อีคอมเมิร์ซไทยศักยภาพระดับโลก อุตสาหกรรมเครื่องประดับพร้อมเปล่งประกาย

<h2>Ananta (อนันทา) แบรนด์ผู้นำเครื่องประดับอัญมณีและเพชรมากว่า 30 ปี กับการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ จากการประกอบธุรกิจร้านเพชรแบบ Fine Jewelry สู่การเป็นแบรนด์ Lifestyle Jewelry</h2>
การเปิดร้าน Ananta Flagship Store สาขาใหม่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ในรูปแบบใหม่ของอนันทา นับเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเจอนักในธุรกิจจิวเวลรี่ เพราะไม่ได้เพียงเสนอขายสินค้าด้วยดีไซน์แปลกใหม่เท่านั้น แต่เป็นการออกแบบสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งหมด เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อจิวเวลรี่  ซึ่งทั้งหมดถูกออกแบบมาตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างแท้จริง

รองรับกับความต้องการที่แตกต่างและสอดคล้องไปกับรสนิยม อายุ การใช้งาน งบประมาณของลูกค้า สร้างการรับรู้ใหม่และเพิ่มคุณค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ อาทิ การปรับรูปแบบเครื่องประดับอัญมณี ให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น มีความทันสมัยง่ายต่อการสวมใส่ ทำให้ลูกค้าเล็งเห็นว่าเครื่องประดับเพชรและพลอยสามารถอยู่ในทุกช่วงเวลาสำคัญของชีวิต โดยยังคงไว้ซึ่งคุณภาพของผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานขั้นสูงของแบรนด์

&nbsp;

พฤติกรรมกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป

ในอดีตเครื่องประดับเพชรจะมีรูปแบบและลวดลายที่หรูหราอลังการ ผู้คนส่วนใหญ่มองว่าเครื่องประดับเพชรสามารถสวมใส่ใด้เฉพาะในงานแต่งงาน หรือใช้สำหรับออกงานสำคัญเท่านั้น แต่ในปัจจุบันพฤติกรรมของลูกค้าได้เปลี่ยนไป ลูกค้าต้องการเครื่องประดับเพชรที่สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ในรูปแบบที่เรียบง่าย ทันสมัย พฤติกรรมการเลือกซื้อเครื่องประดับและช่องทางในการเลือกซื้อก็เปลี่ยนไป ลูกค้าอาจเห็นภาพเครื่องประดับชิ้นสวยใน Social Media แล้วอาจตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นนั้นทันที

ดังนั้นการปรับโฉมสินค้าใหม่ของอนันทา จึงต้องถูกออกแบบมา จากการใช้ชีวิตและความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน หรือ ผู้ใหญ่ รวมไปถึงโอกาสต่างๆ ในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นสร้อยข้อมือที่เรียบเก๋ เพื่อเติมเต็มลุคในทุกวัน หรือ สร้อยคอชิ้นน่ารัก ที่สามารถมอบเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ ด้วยราคาที่จับต้องได้ เริ่มต้นเพียงหลักพัน ไปจนถึงเครื่องประดับชั้นสูง ที่สามารถส่งมอบเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่นได้อีกด้วย

<img class="alignnone size-full wp-image-41168" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/อนันทา-003.jpg" alt="" width="600" height="400" />

ความหรูหราที่เข้าถึงได้

ความหรูหราเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่มักกลัวที่จะเข้าไปสัมผัส เช่นเดียวกับร้านเพชรที่ลูกค้ามักกลัวที่จะก้าวเข้ามาชมสินค้าในร้าน Ananta โฉมใหม่จึงถูกออกแบบให้ลบภาพลักษณ์เดิมๆ จนกลายเป็นความหรูหราที่สามารถเข้าถึงได้ ลูกค้ากล้าที่จะลองเข้ามาในร้านเพื่อเลือกซื้อสินค้าโดยไม่รู้สึกเกร็งแม้แต่เล็กน้อย

ด้วยความตั้งใจที่อยากให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์สามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น อนันทาจึงปรับเปลี่ยนโทนสีและเลือกใช้ วัสดุที่แตกต่างจากร้านเพชรทั่วไป อย่างการเลือกใช้ผนังที่มีพื้นผิวเรียบง่าย เพื่อสร้างบรรยากาศที่สบาย ไม่ดูเป็นทางการ อีกทั้งยังมีการปรับแผนผังของร้าน โดยออกแบบให้ไม่มีประตูกั้นทางเข้าร้าน เพื่อแสดงถึงการเปิดรับลูกค้าอย่างเป็นมิตร และยังสื่อถึงความทันสมัย เป็นกันเอง และเข้าถึงได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

&nbsp;

ทุกวินาทีต้องประทับใจ

การส่งมอบช่วงเวลาและความรู้สึกดีๆ ให้แก่ลูกค้า เป็นอีกหนึ่งในความตั้งใจของ Ananta โดยตั้งแต่ก้าวแรกที่ลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน ลูกค้าจะได้กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ นั่นคือกลิ่นของดอกไม้ที่ถูกคิดค้นเฉพาะของทางแบรนด์ เพื่อช่วยเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายให้แก่ลูกค้า โทนสีและแสงไฟภายในร้าน ถูกออกแบบให้มีความสบายตา ไม่สว่างและเจิดจ้าเกินไป พนักงานของ Ananta จะสวมใส่ชุดยูนิฟอร์มสีฟ้า ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งถูกออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์จาก Vickteerut แบรนด์ดีไซน์เนอร์ไทยชั้นนำระดับประเทศ ตกแต่งด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง พร้อมให้คำปรึกษา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเพลิดเพลินไปกับการเลือกซื้อเครื่องประดับชิ้นโปรดได้นานเท่าที่ต้องการ

