<h2>ธนจิราฯ หรือ TAN ส่งสัญญาณบวกทางธุรกิจ หลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เล็งเปิด Marimekko ที่ 2 ในสิงคโปร์ และ Bread Street Kitchen &amp; Bar สาขาไอคอนสยาม บนพื้นที่กว่า 600 ตร.ม. รับดีมานด์นักท่องเที่ยวช่วงปลายปี มั่นใจผลการดำเนินงานเติบโตทะลุ 20% ตามเป้า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TAN ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ลักชัวรีระดับโลก เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะในไตรมาส 4/2567 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ ประกอบกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และกำลังซื้อของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2/2567 กลุ่มบริษัทฯ จะมีอัตรากำไรสุทธิที่ชะลอตัวลง โดยหลักมาจากการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องจากการลงทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ เพื่อสร้าง New S-Curve รอบใหม่ให้กลุ่มบริษัทฯ มุ่งสู่การเป็นกลุ่มบริษัทไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับภูมิภาค ตอกย้ำพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และศักยภาพการเติบโตในอนาคต โดยมีความมั่นใจว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ที่ 20% ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ โดยสะท้อนจากผลการดำเนินงานในงวดครึ่งแรกของปี 2567 ที่มีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ราว 7% ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ติดลบ 1% จากการเข้าสู่สภาวะกำลังซื้อถดถอย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ การขยายการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาจะส่งผลให้อัตราเร่งของรายได้เติบโตดีขึ้น เมื่อเทียบกับต้นทุนค่าใช้จ่ายในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสาขาของแบรนด์ในพอร์ตฟอลิโอทั้งในและต่างประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ HARNN ในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้ทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในประเทศจีน อาทิ Douyin และ RED เพื่อช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งมียอดวิวของแบรนด์ไปแล้วกว่า 44 ล้านครั้ง คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายจากการขายได้ในช่วงไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ได้เพิ่มแบรนด์ใหม่ในกลุ่มแฟชั่นอย่าง GANNI และ UNITED ARROWS ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดตัวในประเทศไทย รวมทั้งการขยายไปยังธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food &amp; Beverage) ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรที่ดี ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 3/2567 และคาดว่าจะช่วยเติมเต็มการเป็น ‘Truly Integrated Lifestyle Company’ ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับในช่วงครึ่งหลังปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ มีแผนจะขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิด Marimekko แบรนด์ไลฟ์สไตล์จากประเทศฟินแลนด์ ที่มีชื่อเสียงในด้านลวดลายและสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ ในทำเลใจกลางเมืองประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นทำเลยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ Marimekko อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่สินค้าแฟชั่น เครื่องแต่งกาย ของตกแต่งบ้าน ไปจนถึงเครื่องใช้ในครัวเรือน โดยถือเป็นสาขาที่ 2 ในประเทศสิงคโปร์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/Ndk37rGzC4RZB3CpFTez.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Ndk37rGzC4RZB3CpFTez.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,479"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดร้านอาหาร Bread Street Kitchen &amp; Bar ศูนย์การค้าไอคอนสยาม บนพื้นที่กว่า 600 ตารางเมตร เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า ภายในไตรมาส 4/2567 นับเป็นแห่งที่ 2 ต่อจากร้านอาหารแห่งแรกที่ Bread Street Kitchen &amp; Bar - The Emsphere ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า อย่างไรก็ตาม การขยายสาขาแห่งที่ 2 ในทำเลที่มีศักยภาพสูงจะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/Eo9KA82uGSvU1xP8m5eF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Eo9KA82uGSvU1xP8m5eF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,276"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TAN กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ยังมีแนวโน้มเติบโตจากปัจจัยบวกด้านการท่องเที่ยวและกำลังซื้อที่ฟื้นตัว แต่ก็ยังมีความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และความผันผวนทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ และสินค้าแบรนด์เนม คาดว่าจะยังคงเติบโตได้ดี กลุ่มบริษัทฯ วางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย การสื่อสารการตลาดอย่างมีประสิทธิผลเพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีให้แก่ลูกค้า และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แม้ว่าครึ่งปีแรกจะเผชิญความท้าทาย แต่ TAN ยังคงเดินหน้าลงทุนเพื่อสร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เราเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซัน ประกอบกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้งการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และการเดินหน้าขยายตลาดในประเทศจีน จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กลุ่มบริษัทฯ เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้” ธนพงษ์ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/inthanin-coffee-drives-non-drink-sales" alt="ไม่ได้ขายแค่กาแฟแล้ว! ‘อินทนิล’ จะขายอาหารด้วย มีตั้งแต่หมูปิ้ง โจ๊ก จนถึงข้าวเหนียวมะม่วง">ไม่ได้ขายแค่กาแฟแล้ว! ‘อินทนิล’ จะขายอาหารด้วย มีตั้งแต่หมูปิ้ง โจ๊ก จนถึงข้าวเหนียวมะม่วง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

