<h2>‘ไพศาล อ่าวสถาพร’ เปิดแผนลุยธุรกิจอาหารใต้เงาไทยเบฟฯ หลังปรับโครงสร้างใหญ่ครั้งแรกในรอบ 20 ปี เดินหน้าสร้างแบรนด์ทวงบัลลังก์โออิชิคืน พร้อมเติมพอร์ตอีก 2-3 แบรนด์ใหม่เอาใจคนติดแกลม หวังเติบโตยอดขายสองหลักต่อปี และเข้าถึงลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบและยั่งยืน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อต้นปีนี้กลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานของธุรกิจในกลุ่มใหม่ ตามวัฒนธรรมองค์กรของกลุ่มไทยเบฟฯ ที่มักจะมี Job Rotation เสมอ เป็นการแลกเปลี่ยน learning และ knowledge ภายใน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หัวใจของการจัดกระบวนท่าใหม่ในธุรกิจอาหารซึ่งทำรายได้ให้กับกลุ่มไทยเบฟฯกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี คือ การดึง “ไพศาล อ่าวสถาพร” ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจอาหารตะวันตก อาหารไทย อาหารญี่ปุ่น แพคฟู้ดส์ (อาหารบรรจุ) และธุรกิจผลิตอาหารในโรงงาน จากบริษัทใหญ่ๆ ระดับประเทศและระดับโลกร่วม 40 ปี มาดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย เพื่อดูแลภาพรวมธุรกิจอาหารในไทยที่มีอยู่ทั้งหมด 28 แบรนด์ในพอร์ต อาทิ เคเอฟซี, โออิชิ, เรดล็อบสเตอร์, Vantage Point, บ้านสุริยาศัย เป็นต้น ซึ่งรวมแล้วมีพนักงานอีกกว่า 30,000 คน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/9Mk5yFbSEDQUaCzXhtqM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="9Mk5yFbSEDQUaCzXhtqM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ขณะนี้ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจน้องเล็กสุดของกลุ่มไทยเบฟฯ แต่โอกาสมีมหาศาล จากรายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าธุรกิจนี้จะเติบโต 5-7 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ หรือมีมูลค่าสูงกว่า 700,000 ล้านบาท ใหญ่กว่าเบียร์ประมาณ 3 เท่าตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความเคลื่อนไหวเรื่องโครงสร้างบริหารใหม่ ถือเป็นครั้งแรกของธุรกิจอาหารในรอบทศวรรษ ภายหลังจากที่ไทยเบฟฯ ได้ขยายแบรนด์อาหารทั้งจีน ไทย ตะวันตกและเบเกอรี่เข้ามาในพอร์ตอาหารมากขึ้น และรวมธุรกิจ KFC เข้ามาอยู่ในเครือในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากนี้ไปแม่ทัพที่กุมบังเหียนธุรกิจอาหารจะมีเพียง 1 คนเช่นเดียวกับธุรกิจเหล้า เบียร์ และเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนล่วงหน้าเลยแม้แต่วันเดียวว่าจะต้องมาดูแลตรงนี้ งานสิ่งแรกที่ผมทำในวันแรกในตำแหน่งล่าสุดคือ การรวมศูนย์บริหารของธุรกิจอาหาร หน่วยงานสนับสนุนทั้งหมด อาทิ โลจิสติกส์ การจัดซื้อ และหน่วยงานสนับสนุนต่างๆ ของแต่ละบริษัทมาไว้ภายใต้ One Team ภายใต้วิสัยทัศน์ One Foods Group: One Food-One Team-One Goal” ไพศาล บอก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/qn6bSu48kczvPunDk3dA.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="qn6bSu48kczvPunDk3dA.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"><figcaption><div>ไพศาล อ่าวสถาพร</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากแม่ทัพอย่างไพศาลแล้ว ยังมีกรรมการผู้จัดการอีก 3 คน คือ ศสัย ตังเตชะหิรัญ ดูแลการบริหารของ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด ร้านอาหารญี่ปุ่นโออิชิ ขณะที่ อรณัฐร์ ผกาภรณ์รัตน์ ดูแลบริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย (QSA) ซึ่งได้สิทธิ์ขยายแบรนด์เคเอฟซีในไทย และ ธารินทร์ รินธนาเลิศ บริหารงานบริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย (FAO) ดูแลแบรนด์อาหารที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นและเคเอฟซี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากการจัดการหลังบ้านแล้ว เราจะเร่งสร้างแบรนด์ เพื่อทวงบัลลังก์ของโออิชิคืนมา ยอมรับว่าเราเผลอหลับและไม่ได้เคลื่อนไหวกิจกรรมการตลาดมาหลายปี แต่เชื่อว่าแคมเปญใหม่ที่จะออกหลังสงกรานต์นี้จะปลุกความคึกคักให้โออิชิอีกครั้ง” ไพศาลกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไพศาลบอกว่า