&nbsp;

พื้นที่ภายในร้านถูกแบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่


1.‘Lifestyle Zone’ ถูกออกแบบขึ้นสำหรับแสดงสินค้า Lifestyle Jewelry โดยเป็นการผสมผสานระหว่าง ความหรูหรากับความสนุกสนาน พร้อมลูกเล่นที่เข้าถึงง่าย อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศและความรู้สึกที่แตกต่างให้กับผู้เข้ามาใช้บริการ โซนเดียวกันนี้ยังมีพื้นที่สำหรับ ‘Men's Collection’ ซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกสร้างสรรค์เฉพาะสำหรับผู้ชาย ในโซนนี้จะถูกตกแต่งให้มีความเรียบง่าย เน้นวัสดุโทนสีเข้มอย่างสีดำ น้ำเงิน ตัดด้วยสีขาว

2.‘Bridal Zone’ พื้นที่สำหรับคู่รักในการเลือกสรรแหวนแต่งงาน ถูกออกแบบให้มีความเป็นผู้หญิง นุ่มนวล และสดใส

3.‘High Jewelry Zone’ พื้นที่ในส่วนผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของแบรนด์ ถูกออกแบบโดยคงไว้ซึ่งความภูมิฐาน แต่มีความผ่อนคลาย สบาย และอบอุ่นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีมุม DIY Gift Cards ให้ลูกค้าสามารถประดิษฐ์การ์ดสำหรับเขียนในโอกาสพิเศษ ในแบบของตัวเองได้อีกด้วย

&nbsp;

บทสรุปของอนันทาสู่ความท้าทายครั้งใหม่

การเปลี่ยนแปลงของแบรนด์ Ananta ในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำอุตสาหกรรมจิวเวลรี่เข้าสู่ประสบการณ์ใหม่ ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มมาแรงอย่าง Millennial เท่านั้น แต่สามารถตอบโจทย์คนทุกกลุ่มในทุกช่วงเวลาของชีวิต การปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในการตอบสนองจากความต้องการของแบรนด์ ที่อยากให้จิวเวลรี่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันอนันทาเป็นแบรนด์อันดับต้นๆ ในกลุ่มแหวนเพชร แหวนแต่งงาน รวมถึงเป็นแบรนด์จิวเวลรี่แรกๆ ที่เน้นทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์จึงทำให้ประสบความสำเร็จและโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

“การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เป็นเพียงก้าวแรก ที่ต้องการนำอนันทาไปสู่ Lifestyle Brand ชั้นนำของประเทศ และตัวแทนแบรนด์ของประเทศไทยในอนาคต” ธนันชัย กนกวลีวงศ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทอนันทา จิวเวลรี่ จำกัด กล่าว

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/leaderboard/trend-lines-%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%81%e0%b8%94%e0%b8%87%e0%b8%9a%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b8%b1.html">Trend Lines: พลังของสีแดงบนหน้าปัดเรือนเวลาหรู</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

อนันทา ปรับแบรนด์ครั้งใหญ่ ถ่ายทอดประสบการณ์ธุรกิจครั้งใหม่ที่สั่งสมมากกว่า 30 ปี

<h2 class="p3">Jubilee x Line Friends ยูบิลลี่ออกคอลเล็กชันใหม่ดีไซน์เครื่องประดับเพชรแท้จากคาแรกเตอร์ Line Friends มุ่งทำตลาดคนรุ่นใหม่วัยนักศึกษา ชี้เป็นกลุ่มบลูโอเชียนที่มีกำลังซื้อ ด้านผลประกอบการปีนี้ บริษัททำรายได้สวนเศรษฐกิจคาดเติบโต 10%</h2>
อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงคอลเล็กชันเครื่องประดับเพชรใหม่ของบริษัท ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จาก Line Friends ระยะเวลา 3 ปีให้นำคาแรกเตอร์ทั้ง 4 ตัว คือ Brown, Cony, Sally และ Choco มาใช้ออกแบบเครื่องประดับ หลังจากผ่านการออกแบบดีไซน์ บริษัทพร้อมเปิดตัว “Jubilee Line Friends Collection” วันนี้
ซีอีโอยูบิลลี่กล่าวว่า การนำลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์มาใช้ครั้งนี้เป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่ต้องการเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัย 18-29 ปี โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาและ first jobbers ซึ่งนับเป็นบลูโอเชียนของธุรกิจเครื่องประดับเพชร
“คนกลุ่มนี้รู้จักเพชรแท้แต่เขารู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตัวเขา ดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้เพชรเหมาะกับการแต่งตัวของคนรุ่นใหม่ เขาใส่แล้วจะไม่เคอะเขิน” อัญรัตน์กล่าว ดังนั้น การออกแบบคอลเล็กชัน Line Friends จึงทำให้เครื่องประดับเพชรดูเด็กลง แต่ขณะเดียวกันก็ยังเหมาะที่จะใส่ในชีวิตประจำวัน


