<h2>ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจเมืองไทยและทั่วโลกที่ซบเซาลงในปีนี้วงการก่อสร้างเองก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน โดยธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี 2567 จะเติบโตประมาณ 2% โดยคาดหวังว่าในครึ่งปีหลังภาครัฐจะผลักดันการเบิกจ่ายงบประมาณออกมาให้ได้มากที่สุด เพราะในช่วงครึ่งปีแรกมีรายงานติดลบเมื่อเทียบปี 2566</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับระยะปี 2567-2569 ยังเชื่อว่าภาครัฐจะมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ออกมา พร้อมผลักดันเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง สะท้อนจากตัวเลขของ BOI รวมถึงยังคาดว่าภาครัฐจะออกนโยบายมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว ซึ่งช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอย่างโรงแรม แหล่งช็อปปิ้ง โรงพยาบาล และงานรีโนเวต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในเทรนด์หลักที่ภาครัฐไทยและทุกประเทศให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องคือเรื่องความยั่งยืน อันจะเห็นได้จากทิศทางที่จะประกาศใช้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เช่น ภาษีคาร์บอน การซื้อขายพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ การให้สิ่งจูงใจเพื่อขับเคลื่อน ESG และมุ่งสู่ carbon neutrality และ net zero ซึ่งผู้ประกอบการก็ต้องนำไปปรับใช้ให้สมดุลโดยคำนึงถึงผลกระทบอื่นๆ เช่น การปรับขึ้นของพลังงาน ค่าแรง ค่าขนส่ง เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในอนาคตยังเชื่อว่าจะมีแนวทางสนับสนุนจากภาครัฐให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างที่ขับเคลื่อนความยั่งยืน เช่น เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (carbon capture) พลังงานไฮโดรเจน หรือการช่วยหนุนแบตเตอรี่โซลาร์เซลล์ให้ภาคอุตสาหกรรมผ่านกลไกภาษี เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านหรือ CLMV ต้องดูสถานการณ์ในแต่ละประเทศ อย่างเมียนมา แน่นอนว่าเกิดความไม่สงบและปัญหาด้านความมั่นคง แต่ในเมืองหลักๆ กิจกรรมด้านเศรษฐกิจยังขับเคลื่อนไปได้ และเนื่องจากประเทศจีนยื่นมือเข้ามาช่วยก็เชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น ต่อมาคือ สปป.ลาว ยังคงเผชิญปัญหาเศรษฐกิจแต่ก็มีแนวโน้มการเติบโตคงที่และยังคงเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนประเทศกัมพูชาเติบโตโดยภาครัฐมีนโยบายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะที่กรุง Phnom Penh และพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของโครงการเชิงพาณิชย์และการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่ประเทศเวียดนามมองว่ามีโอกาสที่ชัดเจนจากโครงสร้างประชากรและนโยบายภาครัฐซึ่งผลักดันนโยบายเพื่อสร้างการเติบโต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักผ่านการลงทุนของภาครัฐ โดยจากประสบการณ์ของแบรนด์จระเข้ในการจัดจำหน่ายสินค้าใน CLMV มานานกว่า 10 ปีพบว่า การเจาะตลาดให้สามารถสู้กับโลคอลแบรนด์ในประเทศนั้นๆ ได้ต้องอาศัยคุณภาพและนวัตกรรมที่โดดเด่น เพราะเมื่อกลุ่มช่างและผู้ใช้งานจริงเห็นประสิทธิภาพที่เหนือกว่าจากผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะยอมจ่ายมากกว่าเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่า ธุรกิจยุคใหม่เจาะตลาดโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในยุคที่เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ แน่นอนว่าพฤติกรรมผู้บริโภคย่อมเปลี่ยนไป แต่หนึ่งสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือการเลือกซื้อสินค้าโดยคำนึงถึง value for money หรือความ “คุ้มค่า-คุ้มราคา” ซึ่ง perceived benefits ต้องสูงกว่า perceived costs เมื่อก่อน benefit อาจจะอยู่เพียงคุณภาพ การใช้งาน หรือนวัตกรรม เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันในปัจจุบันสิ่งที่ขาดไม่ได้คือสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน ดังนั้น ธุรกิจต้องเสนอสิ่งที่ beyond pain point เพราะลูกค้ามองไปไกลกว่าการใช้งานคุณภาพของสินค้า และบริการนั้นแล้ว ลูกค้าต้องการแน่ใจว่าสินค้านั้นๆ ปลอดภัยต่อสุขภาพและผลิตโดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;งานวิจัย ASEAN Consumer Sentiment Study ของกลุ่มธนาคาร UOB พบว่า 6 ใน 10 ของผู้บริโภคชาวไทยสนับสนุนแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และกว่าครึ่งของผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายแพงขึ้นเพื่อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยคำนึงถึงความยั่งยืน ซึ่งข้อมูลตรงนี้เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าความยั่งยืนได้กลายมาเป็นหนึ่งในคุณค่าหลักของการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ในยุคนี้แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญคือการทำธุรกิจด้วยความจริงใจ ปัจจุบันผู้บริโภคสามารถตรวจสอบและเช็กข้อมูลของคุณสมบัติที่แต่ละแบรนด์เคลมได้ โดยเจน Z เป็นเจเนอเรชั่นที่เก่งในการหาข้อมูล การ overclaim จะทำได้ระยะสั้นแต่จะเติบโตได้ไม่ยั่งยืน ส่วนการสร้าง partnership ตลอด value chain ก็เป็นเรื่องสำคัญ ในยุค VUCA และ BANI การจะลงมือเองทุกอย่างอาจจะไม่ทันและไม่คุ้มเพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น กลยุทธ์ที่ดีคือการจับมือกับผู้เล่นที่มีความสามารถในแต่ละด้านด้วยการนำจุดแข็งมารวมกันและเติบโตไปด้วยกัน เนื่องจากในปัจจุบันไม่มีเส้นแบ่งเขตทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และอุตสาหกรรม ตั้งแต่ globalization การทำธุรกิจไม่มีพรมแดนและสินค้าออนไลน์ยิ่งตอกย้ำข้อนี้ ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยีทำให้เส้นแบ่งขอบเขตอุตสาหกรรมหายไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เช่นเมื่อ 10 ปีก่อนที่ไม่มีใครคาดคิดว่า DNA จะถูกนำมาใช้เก็บข้อมูลได้ เพราะ genetics กับระบบคอมพิวเตอร์ไม่น่าจะเกี่ยวกัน หรือการพัฒนาเทคโนโลยีสีทาบ้านที่สามารถเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน ทำให้แสงไฟตามรั้วบ้านอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป หรือปัจจุบันโลกก้าวหน้าถึงขั้นที่มีสตาร์ทอัพนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ผลิตเนยเพื่อบริโภคได้แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม นอกจากการสร้าง unique selling point แล้ว ปัจจุบันแบรนด์ต้องกล้าที่จะแตกต่างและกล้าที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจระเข้ คอร์ปอเรชั่น เป็นแบรนด์สัญชาติไทยที่เจาะตลาดโลกด้วยนวัตกรรมมาโดยตลอด และมุ่งเน้น green products ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงความยั่งยืนตลอดทั้งกระบวนการ โดยเป็นอาวุธสำคัญที่สามารถสร้างการเติบโตในตลาดโลกได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยี Dustless Technology ลดการฟุ้งกระจาย ลดผลกระทบต่อ PM2.5 รวมถึงกลุ่มสินค้าที่ใช้ในงานสเกลใหญ่อย่างกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง หรือ construction chemicals และกลุ่มผลิตภัณฑ์สีจระเข้ซึ่งให้ความสำคัญกับสีธรรมชาติที่มีความปลอดภัยและเน้น zero VOCs รวมถึงการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น สี lime base และ cement case&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยยังคงมุ่งนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อลดขั้นตอนการทำงานของช่าง ความปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยง และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่สามารถลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เกินกว่า 90% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบเดิม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยิ่งไปกว่านั้นทุกธุรกิจต้องเข้าใจว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน และไม่ใช่ปัญหาของวันพรุ่งนี้ แต่เป็นปัญหาของวันนี้ที่จะส่งมอบโลกวันพรุ่งนี้ให้ลูกหลานแบบไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เช่นเดียวกับจระเข้ที่ยึดเป็นปรัชญาหลักในการดำเนินงานตามหลัก Innovation for Your Family Happiness ซึ่งให้ความสำคัญทั้ง people, profit, process และ planet สร้างสมดุลการเติบโตทางธุรกิจ คนในองค์กรมีความสุข และโลกสามารถอยู่รอดต่อไปได เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/cement-industry-in-the-green-economy-megatrend" alt="อุตสาหกรรมซีเมนต์ ในเมกะเทรนด์ Green Economy">อุตสาหกรรมซีเมนต์ ในเมกะเทรนด์ Green Economy</a>​ ​<a target="_blank" href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,394" data-index="0" data-rotatex="" data-rotatey="" style=""></figure></div>

