<h2>‘เครือสหพัฒน์’ เอ็มโอยู ‘ฟาสต์บิวตี้’ ธุรกิจทำสีผมอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น เตรียมเปิดร้านทำสีผม fufu ในไทย สาขาแรกที่ทองหล่อเปิดต้นเดือนตุลาคม 2567 นี้ ชูจุดเด่นเทคนิคทำสีผมสุดพิเศษ ทำแล้วผมไม่เสีย พร้อมใช้ช่างคนไทยที่ได้รับการฝึกฝนจากช่างญี่ปุ่น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า ‘เครือสหพัฒน์’ จะจับมือกับ ‘ฟาสต์บิวตี้’ ธุรกิจร้านทำสีผมเจ้าดังจากญี่ปุ่น เพื่อร่วมทุนเปิดร้านทำสีผม ‘fufu’ ในประเทศไทย ล่าสุดในวันนี้ (27 มิ.ย. 2567) ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28 ได้มีการเซ็น MOU ดีลดังกล่าวอย่างเป็นทางการแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พิภพ โชควัฒนา กรรมการ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง กล่าวว่า กว่า 80 ปีที่เครือสหพัฒน์ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย พร้อมขับเคลื่อนและพัฒนาธุรกิจที่หลากหลายให้แก่สังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจด้านอาหาร, ธุรกิจเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และธุรกิจร้านเสริมสวย ซึ่งธุรกิจร้านเสริมสวยนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อไลฟ์สไตล์และการดำรงชีวิตของคนไทยค่อนข้างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ร้านทำสีผม fufu ที่จะมาเปิดให้บริการในไทยนั้น นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบการทำสีผม ทั้งสีผมเทรนด์แฟชั่น และสีผมเฉดธรรมชาติเพื่อปกปิดผมขาว ด้วยนวัตกรรมสินค้าที่มีความทันสมัย ปลอดภัย และได้มาตรฐานแล้ว เทคนิคการทำสีทุกขั้นตอนยังใช้เทคนิคเฉพาะจากฟาสต์บิวตี้ ประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ผลลัพธ์คือสีผมที่สวยสม่ำเสมอ เปล่งประกาย และนุ่มนวล” พิภพ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวระหว่างเครือสหพัฒน์ และฟาสต์บิวตี้ เป็นในลักษณะการร่วมทุนกันเพื่อจัดตั้งบริษัทในการทำธุรกิจร้าน fufu ในไทย อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยถึงรายละเอียดสัดส่วนการลงทุน รวมถึงข้อมูลของบริษัทร่วมทุนที่จะจัดตั้ง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/CmqdqsBvwDYhtW9tUbfR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CmqdqsBvwDYhtW9tUbfR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,540"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พิภพ เผยอีกว่า ร้านทำสีผม fufu ในไทยนั้นจะใช้ช่างทำสีผมรวมถึง Hair Stylist ที่เป็นคนไทย ที่ได้รับการฝึกฝนทักษะใหม่ๆ และเทคนิคการทำสีผมและการดูแลเส้นผมโดยเทคนิคเชี่ยนจากประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเทรนนิ่งให้กับช่างชาวไทยตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังพร้อมพัฒนาทักษะและเทคนิคให้กับช่างทำสีผมชาวไทยในร้านเสริมสวยที่เป็นพันธมิตรกับเครือสหพัฒน์ รวมถึงร้านเสริมสวยอื่นๆ ด้วยคอร์สอบรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เคน ทาคาฮาชิ ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัท ฟาสต์บิวตี้ จำกัด กล่าวว่า ฟาสต์บิวตี้ดำเนินธุรกิจร้านทำสีผมชื่อ fufu ในญี่ปุ่นมากว่า 10 ปี ปัจจุบันมีมากกว่า 130 สาขา มีลูกค้ามากกว่า 1 ล้านคน/ปี โดยให้บริการทำสีผมที่มอบประสบการณ์อันน่าประทับใจให้กับลูกค้า ตั้งแต่เฉดสีที่ตรงกับความต้องการ ไม่ทำให้หนังศีรษะและเส้นผมเกิดความระคายเคืองและแห้งเสีย มีราคาที่ย่อมเยา และบริการรวดเร็วอย่างมืออาชีพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ร้านทำสีผมที่ใช้เทคนิคพิเศษในญี่ปุ่นมีมากว่า 20 ปีแล้ว ธุรกิจนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดมีการเติบโตปีละ 30% โดยข้อมูลในปี 2022 พบว่าร้านประเภทนี้ในญี่ปุ่นมีมากกว่า 1,000 ร้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดร้านประเภทนี้ในญี่ปุ่นเริ่มทรงตัว ขณะที่ประเทศไทยมูลค่าตลาดร้านเสริมสวยและซาลอนอยู่ที่ราว 60,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ค่อยมีร้านแนวนี้เท่าไหร่นัก สังเกตได้จากการทำสีผมของคนไทยที่สุดท้ายแล้วผมมักแห้งเสีย ทำให้เราสนใจขยายธุรกิจมายังประเทศไทย” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/YsnWqMC4zUPfkC2xak75.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="YsnWqMC4zUPfkC2xak75.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,540"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ร้าน fufu ในไทยสาขาแรกจะเปิดที่โซนทองหล่อในต้นเดือนตุลาคม 2567 นี้ ห่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอสด้วยระยะการเดินเพียง 10 นาที ราคาค่าบริการอยู่ที่ 1,500-5,000 บาท ประมาณการว่าในร้านจะมีช่างราว 10 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มโดยตั้งเป้าไว้ที่ 100 สาขา แต่การขยายสาขาจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและประเมินสถานการณ์ไปด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ร้าน fufu ในไทยจะให้บริการที่ครอบคลุม ทั้งทำสีผมแฟชั่น และการทำสีผมเพื่อปกปิดผมขาวสำหรับผู้สูงอายุ โดยมีมาตรฐานเดียวกันกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเรามั่นใจว่าการบริการของเราจะทำให้คนไทยทุกคนที่มาใช้บริการมีความสุข ได้รับเฉดสีผมตามที่ต้องการ เส้นผมสวยงามแข็งแรง ในเวลาที่รวดเร็วและราคาที่คุ้มค่า” เคน ทาคาฮาชิ กล่าวทิ้งท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/property/awc-grand-opening-phenix" alt="จากพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ สู่ ‘Phenix’ เปิดแล้วศูนย์อาหารหมื่นล้านของ AWC ในเครือเจ้าสัวเจริญ">จากพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ สู่ ‘Phenix’ เปิดแล้วศูนย์อาหารหมื่นล้านของ AWC ในเครือเจ้าสัวเจริญ</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เครือสหพัฒน์ x ร้านทำสีผมจากญี่ปุ่น เปิด ‘fufu’ สาขาแรกที่ทองหล่อ ต.ค.นี้ ใช้ ‘ช่างไทย’ ที่ฝึกฝนโดยคนญี่ปุ่น