<figure><img class="size-full wp-image-22125" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/Jubilee-x-Line-Friends-ภาพโฆษณา.jpg" alt="Jubilee-x-Line-Friends-ภาพโฆษณา" width="597" height="597" /><figcaption> คอลเล็กชัน Jubilee x Line Friends เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมทั้งหมด 40 ดีไซน์ โดยมีทั้งชาร์ม, แหวน, จี้, กำไล, สร้อยข้อมือ</figcaption></figure>
ราคาเริ่มต้นต่อชิ้นก็มีการลดระดับลงมาคือเริ่มต้นที่ 2,900 บาทสำหรับชาร์ม 1 ชิ้น (ชาร์มเป็นจี้สำหรับร้อยเข้ากับสร้อยข้อมือ) จากปกติยูบิลลี่จำหน่ายเครื่องประดับราคาเริ่มต้นที่ 10,000 บาทต่อชิ้น เพื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้นด้วย
อัญรัตน์กล่าวว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่หรือมิลเลนเนียลเป็นโอกาสของบริษัท โดยมองตัวอย่างเทรนด์ในประเทศจีนซึ่งคนรุ่นใหม่นิยมซื้อเครื่องประดับเพชรสูงขึ้น มีการเติบโตปีละ 10%
ส่วนในบริษัทยูบิลลี่เอง กลุ่มลูกค้าวัย 18-29 ปีคิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% จากฐานลูกค้าทั้งหมด 160,000 คน เชื่อว่าจากการออกคอลเล็กชันด้วยคาแรกเตอร์ Line Friends และคาแรกเตอร์อื่นๆ ที่บริษัทจะซื้อลิขสิทธิ์เพิ่มในอนาคต น่าจะทำให้ฐานลูกค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 20-25% ภายใน 3 ปี
“เราเข้าถึงลูกค้ากลุ่มมิลเลนเนียลก่อน เขาก็รู้จักแบรนด์เราก่อน และจะโตไปด้วยกัน” อัญรัตน์กล่าว
ทั้งนี้ ยูบิลลี่มีการลงทุนลิขสิทธิ์จาก Line Friends และการพัฒนาระบบอี-คอมเมิร์ซรวมมูลค่าลงทุน 35-40 ล้านบาท เชื่อว่าคอลเล็กชัน Line Friends เซ็ตแรกนี้จะทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 3-5% ของรายได้รวมบริษัทในปี 2562
&nbsp;
<h2 class="p3">เทสต์ตลาดอี-คอมเมิร์ซ</h2>
นอกจากการออกคอลเล็กชันใหม่แล้ว ยูบิลลี่ยังเปิดตลาดอี-คอมเมิร์ซพร้อมๆ กับคอลเล็กชันนี้ โดยที่ผ่านมาบริษัทเคยทดลองจำหน่ายเครื่องประดับผ่านมาร์เก็ตเพลซอย่าง JD.central ปัจจุบันบริษัทได้เริ่มทำตลาดออนไลน์ผ่าน<a href="https://www.jubileediamond.co.th/">เว็บไซต์ของตนเอง</a> และจับมือกับ Lazada ด้วย


<figure><img class="size-full wp-image-22126" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/อัญรัตน์-พรประกฤต-ยูบิลลี่.jpg" alt="" width="599" height="599" /><figcaption> อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>
อัญรัตน์กล่าวว่า เพชรเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อต้องการความน่าเชื่อถือ ดังนั้นเชื่อว่าร้านค้าออฟไลน์จะยังเป็นช่องทางขายหลัก แต่ด้วยเทรนด์ตลาดอี-คอมเมิร์ซที่โตขึ้น บริษัทจึงมองว่าเป็นโอกาสการขายโดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่สะดวกไปถึงสาขา
“ขอดูเทรนด์อีกสัก 6 เดือนก่อนว่าเป็นอย่างไร ประมาณครึ่งปีหลังปีหน้าน่าจะได้เห็นผลและทิศทางอี-คอมเมิร์ซของเรา”
&nbsp;
<h2 class="p3">ขายเพชรโตสวนเศรษฐกิจ</h2>
ด้านผลประกอบการบริษัทช่วงครึ่งปีแรก 2562 ยูบิลลี่ทำรายได้ไป 873 ล้านบาท เติบโต 14.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และกำไรสำหรับงวด 119 ล้านบาท เติบโต 25.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่การเติบโตมาจากยอดขายสาขาเดิม 7.37% และมาจากสาขาที่เปิดใหม่ 5.35% และจากการจัดงานอีเวนท์อีก 1.82%
“ครึ่งปีแรกโต 14% ถือว่าโตเกินคาดหมายที่เราตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะโต 5-8% อย่างไรก็ตาม สำหรับรายได้ทั้งปีเรายังมอง conservative โดยตั้งเป้าหมายโต 10%” อัญรัตน์กล่าว ทั้งนี้ เมื่อปี 2561 ยูบิลลี่ทำรายได้ไป 1,553 ล้านบาท
สำหรับตลาดค้าปลีกเครื่องประดับเพชรมูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท อัญรัตน์มองว่าปีนี้ค่อนข้างชะลอตัว และน่าจะไม่เติบโต

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/thriving-30s/%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%a4%e0%b8%95.html">อัญรัตน์ พรประกฤต เพชรน้ำร้อยแห่งยูบิลลี่</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/commentaries/special-report/%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%a4%e0%b8%95-%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%8a.html">เพชรเป็นทางเลือก ไม่ใช่ตัวแทนของใคร</a></li>
</ul>
การเติบโตของยูบิลลี่ที่สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจ อัญรัตน์กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจมีผลกับการตัดสินใจของลูกค้าอยู่บ้าง ดังนั้นบริษัทต้องพัฒนาภายในองค์กรโดยใช้ดาต้าและการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อที่จะจับเทรนด์การตลาดและผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำการตลาดได้ตรงเป้าซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย สะท้อนเป็นผลกำไรที่ดีขึ้น
&nbsp;

