติบโตอย่างรวดเร็ว รัฐบาลไทยตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 รถยนต์ที่ผลิตทั้งหมดอย่างน้อย 30% จะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องการระบบการผลิตแบตเตอรี่ที่มีความน่าเชื่อถือและมีเทคโนโลยีสูง การพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ภายในประเทศจะเติบโตได้อย่างรวดเร็วด้วยความร่วมมือจากบริษัทจีนที่เป็นผู้นำในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและโซเดียมไอออน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ทุกโอกาสทางธุรกิจย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยง ไทยอาจเผชิญแรงกดดันจากประเทศตะวันตก เนื่องจากการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทานอาจนำไปสู่ความพยายามในการกระจายแหล่งผลิตออกจากปักกิ่ง ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับจีนและพันธมิตรอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และยุโรป เพื่อป้องกันความเปราะบางที่อาจเกิดขึ้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ การตั้งโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่ต้องพึ่งพาแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคขั้นสูง ไทยจำเป็นต้องลงทุนในโครงการการศึกษาและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย เพื่อฝึกอบรมแรงงานรุ่นใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมได้ นอกจากนี้ ประเทศยังควรส่งเสริมการวิจัยในประเทศเพื่อเปลี่ยนบทบาทของไทยจากศูนย์กลางการผลิตเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและระบบโลจิสติกส์มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรมเหล่านี้&nbsp;เนื่องจากอุตสาหกรรมดังกล่าวต้องการพลังงานจำนวนมาก ไทยจึงต้องเพิ่มขีดความสามารถด้านพลังงานหมุนเวียนและพัฒนาระบบสมาร์ตกริดเพื่อรองรับการลงทุนในระยะยาว ระบบขนส่งก็ต้องได้รับการปรับปรุงทั้งท่าเรือ สนามบิน และศูนย์โลจิสติกส์ เพื่อรักษาความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญในระดับประเทศ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้ามูลค่าสูง ส่งผลให้ประเทศไทยมีบทบาทเด่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักลงทุนจากทั่วโลกเริ่มประเมินศักยภาพของภูมิภาคนี้มากขึ้น ไทยสามารถสร้างตัวเองให้เป็นศูนย์กลางการผลิตหลัก แข่งขันกับเวียดนามและมาเลเซียซึ่งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านนี้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เส้นทางสู่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการรักษาความโปร่งใสทางการเงินและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ไทยจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของนโยบายผ่านการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงความผันผวนจากการเมือง และจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ หากทำได้ ประเทศไทยจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการลงทุนด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีของโลก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความท้าทายหลักของไทยคือการเปลี่ยนความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับจีนให้กลายเป็นฐานอุตสาหกรรมสมัยใหม่สำหรับอนาคต ด้วยการผสมผสานระหว่างนโยบายที่เหมาะสม การพัฒนาทักษะแรงงาน โครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุน และความร่วมมือระดับนานาชาติ ไทยจะสามารถบรรลุวิสัยทัศน์นี้ได้ ประเทศสามารถสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและมีมูลค่าสูง ผ่านการเปลี่ยนจากการพึ่งพาการท่องเที่ยวและการผลิตแรงงานเข้มข้นไปสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อนาคตของประเทศไทยในฐานะผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการคว้าโอกาสนี้ในเวลาปัจจุบัน

ไทยจะใช้ความสัมพันธ์กับจีนสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่ได้หรือไม่?

<h2>หลังจากกรุงเทพฯ ได้ขึ้นอันดับสูงที่สุดในกลุ่ม 50 เมืองใหญ่ โดยขยับจากอันดับที่ 45 ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 34 ของดัชนีเมืองระดับโลก (Global Cities Index - GCI) ในปี 2024&nbsp;ล่าสุดในปี 2025 นี้ กรุงเทพฯ ได้ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 33 หลังจากภาพรวมมีการจัดประชุมทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและหลากหลายสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและผันผวน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานล่าสุดจาก คาร์นีย์ (Kearney) บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 1926&nbsp;ได้เน้นถึงขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก และความสามารถในการปรับตัวของกรุงเทพมหานครในดัชนีเมืองระดับโลก (Global Cities Index - GCI) ฉบับปี 2025 โดยรายงานนี้จัดอันดับเมืองที่มีความเชื่อมโยงและมีอิทธิพลในระดับนานาชาติสูงที่สุด แม้ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดัชนี GCI ของ Kearney ทำการประเมินเมืองต่างๆ ทั่วโลกผ่าน 5 มิติหลัก ได้แก่ กิจกรรมทางธุรกิจ ทรัพยากรมนุษย์ การแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ทางวัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยอาศัยตัวชี้วัดรวมทั้งสิ้น 31 รายการ เพื่อสะท้อนศักยภาพของเมืองในการดึงดูด รักษาไว้ และส่งเสริมการเคลื่อนไหวของผู้คน เงินทุน และแนวคิดในระดับโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรุงเทพมหานคร ขยับขึ้น 1 อันดับจากอันดับที่ 34 ในรายงานปี 2024 มาอยู่ที่อันดับที่ 33 ในดัชนีปี 2025 แม้อยู่ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยการเลื่อนอันดับดังกล่าวมีปัจจัยมาจากการพัฒนาในมิติกิจกรรมทางธุรกิจ ซึ่งปรับตัวดีขึ้นถึง 7 อันดับ โดยเฉพาะในด้านการจัดประชุมทางธุรกิจ ตามตัวชี้วัดของสมาคมการประชุมนานาชาติ (ICCA) และตัวชี้วัดด้านตลาดทุน รายงานยังระบุว่า การเติบโตของการค้าภายในภูมิภาคมีส่วนช่วยหนุนผลลัพธ์ดังกล่าว แม้จะเผชิญบริบทโลกที่มีความซับซ้อนและแบ่งขั้วมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานระบุว่า ในยุคของปัญญาประดิษฐ์และสังคมข้อมูล เมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างกรุงเทพฯ ไม่ได้แข่งขันเพียงแค่ขนาดหรือประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่ยังแข่งขันด้วยความพร้อมในการพัฒนาศักยภาพเมืองให้สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานทดแทน และบุคลากรที่มีทักษะสูง เพื่อก้าวทันและใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์ พร้อมทั้งบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ&nbsp;10 อันดับเมืองชั้นนำในดัชนีเมืองระดับโลกประจำปี 2025 ได้แก่1. นิวยอร์ก2. ลอนดอน3. ปารีส4. โตเกียว5. สิงคโปร์6. ปักกิ่ง&nbsp;7. ฮ่องกง&nbsp;8. เซี่ยงไฮ้&nbsp;9. ลอสแอนเจลิส&nbsp;10. ชิคาโก&nbsp;&nbsp;โอกาสและจุดแข็งของกรุงเทพฯ ในบริบทโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรุงเทพฯ กำลังก้าวหน้าอย่างโดดเด่นในหลายด้านสำคัญ เพื่อพัฒนาเป็นเมืองระดับโลกที่พร้อมด้านดิจิทัลและมีความสามารถในการปรับตัว หนึ่งในจุดเด่นคือการเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงในหลายตัวชี้วัดด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยเฉพาะในส่วนของศูนย์ข้อมูล (Data Centre) ที่มีอันดับดีขึ้นจากอันดับ 78 ในปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่อันดับ 55 ในปีนี้ แม้ว่าความเร็วอินเทอร์เน็ตจะลดลงเล็กน้อย แต่กรุงเทพฯ ยังคงครองอันดับสูงในระดับ 22 ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสในการพัฒนาเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มุ่งเน้นเทคโนโลยีและดิจิทัลมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการเติบโตคือการขยายการเข้าถึงและสมัครใช้งานบริการบรอดแบนด์ในกรุงเทพฯ ปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 118 การส่งเสริมความเสมอภาคทางดิจิทัลจะช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพได้อย่างเต็มศักยภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดาวิด อูเลนบร็อค พาร์ตเนอร์ของ Kearney ประเทศไทย กล่าวว่า “กรุงเทพฯ มีองค์ประกอบครบถ้วนที่จำเป็นสำหรับการก้าวสู่การเป็นเมืองระดับโลกชั้นนำในทศวรรษหน้า ทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นหนึ่งในโอกาสที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ แม้ว่าเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคจะมีการขยับขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า เรามีความเชื่อมั่นในทัศนคติเชิงบวกว่ารัฐบาลไทยจะยังคงลงทุนในการดึงดูดและรักษาทรัพยากรมนุษย์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและเน้นนวัตกรรมทางกฎระเบียบ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่ากรุงเทพฯ จะอยู่ในอันดับที่ 97 ด้านจำนวนประชากรที่เกิดในต่างประเทศ ต่ำกว่าเมืองอย่างจาการ์ตา (อันดับ 37), กัวลาลัมเปอร์ (อันดับ 40) และสิงคโปร์ (อันดับ 12) แต่ช่องว่างนี้ยังสะท้อนถึงโอกาสในการพัฒนาของกรุงเทพฯ ในอนาคต ประชากรที่มีความหลากหลายและเป็นนานาชาติจะช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อในระดับโลก ส่งเสริมนวัตกรรม และเพิ่มความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของเมือง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันและความพร้อมในการปรับตัวในยุคปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดูรายงานดัชนีเมืองระดับโลก 2025 ของ Kearneyได้ที่ลิงก์&nbsp;<a href="https://www.kearney.com/service/national-transformations-institute/gcr">https://www.kearney.com/service/national-transformations-institute/gcr</a>  &nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/k-bank" alt="กสิกรไทย เผยผลงาน 9 เดือน ปี 2568 กำไรสุทธิ 39,287 ล้าน โต 1.16%">กสิกรไทย เผยผลงาน 9 เดือน ปี 2568 กำไรสุทธิ 39,287 ล้าน โต 1.16%</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงเทพฯ ขยับขึ้นหนึ่งอันดับ เป็นอันดับที่ 33 ของ 'ดัชนีเมืองระดับโลก' ปี 2025