TAN เล็งเปิด Marimekko สาขา 2 ในสิงคโปร์ และเปิด Bread Street Kitchen & Bar ที่ไอคอนสยาม มั่นใจปีนี้รายได้โต 20% ตามเป้า

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2566 – ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ญนน์ โภคทรัพย์ มืออาชีพนำทัพ CRC โตยั่งยืนคู่สังคมดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ญนน์ โภคทรัพย์ มืออาชีพนำทัพ CRC โตยั่งยืนคู่สังคม – ความยั่งยืน หรือ Sustainability คือหนทางสู่การรักษาสมดุลโลกและสมดุลการใช้ชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว ทั่วโลกต่างตื่นตัวเรื่องนี้ องค์กรค้าปลีกรายใหญ่ของไทยก็เช่นกัน มีแผนงาน เป้าหมาย และได้วางรากฐานธุรกิจบนแนวทางความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมธนพงษ์ จิราพาณิชกุล แต่งแบรนด์เติมลุคต่าง “ธนจิรา” - นักปั้นแบรนด์อิมพอร์ตระดับโลกที่สามารถแจ้งเกิดสินค้าไลฟ์สไตล์แฟชั่น Pandora, Marimekko, Cath Kidston พร้อมเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจผ่านการซื้อกิจการเป็นเจ้าของแบรนด์ HARNN เติมจิ๊กซอว์ธุรกิจสปา ร้านอาหาร และเครื่องดื่ม ย้ำแนวคิด “Bring The Best of The Brand to The Best of Thailand”วิทวัส วิภากุล – อมรินทร์ นฤหล้า นำทัพ GRAND คว้าโอกาสที่ท้าทาย – เริ่มต้นจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก่อนจะขยับมาสู่ธุรกิจโรงแรม นักธุรกิจหนุ่มใหญ่คร่ำหวอดในแวดวงอสังหาฯ มายาวนานกว่า 40 ปี ผ่านประสบการณ์อย่างโชกโชน วันนี้การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมหลังโควิด-19 เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายรอบใหม่วิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ ตั้งเป้า 5 ปี NAM สู่โกลบอลแบรนด์ - รุ่น 3 ของครอบครัวที่ไปเรียนและสร้างครอบครัวอยู่ออสเตรเลีย เมื่อบิดามีปัญหาด้านสุขภาพเขาจึงต้องกลับมาช่วยดูแลกิจการและพบว่าธุรกิจการผลิตเครื่องนึ่งฆ่าเชื้อสำหรับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ครอบครัวทำอยู่นั้นเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในเอเชีย ล่าสุดเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กฤษฎา ประเสริฐสุโข GGC ชููยุุทธศาสตร์เคมีรักษ์โลก – ความเชี่่ยวชาญด้านความปลอดภัยและสิ่่งแวดล้อมได้รับการตกผลึกเป็นอาวุธสำคัญในการรับภารกิจขับเคลื่อนองค์กรต้นแบบการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน สู่การเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมด้วยกลยุทธ์ “The New Chapter of GGC to be the Sustainable Growth Business”พบการจัดอันดับ “America s Richest Self-Made Women นักธุรกิจหญิงผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในอเมริกา” และร่วมอ่านบทความและเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับกันยายน 2566 และอ่านในรูปแบบ e-magazine ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/09/fti7JCYvgWzfSvkonvgW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fti7JCYvgWzfSvkonvgW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="750,984" style="" data-index="0"></figure></div><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/09/36wtoTn8PooPKpdFDFyM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="36wtoTn8PooPKpdFDFyM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="750,984" style="" data-index="1"></figure></div><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/09/tafoMqs6M9hEKgSe5CMn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tafoMqs6M9hEKgSe5CMn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="750,984" style="" data-index="2"></figure></div> ​