Beyond The Pain Point นวัตกรรมรักษ์โลก

<h2>RT รับงานก่อสร้างโครงการ Earth Work-Slope Protection Package 4+5 Sta.642+620-Sta.662+200 ระยะทาง 19.58 กม. ของ รฟท. มูลค่า 209.45 ล้านบาท คาดเริ่มก่อสร้างและทยอยรับรู้รายได้ไตรมาส 1/67 เสริม Backlog โตตามเป้า 8,300 ล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT&nbsp;เผยว่า บริษัทได้รับงานก่อสร้างโครงการ Earth Work-Slope Protection Package 4+5 Sta.642+620 – Sta.662+200 ระยะทาง 19.58 กิโลเมตร ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มูลค่า 209.45 ล้านบาท โดยรับงานเป็นผู้รับจ้างช่วงจากกิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 2 ซึ่งขณะนี้ได้รับหนังสือแสดงเจตจำนงว่าจ้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเข้ารับงานในครั้งนี้ เป็นงานที่บริษัทได้รับต่อเนื่องจากงานโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาที่ 2 โดยเป็นการเสริมเสถียรภาพของทางลาดดินในพื้นที่ก่อสร้าง ถือเป็นอีกหนึ่งประเภทงานก่อสร้างที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของบริษัท ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เข้าสำรวจพื้นที่ พร้อมเตรียมดำเนินการก่อสร้างภายในช่วงไตรมาสนี้ และ จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งคาดว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จภายในช่วงไตรมาส 1/2569” ชวลิต กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/HDvPFJvxVuARkVW4AJPY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HDvPFJvxVuARkVW4AJPY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทมีแผนมุ่งเน้นการเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเป็นผู้รับเหมาโดยตรง (Main Contractor) และ ผู้รับเหมาช่วง (Sub-Contractor) เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้ารับงานและสร้างการเติบโตของรายได้ต่อเนื่อง ผลักดันให้บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ตามเป้าหมายที่วางไว้จำนวน 8,300 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพงานก่อสร้าง และ บริหารต้นทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้นอีกด้วย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/house-prices-soar-in-2024" alt="จับทิศตลาดอสังหาฯ ราคาบ้านพุ่งรับศักราชใหม่ ผู้ซื้อระดับล่างยังคงไม่มีกำลังซื้อ">จับทิศตลาดอสังหาฯ ราคาบ้านพุ่งรับศักราชใหม่ ผู้ซื้อระดับล่างยังคงไม่มีกำลังซื้อ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

RT คว้างานก่อสร้างจาก รฟท.  209 ล้านบาท มั่นใจปี 67 ประมูลงานได้ตามเป้า 8,300 ล้านบาท

ศรันย์ โรจน์เลิศจรรยา NL เติมแต้มต่อโปรก่อสร้าง

วีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ "TEKA" ปักธง Top 5 Building Contractors