<h2>'พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานทำพัง' วลีเด็ด! ที่หลายๆ คนต่างก็มีภาพจำว่าธุรกิจที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวจน Success มาตั้งแต่คน Gen แรก มักจะแผ่ขยายความรุ่งเรืองไปได้ไม่ไกลเกินคนรุ่นหลานหรือคน Gen 3 โดย 'วรพนิต รวยรุ่งเรือง' CEO วัย 35 ปี แห่งเรนวูด กรุ๊ป ผู้ปลุกปั้นอาณาจักรระดับ 3 หมื่นล้าน 'เรนวูด ปาร์ค' ย่านปทุมธานี บอกว่า วลีนี้ถือเป็นตัวกระตุ้นสร้างแรงขับเคลื่อนในการทำธุรกิจได้เป็นอย่างดี อีกทั้งไลฟ์สไตล์ด้านการเงินของเธอคนนี้ ยังเลือกใช้เงินแบบ Balance โดยนอกจากจะจัดสรรแบ่งเงินเพื่อลงทุนทองคำและหุ้นแล้ว ยังเลือกเก็บเงินสดไว้ด้วยอีกทางหนึ่งเพื่อความอุ่นใจสำหรับภาวะเศรษฐกิจในยุคนี้ </h2> &nbsp; &nbsp; Forbes Thailand มีโอกาสได้พูดคุยกับ&nbsp;วรพนิต รวยรุ่งเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เรนวูด กรุ๊ป ซีอีโอคนรุ่นใหม่ในวัย 35 ปี ผู้ปลุกปั้นอาณาจักร 'เรนวูด ปาร์ค' ย่านปทุมธานี ที่ใช้งบลงทุนสูงถึงกว่า 30,000 ล้านบาท โดยล่าสุดหลังจากกระแสฮิตของซีรีส์ไทย 'สงครามส่งด่วน' กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ อีกทั้งหลายๆ คนก็จดจำบางช่วงบางตอนที่เจ้าสัวคณินพูดถึงประโยคที่ว่า&nbsp;'พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานทำพัง' ประโยคนี้...ถือเป็นวลีเด็ดที่หลายๆ คนในแวดวงธุรกิจต่างคุ้นเคยกันมานาน ซึ่งเมื่อถามว่าคิดเห็นอย่างไรกับวลีนี้ วรพนิต บอกว่า ก็เป็นคำที่พูดถึงกันมานานและอ้างอิงสะท้อนความเป็นจริงของการทำธุรกิจหลายๆ ครอบครัวได้เป็นอย่างดีนับจากอดีตถึงปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"ถ้าคนภายนอกมอง ก็อาจจะคิดว่าเรามีต้นทุนดีกว่าคนอื่น ธุรกิจที่บ้านคนรุ่นแรกก็สร้างจนเติบโตมาก่อนแล้ว คนรุ่นลูกหลานก็สบาย ไม่ต้องทำอะไรเยอะ! ขณะเดียวกันถ้ามองแบบคนภายในเราก็มีความกดดันเยอะ ทั้งจากคนภายนอกที่มองมา และความกดดันส่วนตัวจากธุรกิจที่เราจะต้องรับไม้ต่อ และเราจะทำอย่างไรเพื่อรักษาสิ่งที่คนรุ่นแรกก่อร่างสร้างตัวจนสำเร็จมาแบบนี้ได้อย่างยั่งยืน เพื่อส่งไม้ต่อให้คนในครอบครัวรุ่นต่อๆ ไป ดังนั้นเราจึงต้องขยันและเรียนรู้ให้มากกว่าเดิมเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า สิ่งที่คนรุ่นแรกลำบากทำมามันจะไม่สูญเปล่า" วรพนิต กล่าว 'เรนวูด ปาร์ค' โปรเจกต์หมื่นล้าน คือ ความท้าทาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตอนที่เริ่มแผนโครงการนี้ที่จะต้องใช้งบลงทุนสูงถึง 30,000 ล้านบาท สิ่งสำคัญและถือเป็นความท้าทายมากๆ เลยก็คือเรื่องของ 'การก่อสร้าง และ เวลา' ที่มีความสวนทางกันอยู่ เพราะเราต้องการวางรากฐานการก่อสร้างทั้งหมดให้มีคุณภาพดี แต่จะต้องแข่งกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เราจึงต้องสร้างคน ควบคู่ไปกับการสร้างงานทุกๆ อย่างให้มีคุณภาพไปพร้อมๆ กัน รวมถึงสังคมและชุมชนที่อยู่โดยรอบจะต้องเข้าใจด้วยว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งเรื่องของการใส่ใจสิ่งแวดล้อมของชุมชนก็เป็นอีกเรื่องสำคัญ เราจึงเน้นเรื่องการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ผู้คนในชุมชนที่ตั้งอยู่โดยรอบโครงการด้วย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 700px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/u7Wjp19gQZCPeacMH9hg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="700px,466px" data-align="center" data-index="3" data-file-name="u7Wjp19gQZCPeacMH9hg.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="700px,466px" style="width: 700px; height: 466px;"></figure></div> สิ่งที่พ่อสอนทำให้เรายึดมั่นในการทำธุรกิจ&nbsp; &nbsp; วรพนิต บอกว่า "คุณพ่อเคยสอนเอาไว้ คนรุ่นก่อนเวลาจะติดต่อ เจรจา ทำการค้าหรือธุรกิจอะไร เขาจะเน้นเรื่องของสัจจะสัญญาจากคำพูดที่สร้างความเชื่อมั่น จับมือกัน แต่สำหรับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน การตกลงธุรกิจ เจรจาการค้าต่างๆ เรื่องของการทำเอกสารให้เป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจนเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า เพราะเราต้องคุยกันในหลักเกณฑ์หรือหลักการต่างๆ และต้องมีเอกสารตามกฎหมาย เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างชัดเจนราบรื่น" รวยระดับหมื่นล้าน แต่เน้นความ Balnce เรื่องการใช้เงินหลายคนอาจจะใฝ่ฝันถึงการมีเงินระดับร้อยล้าน พันล้าน จะได้ใช้เงินช็อปปิ้งซื้อสิ่งต่างๆ ที่ต้องการได้อย่างสะดวกสบาย แต่สำหรับ วรพนิต ที่มีความร่ำรวยมั่งคั่งระดับหมื่นล้าน เธอเล่าถึงไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายเงินของตัวเองให้ฟังว่า "ที่บ้านจะปลูกฝังและสอนให้เก็บเงินแบบ ระยะสั้น กลาง ยาว มาตลอด ตัวพรีสเองก็จะมีสมุดจดด้วยว่า วันๆ เราทำอะไรไป ใช้จ่ายเงินไปกับอะไรบ้าง! เรื่องการช็อปปิ้ง ซื้อของที่ตัวเองชอบก็คงเป็นเรื่องปกติ! แต่ตัวเราเองก็จะต้องรู้ลิมิตด้วยว่าเราใช้จ่ายเงินไปแบบสมดุล Balance มากน้อยแค่ไหน ซึ่งมันก็เหมือนกับการใช้จ่ายในการทำธุรกิจด้วยเหมือนกัน ถ้าเราจ่ายไปมากกว่ารายได้เดี๋ยวเราก็เจ๊งได้เหมือนกัน"​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/pvqnFXvJeAVhDTbgH5dW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="pvqnFXvJeAVhDTbgH5dW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท้ายนี้ วรพนิต ยังบอกถึงแนวทางการบริหารจัดการเงินของเธอด้วยว่า นอกเหนือจากการซื้อทองคำสะสมเหมือนคนทั่วไป ก็มีการแบ่งเงินไปซื้อหุ้น หรือ กองทุนด้วยไม่ต่างกัน ส่วนเรื่องอสังหาริมทรัพย์นั้นก็มีบ้างแต่ไม่เยอะ "พรีสเลือกแบ่งเก็บเงินสดไว้ด้วยเหมือนกันค่ะ เศรษฐกิจในยุคนี้ นอกจากจะแบ่งเงินบางส่วนไว้ลงทุนแล้ว ก็ควรจะมีเงินสดเก็บเอาไว้สำหรับยามฉุกเฉินด้วย มีเงินสดเอาไว้อุ่นใจกว่าค่ะ" ซีอีโอ เรนวูด กรุ๊ป ที่ใจดีแบ่งเวลาจากงานยุ่งๆ มานั่งคุยกับทีมงาน Forbes Thailand กล่าวทิ้งท้าย ภาพ : เรนวูด กรุ๊ป เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/forbes-life/mile-phakphum-attitude-lifestyle-friend-of-guerlain" alt="'เวลาคือ สิ่งมีค่า' และ 'ต่อให้เหนื่อยท้อแค่ไหน ก็ยังต้องมีความรับผิดชอบ' แนวคิดดีๆ จาก มาย ภาคภูมิ">'เวลาคือ สิ่งมีค่า' และ 'ต่อให้เหนื่อยท้อแค่ไหน ก็ยังต้องมีความรับผิดชอบ' แนวคิดดีๆ จาก มาย ภาคภูมิ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานทำพัง' วลีเด็ด! ที่ 'วรพนิต' CEO ผู้ปลุกปั้นอาณาจักร 'เรนวูด ปาร์ค'  ใช้เป็นแรงขับเคลื่อนโปรเจกต์ยักษ์ 3 หมื่นล้าน