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2566 – ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ญนน์ โภคทรัพย์ มืออาชีพนำทัพ CRC โตยั่งยืนคู่สังคม

<h2>"ธนจิรา" โชว์แผนโรดแมป 3 ปี ด้วยแผนเชิงรุก 3 ด้าน พาแบรนด์ HARNN ดันรายได้สู่หลัก 800 ล้านบาท ในปี 2565 หลังจากได้ซื้อกิจการ HARNN เมื่อปี 2561</h2>
“ตลอดหนึ่งปีที่เข้ามาบริหารแบรนด์ HARNN เราศึกษาและทำความเข้าใจแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และกลุ่มธุรกิจย่อยอย่างลึกซึ้งทำให้เข้าใจอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่มีความเป็น The Alternative Body Care and Skin Care หรือแบรนด์ทางเลือกที่มีความพิเศษสามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของผู้ใช้ คือ การเป็นผลิตภัณฑ์ความงามจากธรรมชาติ 100% เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีจิตวิญญาณแห่งวัฒนธรรมอันล้ำค่าของไทย ใช้ภูมิปัญญาไทยที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น สามารถสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั่วโลก” ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการและซีอีโอ บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ ซีอีโอ บริษัท หาญ โกลบอล จำกัด กล่าวและเสริมว่า

จากการวิเคราะห์แบรนด์ภายใน 1 ปีที่ผ่านมาสามารถสรุปแผนการปรับปรุงและพัฒนาแบรนด์ HARNN ใน 3 ด้าน ได้แก่  Re-Organization: ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับทิศทางการขยายธุรกิจของ HARNN, Re-Model Business: สร้างความชัดเจนของกลุ่มธุรกิจย่อยของ HARNN และ Recruitment of Key Personnel: สร้างบุคลากรที่แข็งแกร่ง มีความเข้าใจแบรนด์ และเข้าใจทิศทางการบริหารของธนจิรา เพื่อขับเคลื่อนแบรนด์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

“ปี 2562 เป็นปีที่ 20 ของ HARNN และฉลองความสำเร็จ พร้อมเตรียมก้าวเข้าสู่ปีที่ 21 และสร้างแบรนด์สู่เอเชีย ธนจิราได้วางแผนโรดแมป 3 ปี (2563-2565) โดยแบ่งการรุกตลาดเป็น 3 ช่วง ปีแบบปีต่อปี ช่วงแรกเดินหน้าขยายตลาดในประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น ช่วงที่สองเสริมศักยภาพเครือข่ายพันธมิตร และร้านตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต และช่วงที่สามหรือปี 2565” ธนพงศ์กล่าวเพิ่มเติมว่า

<img class="alignnone size-full wp-image-23914" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/HARNN-20th-Anniversary-Set-Best-of-HARNN.jpg" alt="" width="800" height="533" />

ภายใต้กลยุทธ์ “HARNN Holistic” ในการขับเคลื่อนแบรนด์แบบองค์รวม ผ่านแผนเชิงรุก 3 ด้าน ได้แก่ การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเพิ่มมูลค่าให้แบรนด์, พัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่มีเอกลักษณ์ และ การขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อการสร้างความชัดเจนให้กับกลุ่มธุรกิจของ HARNN ทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ HARNN Retail Store, HARNN Hospitality และ HARNN Heritage Spa

ด้านสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเพิ่มมูลค่านั้น คือสร้างการรับรู้เรื่องแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามจากธรรมชาติ 100% ระดับลักชัวรี่ จากผลิตภัณฑ์บอดี้แคร์ สกินแคร์ ผลิตภัณฑ์สปาและอโรมาเธอราพีแบบออร์แกนิค สร้างภาพลักษณ์ใหม่หนึ่งเดียวทั่วโลก ปรับปรุงร้านใหม่ภายใต้แนวคิด “The New Era of Thainess” และ สร้างการจดจำให้แบรนด์ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5

“เราสร้างเอกลักษณ์ของกลิ่นในร้านที่สะท้อนความเป็น HARNN ร่วมไปกับการออกแบบร้านใหม่รวมไปถึงการจัดเรียงผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพิ่มโซนทดลองผลิตภัณฑ์ที่ครบครัน และ ต้อนรับลูกค้าด้วยชาสมุนไพรใบหม่อนของ Tichaa by HARNN และเสียงบรรเลงสำหรับร้าน HARNN โดยเฉพาะ” ธนพงษ์กล่าว