<article id="post-22076" class="post-22076 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-it category-news tag-huawei tag-143 tag-87">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</article>

Jubilee x Line Friends ยูบิลลี่รุกตลาดนักศึกษา บลูโอเชียนของธุรกิจเครื่องประดับเพชร

<h2>ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Cartier Tank จะสู้ไม่ถอย นาฬิกาที่สามารถใส่ได้ทั้งหญิงและชายรุ่นนี้ฉลองครบรอบ 100 ปีในฤดูใบไม้ผลิปี 2017 และเป็นนาฬิกาเรือนโปรดของดาราภาพยนตร์อย่าง Clark Gable และ Fred Astaire สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งอย่าง Jackie Kennedy และ Michelle Obama รวมถึงเชื้อพระวงศ์อย่างเจ้าหญิง Diana</h2>
Andy Warhol ที่ใส่ Cartier Tank ด้วยความภาคภูมิใจ แต่ไม่ใช่เพื่อดูเวลา “ความจริงแล้ว ผมใส่เพราะมันเป็นนาฬิกาที่คู่ควร” ศิลปินผู้เป็นเจ้าของแนวคิด “15 นาทีสู่ความมีชื่อเสียง” กล่าว

&nbsp;
<h2>1917</h2>
<img style="width: 680px; height: 472px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f2688b6e6c9ed818ad48c2b75c12f166.png" alt="" />

ตามตำนานของบริษัท Cartier Tank เป็นผลงานการออกแบบของทายาทรุ่นหลานของผู้ก่อตั้งแบรนด์ Louis Cartier โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากรอยตีนตะขาบของรถถังเบารุ่น Renault FT-17 ซึ่งเป็นจักรกลแห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 การออกแบบ Cartier Tank เป็นมากกว่าการปรับโฉมเพื่อเพิ่มความงามสง่าให้กับนาฬิกา Cartier Santos ซึ่งมีหน้าปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส

ความเกี่ยวพันกับกองทัพเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอันยอดเยี่ยม โดยมีการมอบนาฬิกา Cartier Tank เรือนแรกเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะให้กับนายพล John Pershing ชาวอเมริกันในปี 1918

&nbsp;
<h2>1919</h2>
<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2e06fcd6cd2e4632b68d8d395c676cae.png" alt="" />

มีการจำหน่ายนาฬิการุ่น Tank Normale ซึ่งใช้ตัวเลขโรมัน มีจุดแสดงเวลานาทีเป็นรูปรางรถไฟ และมีเม็ดมะยมทำด้วยแซฟไฟร์เจียระไนเป็นรูปหลังเบี้ย ใน Paris ปี 1920 สามารถจำหน่ายนาฬิการุ่นนี้ได้ 6 เรือน

&nbsp;
<h2>1921</h2>
<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/340517ce414cce8882b6bdad2fc255a6.png" alt="" />

Cartier เพิ่มความโค้งเว้าให้กับนาฬิการุ่น Normale ในการปรับรูปลักษณ์ครั้งแรกจนได้ Tank Cintrée นาฬิกาทรงยาวรีที่มีตัวเรือนโค้งรับกับข้อมือ เนื่องจาก Cintrée แต่ละรุ่นผลิตจำนวนจำกัด จึงทำให้เป็นหนึ่งในนาฬิกาที่น่าสะสมที่สุดในศตวรรษที่ 20 โดยทั่วไปมีราคาขายตั้งแต่ 25,000-50,000 เหรียญสหรัฐฯ และมีราคาสูงถึง 250,000 เหรียญสำหรับรุ่นสุดพิเศษที่ทำด้วยทองคำขาว

&nbsp;
<h2>1926</h2>
<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d1171dde3e0379ebd649bd08be0788fe.png" alt="" />

Cartier Tank อวดโฉมบนจอภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อนักแสดงอย่าง Rudolph Valentino ยืนกรานที่จะใส่ Cartier Tank ของตัวเองในระหว่างแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Son of Sheik ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเขา นาฬิการุ่นนี้เป็นสัญลักษณ์ของความล้ำสมัยและเป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็นอมตะ

&nbsp;
<h2>1963</h2>
<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6ed97b6892f89e94902f0f56198c2006.png" alt="" />

Prince Stanislaw “Stas” Radziwill ได้มอบนาฬิกา Tank Ordinaire รุ่นปี 1962 ให้กับ Jackie Kennedy ในเดือนมิถุนายน 2017 นาฬิการุ่นนี้ทำลายสถิติขึ้นแท่นเป็น Cartier Tank ที่มีราคาประมูลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดย Kim Kardashian เป็นผู้ประมูลไปในราคาถึง 379,500 เหรียญ

&nbsp;
<h2>1976</h2>
<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c2d89c53494694d8f1e1e799c13d489f.png" alt="" />

กว่า 1 ทศวรรษหลังจากที่ตระกูล Cartier ตัดสินใจขายธุรกิจนาฬิกา เจ้าของใหม่ได้แตกไลน์ใหม่อย่าง Les Must de Cartier ซึ่งเป็นไลน์นาฬิกาที่มีราคาย่อมเยากว่า ในปี 1976 มีการเปิดตัว Cartier Must de Tank ที่มีหน้าปัดลงรักสีสันสดใสและไม่มีตัวเลข