<h2>ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมิน GDP ไทยปี 2568 ขยายตัว 2.7% ดีขึ้นจาก 2.5% ในปีที่ผ่านมา โดยมีแรงหนุนส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มกลับมาเติบโต 3.0% จากที่เคยหดตัว -1.6% ในปี 2567 จากอานิสงส์ของการไหลเข้ามาของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) คาด 3 ธุรกิจที่จะได้ประโยชน์ในระยะแรก ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง โดยใน 1-2 ปีนี้ คาดว่าจะมีความต้องการสร้างโรงงานเพิ่มขึ้นปีละ 0.85-1.05 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ประเทศไทยยังต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการ Upskill/Reskill แรงงาน และเจรจาความตกลงการค้าเสรีเพื่อเพิ่มโอกาสในการดึงดูด FDI ในระยะถัดไป</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ในปี 2568 การลงทุนภาคเอกชนจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะพลิกกลับมาขยายตัวได้ 3% โดยในระยะถัดไป ประเมินว่า FDI จากจีนจะมีบทบาทกับการลงทุนของไทยมากขึ้น เห็นได้จากในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา FDI จากจีนอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นอย่างชัดเจน สวนทางกับแชมป์เก่าอย่างญี่ปุ่นที่เป็นเทรนด์ขาลง โดยในปี 2567 FDI จากจีนมีมูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนถึง 1.75 แสนล้านบาท สูงกว่าญี่ปุ่น 3-4 เท่าตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Krungthai COMPASS มองว่าไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของการลงทุนจากจีน เนื่องจากไทยมีศักยภาพในการดึงดูด FDI ที่โดดเด่นไม่เป็นรองกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน สะท้อนจากมุมมองของต่างชาติ เช่น Milken Institute คลังสมอง (Think Tank) ชั้นนำของสหรัฐฯ ที่ชี้ว่าไทยติดอยู่ในอันดับ 2 ของกลุ่มประเทศ Emerging and Developing Asia เป็นรองเพียงมาเลเซีย จากการมีจุดเด่นเรื่อง สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ และความพร้อมของบริการด้านการเงิน ส่วนจุดที่ยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ คือ การปกป้องสิทธิของนักลงทุน และความสอดคล้องกับกฎระเบียบสากล”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร. สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ในระยะแรก FDI ที่ปรับตัวสูงขึ้นจะสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยใน 3 ธุรกิจสำคัญ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจากความต้องการซื้อที่ดินและสาธารณูปโภค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ธุรกิจก่อสร้างจากความต้องการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่อาจเพิ่มขึ้นราวปีละ 0.85-1.05 แสนล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการพัฒนาคอนโดมิเนียมเพื่อขายให้กับชาวต่างชาติ ซึ่งมักซื้อคอนโดมิเนียมที่มีราคาเฉลี่ยถึง 4.7 ล้านบาทต่อยูนิต สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนไทยถึง 114%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้า ยังต้องติดตาม 5 ปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อ FDI ได้แก่ 1) ภาวะสงครามการค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ-จีน 2) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลก 3) กฎระเบียบของโลกและประเทศคู่ค้า 4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย และ 5) ความพร้อมด้านเทคโนโลยี โดยในมิติกฎระเบียบของโลก การเริ่มต้นของมาตรการจัดเก็บภาษีขั้นต่ำของโลก (Global Minimum Tax) อาจทำให้สิทธิประโยชน์ด้านอัตราภาษีนิติบุคคลที่ได้รับจากการส่งเสริมการลงทุน ไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูด FDI อีกต่อไป จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ครอบคลุมทั้งชนิดโครงการและประสิทธิภาพ พัฒนาทักษะบุคลากรผ่านการ Upskill และ Reskill รวมถึงมุ่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี เพื่อเป็นการรักษา FDI ที่ไทยได้รับให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง” <a href="https://www.freepik.com/free-photo/industrial-port-de-barcelona-evening_1474844.htm#fromView=image_search_similar&amp;page=1&amp;position=13&amp;uuid=b5237f43-7f72-461c-a64a-9df039a806f2&amp;query=Transport">Image by bearfotos on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kkp-trump-policy-impact-on-thai-economy" alt="KKP เตือนไทยเตรียมพร้อม! รับแรงกระแทกนโยบายทรัมป์ อาจสะเทือนจนขาดดุลการค้ากับจีน">KKP เตือนไทยเตรียมพร้อม! รับแรงกระแทกนโยบายทรัมป์ อาจสะเทือนจนขาดดุลการค้ากับจีน</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ศูนย์วิจัยกรุงไทยชี้กระแสย้ายฐานการผลิต พลิกฟื้นการลงทุนภาคเอกชนไทยปี 2568

<h2>ท่ามกลางตลาดลงทุนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง จากปัจจัยรอบโลกที่คาดเดาได้ยาก และความผันผวนที่เกิดขึ้นทั่วโลก นักลงทุนบางส่วนอาจจะอยากพักจากการลงทุนสักระยะเวลาหนึ่ง (อาทิ 1-3 ปี) หลายคนอาจเลือกพักเงินที่บัญชีออมทรัพย์ซึ่งมีสภาพคล่องสูง แต่ยังมีอีกทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการได้ดอกเบี้ย และลุ้นรางวัล ได้โดยไม่เสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากและเงินรางวัล คือ สลากกออมทรัพย์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ว่าแต่ปี 2568 นี้มีสลากออมทรัพย์ไหนที่ยังเปิดขาย และหากมีเงินราว 1 ล้านบาท จะซื้อสลากฯ ตัวไหนดี Forbes Thailand รวบรวมและเปรียบเทียบมาให้แล้วในบทความนี้มีเงิน 1 ล้านบาท ซื้อสลากฯ ไหนได้ผลตอบแทนแบบขั้นต่ำสูงที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes Thailand รวมรวมสลากออมทรัพย์ที่ยังเปิดขายอยู่ในต้นเดือน ก.พ. 2568 จาก 3 ธนาคารหลัก ได้แก่ ธนาคารออมสิน*, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เบื้องต้นสำหรับวงเงิน 1 ล้านบาท หากถือไว้จนครบกำหนด สลากออมทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมอัตราดอกเบี้ย และรางวัลขั้นต่ำ) คือ&nbsp;&nbsp; &nbsp; อันดับ 1 สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดนาคราช อายุ 3 ปี ราคา 1,000 บาทต่อหน่วย ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนรวม 1.84% ต่อปี โดยจะมาจากอัตราดอกเบี้ยหน้าสลากฯ ที่ราว 1% ต่อปี (ครบกำหนดรับ 30 บาทต่อหน่วย) และที่เหลือมาจากเงินรางวัลรวม 8,400 บาท (เดือนละ 700 บาท) ทั้งนี้ ยังสามารถลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 2 ล้านบาท ได้ถึง 36 งวด&nbsp; &nbsp; อันดับ 2 สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดวิมานเมฆ Plus ปี 2567 อายุ 2 ปี ราคา 1 ล้านบาทต่อหน่วย มีอัตราดอกเบี้ยหน้าสลากฯ ที่ 1.70% ต่อปี ทั้งนี้ หากซื้อสลากฯ ในวงเงิน 10 ล้านบาท จะมีอัตราผลตอบแทนรวมที่ 1.82% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากการถูกรางวัลอีกเดือนละ 1,000 บาท นอกจากนี้ สามารถลุ้นรางวัลที่ 1 มีมูลค่า 3 ล้านบาท ได้ 24 งวด (หากซื้อในวงเงิน 10 ล้านบาท จะถูกรางวัลขั้นต่ำ 1,000 บาท/เดือน คิดอัตราผลตอบแทนรวมที่ 1.82% ต่อปี)&nbsp; &nbsp; อันดับ 3 สลากออมสินพิเศษ (และแบบดิจิทัล) อายุ 2 ปี ราคา 100 บาทต่อหน่วย มีอัตราผลตอบแทนรวม 1.46% ต่อปี มาจากอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี และรางวัลเลขท้าย 4 ตัวรวม 19,200 บาท (เดือนละ 800 บาท) ส่วนรางวัลที่ 1 มีมูลค่า 30 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 4 สลากออมสินพิเศษ (และแบบดิจิทัล) อายุ 1 ปี ราคา 100 บาทต่อหน่วย อัตราผลตอบแทนรวม 1.45% ต่อปี มาจากอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี และ และรางวัลเลขท้าย 3 ตัวและเลขท้าย 4 ตัว รวม 12,000 บาท (เดือนละ 1,000 บาท) สามารถลุ้นรางวัลที่ 1 มีมูลค่า 10 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; อันดับ 5 สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดหยกจักรพรรดิ์ อายุ 2 ปี ราคา 10,000 บาทต่อหน่วย อัตราดอกเบี้ยหน้าสลากฯ อยู่ที่ 1.40% ต่อปี ส่วนรางวัลที่ 1 อยู่ที่ 10 ล้านบาท&nbsp;&nbsp; (หากซื้อในวงเงิน 10 ล้านบาท จะได้รับรางวัลขั้นต่ำ 1,000 บาท/เดือน คิดอัตราผลตอบแทนรวม 1.52% ต่อปี)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่า แม้ทั้งสลากออมทรัพย์ของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. จะมีอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่น้อยกว่าของสลากออมทรัพย์ทั้ง 2 แบบของธอส. แต่ก็มีจุดเด่นที่อาจชดเชยได้ด้วยเงินรางวัลก้อนใหญ่ อย่างรางวัลที่ 1 อยู่ที่ 10-30 ล้านบาทสูงกว่าของสลากออมทรัพย์ของ ธอส. ที่อยู่ราว 1-3 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/CrjY1AG38AcVDepkXmxi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CrjY1AG38AcVDepkXmxi.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,899" style="" data-index="0"></figure></div>​ มีเงิน 100,000 บาท สลากฯ ไหนคุ้มที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับงบซื้อสลากออมทรัพย์ 100,000 บาท ForbesThailand พบว่า สลากออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนขั้นต่ำสูงสุด ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สลากออมทรัพย์ชุดนาคราช ของ ธอส. อายุ 3 ปี ราคา 1,000 บาทต่อหน่วย หากจะได้รับรางวัล 60 บาทต่อเดือน (ปีละ 720 บาท) มาจากเลขท้าย 2 ตัว และเลขท้าย 2 ตัว ของรางวัลที่ 1 ส่งผลให้มีอัตราผลตอบแทนรวมขั้นต่ำที่ 1.72% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สลามออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดหยกจักรพรรดิ์ อายุ 2 ปี ราคา 10,000 บาทต่อหน่วย อัตราดอกเบี้ยหน้าสลากฯ อยู่ที่ 1.40% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สลากออมสินพิเศษ (และแบบดิจิทัล) อายุ 1 ปี ราคา 100 บาทต่อหน่วย จะได้รับรางวัล 80 บาทต่อเดือน (ปีละ 960 บาท) จากเลขท้าย 3 ตัว ทำให้มีอัตราผลตอบแทนรวมแบบการันตีที่ 1.21% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สลากออมสินพิเศษ (และแบบดิจิทัล) อายุ 2 ปี ราคา 100 บาทต่อหน่วย มีอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ การซื้อสลากออมทรัพย์มีผลตอบแทนขั้นต่ำที่ได้รับอย่างชัดจน ที่สำคัญคือไม่เสียภาษีดอกเบี้ยและรางวัล นอกจากนี้หากแต้มบุญใครสูงกว่าก็อาจจะซื้อสลากออมทรัพย์ได้คุ้มค่าที่สุดเช่นกัน หมายเหตุ*สลากออมสินพิเศษทั้ง 1 และ 2 ปี มีสลากฯ รูปแบบดิจิทัลที่จะเงื่อนไขพื้นฐานเหมือนกัน จะมีบางเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เช่น อายุผู้ที่ซื้อได้, วันออกรางวัล และขั้นต่ำในการซื้อ ฯลฯที่มา: Forbes Thailand รวบรวม ณ 5 ก.พ. 68 ภาพ: ธัญวดี นิรุตติศาสตร์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/marketing/or-new-ceo-peekthong-thongyai-first-vision-presentation" alt="ฟื้นความมั่นใจ นลท. หลังหุ้นราคาร่วงตั้งแต่ IPO ภารกิจ ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ ซีอีโอคนใหม่ OR"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kkp-research-thailand-economy-feb-2025" alt="KKP แจงเหตุเศรษฐกิจไทยปี 2025 เสี่ยงโตต่ำศักยภาพที่ 3% แม้มีแจกเงิน-ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นตัว">KKP แจงเหตุเศรษฐกิจไทยปี 2025 เสี่ยงโตต่ำศักยภาพที่ 3% แม้มีแจกเงิน-ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นตัว</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