ด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม ตั้งเป้าเปิดตัวคอลเลคชั่นใหญ่อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่มสินค้าเดิมให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งชูจุดเด่นของสินค้าด้วย Story telling ของสินค้า และการปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์ให้เป็นหมวดหมู่ยิ่งขึ้น สำหรับด้านการขยายตลาดและกลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เตรียมการทำตลาดแบบ 360 องศา โดยตั้งเป้าขยายสัดส่วนกลุ่มลูกค้าคนไทยเป็น 50% ภายในปี 2565 จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 5% และขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ไปยังกลุ่ม Y-W-N (Youth-Women-Netizens) ผ่านสื่อและแพลตฟอร์ม Social media ต่างๆ และการสร้างมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทั้งด้านมาตรฐานร้านค้าตัวแทนจำหน่าย คุณภาพของสินค้า บริการ และราคา

ทั้งนี้ ธนจิราได้ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท เปิดคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งแรกที่เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ พร้อมตั้งเป้าภายในปี 2565 มีรายได้รวมกว่า 800 ล้านบาท และผลักดันรายได้รวมของ กลุ่มธนจิรา ทะลุ 2.2 พันล้านบาท

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ธนจิรา รุกกลยุทธ์ใหม่ ครบรอบ 20 ปีแบรนด์ “HARNN”

<h3>ธนจิรา ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายและทำการตลาดสินค้าไลฟสไตล์แฟชั่น ประกาศเข้าซื้อกิจการ 'HARNN' 100 % ชู 2 จุดแข็งของกลุ่มผสานกลุ่มผู้ก่อตั้งเดิมช่วงขวบปีแรกดึงศักยภาพแห่งแบรนด์ไทย ทุ่มงบสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ตั้งเป้า 4 แบรนด์จากกลุ่ม HARNN ทำรายได้ 25 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2563 พร้อมเผยเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ครึ่งหลังปี 2563 คาดระดมทุน 1.5-2 พันล้านบาท</h3>
ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริการ บจก. ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงการเข้าซื้อกิจการ HARNN “การเข้าซื้อหุ้นของ HARNN 100 เปอร์เซ็นต์ครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการเจริญเติบโตของบริษัท ด้วยการมีแบรนด์ไทยเป็นของตนเองที่เข้มแข็ง และขยายสู่พอร์ทสินค้ากลุ่มสุขภาพและความงาม (Health and Beauty)”

“อีกเป้าหมายของธนจิราคือการขับเคลื่อนบริษัทสู่ระดับภูมิภาคเอเชียโดยการวางจุดยืนเป็นตัวแทนเชิงธุรกิจในการเน้นศักยภาพในการสืบสานความเป็นไทยผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นอายของมรดกและวัฒนธรรมไทยอันเป็นอัตลักษณ์สู่ผู้บริภาคทั้งในและต่างประเทศๆ ในเอเชีย”

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/765e60904e39cd277c915f17aad3d7fc.jpg" alt="" width="638" height="436" /><figcaption> ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริการ บจก. ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น และ อภิชัย ผลโกศล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บจก. ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น</figcaption></figure>

“HARNN มีศักยภาพสำคัญที่ตรงกับความต้องการของเราสำหรับการเข้าซื้อกิจการ นั่นคือต้องเป็นแบรนด์ไทยในระดับลักชัวรี มีการประกอบธุรกิจมากกว่า 10 ปี ตัวแบรนด์มีศักยภาพที่โดดเด่นและเมื่อเข้าซื้อกิจการแล้วยังสามารถสร้างรายได้ในกับเราได้ทันทีและต่อเนื่อง” ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กล่าว

ด้าน อภิชัย ผลโกศล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บจก. ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวเสริมว่า การเข้าซื้อกิจการแบรนด์ HARNN ในครั้งนี้ถือเป็นการเช้าซื้อที่ครอบคลุมถึงการได้มาซึ่งรวมสินทรัพย์ทางปัญญาในการพัมนาผลิตภัณฑ์ และเครือข่ายเชิงธุรกิจทั้งหมดของกิจการรวมไปถึงแบรนด์ต่างๆ ภายใต้แบรนด์ HARNN คือ HARNN, Vuudh, Tichaa by HARNN, HARNN Heritage Spa และรวมไปถึง Asian Holistic Academy