การขับเคลื่อนธุรกิจอาหารให้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้นั้นจะต้องประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ กลยุทธ์แรก ได้แก่ การขยายสาขา เพิ่มจุดให้บริการในพื้นที่ใหม่ๆ และพัฒนารูปแบบร้านให้หลากหลาย สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยบริษัทเตรียมงบลงทุนประมาณ 1,000 ล้าน เพื่อขยายสาขาเคเอฟซีเพิ่มขึ้นอีก 35-40 แห่ง และแบรนด์อื่นๆ ไม่รวมแบรนด์ใหม่ ทำให้จำนวนสาขาของร้านอาหารทั้งหมดจะเพิ่มเป็น 888 สาขาทั่วประเทศในปีนี้ จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 847 สาขา ได้แก่ เคเอฟซี 500 สาขา เครือโออิชิ 284 สาขา และภายใต้ FOA อีก 63 สาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การขยายธุรกิจในปัจจุบันเราไม่ได้มองแค่การเปิดสาขาเพิ่ม แต่ต้องมองในมิติของการขยายศักยภาพ มีการนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนและห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เราเติบโตอย่างยั่งยืน” ไพศาลกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนื่องจากแบรนด์เคเอฟซี โออิชิ และแบรนด์จาก FOA อยู่ในตลาดมาราว 40 ปี 25 ปีและ 10 ปีตามลำดับ บริษัทจึงได้ลงทุนกว่า 400 ล้านบาท เปิดร้านแฟล็กชิปสโตร์ของเคเอฟซีและโออิชิ พร้อมเปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ได้แก่ สโมสร, เลิศเหลา และ ช้าง แคนวาส ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ FOA พร้อมโชว์เคสแบรนด์ร้านอาหารอื่นๆ ในเครือไทยเบฟฯ ไว้ในที่เดียวกันถึง 15 แบรนด์ ที่ “วัน แบงค็อก”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/wu1hSzdqnsGgocSWGP1a.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wu1hSzdqnsGgocSWGP1a.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ “สโมสร” เป็นร้านอาหารไทยร่วมสมัย ที่มีรสชาติและบรรยากาศแบบไทย ๆ สำหรับกลุ่มลูกค้าเมือง และผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาไลฟ์สไตล์ในแบบ Modern Thai Society ขณะที่ “เลิศเหลา” เป็นร้านเกาเหลาหม้อไฟระดับพรีเมียมที่โดดเด่นในด้านวัตถุดิบ รสชาติ และน้ำซุปสูตรเฉพาะจากสมุนไพร 26 ชนิด ตอบโจทย์คนรักเนื้อ และผู้ที่ชื่นชอบอาหารแนว comfort food แบบมีคลาส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้เครือไทยเบฟฯ จะมีร้านอาหารที่หลากหลาย สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่ street food ไปจนถึง fine dining แต่บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มร้านอาหารใหม่อีก 2-3 แบรนด์ในพอร์ตปีนี้ เน้นเจาะตลาดแมส และชู product luxury ตอบสนองลูกค้าติดแกลม และผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับรสนิยม ไลฟ์สไตล์ และประสบการณ์ที่แตกต่าง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/cyvtmVBgR6WLbaSWzEmX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cyvtmVBgR6WLbaSWzEmX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์ที่ 2 คือการยกระดับประสบการณ์ให้ลูกค้า ด้วยการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนอีก 2 กลยุทธ์คือ การพัฒนาศักยภาพพนักงานและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน และมุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืน ด้วยการลดปริมาณขยะอาหารและมีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์สังคม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจอาหารของไทยเบฟในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเดินเกมธุรกิจในมิติเดิม แต่คือการยกระดับทั้งแนวคิด โครงสร้าง และประสบการณ์ของผู้บริโภคให้ก้าวทันยุค เปลี่ยนผ่านจากการ “ขายอาหาร” ไปสู่การ “สร้างแบรนด์ที่มีชีวิต” ด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายของพอร์ตธุรกิจ ที่พร้อมจะก้าวขึ้นเป็น “กลุ่มธุรกิจอาหารชั้นนำของประเทศ” ที่สร้างความแตกต่างได้อย่างมีคุณค่า พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในทุกมิติ ภาพ: ไทยเบฟฯ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/one-bangkok-new-destination-of-lifestyle" alt="One Bangkok กำลังเป็นแหล่ง ‘กิน-ดื่ม’ ที่ใหม่ ค่าย ‘ช้าง’ ทุ่ม 200 ล้านเตรียมเปิด Chang Canvas ร้านอาหารและเบียร์สด เอาใจคอเบียร์กลางกรุง">One Bangkok กำลังเป็นแหล่ง ‘กิน-ดื่ม’ ที่ใหม่ ค่าย ‘ช้าง’ ทุ่ม 200 ล้านเตรียมเปิด Chang Canvas ร้านอาหารและเบียร์สด เอาใจคอเบียร์กลางกรุง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ไพศาล อ่าวสถาพร’ เปิดแผน ลุยธุรกิจอาหารเครือไทยเบฟฯ หลังปรับโครงสร้างใหญ่ในรอบ 20 ปี