มีเงิน 1,000,000 บาท ปี 2568 ซื้อสลากออมทรัพย์ที่ไหนดี

<h2>รายงานของ Forbes เมื่อเดือนมีนาคม 2023 เผยว่าชาวอเมริกันวัยมิลเลนเนียลและ Gen Z เกือบ 80% มองหาคำแนะนำทางการเงินจากโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะ TikTok, YouTube หรือ Instagram แต่ข้อมูลเหล่านี้สามารถเชื่อถือได้แค่ไหน?</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานล่าสุดโดย Social Capital Markets ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 พบว่า 71% ของคำแนะนำทางการเงินบนโซเชียลมีเดียที่ชาวมิลเลนเนียลและ Gen Z เสพนั้นขาดความน่าเชื่อถือ สร้างความเข้าใจผิด โดยในบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่ออกมาแบ่งปันข้อมูลด้านการเงิน มีเพียง 13% ที่มีคุณสมบัติและใบรับรองที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว อันที่จริงช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาในสหราชอาณาจักร มีอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากถูกปรับจากการหลอกลวงผู้ติดตามนับล้านบนโซเชียลมีเดียด้วยคอนเทนต์การเงินผิดๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Social Capital Markets ได้ทำการวิเคราะห์วิดีโอ 2,470 คลิปทั้งจาก TikTok, YouTube และ Instagram รวมถึงแฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ #StockTok, #Investing และ #Stocktips เพื่อตรวจหาโพสต์ที่ชี้นำแบบผิดๆ พบว่ากว่า 85% ไม่มีคำเตือน (Disclaimer), 70% มีการเชิญชวนให้ผู้ชมลงทุนในทรัพย์สินบางอย่างโดยเฉพาะ และ 57% จูงใจผู้ชมว่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างแน่นอน​​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/4XzSF5ALrb2R1r2BXtDt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4XzSF5ALrb2R1r2BXtDt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1536,1188" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในบรรดาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหมด TikTok อาการหนักที่สุด โดยมีวิดีโอ 91% ที่ขาดคำเตือน, 70% เชิญชวนให้ซื้อหุ้น และ 65% การันตีว่าจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้อันตรายต่อนักลงทุนหน้าใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ชาวอเมริกันที่ยังมีภาระหนี้จากการกู้ยืมเพื่อการศึกษาและเงินเดือนยังต่ำอยู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แพลตฟอร์มที่น่าเป็นห่วงรองลงมาคือ Instagram โดยมีวิดีโอเกี่ยวกับการเงิน 88% ที่ขาดคำเตือน และ 65% เชิญชวนให้ซื้อหุ้นบางตัวโดยเฉพาะ ตามมาด้วย YouTube ที่ีวิดีโอด้านการเงิน 76% ขาดคำเตือน, 75% มีการโปรโมตการลงทุนบางประเภทโดยเฉพาะ และ 55% การันตีว่าจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน โดยหลายคอนเทนต์บน YouTube เลือกเชียร์หุ้นบางตัวเป็นพิเศษด้วย​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/XXS1XuAb77Hq1LD4ntHJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XXS1XuAb77Hq1LD4ntHJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1536,876" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในทรัพย์สินที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์เชิญชวนด้วยการพูดถึงบ่อยครั้งคือสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) จากการวิเคราะห์วิดีโอที่เกี่ยวข้อง 1,620 คลิป พบว่ามีการพูดถึง Memecoin หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ได้แรงบันดาลใจจากมีมบนอินเทอร์เน็ต เช่น Dogecoin และ Shiba Inu บ่อยที่สุดถึง 51% บน TikTok, 44% บน Instagram และ 40% บน YouTube&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รองลงมาคือ AI Coin ที่มีการพูดถึง 22% บน Instagram, 20% บน YouTube และ 16% บน TikTok ตามด้วย Web3 Gaming Token หรือโทเคนที่ได้จากการเล่นเกมบนบล็อกเชน ที่มีการพูดถึง 30% บน YouTube, 18% บน TikTok และ 14% บน Instagram&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน NFT ที่เคยได้รับความสนใจอย่างล้นหลามเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้คล้ายจะคลายความนิยมลง มีอินฟลูเอนเซอร์บน Instagram 17% ที่ยังพูดถึง NFT, 13% บน TikTok และเพียง 5% เท่านั้นบน YouTube แหล่งที่มา:​<a href="https://socialcapitalmarkets.net/social-media-financial-advice-misleads-gen-z-millennials/" alt="71% of Social Media Financial Advice Misleads Gen Z and Millennials">71% of Social Media Financial Advice Misleads Gen Z and Millennials</a>​ ​<a href="https://www.entrepreneur.com/business-news/riskiest-social-media-platform-for-financial-advice-report/482240" alt="Nearly 3 in 4 Posts on Social Media With Financial Advice Are 'Misleading,' According to a New Report">Nearly 3 in 4 Posts on Social Media With Financial Advice Are 'Misleading,' According to a New Report</a>​ ภาพ: <a href="https://www.pexels.com/photo/influencer-discussing-temporary-cryptocurrency-declines-8370811/" alt="Pexels.com">Pexels.com</a> และ&nbsp;Social Capital Markets เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/simple-and-basic-ways-billionaires-use-to-make-decisions" alt="‘เรียบง่ายแต่ทรงพลัง’ เบื้องหลังการตัดสินใจของมหาเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จ">‘เรียบง่ายแต่ทรงพลัง’ เบื้องหลังการตัดสินใจของมหาเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