‘Linda Alvarado’ เจ้าแม่อสังหาฯ ผู้คิดต่าง

เกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม WGE มุ่งสู่ Top 5

<h2 class="p1">หากไม่ใช่เพราะพี่ชายซึ่งเป็นผู้ริเริ่มเปิดบริษัทเสียชีวิต ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ อาจเติบโตในสายงานราชการของกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่นายใหญ่ของบริษัทมหาชนที่ทำธุรกิจเสาเข็มเจาะและงานฐานรากระดับแถวหน้าของประเทศ จวบจนทุกวันนี้</h2>
เส้นทางสายวิชาชีพของ ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซีฟโก้ ไม่ได้เริ่มจากการเป็นนักธุรกิจ หากแต่เริ่มต้นชีวิตด้วยการรับราชการเป็นวิศวกรโยธาในกองออกแบบ สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร เมื่อปี 2515 แต่หลังจากนั้นเพียง 2 ปีมีเหตุให้ต้องพลิกผันจากอาชีพรับราชการมาสู่ถนนสายนักธุรกิจ
เมื่อปลายปี 2517 สุพจน์ ทัศนนิพันธ์ พี่ชายซึ่งเป็นวิศวกรโยธา เห็นว่าในประเทศไทยยังไม่มีการก่อสร้างบ้านหรืออาคารโดยใช้เสาเข็มเจาะ แต่ในต่างประเทศมีเทคโนโลยีนี้แล้ว จึงชักชวนน้องชายและเพื่อนจำนวนกว่า 50 คน ร่วมลงหุ้นเปิดบริษัทมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท
ซึ่งในปีแรกๆ ยังไม่มีงานเนื่องจากคนยังไม่คุ้นเคยกับเสาเข็มเจาะ ยังนิยมใช้เสาเข็มตอก ต่อมาในปี 2519 สุพจน์ถึงแก่กรรม ดร.ณรงค์จึงลาออกจากราชการเพื่อมาบริหารแทน งานแรกที่ได้ทำคือสร้างตึกในเยาวราช
<img class="alignnone size-full wp-image-29088" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/ดร.ณรงค์-02.jpg" alt="" width="720" height="480" />
ปี 2523 บริษัท สเตนท์เฟาเดชัน จำกัด (Stent Foundation) บริษัทฐานรากที่มีชื่อเสียงในสหราชอาณาจักร ซึ่งรับงานเสาเข็มขนาดใหญ่ ต้องการบุกตลาดในประเทศไทยและมองหาพาร์ทเนอร์ มีคนแนะนำให้มารู้จักในที่สุดได้ร่วมทุนกันเปิดบริษัท สเตนท์ ซีฟโก้ จำกัด รับงานเสาเข็มเจาะขนาดใหญ่เป็นหลักมีทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท
โดยสเตนท์เฟาเดชันรับผิดชอบด้านเครื่องมือ เทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญ ส่วนซีฟโก้ดูแลด้านการตลาดและพนักงาน งานแรกที่ได้ทำคือโครงการไทปิงทาวเวอร์ในซอยเอกมัย แต่ในเวลาต่อมาซีฟโก้ขายหุ้นคืนให้กับสเตนท์เฟาเดชัน
ปี 2532 บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทโซลิตองซ์ เอ็นเตอร์ไพรส (Soletanche Enterprise) ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงในประเทศฝรั่งเศส โดยมีเงื่อนไขว่ต้องรับงานผ่านซีฟโก้ โดยซีฟโก้ทำเสาเข็มเจาะ ส่วนโซลิตองซ์ก่อสร้างกำแพงไดอะแฟรมวอลล์ ทำด้วยกัน 4-5 ปีโซลิตองซ์ก็กลับไปประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้นซีฟโก้ก็ประกอบธุรกิจด้านนี้เอง
“การร่วมทำงานกับบริษัทต่างชาติที่ชำนาญทำให้ได้เรียนรู้และเห็นวิธีการทำงาน ซึ่งซีฟโก้ใช้เป็นบรรทัดฐานมาจนถึงทุกวันนี้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอธิบาย
<img class="alignnone size-full wp-image-29095" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/seafco-01.jpg" alt="" width="720" height="532" />
ปัจจุบันซีฟโก้เน้น 2 งาน คือ เสาเข็มเจาะกับกำแพงกันดิน เนื่องจากงานด้านนี้ล้นมือต้องเทคนไปทำงาน ส่วนธุรกิจอื่นๆ หยุดไว้ชั่วคราว มีเครื่องจักรสำหรับตอกเสเข็ม 50 เครื่อง สำหรับทำกำแพงไดอะแฟรม 30 ตัว สามารถทำพร้อมกัน 20 โครงการมีพนักงานรวมกว่า 1,200 คน เป็นพนักงานประจำและพนักงานรายวันอย่างละครึ่ง
ผลงานของบริษัทล้วนเป็นโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอาคารสูงนับตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน เช่น อาคารอโศก ทาวเวอร์, ไทม์สแควร์, โรงแรมแลนด์มาร์ค, โรงแรมเอราวัณ, เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์, ใบหยก 1, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์, โรงแรมแกรนด์ ไชน่า เยาวราช, ไอคอนสยาม, ตึกมหานคร, สยามพารากอน เป็นต้น และล่าสุดทำโครงการ แบงค็อกมอลล์, วิมานสุริยาของดุสิตธานี มูลค่า 1 พันกว่าล้าน และโครงการวันแบง ค็อกซึ่งมี 4 โซน ซีฟโก้ได้งาน 3 โซน มูลค่า 1.7 พันล้านบาท
&nbsp;
<h2 class="p1">งานวิจัยสร้างชื่อ</h2>
นอกจากงานในไทยแล้ว ซีฟโก้ยังมองตลาดเพื่อนบ้านด้วย โดย 5 ปีที่แล้วเริ่มบุกตลาด CLMV เป็นการร่วมทุนกับคนท้องถิ่นในชื่อบริษัท ซีฟโก้ (เมียนมาร์) จำกัด ถือหุ้น 80% ปี 2562 มีรายได้เกือบ 200 ล้านบาท คิดเป็น 7% ของรายได้ทั้งหมด
และมีแผนจะเปิดบริษัทในกัมพูชา แต่ช่วงนี้งานชุก ต้องระดมกำลังทำงานในประเทศก่อน หลังจากเจอปัญหาต้มยำกุ้งมาหลายปี กล่าวได้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 2539-2544 ทำเอานายใหญ่ของซีฟโก้ต้องปาดเหงื่อเช่นกัน
ช่วง 3-4 ปีที่เศรษฐกิจซบและบริษัทมีงานไม่มากนัก ดร.ณรงค์จึงทุ่มเทเวลาให้กับงานด้านวิชาการ ส่งผลให้ซีฟโก้เป็นที่รู้จักในแวดวงเพื่อนร่วมอาชีพต่างชาติเป็นอย่างดีเวลามีโปรเจกต์ใหม่ๆ หรือจะเข้ามาทำโครงการในไทย ต่างก็แวะมาปรึกษาที่ออฟฟิศย่านถนนรามอินทรา
<img class="alignnone size-full wp-image-29089" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/ดร.ณรงค์-03.jpg" alt="" width="500" height="700" />
งานวิชาการที่ว่าคือการเขียนบทความหรือรายงาน ที่บริษัททำเสาเข็มเจาะให้กับโครงการใหญ่ๆ ในประเทศไทยเสนอวงการวิศวกรรมไทย รวมทั้งนำเสนอบทความภาษาอังกฤษในเวทีประชุมสัมนาทางวิชาการด้านวิศวกรรมใต้ดินในต่างประเทศ ซึ่งจัดขึ้นที่ ไต้หวัน เบลเยียม ออสเตรเลีย รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ดร.ณรงค์และทีมก็บินไปร่วมงานด้วยเป็นประจำปีละ 1-2 ครั้ง
การแบ่งปันองค์ความรู้และเผยแพร่งานวิชาการในเวทีสัมมนาต่างประเทศ จึงเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่ทำให้บริษัทเป็นที่รู้จัก และได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ ที่ผ่านมามีบทความทางวิชาการที่ได้รับการคัดเลือกให้ตีพิมพ์ในงานประชุมวิชาการรวม 66 ชิ้น
&nbsp;
<h2 class="p1">เน้นงานนวัตกรรม</h2>
นอกจากการเติบโตในสายงานธุรกิจแล้วความภูมิใจอีกอย่างคือการทำเสาเข็มเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นายใหญ่ของซีฟโก้บอกว่า ปกติขั้นตอนการตอกเสาเข็มมีแรงสั่นสะเทือน อาจทำให้เกิดปัญหากับพื้นที่ใกล้เคียง บริษัทตั้งใจลดปัญหาให้น้อยลง จึงนำเสนอนวัตกรรมระบบเสาเข็มไร้แรงสั่นสะเทือนและกำลังทำเรื่องขอจดสิทธิบัตร คาดว่าใช้เวลา 2 ปีจึงทราบผล
<img class="alignnone size-full wp-image-29096" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/seafco-02.jpg" alt="" width="403" height="514" />
โดยนวัตกรรมนี้ได้รับรางวัล Innovative Company Awards จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในปี 2562 บริษัทได้รับถึง 4 รางวัล โดยอีก 3 รางวัลประกอบด้วย Best Company Performance Awards, Outstanding Investor Relations Awards และ Outstanding CEO Awards
รวมทั้งได้รับใบประกาศจากสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย ว่าเป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ทั้งยังได้รับเลือกจาก Forbes Asia ว่าเป็น 1 ใน 200 บริษัทชั้นนำของเอเชียในหมวด “Best Under a Billion” ของปี 2562
&nbsp;
<h2 class="p1">ฟิตเนสใจ เพิ่มประสิทธิภาพงาน</h2>
หลายปีมานี้ ดร.ณรงค์ ยึดหลักความพอดีในการทำธุรกิจและการดำเนินชีวิต เพราะศรัทธาในคำสอนของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร แห่งวัดธรรมมงคล หลังจากเข้าอบรมหลักสูตรครูสมาธิในปี 2554 และพบว่าตัวเองมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จิตอ่อนโยนแต่มีพลัง
เมื่อเห็นว่ามีประโยชน์จึงสนับสนุนพนักงานทุกคนเข้าคอร์ส เปิดรอบพิเศษให้พนักงานที่สำนักงาน 200 กว่าคนเรียนเวลางาน ใครเรียนจบได้รับเงินจากเจ้านายอีก 500 บาท รวมทั้งจัดพื้นที่อำนวยความสะดวกให้คนสามารถเรียน โดยใช้บริษัทเป็นศูนย์สาขาของวัดได้ 7 ปีแล้ว ในชื่อสถาบันพลังจิตตานุภาพ ปีหนึ่งๆ จัด 2 คอร์ส คอร์สละ 6 เดือน วันละ 2 ชั่วโมง
<img class="alignnone size-full wp-image-29087" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/ดร.ณรงค์-01.jpg" alt="" width="720" height="480" />
“ตั้งแต่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อและทำอย่างนี้มาหลายปี เราเอาวิทยาศาสตร์ทางกายภาพมาปรับปรุงด้วย ทำให้บริษัทดูน่าอยู่ ระบบการทำงานทันสมัย เอาจิตใจเป็นตัวเสริม บริษัทโตขึ้น เดิมรายได้เราแค่ 1.8 พันล้านบาทมาหลายปี แต่ 2 ปีนี้รายได้เพิ่ม และขึ้นมาเป็น 3 พันล้านบาท ปี 2563 ตั้งเป้ารายได้ 3 พันกว่าล้าน คิดว่าไม่ยาก
“หลวงพ่อวิริยังค์ท่านบอกว่า ทางสายกลางคือการทำให้พอดีการที่เราทำสิ่งใดและประสบความสำเร็จเพราะทำพอดี พูดง่ายๆ คือผมทำพอดี ถ้าเศรษฐกิจอย่างนี้ผมก็ขยายกำลังพอดี ไม่โลภราคาก็ต้องพอดี ทำแล้วเจ้าของต้องแฮปปี้ ถ้าเราแฮปปี้ฝ่ายเดียวก็ไม่ยั่งยืน”
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/people/fabulous-40s-and-50s/%e0%b8%94%e0%b8%a3-%e0%b8%8a%e0%b9%80%e0%b8%99%e0%b8%a8%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b9%81%e0%b8%aa%e0%b8%87%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b8%e0%b8%a5-%e0%b8%9e.html">ดร.ชเนศวร์ แสงอารยะกุล พลิกวิกฤตลงเสาเข็มไพลอน</a></li>
</ul>
&nbsp;

ภาพ: กิตติเดช เจริญพร และ บมจ.ซีฟโก้

<hr />

<a href="https://bit.ly/38hL0Vu">คลิกอ่านฉบับเต็ม “ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ ปั้นธุรกิจ 'ซีฟโก้' โตพอดีด้วยสายวิชาการ” ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-27443" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/COVER-82-MARCH-.jpg" alt="สรพหล นิติกาญจนา" width="300" height="393" />

ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ ปั้นธุรกิจ "ซีฟโก้" โตพอดีด้วยสายวิชาการ