“การเข้าซื้อกิจการแบรนด์ HARNN ในครั้งนี้ผลักให้ผลประกอบการรวมของบริษัทฯ เติบโตแบบก้าวกระโดด ลดความเสี่ยงในการพึ่งพิงรายได้จากแบรนด์นำเข้าเพียงอย่างเดียว เราตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2563 แบรนด์ HARNN จะทำรายได้ให้กับบริษัทฯ เป็นสัดส่วน 25 เปอร์เซ็นต์ จากรายได้รวมที่ 2,250 ล้านบาท พร้อมนำ ธนจิรา ก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ช่วงครึ่งหลังของปี 2563”

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/0d9499061f876e8c5c13aa99efeec592.jpg" alt="" />

ทั้งนี้ ธนพงษ์ อธิบายเพิ่มเติมถึงแผนสองปีของการเสริมสร้างศักยภาพของแบรนด์ HARNN โดยปีแรกเขามุ่งเน้นการสร้าง Brand Awareness อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้เรื่องแบรนด์ของ HARNN ผลิตภัณฑ์สัญชาติไทยที่สร้างสรรค์สินค้าประเภทสปา อโรมาเธอราพี บอดี้แคร์ และสกินแคร์จากธรรมชาติ ด้วยนโยบายเชิงรุกด้านการตลาดแบบ 360 องศา ด้วย Digital Marketing ซึ่งธนพงษ์คาดใช้งบประมาณราว 30 ล้านบาท รวมไปถึงการรีเวมแบรนด์ขึ้นใหม่ เพื่อให้แบรนด์มีความชัดเจนและร่วมสมัย

“ภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์จะเข้าไปถึงกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เป็นผู้หญิงในยุคใหม่โดยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประจำวันตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยมุ่งเป้าหมายให้สัดส่วนผู้ซื้อระหว่างคนไทยและต่างประเทศอยู่ที่ราว 80 ต่อ 20” ธนพงษ์กล่าว

สำหรับกลยุทธ์ในปีที่สองคือการนำประสบการณ์ในการจำหน่ายแบรนด์ดังระดับโลกผสานกับสายสัมพันธ์ที่มีในการผลักดัน มาตรฐานแบรนด์ HARNN เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธการวางจำหน่ายสินค้าใหม่ การกำหนดกรอบราคาขาย การตกแต่งร้าน และการกำหนดนโยบายการตลาด เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ในระยะยาว และเพิ่มสัดส่วนการส่องออกจากเดิม 20 เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบันเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ภายใน 2 ปี “ในปี 2560 ทั้งสี่แบรนด์ในกลุ่มของ HARNN มีสัดส่วนรายได้การส่งออกราว 60 ล้านบาท ซึ่งการที่เราจะโตทางด้านรายได้ 40 เปอร์เซ็นต์ภายใน 2 ปี สัดส่วนรายได้ตรงนี้อยู่ที่ราว 120 ล้านบาท”

ทั้งนี้ HARNN ส่งออกไปจำหน่ายใน 16 ประเทศ คิดร้านค้า 67 สาขาทั่วโลก โดย 3 ประเทศที่ทำรายได้สามอันดับแรกคือ จีน มาเก๊า และ ไต้หวัน

สองผู้บริหารกล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าในการเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศราวครึ่งหลังของปี 2563 โดยคาดหวังในการระดมทุนที่ราว 1.5-2 พันล้านบาท เพื่อนำมาปรับโครงสร้างทางด้านเงินกู้และลงทุนในการขยายธุรกิจต่อไป

‘ธนจิรา’ ซื้อกิจการ ‘HARNN’ 100 % เสริมทัพ-ปรับพอร์ทแบรนด์ดังของกลุ่ม

<h3>'ธนจิรา' ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ไลฟ์สไตล์พรีเมียมจากต่างประเทศเผย แพนดอร่า แบรนด์เรือธงของกลุ่มสร้างยอดขายเฉลี่ย 25 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ พร้อมเผย 2 กลยุทธ์หลักครองใจผู้บริโภคชาวไทย มั่นใจสิ้นปียอดขายแพนดอร่าที่ 28 เปอร์เซ็นต์ ดันผลประกอบการรวมปีนี้ของบริษัทฯ โต 27 เปอร์เซ็นต์</h3>
ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เผยความมุ่งมั่นตลอด 8 ปี ในการนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์จากต่างประเทศ พร้อมฉลองครบรอบ 8 ปี แบรนด์ “แพนดอร่า” ในประเทศไทย ด้วยกลยุทธ์สำคัญ มุ่งเน้นการทำตลาดให้เข้ากับบริบทในประเทศ และ สร้างจุดขายผ่านการให้บริการที่ยอดเยี่ยม