<h2>หอการค้าญี่ปุ่น เผยดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจบริษัทญี่ปุ่นในไทยครึ่งปีแรกติดลบร้อยละ 69 สูงสุดในรอบ 35 ปี ครึ่งปีหลังแนวโน้มดี มาตรการรองรับผลกระทบโควิด-19 ดี ระบุหลายบริษัทสนใจย้ายฐานการลงทุนมาไทย แนะรัฐบาลปรับปรุงสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุน</h2>
หอการค้าญี่ปุ่น - กรุงเทพฯ (JCCB) ได้ทำการสำรวจแนวโน้มเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม – 10 มิถุนายน 2563 โดยมีบริษัทตอบแบบสอบถามรวม 631 ราย พบว่า ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ (DI) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ปรับตัวลดลงติดลบร้อยละ 69 นับเป็นค่าดัชนีที่ติดลบมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 นับตั้งแต่ดำเนินการสำรวจในปี 2514 โดยค่าดัชนีติดลบสูงสุดเกิดขึ้นในปี 2528 ที่ค่าดัชนีติดลบร้อยละ 76 ในครึ่งปีแรก และติดลบที่91 ในครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นผลจากการทำ Plaza Agreement มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนีเศรษฐกิจติดลบเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยครึ่งแรกติดลบร้อยละ 19 และครึ่งหลังติดลบร้อยละ 24 ขณะที่ผลสำรวจแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งหลังของปี 2563 อยู่ที่ลบร้อยละ 44 ซึ่งดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก แต่ยังถือว่าอยู่ในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบาก

Atsushi Taketani ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ในฐานประธานคณะวิจัยเศรษฐกิจของหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพ กล่าวว่า ผลสำรวจที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ได้เห็นตัวเลขที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งเกิดขึ้นกับผลสำรวจทั่วโลก สำหรับประเทศไทยแนวโน้มเศรษฐกิจที่สำรวจในเดือนมิถุนายน มีทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเมษายน ที่ทุกอย่างหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง

<figure><img class="wp-image-31832" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/Atsushi-Taketani-ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น-เจโทร-02.jpg" alt="หอการค้าญี่ปุ่น " width="600" height="320" /><figcaption> Atsushi Taketani ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร)</figcaption></figure>

นอกจากนี้ ผลสำรวจแนวโน้มเศรษฐกิจในด้านต่างๆ มีดังนี้ ในด้านการลงทุนโรงงานและเครื่องจักรร้อยละ 21 บอกว่าจะลงทุนเพิ่มร้อยละ 16 ลงทุนคงที่ และร้อยละ 53 คาดว่าจะลงทุนลดลง ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับมุมมองด้านการส่งออกที่มองว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 คงที่ร้อยละ 31 และส่งออกลดลงร้อยละ 53 โดยตลาดส่งออกที่มีศักยภาพ อันดับ 1 ได้แก่ เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซีย และเมียนมา

ขณะที่ผลสำรวจด้านผลกระทบจากโควิด-19 สำหรับบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ได้รับผลกระทบเชิงลบด้านยอดขาย ตั้งแต่ร้อยละ 20-50 คิดเป็นสัดส่วนสูงสุดร้อยละ 48  กระทบยอดขายตั้งแต่ร้อยละ 5-20 สัดส่วนร้อยละ 27 และกระทบยอดขายตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นปี มีสัดส่วนร้อยละ 9 โดยสาเหตุที่ทำให้ยอดขายลดลงมากที่สุดมาจากการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศร้อยละ 77 รองลงมา คือการสูญเสียโอกาสในการเจรจาธุรกิจร้อยละ 68 และข้อจำกัดในการเดินทางเข้าเมืองร้อยละ 65

อย่างไรก็ตาม สำหรับผลสำรวจแนวโน้มการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจในอนาคตร้อยละ 60 ยังประกอบกิจการและขยายกิจการต่อไปร้อยละ 60 ที่ยังไม่แน่ใจหรือไม่ชัดเจนร้อยละ 34 และที่คาดว่าจะลดขนาดกิจการมีเพียงร้อยละ 7

&nbsp;

กระตุ้นไทยปรับเงื่อนไขเอื้อลงทุน

อัทสึชิ กล่าวว่า จากผลสำรวจของบริษัทญี่ปุ่นที่ประกอบกิจการในประเทศต่างๆ มีแนวโน้มปรับแผนย้ายฐานการผลิต หลังจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่ตั้งกิจการในประเทศจีน ซึ่งผลสำรวจตั้งแต่ปี 2562 บริษัทเริ่มมีแผนย้ายฐานผลิตมายังประเทศในอาเซียนมากขึ้น โดยไทยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 และในปีนี้มีหลายบริษัทได้เข้ามาขอคำแนะนำ เพื่อย้ายฐานผลิตมายังประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยควรปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านต่างๆ ในเอื้อต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบศุลกากรและพิธีการศุลกากร การดูแลอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์ รวมถึงการลดขั้นตอนใบอนุญาตทำงาน วีซ่า และภาษีนิติบุคคล

“ไทยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน โดยเฉพาะการมีซัพพลายเชนที่ดี พร้อมรองรับการลงทุน หากสามารถแก้ข้อจำกัดในด้านต่างๆ ได้ จะทำให้ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนเข้ามาได้ ขณะที่หากเทียบกับเวียดนาม ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้านค่าแรงที่ต่ำกว่า ในอนาคตด้วยต้นทุนค่าแรงที่ต่ำ จะทำให้เวียดนามสามารถพัฒนาระบบซัพพลายเชนที่ดีได้เช่นเดียวกัน ทุกประเทศแข่งขันกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน” Atsushi Taketani กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสถานการณ์โควิด บริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย เห็นว่าไทยมีการปรับปรุงพัฒนาสภาพแวดล้อมทางการลงทุนที่ดี โดยเฉพาะมาตรการรองรับผลกระทบจากโควิด-19 รองลงมา คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงการรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงในประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามลำดับ

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b9%80%e0%b8%9f%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%aa%e0%b8%af-%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%b2-%e0%b8%a8%e0%b8%b9%e0%b8%99%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%81%e0%b8%a3.html">เฟรเซอร์สฯ พัฒนา “ศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะ” ให้ F&amp;N</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events