พึงระวัง! ก่อนเชื่อคนสอนลงทุนบนโซเชียล รายงานเผยคอนเทนต์ 71% ไม่น่าเชื่อถือ TikTok อาการหนักสุด

<h2>K PLUS ตอกย้ำความเป็นผู้นำดิจิทัล แบงกิ้ง มุ่งสนับสนุนวินัยการเงินเพื่อสร้างสุขภาพการเงินที่ดีของคนไทย พัฒนาฟีเจอร์ด้านบริหารจัดการเงินครบวงจร ชู 3 ฟีเจอร์หลัก ‘ตั้งงบ-วางแผน-ลงทุน’ ช่วยจัดการการใช้จ่ายได้ดีขึ้น วางแผนและลงทุนอย่างเป็นระบบ เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนและพิชิตเป้าหมายการเงินผ่านการลงทุนที่สามารถซื้อกองทุนได้หลากหลายบลจ. ชั้นนำ และสามารถซื้อ-ขายทองคำกับแม่ทองสุก (MTS Gold) ได้อีกด้วย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจทักษะทางการเงินของไทย ในปี 2565 ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจทุกๆ 2 ปี พบว่า คนไทยมีระดับทักษะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 71.4% ดีขึ้นกว่าปี 2563 ที่ 67.4% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (The Organization for Economic Cooperation and Development: OECD) ที่ 60.5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถึงแม้ว่าระดับทักษะทางการเงินของคนไทยดีขึ้นต่อเนื่อง แต่สัดส่วนคนไทยที่เก็บออมลดลง การนำเงินไปลงทุนมีเพียง 2.6% เท่านั้น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยออมเงินเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินและชีวิตหลังเกษียณ K PLUS จึงพัฒนาฟีเจอร์ที่ช่วยจัดการการเงินให้ง่ายขึ้น ส่งเสริมสุขภาพการเงินที่ดี และทำให้เข้าถึงการลงทุนที่มีประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้น ภายใต้แนวคิด “จัดการเงินดี ชีวิตก็ดี” โดยมี 3 ฟีเจอร์หลัก ได้แก่​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/aZ7bKWyaRvjp3wTsHJxT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aZ7bKWyaRvjp3wTsHJxT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> ฟีเจอร์: ตั้งงบรายจ่าย (My Budget)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สามารถตั้งงบค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันตามหมวดหมู่ต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ชอปปิ้ง หรือบันเทิง และสามารถตั้งชื่อหมวดหมู่ได้เองตามไลฟ์สไตล์ถึง 14 หมวดหมู่ ทำให้รู้ว่ามีการใช้จ่ายอะไรบ้างในแต่ละเดือน และสามารถอุดรอยรั่วทางการเงิน จัดการการใช้จ่ายได้ดีขึ้นและระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น สามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ทำให้มีเงินเพียงพอในการใช้จ่ายและเก็บออมสำหรับอนาคต ฟีเจอร์: สินทรัพย์ของฉัน (My Asset)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เห็นภาพรวมสินทรัพย์และสินเชื่อทั้งหมดที่มีกับธนาคารกสิกรไทยได้ในที่เดียว โดยสามารถดูรายละเอียดได้ทั้งเงินฝาก กองทุนรวม ตราสารหนี้ หุ้นกู้ และหลักทรัพย์แบ่งสัดส่วนตามประเภทสินทรัพย์ ช่วยให้วางแผนการเงินระยะยาวได้อย่างเป็นระบบ เพิ่มโอกาสในการทำให้เป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/zb5SQSrZ3fGvcikuLYMz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zb5SQSrZ3fGvcikuLYMz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> ฟีเจอร์: ลงทุน (Investment)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ใช้งานสามารถลงทุนได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพ และมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น โดยสามารถซื้อกองทุนจากหลากหลายบลจ. ชั้นนำ และสามารถซื้อ-ขายทองคำกับแม่ทองสุก (MTS Gold) ได้ นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์การลงทุนที่ครบครัน ทั้งการสรุปยอดซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีในแต่ละปี ที่ช่วยให้วางแผนภาษีได้ง่ายขึ้น การค้นหากองทุนรายกองหรือตามธีมแนะนำ การดูภาพรวมพอร์ตลงทุน และการตั้งเตือนราคาซื้อ-ขายกองทุน เพื่อช่วยต่อยอดการลงทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/6-jars-to-save-money" alt="รู้จักเทคนิค ‘โหล 6 ใบ’ วิธีแบ่งเงินง่ายๆ เก็บเงินได้แน่นอน">รู้จักเทคนิค ‘โหล 6 ใบ’ วิธีแบ่งเงินง่ายๆ เก็บเงินได้แน่นอน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

K PLUS พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ‘ตั้งงบ-วางแผน-ลงทุน’ หนุนคนไทยให้มีสุขภาพการเงินที่ดี

ทำไม ttb reserve ถึงเป็นโซลูชันทางการเงิน ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มมั่งคั่งสูงได้ครบทุกมิติ