นาฬิกาควอตซ์ตัวเรือนทำด้วยทองชุบซึ่งมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 150 เหรียญนี้ ได้ทำลายมนต์ขลังของแบรนด์หรู แต่กลับสร้างยอดขายถล่มทลาย นาฬิการุ่นนี้ถือเป็นของสะสม และบ่อยครั้งมีการซื้อขายกันที่ราคามากกว่า 1,000 เหรียญ

&nbsp;
<h2>1996</h2>
<img style="width: 680px; height: 428px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d32a89cdcda3a1ac630c8ca0e2a63f7b.png" alt="" />

หลังจากวางจำหน่าย Tank Américaine ที่มีตัวเรือนโค้งเว้าเช่นเดียวกับ Cintrée ในปี 1989 Cartier ก็เปิดตัวนาฬิกาที่มีความทะมัดทะแมงมากขึ้นอย่าง Tank Française ซึ่งมีสายโซ่ต่อเชื่อมเข้ากับสายนาฬิกา

เจ้าหญิง Diana ในช่วงหลังหย่าขาดพระสวามีแล้วบ่อยครั้งมักใส่นาฬิการุ่นนี้แบบตัวเรือนทอง ส่วน Michelle Obama ใส่แบบตัวเรือนสเตนเลสในขณะที่ให้ช่างภาพถ่ายภาพอย่างเป็นทางการในฐานะสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งในปี 2009

&nbsp;
<h2>2012</h2>
<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/94e7428a64d922c92a44cfb055759212.png" alt="" />

Cartier เปิดตัวนาฬิกาใหม่ในตระกูล Tank อย่าง Tank Anglaise ที่มีที่มาจากการแปลงโฉม Française นี้ ทำด้วยทองซึ่งมีให้เลือก 3 ชนิดด้วยกัน และฝังเม็ดมะยมไว้ด้านบนของขอบข้างของตัวเรือน เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า Tank จะปกป้องเราเสมอ

&nbsp;
<h2>2017</h2>
<img style="width: 680px; height: 617px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/98f7ac9589906fb5c426e59056516813.png" alt="" />

ในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปี Cartier ได้เปิดตัว Tank รุ่นที่เป็นตำนานหลายต่อหลายรุ่น อย่างเช่น Tank Américaine ซึ่งในที่สุดก็มีรุ่นตัวเรือนสเตนเลสจำหน่าย (ราคาเริ่มต้นที่ 5,750 เหรียญ) นาฬิการุ่นที่ผลิตเพื่อระลึกถึงผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่างรุ่น Tank Louis Cartier (ราคาเริ่มต้น 9,750 เหรียญ) และนาฬิกาที่มีตัวเรือนโค้งเว้าเช่นเดียวกับ Tank Cintrée ซึ่งผลิตจำนวนจำกัดเพียงแค่ 100 เรือนเท่านั้น

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/u2N4Vq">อ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ ธันวาคม 2560 ในรูปแบบ E-Magazine</a>

<a href="https://goo.gl/u2N4Vq"><img style="width: 250px; height: 327px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9892ea8dd2d1ef0f1da34a50a8317e02.jpg" alt="" /></a>

Cartier Tank ครบรอบศตวรรษ ย้อนประวัติตำนาน 100 ปีนาฬิกาชื่อดัง

<h2>Carolyn Rafaelian ปั้นแบรนด์ฮิปปี้อย่าง Alex and Ani ให้เติบโตขึ้นเป็นบริษัทมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยการเปลี่ยนเครื่องประดับบนข้อมือให้กลายเป็นสื่อนำเสนอคติความเชื่อของผู้ที่สวมใส่ เจ้าของธุรกิจเครื่องประดับที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริการายนี้กำลังหาทางพาธุรกิจผงาดขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง และอาจเตรียมออกหุ้น IPO อีกด้วย</h2>
เมื่อ Carolyn Rafaelian ซีอีโอของ Alex and Ani มาถึง คุณจะได้ยินเสียงก่อนเห็นตัวเธอเสียอีก เธอเดินเข้ามาในออฟฟิศพร้อมกับเสียงดังกรุ๊งกริ๊งและเสียงกระทบกันของโลหะที่เกิดจากกำไล สร้อยข้อมือ ปลอกแขนและแหวนซึ่งทำจากโลหะมีค่าและทองเหลืองชุบที่เธอใส่เรียงกันเป็นตับ ซึ่งเครื่องประดับ 12 ชิ้นในจำนวนนั้น เธอเป็นคนออกแบบด้วยตัวเอง

<img class="" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d786179b9aed9c7cc949242b9b8064c9.jpg" alt="" width="800" height="541" />

กำไลข้อมือเหล่านี้ทำมาจากโลหะรีไซเคิล วางจำหน่ายในราคาประมาณ 33 เหรียญต่อชิ้น แต่ก็ทำให้ Rafaelian มีรายได้กว่า 10 ล้านเหรียญต่อปี Rafaelian กล่าวด้วยสำเนียงแบบ Rhode Island ว่า “เงินไม่ใช่ตัวสร้างแรงผลักดัน” ถึงแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะทำให้คำพูดนี้ฟังดูไม่มีน้ำหนักเท่าไหร่นัก

รายได้ ของ Alex and Ani ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ใน Cranston รัฐ Rhode Island พุ่งพรวดจาก 5 ล้านเหรียญในปี 2010 เป็นมากกว่า 500 ล้านเหรียญในปี 2016 ข้อมูลจาก Pitchbook ฐานข้อมูลบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ระบุ แหล่งข่าววงในให้ข้อมูลว่าที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 23%