“ด้วยทั้งสองกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา แพนดอร่า เติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักทุกปี แม้ประเทศไทยผ่านอุปสรรคทางด้านธุรกิจในหลายปีที่ผ่านมา โดยแพนดอร่ามีสัดส่วนยอดขายสูงถึง 65 เปอร์เซ็นต์จากอีกทั้ง 4 แบรนด์ที่เราดูแล ด้วยอัตราการเติบโตสองหลักอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอตั้งแต่ปีแรก และมียอดขายที่มีอัตรา Same Store Growth เฉลี่ยถึง 25 เปอร์เซ็นต์” ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กล่าวและเสริมว่า

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/715f6c430ced01ac3b1a85ee6295c375.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> 4 แบรนด์ดังของธนจิรา</figcaption></figure>

“ด้วยกลุ่มเป้าหมายหลักที่ชัดเจน เราเจาะกลุ่ม Y-W-N หรือ กลุ่ม Youth-Woman-Netizens กลุ่มผู้หญิงวัยรุ่น และวัยทำงานที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีความเป็นตัวของตัวเอง คิดและตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีและเหมาะให้แก่ตัวเอง ซึ่งเราจาก 2 กลยุทธ์หลักในเบื้องต้นเราสร้างความเชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับชีวิตประจำวัน ขยายสาขา สื่อสารผ่านสื่อเพื่อสร้างความน่าสนใจกับแบรนด์  และ สร้างประสบการณ์และมาตรฐานขาย โดยเรายกระดับแฟล็กชิพสโตว์ ที่ห้างเซ็นทรัล เวิร์ด ด้วยงบประมาณ 28 ล้านบาท”

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8a6af3648210a0511045e6b009a69879.jpg" alt="" width="638" height="444" /><figcaption> สัดส่วนยอดขายจากแบรนด์ แพนดอร่า</figcaption></figure>

โดยปลายปี 2561 ที่เหลือ แพนดอร่า เปิดตัวสองคอลเลกชันคือ PANDORA REFLEXTIONS ที่เปิดตัวในเดือนตุลาคม และ PURELY PANDORA ที่เตรียมเปิดตัวเดือนพฤศจิกายนนี้

“ด้วยการขับเคลื่อนแบรนด์ตามกลยุทธ์ที่กลาวมาข้างต้น ส่งผลให้ปีนี้แพนดอร่ามีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 34 สาขา สามารถขยายฐานกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นทั้งกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าเป็นคนไทยถึง 85 เปอร์เซ็นต์ และต่างชาติ 15 เปอร์เซ็นต์ เรามั่นใจสิ้นปีนี้แพนดอร่าเติบโต 28 เปอร์เซ็นต์ และผลักดันให้ผลกระกอบการรวมของบริษัทเติบโต 27 เปอร์เซ็นต์” ธนพงษ์ กล่าวและทิ้งท้ายว่า

“ทั้งนี้แผนปี 2562 เรายังเล็งขยายธุรกิจไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์คนเมือง เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์แฟชั่นจากต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายภายในปี 2563 แพนดอร่าจะมียอดขาย 1,200 ล้านบาท และสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ตามแผนโรดแมปในที่สุด เราหวังว่า ธนจิรา ในฐานะบริษัทคนเล็กๆ จะสามารถสร้างชื่อในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคในฐานะผู้นำด้านสินค้าไลฟ์สไตล์ลักชัวรี”

ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล พา 'ธนจิรา' เดินตามแผนสู่ความสำเร็จ เผยกลยุทธ์ 8 ปี 'แพนดอร่า' ในไทย โตด้วยตัวเลข 2 หลัก