<h2 class="p1">คอตโต้ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ปรับสินค้าเรือธง เน้นสวย สมาร์ท สะอาด ปลอดภัย ตอบโจทย์คนกังวลโรคระบาด มลพิษ หันใช้ชีวิตอยู่บ้าน คาดตลาดรีโนเวตบ้านพุ่งหมื่นล้าน สำรวจผู้บริโภคพบเตรียมปรับปรุงบ้านใหม่กว่า 50%</h2>
 ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้คน และปัญหามลภาวะฝุ่น PM2.5 ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตนอกบ้าน และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคให้มีแนวโน้มอยู่ในบ้านมากขึ้น อนุวัตร เฉลิมไชย Head of Ceramic Business ในธุรกิจเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ภายใต้แบรนด์ “คอตโต้” กล่าวถึงการศึกษา รวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค โดยพบว่า พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปเป็นการอยู่บ้านมากขึ้น มองหาความสงบสุข และสุขภาวะที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกก่อนหน้านี้ โดยสถานการณ์ของโรคระบาดที่เกิดขึ้นยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมดังกล่าวเร็วขึ้น
 สำหรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับ 4 เรื่อง ได้แก่ Well-being การดูแลสุขภาพ สุขภาวะที่ดี Green Living การให้ความสำคัญกับปัญหาภาวะโลกร้อน การลดใช้พลาสติก ประหยัดการใช้ทรัพยากรน้ำ-ไฟ Living Technology (IoT) การอยู่อาศัยที่ปลอดภัย ด้วยอุปกรณ์สมาร์ทเทคโนโลยี และ Inter Lock Living การออกแบบบ้านที่สอดรับกับการอยู่อาศัยของคนหลายวัย
 นอกจากนี้ จากการสำรวจความต้องการของผู้บริโภค พบว่า มีความต้องการปรับปรุงบ้าน ที่อยู่อาศัย (รีโนเวต) มากกว่า 50% โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตภายใต้สุขภาวะที่ดี ปลอดภัย และสวยงาม โดยเฉพาะตลาดการปรับเปลี่ยนสุขภัณฑ์ภายในบ้านแต่ละปีมีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจคอตโต้
<img class="alignnone size-full wp-image-27743" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/คอตโต้-01.jpg" alt="" width="720" height="480" />
 ดังนั้น คอตโต้ จึงปรับพอร์ทสินค้ากลุ่มเรือธงใหม่ ภายใต้คอนเซปท์ “Fulfill Your Dream” พัฒนาสินค้าที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตในบ้านและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายคอตโต้ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก Dream Catcher อายุระหว่าง 23-38 ปี วัยเริ่มต้นทำงาน ชื่นชอบการใช้โซเชียลมีเดีย ติดต่อกับเพื่อนฝูงตลอดเวลา แต่ยังมีความเป็นปัจเจกและชอบที่จะมีพื้นที่ส่วนตัว อีกกลุ่มคือ Committed Dreamer อายุระหว่าง 40-60 ปี ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเดิมของคอตโต้ แต่พัฒนาความต้องการโดยคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
 “กลุ่มสินค้าเรือธงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคนี้ที่เผชิญกับความกังวล ความเครียด จึงมุ่งเน้นการเสริมคุณภาพการใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย ปลอดภัย มีสุขอนามัยที่ดี และสวยงาม โดยคอตโต้ได้ปรับดีไซน์ใหม่ของผลิตภัณฑ์ทั้งสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ กระเบื้องและวัสดุปูพื้น ซึ่งจะเป็นทิศทางที่สร้างการเติบโตให้กับบริษัทในอีก 3 ปีข้างหน้า” อนุวัตรกล่าว


<figure><img class="size-full wp-image-27744" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/อนุวัตร-เฉลิมไชย-02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> อนุวัตร เฉลิมไชย</figcaption></figure>
 สำหรับการปรับพอร์ตสินค้าในครั้งนี้ ได้มีการปรับลดจำนวนผลิตภัณฑ์ลง เพื่อมุ่งให้ความสำคัญกับสินค้าเรือธงเป็นหลัก เช่น กลุ่มสุขภัณฑ์ปรับลดจาก 100 รายการ เหลือเพียง 28 รายการ ส่วนหนึ่งเป็นการบริหารกลุ่มสินค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยประหยัดต้นทุนการดำเนินงาน โดยเฉพาะในช่วงที่ซัพพลายเชนได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น ซึ่งหากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ เชื่อว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทกลับมาเติบโตได้จากทิศทางธุรกิจที่วางไว้ 
 ทั้งนี้ สินค้าที่บริษัทได้พัฒนาออกมาเพื่อตอบโจทย์ความสะอาด สมาร์ท สวยงาม และปลอดภัย ได้แก่ กลุ่มสินค้าสุขภัณฑ์ รุ่น Optimum Series ก๊อกน้ำที่มีเทคโนโลยีช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่มองไม่เห็น เช่น ก๊อกสำหรับครัว รุ่น Touch Faucet เปิด-ปิดอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้มือจับ และก๊อกอ่างล้างหน้าแบบเซ็นเซอร์ รุ่น Aqua Soap พร้อมที่จ่ายสบู่อัตโนมัติ กระเบื้อง X-Porchlain ที่มีผิวหน้าแบบ Anti-Slip และแผ่นพื้น LT วัสดุสำหรับปูพื้นดีไซน์สวยงาม ติดตั้งง่าย รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/property/%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%8b%e0%b8%b5%e0%b8%88%e0%b8%b5-%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b8%a9.html">เอสซีจี เซรามิกส์ เจอพิษเศรษฐกิจ ฉุดรายได้วูบ</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"คอตโต้" ปรับพอร์ตสินค้าสู้ภัย COVID-19

<h2 class="p2">ในปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวน เงินบาทแข็งค่า และความสัมพันธ์ทางการค้าของมหาอำนาจยังคงไม่ราบรื่น คำถามที่เกิดขึ้นคือ ประเทศไทยจะคงความแข็งแกร่งไว้ได้อย่างไร</h2>
ภาคการก่อสร้างไทยถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาการของประเทศ โดยในช่วงปี 2552-2560 มูลค่าการลงทุนของอุตสาหกรรม ก่อสร้างไทย คิดเป็นสัดส่วน 8.4% ของจีดีพี วงการก่อสร้างไทยติดอันดับที่ 32 ของโลก ในการจัดอันดับดัชนีวัดประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์โดยธนาคารโลก ทั้งยังครองอันดับที่ 2 ของอาเซียนและอันดับที่ 9 ของโลกในการจัดอันดับดัชนีความสามารถทางการแข่งขันในหมวดโครงสร้างพื้นฐาน โดยสภาเศรษฐกิจโลก
สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ก้าวสู่ทศวรรษที่ 10 ในฐานะส่วนหนึ่งของพัฒนาการแห่งวงการก่อสร้างของไทย ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่สถาบันกลางของผู้ประกอบการก่อสร้าง การประสานงานภาครัฐ การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความรู้ด้านเทคโนโลยี ยกระดับทักษะฝีมือแรงงานและมาตรฐานการก่อสร้างในกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก ด้วยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสมาพันธ์ผู้ประกอบการก่อสร้าง ได้แก่ The ASEAN Constructors Federation และ International Federation of Asian and Western Pacific Contractors’ Associations การจัดงาน INTERMAT ASEAN งานแสดงสินค้าและการประชุมสัมมนาระดับนานาชาติด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน และการลงนามข้อตกลงกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เพื่อยกระดับการดูแลสิทธิเด็กในกลุ่มบุตรหลานของแรงงานก่อสร้างในประเทศ
โดยสมาคมฯ ได้น้อมเอาเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ประการ ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีแนวคิด “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” มาเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมองว่าภาคการ ก่อสร้างไทย จำเป็นที่จะต้องปรับตัว ดังต่อไปนี้
ยุติปัญหาความขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะระดับสูง ตอบโจทย์ค่าแรงอย่างสมเหตุสมผล และพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ให้เข้าถึงแรงงานที่มีศักยภาพสูง และสร้างวงจรการทำงานที่เอื้อต่อการเติบโตขององค์กรในระยะยาว
ยกระดับบทบาทของภาครัฐ ทั้งในเชิงนโยบาย การควบคุมราคากลางระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง มาตรการด้านแรงงาน การส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ และการควบคุมการแสวงหาผลประโยชน์โดยต่างชาติ
ปรับใช้นวัตกรรม เร่งยกระดับสายการผลิตและการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ ประหยัดต้นทุนและเวลา เพื่อให้สามารถ “ใช้น้อย แต่ได้มาก” ลดการพึ่งพาต่างชาติ และสร้างสมดุลของเศรษฐกิจในประเทศ
อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในปี 2562 มีแนวโน้มขยายตัว 6.5% จากปีก่อนหน้า เป็นแรงส่งจากภาครัฐ 9% และภาคเอกชน 3.5% ทั้งนี้ สมาคมฯ เล็งเห็นศักยภาพของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนภาคการก่อสร้างของไทยให้ก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยคาดหวังว่าภาครัฐจะเดินหน้าลงทุนด้านระบบโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการและการยกระดับ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ยกระดับระบบการจัดการน้ำ พัฒนาระบบขนส่ง ทั้งระบบราง ระบบถนนเมืองหลัก เมืองรอง รวมถึงท่าเรือ ให้ได้มาตรฐานสากลและทั่วถึง
เมื่อภาครัฐลงทุน ภาคเอกชนจะเกิดความเชื่อมั่น นำไปสู่พัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมในรูปแบบระลอกคลื่น ดังเช่นโครงการรถไฟฟ้า ที่นำมาซึ่งการสร้างคอนโดฯ หรือห้างสรรพสินค้า การสร้างงาน การกระจายรายได้ ความสะดวกสบายของประชาชน ความคล่องตัวของผู้ประกอบการ และเศรษฐกิจในประเทศที่สะพัด
สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ตั้งปณิธานที่จะผลักดันวงการก่อสร้างไทย เศรษฐกิจ และสังคม ของบ้านเมืองเราสู่ความยั่งยืน ดังที่องค์การสหประชาชาติได้หมายมั่นไว้หากทุกภาคส่วนจักให้ความร่วมมือ เราก็จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้เร็ววันขึ้น
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/property/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99-%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%95.html">“นักลงทุนจีน” ครองกลุ่มต่างชาติรายใหญ่สุดผู้ซื้ออสังหาฯไทยปี 2562</a></li>
</ul>
&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-25529" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/angsurat01.jpg" alt="" width="300" height="300" />