<h2>มูลค่า ‘บิตคอยน์' สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ วันเสาร์ที่ 2 มกราคม ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ <a style="color: #333333;" href="https://finance.yahoo.com/news/bitcoin-price-crosses-31-000-134912400.html?guccounter=1">33,000 เหรียญสหรัฐ</a>ต่อบิตคอยน์ ซึ่งนับเป็นระดับราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะปรับตัวลงมาที่ 32,000 เหรียญในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ท่ามกลางแนวโน้มความผันผวนสูง</h2>
<img class="alignnone wp-image-39865" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/bbbb.jpg" alt="บิตคอยน์" width="720" height="480" />

โดยในช่วงต้นเดือนกันยายน 2020 ที่ผ่านมา ราคาซื้อขายมักจะอยู่ในช่วง 10,000 เหรียญต่อบิตคอยน์ และไม่เคยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20,000 เหรียญเลย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2020 ก่อนที่จะ<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/billybambrough/2021/12/28/is-this-why-bitcoin-ethereum-litecoin-and-other-cryptocurrencies-have-suddenly-shot-higher/?sh=586127d14a5b">พุ่งสู่ 28,000 เหรียญหลังจากวันคริสต์มาส จน</a>กล่าวได้ว่า ในเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียว มูลค่าบิตคอยน์ปรับตัวมากถึงร้อยละ 50 และแตะระดับที่สูงที่สุดในวันเสาร์ที่ 2 มกราคม  ด้วยอัตราการเติบโตมากถึงร้อยละ 9

ในที่นี้ <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/billybambrough/2020/12/16/bitcoin-just-smashed-through-20000-whats-next/?sh=55877cb24d89">Glen Goodman</a> นักเขียนด้านการเงินและการลงทุนได้กล่าวกับ Forbes ผ่านทางอีเมลเมื่อเดือนที่แล้วว่า “อย่าเพิ่งแห่ซื้อบิตคอยน์โดยพิจารณาแค่การปรับตัวของมูลค่าในช่วงนี้เพียงอย่างเดียว เนื่องจากอนาคตยังไม่แน่นอน และยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ยังไม่เห็น เพราะเมื่อ 4 ปีที่แล้วก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้เช่นกัน บิตคอยน์แตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ก็จริง แต่หลังจากนั้นเพียง 2 สัปดาห์ ราคาก็ตกลงมากกว่าหนึ่งในสามเสียอีก”

ด้าน <a style="color: #333333;" href="https://edition.cnn.com/2021/01/02/investing/bitcoin-price-30000/index.html?utm_content=2021-01-02T19%3A30%3A08&amp;utm_term=link&amp;utm_source=twCNNi&amp;utm_medium=social">Nicholas Pelecanos</a> หัวหน้าแผนกการซื้อขายจาก NEM บริษัทคริปโตเคอร์เรนซี คาดการณ์ว่า ราคาบิตคอยน์จะปรับตัวสูงถึง 50,000 เหรียญในช่วงวาเลนไทน์ ขณะที่เมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Scott Minerd ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจาก Guggenheim Investments ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง <a style="color: #333333;" href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-01-02/bitcoin-breaches-30-000-as-rally-extends-into-new-year">Bloomberg</a> ว่า “ในที่สุด ราคาบิตคอยน์อาจทะยานสู่ 400,000 เหรียญก็เป็นได้”

นอกจากบิตคอยน์แล้ว ในปี 2020 สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ อาทิเช่น <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/billybambrough/2021/12/28/is-this-why-bitcoin-ethereum-litecoin-and-other-cryptocurrencies-have-suddenly-shot-higher/?sh=586127d14a5b">ethereum และ litecoin</a> ก็ปรับตัวขึ้นสูงเช่นเดียวกัน โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญมาจากการเข้าลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลของสถาบันทางการเงินต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น 

อาทิเช่น ในเดือนพฤศจิกายน <a style="color: #333333;" href="https://uk.reuters.com/article/ruffer-cryptocurrency-idUKKBN28Q1M7">Ruffer Investment Management</a> บริษัทจัดการกองทุนสัญชาติอังกฤษ ที่มีทรัพย์สินมากถึง 2.7 หมื่นล้านเหรียญได้เข้าซื้อบิตคอยน์รวมเป็นมูลค่ากว่า 745 ล้านเหรียญ ขณะที่ในเดือนก่อนหน้านั้น Paypal ผู้ให้บริการด้านการจ่ายเงินระดับโลก ได้อนุญาตให้ลูกค้าสามารถซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ รวมถึงบิตคอยน์ได้ ผ่านทางบัญชี Paypal ส่วนตัวที่มีอยู่

และล่าสุดในเดือนธันวาคม Massachusetts Mutual Life Insurance Company ได้เข้าซื้อคริปโตเคอร์เรนซีเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญเพื่อการลงทุน 

โดยในที่นี้ Danny Scott ซีอีโอของ CoinCorner บริษัทซื้อขายบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับ <a style="color: #333333;" href="https://fortune.com/2021/01/02/is-bitcoin-a-bubble-will-it-crash-again-history/">Forbes</a> ว่า “ผมมองว่าปี 2021 จะเป็นยุคทองของบิตคอยน์ แม้ในช่วงที่ผ่านมามูลค่าจะมีความผันผวนสูงเป็นอย่างมากก็ตาม"

อย่างไรก็ดี ประวัติศาสตร์ในปี 2017 ได้ชี้ให้เห็นว่า ณ เวลานั้น บิตคอยน์ได้สร้างสถิติการปรับตัวสู่ระดับที่สูงสุดที่ 20,000 เหรียญต่อบิตคอยน์ แต่หลังจากนั้นอีก 12 เดือนถัดมา มูลค่าก็ตกลงมากกว่าร้อยละ 80 เลยทีเดียว

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Bitcoin Climbs Above $33,000 For The First Time Ever เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/commentaries/special-report/เจาะลึก-aeoi-กฎหมายภาษีเป.html">เจาะลึก “AEOI” กฎหมายภาษีเปลี่ยนโลก</a>

&nbsp;

มูลค่า ‘บิตคอยน์' แตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 33,000 เหรียญสหรัฐ

<h2>การขับเคลื่อนตลาดทุนภายใต้การกุมบังเหียนของเอ็มดีหญิง พร้อมปรับเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการเงินการลงทุน โชว์ผลงานโค้งสุดท้ายนำตลาดหลักทรัพย์ฯ สู่ความยั่งยืนทุกมิติ เดินหน้าเชื่อมโอกาสการลงทุนระดับโลก</h2>
ภายใต้ภารกิจการสานต่อความยั่งยืนให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสามารถยืนหยัดทำหน้าที่สำคัญในฐานะเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคมและยกระดับประเทศได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยวิสัยทัศน์ “Towards Sustainable Growth” จากความมุ่งมั่นของ เกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วัย 57 ปี ซึ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานโดยยึดหลักความยั่งยืน เพื่อสร้างความสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

บันไดสู่การเป็นผู้นำทัพตลาดทุนไทยเริ่มตั้งแต่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลากหลายด้านการเงินและการลงทุน ทั้งการรับราชการในกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันระหว่างทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ก่อนจะเดินทางศึกษาต่อปริญญาโททางการเงินที่ Golden Gate University ประเทศสหรัฐอเมริกา