Rafaelian กล่าวว่าเธอเชื่อว่าเครื่องประดับแต่ละชิ้นของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานซึ่งส่งผลดีกับผู้สวมใส่ (ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของเธอผ่านการปลุกเสกจากพระและผู้มีวิชาอาคม)

Brent Cleaveland กรรมการบริหาร Fashion Jewelry &amp; Accessories Trade Association กล่าวว่า “จริงๆ แล้ว Alex and Ani ไม่ได้ขายเครื่องประดับ พวกเขาขายพลังงานด้านบวก กำไลข้อมือเป็นเพียงสื่อกลางเท่านั้น กำไลของ Alex and Ani ทุกอันล้วน “สื่อความหมาย” ยอดขายกำไลและสร้อยข้อมือคิดเป็น 80% ของยอดขายสินค้าทั้งหมด ส่วนอีก 20% เป็นรายได้ที่มาจากการที่องค์กรต่างๆ เลือกใช้เครื่องประดับของ Alex and Ani เป็นเครื่องมือในการระดมทุน

และทำให้เธอสามารถผงาดจากศิลปินหญิงเดี่ยวผู้ผลิตเครื่องประดับจากห้องใต้ดินในโรงงานของพ่อใน Rhode Island กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจเครื่องประดับเพียงคนเดียวในอเมริกา และรั้งอันดับที่ 18 ในการจัดอันดับผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาจากการสร้างฐานะด้วยตนเองที่จัดทำโดย FORBES ซึ่งถือครองหุ้น 80% ของบริษัทซึ่งมีมูลค่าอย่างน้อย 1.2 พันล้านเหรียญ

ซีอีโออย่าง Rafaelian ซึ่งเป็นหญิงวัย 50 ปีผู้รักอิสระและมีความเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ก่อนจะทำการตัดสินใจเรื่องต่างๆ นั้นหาไม่ได้ง่ายนัก Rafaelian เล่าให้ฟังว่าเธอเป็นเด็กที่มีเพื่อนในจินตนาการและเติบโตขึ้นท่ามกลางความเชื่อแบบชาวอาเมเนียนที่นับถือศาสนาคริสต์ เธอจึงหยิบนั่นนิดนี่หน่อยจากศาสนาและความเชื่อต่างๆ มาผสมผสานกัน

<img class="" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/daf2144c2da294c8e096b242e676ac21.jpg" alt="" width="800" height="512" />

หากย้อนกลับไปเป็นเวลานานกว่าหนึ่งทศวรรษแล้วที่เธอสามารถรักษาธุรกิจของครอบครัวให้อยู่รอดได้โดยการผลิตเครื่องประดับตามคำสั่งของแบรนด์ต่างๆ ผลิตต่างหูชุด 6 ชิ้น ในราคาเพียง 3 เหรียญ ซึ่งเจ้าของแบรนด์นำไปตั้งราคาขายที่ 16 เหรียญ ในขณะเดียวกัน กิจการของ Alex and Ani ก็เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้พบปะกับ Giovanni Feroce ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภาและเคยอยู่ในแวดวงธุรกิจแว่นตามาก่อน ต่อมาที่งานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าจาก University of Rhode Island เธอได้พบกับ โดย Feroce มองเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของ Alex and Ani ในทันที

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/08ee521ac913f996fcc1bbc07df35665.jpg" alt="" width="650" height="370" /><figcaption> Giovanni Feroce และ Carolyn Rafaelian (Photo Credit: wpri.com)</figcaption></figure>

มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงสามปีต่อมา เนื่องจาก Feroce นำระบบการบริหารแบบมืออาชีพมาใช้กับบริษัทครอบครัวซึ่งทำให้บริษัทมีโอกาสก้าวหน้า

ทั้งคู่ได้ระดมทุนจาก JH Partners ซึ่งเป็นบริษัทที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ โดยแลกกับการถือหุ้น 20% (JH Partners ขายหุ้นจำนวนนั้นไปในปี 2014 ทำให้หุ้นดังกล่าวเปลี่ยนมือ โดยมีนักลงทุนรายใหม่อย่าง Lion Capital เป็นผู้ถือครอง ดีลครั้งนี้มีการประเมินมูลค่าของบริษัท Alex and Ani ไว้สูงถึง 1 พันล้านเหรียญ)

บริษัทเริ่มทำการตลาดแบบเข้มข้นในช่วงจังหวะที่ลงตัวที่สุด ซึ่งรวมถึงการโฆษณาในระหว่างการแข่งขัน Super Bowl เครื่องประดับ “มีแบรนด์” กำลังพยายามเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 20% เนื่องจากมองเห็นความต้องการของลูกค้าที่อยากประกาศตัวตนผ่านทางเครื่องประดับที่สวมใส่อยู่

Feroce กล่าวว่า “ผมพูดเสมอว่าบริษัทไหนที่ไม่มีหน้าร้านจะต้องพบปัญหาใหญ่ Alex and Ani เองก็มีหน้าร้าน” ในปี 2011 เชนร้านจำหน่ายของขวัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่าง Paper Store ได้ลงทุน 11 ล้านเหรียญสร้าง “ร้าน Alex and Ani ไว้ในสาขาของร้าน Paper Store” ถึง 72 สาขาด้วยกัน

พัฒนาการก้าวสำคัญของบริษัทคือการเริ่มทำข้อตกลงเรื่องใบอนุญาตในปี 2012 กับ Walt Disney, National Football League และสมาคมในสถานศึกษาต่างๆ รวมถึงกองทัพสหรัฐฯ ด้วย