อังสุรัสมิ์ อารีกุล

นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

<hr />

<a href="https://bit.ly/39j1ZrV">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2563 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-25422" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/FB080-EBOOK-RES150_Page_001.jpg" alt="" width="300" height="394" />

อนาคตอุตสาหกรรม "ก่อสร้างไทย" โตยั่งยืนในกรอบสหประชาชาติ

<h2>อาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม ทายาทธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้างชลบุรีที่สามารถต่อยอดโอกาสทางธุรกิจสู่โรงงานผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก พร้อมปรับกลยุทธ์รุกขยายน่านน้ำการจัดจำหน่ายทั่วประเทศควบคู่พัฒนานวัตกรรมรองรับงานโครงสร้างพื้นฐานและงานแลนด์สเคปพลิกขาดทุนหนุนรายได้สิ้นปี 2.5 พันล้านบาท</h2>
เส้นทางชีวิตที่พลิกผันของลูกจ้างในร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่ต้องกลายเป็นเถ้าแก่แบบตกกระไดพลอยโจน พร้อมรับภาระหนี้สินทั้งหมด เป็นจุดเริ่มต้นของร้านกันยงค้าวัตถุ ด้วยความมุมานะทำงานพิสูจน์ความตั้งใจชดใช้หนี้และสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องในจังหวะที่ประเทศกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมในโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development Program) กลายเป็นโอกาสสำคัญในการขยายกิจการสร้างโรงงานผลิตท่อตอบสนองความต้องการของนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรีและระยอง

“ธุรกิจของเราเริ่มตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ท่านต้องออกจากบ้านไปทำงานรับจ้างหลังจากอาก๋งเสียชีวิตตั้งแต่ป.4 ท่านขยันและหัวดีจึงได้รับความไว้วางใจเหมือนเป็นผู้จัดการร้าน สมัยนั้น เมื่อเถ้าแก่หนีไป ท่านต้องรับผิดชอบหนี้ที่เกิดขึ้นแทน คุณพ่อมักจะขี่เวสป้าไปทำการตลาดแถวระยอง ค่ำไหนนอนนั่น ร้านเราเติบโตค่อนข้างเร็ว จนถึงยุค Eastern Seaboard สินค้าขาดตลาด กว่าจะได้ของมาขาย เราจึงตั้งโรงงานผลิตท่อแห่งแรกขึ้นที่ภาคตะวันออก” อาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP กล่าวถึงความเพียรพยายามของประทีปผู้เป็นบิดาในช่วงเริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจราวปี 2526 ในฐานะบุตรชายคนโตของทีปกรสุขเกษม ซึ่งมุ่งมั่นสานต่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของครอบครัว

อาทิตย์เลือกศึกษา ปริญญาตรีสาขาบริหารการจัดการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทสาขาการเงิน มหาวิทยาลัย Clark สหรัฐอเมริกา รวมถึงศึกษาภาษาจีนเพิ่มเติมที่ประเทศจีนราว 1 ปี ก่อนจะกลับมาช่วยงานครอบครัว ช่วงเวลานั้นเอ็มดีใหม่ไฟแรงได้แสดงฝีมือปรับเปลี่ยนโมเดลร้านค้าวัสดุก่อสร้างของครอบครัวให้เป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ภายใต้แนวคิดศูนย์รวมสินค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านอย่างครบวงจรที่สามารถเลือกซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านทุกอย่างได้ในที่เดียว (One Stop Shopping)

“ผมเข้ามา CCP ช่วงหลังประมาณปี 2556 ก่อนหน้านั้นน้องชายดูแล แต่ออกไปหุ้นกับเพื่อนทำพรีคาสท์สำหรับงานบ้าน ส่วนน้องชาย อีกคนดูแลสมาร์ทคอนกรีต ซึ่งนอกจาก CCP แล้วยังมีอีก 4 บริษัทย่อยที่ต้องดู เช่น บริษัทให้เช่ารถขนส่ง ธุรกิจให้เช่าที่ดินอาคารสำนักงานและโรงงาน”

อาทิตย์ในวัย 44 ปี กล่าวถึงการแบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างลงตัวของสามพี่น้อง โดยชาคริต ซึ่งเป็นน้องชายคนสุดท้อง นั่งเก้าอี้เอ็มดี CCP ในช่วงแรก ก่อนจะเลือกเดินทางตามความฝันผันตัวเป็นเถ้าแก่เริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวในบริษัท ซีแพนแนล จำกัด ขณะที่รังสี น้องชายคนกลาง ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายคอนกรีตมวลเบา ระบบอบไอน้ำ ภายใต้ความดันสูง ด้วยกำลังการผลิตอยู่ที่ 3 ล้านตารางเมตร/ปี

“หลังเข้ามาบริหาร เราแบ่งสินค้าออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ สินค้าเก่าตลาดเก่า สินค้าเก่าตลาดใหม่ สินค้าใหม่ตลาดเก่า และสินค้าใหม่ตลาดใหม่ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเศรษฐกิจและความต้องการ รวมถึงกระจายความเสี่ยงพอร์ตรายได้ พร้อมปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้เป็นไปตามตลาด ซึ่งสินค้าหลักของ CCP แบ่งเป็นพรีคาสท์และ ready-mixed”

ในปัจจุบันบริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตครบวงจรรายใหญ่ของประเทศและรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกโดยผลิตภัณฑ์แบ่งออกเป็นคอนกรีตผสมเสร็จ (ready-mixed concrete) และคอนกรีตสำเร็จรูป (precast concrete) สำหรับงานโครงสร้าง รวมถึงงานตกแต่ง ทั้งยังรับผลิตคอนกรีตที่มีรูปแบบและคุณสมบัติเฉพาะตามคำสั่งลูกค้า (made to order)

“คุณพ่อเป็นคนแรกที่สร้างโรงงาน ready-mixed ช่วงนั้นลองผิดลองถูกจากเจ้าของเครื่องจักรที่สอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน การผสมปูนถึงการผลิตออกมาเป็นท่อ ซึ่งถือเป็นโอกาสและความโชคดี เพราะคู่แข่งยังน้อย กำไรค่อนข้างดี โดยเราพยายามพัฒนาจนมีประสบการณ์และขยายผลิตภัณฑ์ขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นทุกวันนี้”

<img class="alignnone wp-image-20341 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/cpp-01.jpg" alt="อาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม “CCP” คอนกรีตภูธรล้อมเมือง" width="667" height="663" />
<h2>พลิกกลยุทธ์เสริมทัพแกร่ง</h2>
แม้ผลประกอบการของบริษัทจะสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งระดับ 2.48 พันล้านบาทในปี 2561 แต่ยังประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและสภาวะตลาดภาคเอกชนที่ซบเซา โดยยังคงกดดันยอดขายและการทำกำไรของบริษัท รวมถึงโครงสร้างธุรกิจที่บริษัทย่อยยังไม่ทำกำไรหรือเงินปันผลซึ่งส่งผลกระทบต่องบการเงินของบริษัท

“ทั้งหมดในเครือเราเล็งเป้าหมายรายได้รวมที่ 2.5 พันล้าน ซึ่งกำไรสุทธิน่าจะประมาณ 30-40 ล้านบาท โดยเฉพาะจากพรีคาสท์ที่รายได้เติบโตค่อนข้างสูงประมาณ 20% ในปีนี้ซึ่งปัจจุบันพรีคาสท์ของเราเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ส่วน ready-mixed เป็นท็อป 5ในภาคตะวันออก เรายังคงความแข็งแกร่งเหมือนเดิม”