หลังเรียนจบ ทำงานเป็นนักวิเคราะห์ในบริษัทเล็กๆ ก่อนเรียนรู้การทำงานในตำแหน่งต่างๆ จากบริษัทชั้นนำอย่าง Standard Chartered Security Asia บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเซีย ก่อนร่วมนำทัพตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้านตลาดตราสารหนี้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2546 ทั้งยังได้รับมอบหมายให้ดูแลตลาดอนุพันธ์และตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ตลอดจนนั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการ บริษัทตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX และนั่งเป็นกรรมการสำคัญๆ หลายตำแหน่งในเวลาต่อมา

“ถ้ามองย้อนกลับไป ทุกงานช่วยให้เราสั่งสมประสบการณ์ในตลาดทุนหลากหลายแง่มุม เรารู้และปฏิบัติทุกตลาด โดยเฉพาะการทำงานในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปีนี้เป็นปีที่ 15 เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่ทุกวัน เราอาจจะโชคดีที่เป็นผู้จัดการคนในที่ได้รับการโปรโมทเพื่อเข้ามาทำเรื่องใหม่ให้ตลาด โดยเราเห็นการทำงานในหลายส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้เรารู้ว่าเรื่องไหนควรให้ใครทำ ความเป็นไปได้และระยะเวลาในการดำเนินงาน”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/289280b37eb8f38aee04dd1ea21e163a.png" alt="" />

ผลงานการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวเนื่องกับการลงทุนทางเลือกใหม่ให้ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประสบการณ์ด้านตลาดเงิน ตลาดทุน และตลาดอนุพันธ์ที่สั่งสมตลอดเส้นทางของเกศรา ทำให้เธอพร้อมสำหรับเก้าอี้กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนที่ 12 โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1มิถุนายน 2557 - 31 พฤษภาคม 2561

“ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด แต่เราต้องการโฟกัสที่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งนำโดย innovation แบ่งเป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่และการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีขึ้น ไม่เฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการลงทุน แต่อาจจะเป็นวิธีบริหารจัดการ”

ภายใต้วิสัยทัศน์ตลาดทุนระยะยาวสู่ปี 2563 ได้แก่ “Towards Sustainable Growth” ให้มีความมั่นคง สร้างความมั่งคั่งและเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งผลักดันผู้เกี่ยวข้องให้ร่วมมือกันขับเคลื่อนกรอบการพัฒนาความยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ (SET Sustainable Stock Exchange Framework) ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การบริหารองค์กรอย่างยั่งยืน การสร้างคุณค่าตลาดทุน การพัฒนาและดูแลพนักงาน การพัฒนาและดูแลสังคม และการจัดการสิ่งแวดล้อม

ก้าวสู่ตลาดทุนโลก

ด้านแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมขยายโอกาสการระดมทุนไปยังกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงสตาร์ทอัพ ด้วยการพัฒนา LIVE Platform ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือช่วยเพิ่มสภาพคล่อง พร้อมทั้งพัฒนาสินค้าใหม่ TFEX Gold-D สัญญาซื้อขายที่อ้างอิงทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 99.99% โดยขยายเวลาซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับทองคำ ในช่วงเวลากลางคืนเป็น 19.00-23.55 น. (จากเดิม 19.30-22.30 น.) ให้สอดคล้องกับตลาดทองคำสำคัญของโลก

รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมการลงทุนสม่ำเสมอต่อเนื่องในลักษณะ dollar-cost Averaging หรือ DCA ซึ่งในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา DCA มีบัญชีหุ้นกองทุนรวมกว่า 30,000 บัญชี พร้อมเปิดให้บริการ Fund Connext โดยในช่วงเริ่มต้นมี บลจ. 5 แห่ง และ บล. 3 แห่งใช้บริการ และเปิดตัวแอพพลิเคชั่น Settrade Streaming for Fund พร้อมทั้งยังเดินหน้าปรับลดระยะเวลาชำาระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ให้สามารถดำเนินการได้ใน 2 วันทำการ (T+2) ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนาระบบงาน เพื่อทดสอบกับสมาชิกก่อนเริ่มใช้จริง 2 มีนาคมในปีหน้า

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bb94e3d28ba7bf6756e277abbcd48143.png" alt="" />

นอกจากนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมุ่งส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมคำนวณในดัชนี DJSI (Dow Jones Sustainability Index) เพิ่มขึ้น และจัดทำรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment) จากเดิมที่มี 90 บริษัท และตอกย้ำบทบาทการพัฒนาตลาดทุนที่ ยั่งยืนของประเทศไทยในเวทีระดับโลก ด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของสหพันธ์ตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ (Word Federation of Exchanges) หรือ WFE

“ในแง่ความเป็นสากล เราไม่แพ้ใครเราเป็นสมาชิกเกือบทุกองค์กรที่เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ เช่น เราเป็นสมาชิกเกือบ 10 ปีใน WFE หรือสภาตลาดหลักทรัพย์โลกซึ่งมีสมาชิก 67 ประเทศ เราไปสมัครเป็นบอร์ดและได้รับเลือกเมื่อปีที่ผ่านมา ปีนี้เราเสนอให้เขาเข้ามาจัดการประชุมที่ประเทศไทย รวมถึงตลาด TFEX ที่พร้อมเป็นเจ้าภาพให้ Association of Futures Markets ในปีหน้า”

ขณะเดียวกันเกศรายังมุ่งมั่นเชื่อมโอกาสการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion หรือ GMS) โดยเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานกำกับดูแลจากประเทศ กัมพูชา เวียดนาม ลาว และเมียนมา รวมถึงผู้บริหารระดับสูงตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Focus) เพื่อร่วมมือกันทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และโครงการต่างๆ เชื่อมโยงตลาดทุนภูมิภาคอย่างยั่งยืน “เราให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) มานานแล้ว เช่น เทรนการทำงานให้ตลาดหลักทรัพย์ลาวประมาณ 5 ปีก่อน ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาประมาณ 3-4 ปี ตลาดเวียดนามใช้ระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไทยมากกว่า 10 ปี และเมียนมาที่เราช่วยเทรนให้ รวมถึงอินโดนีเซียและกลุ่ม GMS”

เกศราปิดท้ายถึงเป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์การสร้างความยั่งยืน พร้อมให้ความสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ภายใต้วิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone”

“เราต้องการเห็นตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นประโยชน์ต่อประเทศและทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทั้งบริษัทสามารถใช้เราเป็นเครื่องมือหรือประชาชนทั่วไปสามารถลงทุนและสร้างความมั่งคั่งได้ โดยเราต้องปรับตัวด้านการสื่อสารให้เข้ากับคนแต่ละกลุ่ม ทำให้ตลาดทุนสามารถจับต้องได้ รวมถึงการตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของทุกกลุ่ม”

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/kcoQQx">คลิกเพื่อ "เกศรา มัญชุศรี ดอกไม้เหล็กในสวนลงทุน" จาก Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kcoQQx"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ee8f0c49c6f94ca8ba580d9f0bdf60d.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events