<h2>ธนจิรา กรุ๊ป ซื้อ แคท คิดสตัน ประเทศไทย จับตลาดกลุ่มลูกค้าพรีเมียมแมสเสริมยอดขาย ขยายพอร์ทแบรนด์สินค้า มิด ลักชัวรี และ พรีเมี่ยม จากทั่วโลก เผยแผนกลยุทธ์ ปรับลด-เพิ่มสาขา คาดสร้างรายได้ 1.8 พันล้านบาท และ 100 สาขา จาก 5 แบรนด์สินค้าในปี 2563</h2>
อภิชัย ผลโกศล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์แฟชั่นจากต่างประเทศ เผยถึงดีลสำคัญครั้งนี้ “บริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการ แคท คิดสตัน ในประเทศไทย ซึ่งเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์แฟชั่น โดยเป็นการซื้อหุ้น 100% และได้เริ่มดำเนินการเข้าบริหารตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาเพื่อดันยอดขายรวมให้เป็นตามเป้าหมายปี 2563 ที่ตั้งไว้ 1,800 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่ากลุ่มบริษัทจะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 107% เมื่อเทียบกับปี 2559 และจะมียอดขาย 1,100 ล้านบาทในปี 60 ซึ่งนับได้ว่าเป็นรายได้ที่สูงสุดในประวัติการณ์หลังจากก่อตั้งบริษัทฯ เมื่อปี 2553”

นับจากปี 2559 ที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มกลยุทธ์การเติบโตนอกจากการสร้างและขยายแบรนด์ที่บริหารอยู่เป็นการเข้าควบรวมกิจการของผู้เล่นเดิมในตลาด โดยมีนโยบายพิจารณาบริษัทที่มียอดขายต่อปีมากกว่า 300 ล้านบาท มีแนวโน้มการเจริญเติบโตรวมทั้งมีโอกาสในการขยายสาขาที่ดี และมีสัดส่วนของกำไรขั้นต้นที่ใกล้เคียงกับแบรนด์อื่นๆในพอร์ตที่บริษัทบริหารอยู่”

ทั้งนี้ ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น มุ่งเน้นการทำการตลาดแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่และคนที่ใช้ชีวิตในเมือง โดยในปี 2560 ได้ตั้งงบประมาณในการทำตลาดมากกว่า 30 ล้านบาท สำหรับแบรนด์แพนดอร่าเพื่อรักษาความเป็นผู้นำกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์จิวเวลรี่ และอีกกว่า 15 ล้านบาทสำหรับแบรนด์ที่เหลือเพื่อสร้างความเข้มแข็งและการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต่อไป

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/be143df1b411ec5cc43e5f39cd67029d.png" alt="" width="680" height="514" /><figcaption> ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ธนจิรา</figcaption></figure>

ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ธนจิรา ได้กล่าวเสริมว่า “การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญและผลักดันให้มีการเจริญเติบโตก้าวกระโดด โดยทำให้มีสาขาเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว จากจำนวน 35 สาขาในปัจจุบันเป็น 70 สาขา และบริษัทยังมีแผนเพิ่มจำนวนสาขารวมของแบรนด์ที่บริหารอยู่ทั้งหมด 5 แบรนด์ เป็น 100 สาขาภายในปี 2563”

บริษัทฯ มีกลยุทธ์มุ่งเน้นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้หลักจากแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง และบริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการขยายกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยการซื้อกิจการ แคท คิดสตัน ครั้งนี้ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าเข้าสู่ผู้บริโภคกลุ่ม Premium Mass ที่ใหญ่กว่าจากฐานลูกค้าเดิมบริษัทจะอยู่ในกลุ่ม Mid Luxury และ Premium ที่บริษัทจำหน่าย  PANDORA เครื่องประดับแบรนด์ดังจากประเทศเดนมาร์ก, MARIMEKKO แบรนด์ไลฟ์สไตล์แฟชั่นจากประเทศฟินแลนด์  Jonathan Adler แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ลักซูรี่จากนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา  อีกทั้งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์เครื่องประดับจิวเวลรี่เพชรแท้ TILDA

ธนพงษ์ กล่าวอีกว่า “หลังจากการเข้าซื้อกิจการ บริษัทจะเร่งทำการตลาดที่เพิ่มคุณค่าที่ชัดเจนให้กับ แบรนด์ แคท คิดสตัน และเพิ่มงบประมาณพัฒนาและฝึกอบรมพนักงานขาย โดยคาดว่ายอดขายร้านเดิมจะมีอัตราเพิ่มขึ้น 15% จากที่เคยติดลบในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้าหมายปิดดีลซื้อกิจการให้ได้อีกอย่างน้อยอีก 1 ดีล โดยรายได้รวมคาดว่าจะแตะ 1,800 ล้านบาทในปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทวางแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป”

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events