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงชื่นชอบการป่าวประกาศถึงความภักดีที่ตนเองมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตัวอย่างเช่นเมื่อพูดถึง Disney กำไล Mickey และ Minnie ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนที่ได้รับความนิยมมานานแล้ววางอยู่คู่กับกำไล Elsa จากภาพยนตร์เรื่อง Frozen ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนที่มาทีหลัง (ปัจจุบันกำไลที่ขายดีที่สุดบนเว็บไซต์ Disney Store 4 ใน 5 อันดับแรกเป็นของ Alex and Ani)

บริษัทกำลังทยอยเปิดร้านในตลาดบนอย่าง California และ New York ภายในสิ้นปีนี้ โดยตั้งเป้าไว้ที่กว่า 80 แห่ง ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่เป็นการเติบโตระดับตำนาน ยอดขายของบริษัทพุ่งขึ้นจาก 5 ล้านเหรียญในปี 2010 ซึ่งเป็นปีที่ Feroce เข้ามารับตำแหน่งบริหาร เป็น 230 ล้านเหรียญในปี 2013

ทว่า Feroce ถูกให้ออกจากตำแหน่งในปี 2014 ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาได้พยายามทำเพื่อบริษัทมาโดยตลอด “เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น ฉันก็กลับมาดำรงตำแหน่งซีอีโอ เช่นเดียวกับที่ผู้ก่อตั้งบริษัทหลายๆ คนทำกัน” Rafaelian พูดแบบอ้อมๆ (Harlan Kent ซึ่งเป็นอดีตซีอีโอของ Yankee Candle เป็นผู้ที่เข้ามารับงานต่อจาก Feroce ในตำแหน่งประธานบริษัทก็อยู่ได้ไม่ถึงปีรวมถึงผู้จัดการอาวุโสคนอื่นๆ ก็อยู่กันไม่ยืด)

การบริหารงานบริษัทภายใต้การควบคุมของผู้ก่อตั้งบริษัทอีกต่อหนึ่งเป็นเรื่องยาก แต่การบริหารงานให้กับผู้ก่อตั้งบริษัทที่ขอคำแนะนำเรื่องต่างๆ จากดวงดาวนั้นยากขึ้นเป็นสองเท่า “เรามาถึงจุดที่ต่างคนต่างก็มีทางเดินเป็นของตัวเอง” Feroce กล่าว

ทุกคนที่ Alex and Ani ต้องพบเจอกับความท้าทายมากมาย เนื่องจากแฟชั่นมาเร็วไปเร็ว ลูกค้าก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ สิ่งที่เป็นสุดยอดแห่งความนิยมในปีนี้อาจกลายเป็นการตัดสินใจซื้อที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ในปีต่อมา Rafaelian ต้องนำเทรนด์อยู่เสมอ และต้องอย่าปล่อยให้พวกชอบลอกเลียนแบบตามทัน

ตลาดในต่างประเทศยังเปิดกว้างอยู่ ยอดขายนอกสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง 10% ของรายได้ทั้งหมดของ Alex and Ani โดย Rafaelian ตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายส่วนนี้ให้ได้อีกเท่าตัวภายในปี 2020 นั่นหมายถึงการแข่งขันในตลาดต่างประเทศกับ Pandora ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องประดับเงินสเตอร์ลิงจากประเทศเดนมาร์กที่มี market cap. 1.2 พันล้านเหรียญ

Pandora มีร้านจำหน่ายสินค้าถึง 2,100 ร้านทั่วโลก เช่นเดียวกับ Alex and Ani สร้อยข้อมือเครื่องรางของ Pandora ก็จัดเป็นของสะสมและเป็นของขวัญที่ผู้รับปรารถนา แต่ต่างกันตรงที่ Pandora จำหน่ายเครื่องรางหรือชาร์ม 1 ชิ้นในราคาที่แพงกว่ากำไลข้อมือทองเหลืองของ Alex and Ani เสียอีก

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว Rafaelian ได้ออกคอลเล็คชั่นใหม่เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณปู่ของเธอที่เสียชีวิต เป็นสร้อยคอทองคำ 14 กะรัตยาวเลยไหปลาร้าพร้อมรูปจำลองขนาดจิ๋วของคบเพลิงของเทพีเสรีภาพที่ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กส่องประกายวิบวับจำนวน 50 เม็ดซึ่งมีความหมายแทนรัฐทั้ง 50 รัฐ แสงคบเพลิงอันช่วงโชติทำมาจากทองแดงซึ่งเคยอยู่ในรูปปั้นเทพีเสรีภาพนั่นเอง

เธอจำหน่ายสร้อยดังกล่าวซึ่งทำจากวัสดุเหลือใช้หลังการบูรณะรูปปั้นเทพีเสรีภาพในโอกาสครบรอบหนึ่งร้อยปีในปี 1984 ได้หลายหมื่นเส้นแล้วหลังจากที่ตกลงซื้อเศษวัสดุดังกล่าวมาเป็นจำนวนมากในปี 2012

ทุกคนที่รู้จักเธอดีจะรู้ว่าการจ่ายเงินมากถึงเจ็ดหลักเพื่อซื้อทองแดงจากศตวรรษที่ 19 นั้นคือ Rafaelian ตัวจริงเสียงจริง ซึ่งเป็นคนที่ตัดสินใจเร็วมักทำให้ผู้คนประหลาดใจ แต่ก็ฉลาดเป็นกรด Rafaelian กล่าวว่า “ฉันไม่เคยฟังใคร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ตัวฉันทำ”