อาทิตย์ย้ำถึงความมั่นใจในการเติบโตของบริษัทด้วยรายได้รวม 2.5 พันล้านบาทในสิ้นปีนี้จากงานภาครัฐคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 80% และภาคเอกชน 20% โดยยังมีมูลค่างานในมือ (backlog) ประมาณ 2 พันล้านบาท

สำหรับหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้อาทิต ย์สามารถพลิกขาดทุนได้สำเร็จจากการปรับโครงสร้างธุรกิจกลุ่มคอนกรีตผสมเสร็จ ด้วยการมุ่งเน้นเป็นผู้จัดจำหน่ายผ่านช่องทางต่างๆ แทนการเป็นผู้ผลิต โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านชื่อเสียงของบริษัทที่ได้รับการยอมรับเรื่องคุณภาพสินค้าและฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง รวมถึงการให้บริการด้านโลจิสติกส์และค่าขนส่งที่ต่ำกว่าจากบริษัทรถขนส่งวัสดุก่อสร้างภายในเครือที่พร้อมส่งสินค้าทั่วประเทศ

ขณะเดียวกันอาทิตย์ยังมุ่งเพิ่มสัดส่วนรายได้คอนกรีตสำเร็จรูปมากขึ้นจาก 30% เป็น 70% จากความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มการเติบโตดี ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะเดินหน้าลงทุนทยอยดำเนินงานก่อสร้างต่อเนื่องในงานโครงสร้างพื้นฐานโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)

“คีย์การปรับโครงสร้างธุรกิจ คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รองรับงานโครงสร้างแลนด์สเคปและความสามารถในการทำกำไร โดยคาแรกเตอร์ของเราต้องชัด และสื่อให้ถึงลูกค้า รวมถึงการบริหารงานให้ทุกอย่างพร้อมรองรับโอกาสสร้างการเติบโตได้ไม่ว่าจะเป็น พรีคาสท์นวัตกรรมใหม่ การทำทุกอย่างให้ลูกค้ารู้ว่าเรามี และระบบโลจิสติกส์ส่งถึงมือลูกค้า”

<img class="alignnone wp-image-20342 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/cpp-02.jpg" alt="อาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม “CCP” คอนกรีตภูธรล้อมเมือง" width="800" height="360" />

นอกจากนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องรองรับงานโครงสร้างพื้นฐานและเอกชนได้อย่างหลากหลายโดยเฉพาะท่อคอนกรีตขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทเป็นผู้นำและมีความเชี่ยวชาญในการผลิตท่อขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ และเน้นการขยายฐานลูกค้า กลุ่มสถาปนิก ผู้รับเหมารายย่อยโครงการขนาดกลาง-เล็ก ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีความต้องการใช้งานคอนกรีตสำเร็จรูป เพื่องานก่อสร้างแลนด์สเคป

อาทิตย์กล่าวปิดท้ายด้วยว่า  “ด้านการบริหารคนที่สามารถใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยคือคำว่า vision อะไรที่ถูกต้องเหมาะสม เราต้องให้อำนาจอยู่กับคนที่เหมาะสมและใช้ได้อย่างเหมาะสมซึ่ง vision ไม่ได้มาจากประชาธิปไตย เพราะคุณจะฟังและทำอะไรในสิ่งที่คนอื่นก็เห็นเหมือนๆ กัน เราอาจจะต้องคิดต่างหรือโดดไปทำในสิ่งที่คนไม่โหวตเหมือน Apple ถ้าทำเหมือนคนอื่นก็ไม่มีทางไปไหน”

ภาพ: กิตติเดช เจริญพร

<hr />

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/3344a01a-930d-4d0c-88c3-b1c63c876c58">คลิกอ่านเรื่องราวฉบับเต็มของ “อาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม “CCP” คอนกรีตภูธรล้อมเมือง” ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="lazy alignnone wp-image-15289 lazy-loaded" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg" sizes="(max-width: 320px) 100vw, 320px" srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg 744w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST--228x300.jpg 228w" alt="" width="320" height="421" data-lazy-type="image" data-lazy-src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg" data-lazy-srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST-.jpg 744w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/AUGUST--228x300.jpg 228w" data-lazy-sizes="(max-width: 320px) 100vw, 320px" />

อาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม “CCP” คอนกรีตภูธรล้อมเมือง

ชินวะ เรียลเอสเตท ขนโมเดลธุรกิจ-Know-how อสังหาฯ ญี่ปุ่นบุกไทย

จันทนา อริยะวุฒิพันธ์ ทายาทธุรกิจรถขุด เบื้องหลังความสำเร็จแบรนด์ SANY

<h2 class="p3">ซอฟต์แวร์ของ Autodesk ครองวงการสถาปัตย์มากว่า 3 ทศวรรษ แต่ถ้าจะหยุดยั้งการตกยุค Andrew Anagnost ก็ต้องสร้างธุรกิจขึ้นใหม่</h2>
Andrew Anagnost คือประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Autodesk บริษัทอายุ 36 ปีซึ่งเป็นผู้บุกเบิกซอฟต์แวร์ช่วยออกแบบโดยใช้คอมพิวเตอร์ (computeraided design หรือ CAD) Anagnost ได้รับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2017 หลังจากบริษัททำศึกยืดเยื้อกับผู้ลงทุนที่ต้องการเข้ามาคุมกิจการ และหัวหน้าคนเก่าของเขาลาออกไป
แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะใช้เวลาหลายปีเพื่อค้นหาบทที่ 2 ผ่านการซื้อสตาร์ทอัพและทุ่มเงินไปกับงานวิจัยที่ไม่น่าจะสำเร็จง่ายๆ แต่ภารกิจของ Anagnost เรียบง่ายกว่านั้น คือการเลือกธุรกิจที่เป็นผู้ชนะ
Wall Street เดิมพันว่าเขาเลือกผู้ชนะได้ถูกต้องแล้ว เพราะราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และมูลค่าหุ้นในตลาดอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 13 เท่าของรายได้ ซึ่งถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่กับบริษัทที่ขาดทุนมาตั้งแต่ปี 2016
ธุรกิจที่ Anagnost เลือกคือ ซอฟต์แวร์เพื่อธุรกิจซื้อขายอาคาร ทักษะของบริษัทที่เคยอยู่เบื้องหลังอัลกอริทึมสำหรับงานออกแบบอาคารและชิ้นส่วนเครื่องจักร ตอนนี้นำมาใช้กับงานอันยุ่งเหยิงด้านบริหารจัดการโครงการก่อสร้างแทน ซึ่งแปลว่าบริษัทจะต้องโยนธุรกิจด้านอื่นทิ้งไปและสละพนักงาน 1,200 คน


<figure><img class="wp-image-4401 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/autocad2016-e1549457334591.png" alt="" width="800" height="430" /><figcaption> AutoCAD ซอฟต์แวร์ที่ใช้ออกแบบได้ทุกอย่างตั้งแต่ตึกระฟ้าไปจนถึงชิ้นส่วนรถยนต์ (PHOTO CREDIT: Autodesk Forum)</figcaption></figure>
ย้อนไปเมื่อปี 1997 ในตอนนั้น Autodeskเป็นบริษัทผู้ชนะ สถาปนิกและวิศวกรใช้ซอฟต์แวร์ AutoCAD ออกแบบทุกอย่างตั้งแต่ตึกระฟ้าไปจนถึงชิ้นส่วนรถยนต์ และ 20 ปีต่อมา AutoCAD และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานออกแบบก็ยังคิดเป็น 80% ของยอดขายทั้งหมด
ทว่า หลังจากทศวรรษแห่งการเติบโต บริษัทก็ตกที่นั่งลำบากในช่วงเศรษฐกิจถดถอยเมื่อปี 2009 Carl Bass CEO บริษัทในช่วงนั้น ลงทุนอย่างหนักกับการวิจัยและพัฒนาโครงการหลากหลาย แต่ก็ไม่ได้สินค้าอะไรที่ใหญ่เท่า AutoCAD
เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือการที่ระบบคลาวด์ (Cloud computing) เข้ามาเขย่าและเปลี่ยนแปลงวงการซอฟต์แวร์ ทำให้ Autodeskก็ต้องร่วมขบวนไปกับบริษัทอื่นอย่าง Adobe และเปลี่ยนจากการทำซอฟต์แวร์แบบใส่กล่องขาย มาเป็นซอฟต์แวร์แบบออนไลน์ขายในรูปแบบการจ่ายค่าใช้งานตามระยะเวลา (subscription)
ขณะนี้บริษัทจึงต้องทุ่มเทสร้างธุรกิจใหม่ และ Anagnost มองว่าธุรกิจก่อสร้างเป็นตลาดใหม่ที่สุกงอมพอให้เข้าจู่โจมได้ กลุ่มคนที่ติดตามธุรกิจนี้อยู่คาดการณ์ว่าตลาดสำหรับซอฟต์แวร์ด้านงานก่อสร้างทั่วโลกจะมีมูลค่าถึง 1 หมื่นล้านเหรียญในปี 2020


<figure><img class="wp-image-4402 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/bim-360-glue-model-visibility_11309234-e1549457428944.jpg" alt="" width="800" height="600" /><figcaption> BIM 360 เครื่องมือบริหารจัดการงานก่อสร้างที่หวังเป็นซอฟต์แวร์ใหม่ที่ช่วยทำรายได้ให้กับบริษัท (PHOTO CREDIT: forconstructionpros.com)</figcaption></figure>
เครื่องมือบริหารจัดการชื่อ BIM 360 ของAutodesk สามารถเตือนวิศวกรได้เมื่อโครงการกำลังล่าช้าหรือไม่ตรงตามข้อกำหนด และสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จแล้วเกือบ 100 แห่งในไอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร ซอฟต์แวร์ BIM 360 ก็ช่วยตรวจสอบการบำรุงรักษาอาคารโรงเรียนและโรงพยาบาลได้

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/world/technology/tooey-courtemanche-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87.html">Tooey Courtemanche นายช่างใหญ่ไฮเทคแห่ง Procore ดึงธุรกิจก่อสร้างขึ้นระบบคลาวด์</a></li>
</ul>
Brian Tolles นักวิเคราะห์ของ Jackson Square Partners ซึ่งเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ของบริษัทกล่าวว่า Autodeskก้าวหน้าไปเร็วกว่าคู่แข่งที่มีขนาดใกล้เคียงกัน และมีช่องทางเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าบริษัทเล็กที่จ้องโอกาสในธุรกิจเทคโนโลยีก่อสร้างอยู่
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของ Anagnost “บริษัทยังต้องสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญ ซึ่งผมก็ยังไม่เห็นว่าสินค้าใหม่ตัวไหนจะติดตลาด” Stephen Bersey นักวิเคราะห์ของ Mitsubishi UFJ Securities ในสหรัฐฯ กล่าว
สำหรับสินค้าใหม่อย่าง BIM 360 Project IQ ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่Autodesk พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาสำหรับใช้กับงานในไซต์ก่อสร้าง ซอฟต์แวร์ใหม่นี้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลนับสิบปีที่เก็บมาจากลูกค้าและประเด็นปัญหาที่ลูกค้าเคยพบ 39 ล้านรายการ (เช่น ความเสียหายจากน้ำ) เพื่อทำนายว่าในไซต์ก่อสร้างจะมีปัญหาใดบ้างที่ต้องเร่งดูแล
“ผมอยากให้ Autodesk เป็นบริษัทที่ช่วยให้งานก่อสร้างมีความเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น” Anagnost กล่าว แล้วเขาก็เริ่มพูดเรื่องล้ำยุค เช่น การสร้างฐานตึกด้วยคอนกรีตโดยใช้เครื่องพิมพ์สามมิติ การวางผังเมืองในโลกที่รถยนต์ขับเคลื่อนได้เอง และการสร้างโรงงานขนาดจิ๋วสำหรับช่างฝีมือในเว็บ Etsy เขากล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ และเราจะได้เห็นภายในไม่เกิน 1 ทศวรรษ
&nbsp;
เรื่อง: Kathleen Chaykowski และ Alex Konrad
เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง


<hr />

<a href="http://bit.ly/ForbesTHJan2019">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มของ "พิมพ์เขียวเพื่อปั้นโมเดลใหม่" ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/ForbesTHJan2019"><img class="alignnone wp-image-4278" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/Forbes-Thailand-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2562-Bill-Heinecke.jpg" alt="" width="250" height="328" /></a>

พิมพ์เขียวเพื่อปั้นโมเดลใหม่ให้กับ “Autodesk”

Tooey Courtemanche นายช่างใหญ่ไฮเทคแห่ง Procore ดึงธุรกิจก่อสร้างขึ้นระบบคลาวด์

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นเป้าหมายสำคัญในการลงทุนจากบริษัทอสังหาฯ ประเทศจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่น King Wai Group กลุ่มบริษัทจากจีนที่มีธุรกิจหลากหลาย ทั้งอสังหาริมทรัพย์ การเงิน และอี-คอมเมิร์ซ ประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปีในจีนและฮ่องกง ที่เริ่มขยายธุรกิจออกนอกประเทศหลังการปรับใช้ นโยบาย “Belt and Road Initiative” (BRI) ของรัฐบาลจีน โดย Henry Chan ประธานกรรมการ King Wai Group ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศที่กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางและประตูสู่การทำธุรกิจของภูมิภาคนี้ในอนาคต

<h2 class="p1">หลักเกณฑ์ที่ใช้ตัดสินใจเลือกลงทุนในแต่ละประเทศ</h2>
เรามีปัจจัยหลายอย่างที่จะต้องคำนึงในการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเราเล็งเห็นสัญญาณบวกจากประเทศไทยที่เป็นผลมาจากแผนยุทธศาสตร์เขตพัฒนาพิเศษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และด้วย King Wai Group เป็นบริษัทที่มีธุรกิจหลากหลายประเภท เราจึงเล็งเห็นโอกาสจากกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างชาติในไทยที่กำลังจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตลาดไทยเป็นตลาดที่ King Wai Group ให้ความสำคัญอย่างมาก และมุ่งการลงทุนระยะยาว  ซึ่งเรามองว่าไทยเป็น “ศูนย์กลาง” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะเปิดโอกาสให้ King Wai Group เชื่อมธุรกิจและการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

<h2 class="p4">โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทใดที่ King Wai Group สนใจลงทุน</h2>
ในระยะยาวเราจะมุ่งเน้นพัฒนาทั้งโครงการเพื่อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และโครงการขนาดใหญ่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กำลังเข้าพิจารณาใช้สิทธิพิเศษของ EEC โดยโครงการนี้ King Wai Group จะพัฒนาให้เป็นคอมมูนิตี้ mixed-use นอกจากนี้ ยังมีที่ดินในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งวางแผนจะให้เป็นแบบ mixed-use เช่นกัน
ทั้งนี้ โครงการคอมมูนิตี้ mixed-use ที่ฉะเชิงเทรา จะมีเนื้อที่ราว 2,000 ไร่ โดยการพัฒนาเฟสแรก ตั้งเป้าไว้ที่ระยะ 5 ปี พื้นที่ 300 ไร่ คาดว่าใช้งบประมาณการลงทุนราว 3 พันล้านบาท ซึ่งภายในจะประกอบด้วยศูนย์สุขภาพ ศูนย์กระจายสินค้า และพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัย
ส่วนโครงการที่พระนครศรีอยุธยาพื้นที่ราว 2,600 ไร่ บริษัทวางแผนการพัฒนาให้เป็นพื้นที่เพื่อการศึกษาค้นคว้า วิจัย พื้นที่เพื่อการพาณิชย์ การอยู่อาศัยและโรงแรม โดยเฟสแรกคือการพัฒนาพื้นที่เพื่อการ ศึกษาทั้งในระดับปริญญาตรีและโท รวมทั้งสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้อง
สำหรับโครงการอื่นๆ ในไตรมาส 4 ของปีนี้ เรามีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ราว 4 โครงการ มูลค่ารวม 4.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นโครงแนวราบย่านวัชรพล 1 โครงการ อีก 2 โครงการจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม แนวราบบนทำเลสุขุมวิท 31 และสุขุมวิท 61 และอีกโครงการเป็นคอนโดมิเนียมแนวสูงย่านถนนพระราม 4 ซึ่งตามแผนการลงทุนทั้งหมดนี้ เป้าหมายของ King Wai Group ก็คือต้องการเติบโตในตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยอย่างมีคุณภาพ มากกว่าการใช้เม็ดเงินลงทุนสร้างให้ทุกอย่างเติบโต