<hr />

<a href="http://goo.gl/kx737e">คลิกอ่าน "60 เศรษฐินีสหรัฐฯ สู้แล้วรวยด้วยฝีมือตนเอง” ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กรกฎาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kx737e"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d6fb3a521266ed2595ff4f49cdf05ba3.png" alt="" /></a>

กำไรมหาศาลจากกำไล

<h2>หลังจากที่กิจการร้านขายหมวกล้มเหลว Kendra Scott ก็เริ่มลงมือออกแบบเครื่องประดับในห้องนอนสำรองในบ้านของเธอเอง ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของเชนที่มีร้านถึง 60 สาขาในสหรัฐฯ และบริษัทที่มีมูลค่าถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ</h2>
เมื่อ Kendra Scott วัย 43 ปีตัดสินใจเปิดตัวคอลเล็คชั่นเครื่องประดับของตัวเองในปี 2002 เธอเพิ่งจะผ่านความล้มเหลวที่แสนจะเจ็บปวดมา กล่าวคือเธอเพิ่งจะปิดกิจการร้านขายหมวกที่ประสบภาวะขาดทุนใน Austin รัฐ Texas ซึ่งเธอก่อตั้งขึ้นเมื่อแปดปีก่อนหน้านี้เมื่อเธอมีอายุเพียง 19 ปี ถึงแม้ว่าหมวกจะขายไม่ดี แต่เธอสังเกตเห็นว่าต่างหูและสร้อยคอทำมือที่มีดีไซน์โดดเด่นของเธอขายดิบขายดี

Scott กล่าวว่า “ฉันชื่นชอบเครื่องประดับที่ทำจากอัญมณีที่มีสีสัน แต่เครื่องประดับที่จำหน่ายในราคาที่ฉันสามารถเป็นเจ้าของได้นั้นหายากมาก ทุกคนต่างเลือกใช้อัญมณีที่มีรูปร่างเหมือนกันหมด ดังนั้นฉันจึงรู้สึกว่ายังมีที่ว่างสำาหรับตัวฉันในธุรกิจนี้” เป็นเรื่องน่ายินดีว่าผู้หญิงหลายแสนคนเห็นดีด้วยกับเธอภายในเวลา 15 ปี Kendra Scott สามารถสร้างธุรกิจดาวเด่นของเธอให้เติบโตขึ้นจากกิจการขายส่งเครื่องประดับซึ่งเริ่มต้นขึ้นในห้องนอนว่างในที่พักของเธอเอง จนกลายเป็นเชนที่มีร้านถึง 60 สาขา โดยร้านส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใน Texas, California และ Florida และมีพนักงานกว่า 2,000 คน บริษัทมีรายได้โดยประมาณในปี 2016 อยู่ที่ 160 ล้านเหรียญ

บริษัทของเธอโด่งดังเป็นพลุแตกเนื่องจากลูกค้าสาวๆ สามารถออกแบบเครื่องประดับของตนเองได้ที่ Color Bars ภายในร้าน โดยสามารถเลือกรูปแบบที่ตนเองชื่นชอบ เลือกสายสร้อยโลหะ และอัญมณีสีสันสดใสที่ผ่านการเจียระไนอย่างหมดจดงดงามซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์เพียงไม่กี่นาทีลูกค้าก็จะได้รับชิ้นงานซึ่งออกแบบเองในราคาที่จับต้องได้ สินค้าของบริษัทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือต่างหูห้อยยาวทรงรีทำจากหยกสีม่วงเข้มล้อมกรอบด้วยทองเหลืองชุบสีโรสโกลด์ ซึ่งจำาหน่ายปลีกในราคาคู่ละ 65 เหรียญ

ข้อมูลจากแหล่งข่าววงในระบุว่าในเดือนธันวาคม 2016 Berkshire Partners ซึ่งเป็นบริษัทที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนน้อยในดีลซึ่งประเมินมูลค่าของบริษัทไว้ที่ 1 พันล้านเหรียญ ทำให้หุ้นในส่วนที่ Scott ครอบครองอยู่มีมูลค่าอย่างน้อย 500 ล้านเหรียญซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอสามารถรั้งอันดับที่ 36 ในการจัดอันดับผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาจากการสร้างฐานะด้วยตนเอง

หลังจากที่ได้เริ่มขยายธุรกิจเข้ามาในเขตเมืองหลวงเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทยังวางแผนที่จะเปิดร้านใหม่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก Scott ได้เริ่มจำาหน่ายสินค้าสำาหรับใช้ในบ้านและสินค้าอื่นๆ เช่น กรอบรูป กล่องใส่เครื่องประดับ รวมถึงยาทาเล็บที่มีชื่อสีน่าใช้อย่างเช่น Dusty Rose Quartz และ White Pearl ซึ่งจำาหน่ายในราคาขวดละ 16 เหรียญ

เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงที่ Scott ต้องดิ้นรนเพื่อเปิดร้านสาขาแรก เธอไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าธุรกิจของเธอจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ Scott กล่าวว่า “ฉันต้องไปกู้หนี้ยืมสิน และนำทรัพย์สินทุกอย่างที่มีอยู่มาค้ำประกันเงินกู้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันเหลือเชื่อจริงๆ” – รายงาน: C.O.

<hr />

<a href="http://goo.gl/kx737e">คลิกอ่าน "60 เศรษฐินีสหรัฐฯ สู้แล้วรวยด้วยฝีมือตนเอง” ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กรกฎาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kx737e"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d6fb3a521266ed2595ff4f49cdf05ba3.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events