<h2 class="p4">มุมมองต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย</h2>
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง แต่ก็มี real demand หรือความต้องการบริโภคสินค้าที่แท้จริง ซึ่งยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอยู่ และแม้ว่าการเข้ามาแข่งขัน ในภาคธุรกิจนี้ของไทยจะรุนแรง สำหรับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ แต่เรามองว่าสถานการณ์นี้ เป็นโอกาสให้เราทำความเข้าใจกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้ซื้อทั้งในไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ดี แม้ไทยเป็นประเทศที่มีภาระหนี้สินครัวเรือนสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนตามหลังมาเลเซีย โดยไตรมาสแรกของปีนี้หนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ที่ร้อยละ 77.7% ของจีดีพี คิดเป็นอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง แต่เราในฐานะนักลงทุนก็ยังมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
นอกจากนี้ โครงการโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาลไทยที่มีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาทนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ รวมถึงไทยยังเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเงิน เพราะมีทุนสำรองระหว่างประเทศของปี 2561 อยู่ในเกณฑ์ที่ดี คือราว 43.52% ของจีดีพี
&nbsp;

เรื่อง : กัญสุชญา สุวรรณคร

<a href="http://www.aisbookstore.com/Shop/Magazine/FORBES/5de2ed1e-2888-4142-ab98-7364e58825e1">คลิกอ่านครบทุกเรื่องราวจาก  “Henry Chan อสังหาฯ ไทย เชื่อมโอกาสการลงทุน”  ForbesLife Thailand ฉบับพิเศษ November 2018 </a>

<img class="alignnone wp-image-2100 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/forbeslife-thailand--252x300.jpg" sizes="(max-width: 252px) 100vw, 252px" srcset="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/forbeslife-thailand--252x300.jpg 252w, http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/forbeslife-thailand--768x916.jpg 768w, http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/forbeslife-thailand-.jpg 800w" alt="" width="252" height="300" />

Henry Chan อสังหาฯ ไทย เชื่อมโอกาสการลงทุน

เชิดศักดิ์ อัมพรสุขสกุล ก่อ "แสงฟ้า" ให้สว่างไสวถึงหมื่นล้าน

<h2>ภายในอาณาจักรผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก มีเรื่องราวของทายาทธุรกิจหนุ่มที่ตัดสินใจทิ้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในธุรกิจของครอบครัวมูลค่ากว่า 2 พันล้านด้วยความเชื่อมั่นเด็ดเดี่ยวในโอกาสทางธุรกิจที่มองเห็น ผลักดันให้บุตรชายคนเล็กของครอบครัวทีปกรสุขเกษมต่อยอดประสบการณ์ที่สั่งสมในธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรีมากกว่า 10 ปี เริ่มต้นสร้างทางธุรกิจให้เติบโตบนแนวทางของตัวเอง</h2>
“หลังจากนำธุรกิจครอบครัว CCP เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เราเริ่มเห็นทางแยกในธุรกิจก่อสร้างที่เปลี่ยนแปลงมายัง precast ผมนำเรื่องเข้าบอร์ด แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ เพราะโมเดลธุรกิจที่แตกต่างกันผมรู้สึกเสียดายโอกาส จึงตัดสินใจลาออกวันนั้นเหมือนทุบหม้อข้าว แต่เราเชื่อว่ามันเกิด เทรนด์ธุรกิจชัดเจนมาก ถ้าผมไม่ทำคนอื่นก็ทำ ผมจึงตัดสินใจออกจาก CCP และเริ่มระดมทุนเอง โชคดีที่เราได้รับผลตอบรับจากธนาคารและนักลงทุนดีมาก” ชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนแนล จำกัด

ชาคริต เริ่มสะสมประสบการณ์ตั้งแต่ทำงานในสถาบันการเงินอย่าง ธนาคารดีบีเอสไทยธนุ องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ก่อนและเดินทางศึกษาต่อยังสหรัฐอเมริกาและคว้าปริญญาโท 2 สาขาสำคัญกลับมาและเข้าทำงานของครอบครัวที่ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2545 จนกระทั่งทางแยกกับธุรกิจของครอบครัวในวันที่ 18 มกราคม 2556 วันเวลาของการก้าวสู่โลกธุรกิจด้วยความแน่วแน่

"เราเปิดตัวว่า เราเป็นผู้ผลิต precastที่มีมาตรฐานสูงสุดในประเทศไทย สมัยก่อน precast เป็นความลับเหมือน Black Box โรงงาน precast เป็นเขตหวงห้าม แต่เราเปิดเผยและสามารถสร้างความเชื่อมั่นกับตลาดหรือลูกค้าได้ เพราะเรามี know-how พื้นฐานผมที่คลุกมาทั้ง finance และ operation management จึงสามารถดูได้ทั้งระบบและซอฟต์แวร์เอง ขณะที่ประสบการณ์ทำงานจาก CCP ทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในเชิงวิศวกรรมโครงสร้าง ทำให้ลูกค้าที่รู้จักเราให้ความไว้วางใจ"

ชาคริต งัดกลยุทธ์สร้างความแตกต่างด้วยการออกแบบและผลิตผนังคอนกรีตสำเร็จรูปที่มีรูปแบบและคุณสมบัติเฉพาะตามความต้องการของลูกค้า ในระดับราคาที่ใกล้เคียงกับเจ้าอื่น แต่เหนือกว่าที่ความคุ้มค่า เขาให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับใน precast ด้วยการใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องจักรการผลิตระบบ fully automatic ของ Vollert Anlagenbau Gmbh ประเทศ เยอรมนี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมถึงมีการควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวดจากวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ โดยบริษัทยังเป็นผู้ผลิต precast รายเดียวที่ใช้หุ่นยนต์ในการผลิตทั้งหมด ทำให้สินค้าไม่มีข้อผิดพลาดจากการใช้แรงงานซึ่งช่วยลดค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง และระยะเวลาในการก่อสร้างได้ถึง 60% จากระยะเวลาก่อสร้างเดิมและยังได้รับมาตรฐานการผลิต PCI 135-00 Precast Tolerance และ PCI 117-77 Manual for Quality Control for Plants and Productions of Architectural Precast Concrete Products รวมถึงบริการที่ครบวงจร ทั้งในด้าน การพัฒนาแบบที่รวดเร็วแม่นยำ ออกแบบได้ตามความต้องการของลูกค้า จึงสามารถรับประกันได้ว่าทุกขั้นตอนการดำเนินงานของบริษัท จะช่วยให้ลูกค้าสามารถลดต้นทุนและระยะเวลาในการก่อสร้าง โดยมี lead time ในการผลิตต่ำสุด

แม้ชาคริตจะให้น้ำหนักธุรกิจไปยังโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ หากแต่ CPanel ยังคงยึดพื้นที่ชลบุรีเป็นฐานการผลิตหลักตามวิสัยทัศน์ของบิดา (ประทีป) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรีว่า ชลบุรีเป็นจังหวัดที่สะดวกในการคมนาคมขนส่งหรือจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญของประเทศต่อเนื่องไปยังประเทศใกล้เคียง

แม้การแข่งขันที่รุนแรง ชาคริตไม่เคยกังวลกับการช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดนับตั้งแต่ตัดสินใจก้าวออกจากธุรกิจของครอบครัวจากความเชื่อมั่นในโอกาสและหลักการทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา พร้อมพยายามตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบ คุณภาพหรือระยะเวลาการผลิตที่รวดเร็ว

กลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าทำตลาดแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้ารายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่กลุ่มผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) โดยเฉพาะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภาคการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า

ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตผนังคอนกรีตสำเร็จรูปในเชิงพาณิชย์ประมาณ 430,000 ตารางเมตรต่อปี และเพิ่มเป็น 860,000 ตารางเมตรต่อปีในปี 2558 เพื่อให้บริษัทมีสินค้าเพียงพอรองรับความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้า

นอกเหนือจากสินค้าผนังคอนกรีตสำเร็จรูป บริษัทยังมีบริการจัดหาวัสดุก่อสร้างหลากหลายชนิด โดยพร้อมจำหน่ายและจัดส่งให้แก่ ลูกค้าได้ทั่วประเทศ ได้แก่ ปูนซิเมนต์คอนกรีตผสมเสร็จ คอนกรีตสำเร็จรูปสำหรับงานโครงสร้างพื้นฐาน ท่อคอนกรีต อิฐมวลเบา คานสำเร็จรูปและบันไดสำเร็จรูป

“เรามีทิศทางการเติบโตที่ชัดเจนในการเป็น leading construction material เนื่องจากเรามีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ เราเห็นทั้งตลาด ลูกค้า และพฤติกรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ รวมถึงเรายังมี resource ในองค์กร และ connection ที่แข็งแกร่ง”

<hr />

<a href="http://goo.gl/fFO1hE">คลิ๊กอ่าน "ก้าวที่กล้าของ CPanel เล็งจังหวะต่อยอดคอนกรีตภูธร" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ JULY 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/fFO1hE"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6ef061c9479ff04c8771ed25445ed78a.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events