One Bangkok กำลังเป็นแหล่ง ‘กิน-ดื่ม’ ที่ใหม่ ค่าย ‘ช้าง’ ทุ่ม 200 ล้านเตรียมเปิด Chang Canvas ร้านอาหารและเบียร์สด เอาใจคอเบียร์กลางกรุง

‘ไทยเบฟ’ กวาดรายได้ 9 เดือนปี 67 กว่า 2.17 แสนล้านบาท ท่องเที่ยวคึกคักหนุนธุรกิจเบียร์โต

บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เปิดตัว PRAKAAN (ปราการ) ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมแบรนด์แรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เผยจุดเด่นคือผ่านมาตรฐานการผลิตซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับสากล และแหล่งน้ำจากธรรมชาติอันสมบูรณ์ของจังหวัดกำแพงเพชร ส่งต่อความภาคภูมิใจของชาวไทยผ่านประสบการณ์สุดประณีต ด้วยแนวคิด “Irresistible Quest, Unforgettable Taste” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประภากร ทองเทพไพโรจน์ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรามีความภาคภูมิใจในการนำเสนอ PRAKAAN (ปราการ) ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมแบรนด์แรกของประเทศไทย ตั้งแต่ที่มาของชื่อ PRAKAAN (ปราการ) มีความหมายที่ลึกซึ้งและพิถีพิถันในการสร้างแบรนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยแรงบันดาลใจของแบรนด์ PRAKAAN (ปราการ) เริ่มต้นจาก ‘P-Provenance’ รากฐานความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าตะวันตก (Western Forest Complex) ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผืนป่ามรดกโลกจาก UNESCO ครอบคลุมถึงจังหวัดกำแพงเพชร ส่งผลให้แหล่งน้ำจากจังหวัดกำแพงเพชรมีคุณภาพที่เหมาะสมต่อการผลิตซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียม​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/MpeB5odb31FWJN1BLBDy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MpeB5odb31FWJN1BLBDy.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากนี้ PRAKAAN (ปราการ) ยังสะท้อนถึงความภาคภูมิใจในความเป็นไทยด้วย ‘P-Pride’ เนื่องจากจังหวัดกำแพงเพชรมีสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกลักษณ์และทรงคุณค่านั่นคือ ‘กำแพงปราการ’ อันแข็งแกร่งและที่ยังคงไว้ซึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์ของกำแพงปราการที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศไทยในอดีตเพื่อรักษาเอกราช และด้วยเหตุนี้ จังหวัดกำแพงเพชรจึงเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ของการตั้งโรงมอลต์วิสกี้แห่งแรกในประเทศไทย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/MsvHwLexR3X49WVexXDd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MsvHwLexR3X49WVexXDd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,540"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สุดท้าย ‘P-Passion’ คือความมุ่งมั่นตั้งใจในความรู้ ความเชี่ยวชาญในกระบวนการผลิตที่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ เพื่อศึกษาเทคนิคในด้านการผลิตจากตะวันตกและนำมาปรับใช้กับภูมิประเทศในเขตร้อนชื้นของไทย เพื่อส่งมอบประสบการณ์อันเหนือชั้นจากศาสตร์และศิลป์สู่ความเป็นสากลผ่านรสชาติและสุนทรียสัมผัสอันมีเอกลักษณ์ ดังนั้น PRAKAAN (ปราการ) ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมของไทยจึงมีความพร้อมที่จะไปสู่เวทีโลกด้วยคุณภาพระดับสากล”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกระบวนการผลิตของ PRAKAAN (ปราการ) ได้ยกระดับสู่มาตรฐานสากล ด้วยหอกลั่นทองแดง (Copper Pot Still) จากประเทศสกอตแลนด์ ผลิตและเก็บบ่มในจังหวัดกำแพงเพชรด้วยเทคนิคการควบคุมอุณหภูมิ และระดับความชื้นที่เหมาะสม โดยมุ่งเน้นที่คุณภาพเป็นสำคัญ ส่งผลให้กระบวนการเก็บบ่มซิงเกิลมอลต์วิสกี้ในถังไม้โอ๊คสามารถส่งมอบประสบการณ์อันประณีตได้อย่างลึกซึ้งมีเอกลักษณ์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/F1y2DBYX9DzZEKo8SEG3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="F1y2DBYX9DzZEKo8SEG3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,540"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ประวัติศาสตร์แห่งเมืองกำแพงเพชรที่ใช้การสร้างกำแพงสามชั้นรอบคูเมืองสำคัญหรือ ‘ตรีบูร’ PRAKAAN (ปราการ) ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมของไทยได้ถือเป็นแรงบันดาลใจเพื่อยกย่องเมืองอันเป็นเอกลักษณ์แห่งนี้ ด้วยการเปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ ภายใต้ซีรีส์ชื่อ ‘ตรีบูร’ ประกอบด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- PRAKAAN SELECT CASK (ปราการ ซีเล็คท์ คาสก์) ที่มีกระบวนการเก็บบ่มในถังอเมริกันโอ๊กเอ๊กซ์เบอร์เบิ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- PRAKAAN PEATED MALT (ปราการ พีตเท็ด มอลต์) ใช้ข้าวมอลต์บาร์เลย์คุณภาพดีผ่านกระบวนการรมควันจากถ่านพีตทำให้มีลักษณะและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอย่างลงตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- PRAKAAN DOUBLE CASK (ปราการ ดับเบิ้ล คาสก์) ที่มีกระบวนการเก็บบ่มพิเศษถึง 2 ขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน ทั้งในถังอเมริกันโอ๊คเอ๊กซ์เบอร์เบิ้น และสแปนิชโอ๊คเอ๊กซ์เชอร์รี่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยทั้งสามรุ่นจัดจำหน่ายในขนาด 70cl และ ราคา 2,250 บาท 2,500 บาท และ 2,850 บาท ตามลำดับ โดยจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันมูลค่าตลาดวิสกี้นำเข้าในประเทศไทยมีมูลค่าราว 11,430 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มจะเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผู้บริโภคของ PRAKAAN (ปราการ) ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมจะเน้นจับตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ที่พร้อมเปิดกว้างรับประสบการณ์ใหม่ๆ และชื่นชอบการบริโภคเครื่องดื่มประเภท New World Whisky โดยแบ่งสัดส่วนเป็นผู้บริโภคไทย 50% และต่างชาติ 50% พร้อมแผนบุกตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น เป็นต้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/maguro-group-tonkatsu-aoki-q-4-thailand" alt="เขย่าวงการทงคัตสึ! TONKATSU AOKI ร้านดังคิว 2 ชม. เตรียมเปิดสาขาแรกในไทยไตรมาส 4 นี้">เขย่าวงการทงคัตสึ! TONKATSU AOKI ร้านดังคิว 2 ชม. เตรียมเปิดสาขาแรกในไทยไตรมาส 4 นี้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยเบฟ เปิดตัว ‘PRAKAAN’ (ปราการ) ซิงเกิลมอลต์วิสกี้พรีเมียมแบรนด์แรกของไทย ผลิตด้วยแหล่งน้ำ จ.กำแพงเพชร

<h2>หนึ่งในธุรกิจของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเครือธุรกิจยักษ์ใหญ่ในไทยอย่าง ไทยเบฟ ซึ่งเป็นเหมือนบริษัทแม่ของหลากหลายแบรนด์เครื่องดื่มในไทย&nbsp; ล่าสุด บริษัทในกลุ่มอย่าง บมจ. เสริมสุข หรือ SSC ผู้ผลิตเครื่องดิ่มแบรนด์อย่าง เอส โออิชิ&nbsp; แจ้งต่อตลท. ว่าจะขอเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) หรือ SSC แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าจากมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2567 ตามความประสงค์ของบริษัท โซ วอเตอร์ จำกัด ในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ เสริมสุข เพื่อการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โซ วอเตอร์ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท (สัดส่วน 64.67%) และเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทางโซ วอเตอร์มีความประสงค์ในการเข้าทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญที่เหลือทั้งหมดของบริษัทจำนวน 93,945,680 หุ้น หรือสัดส่วนที่เหลือ 35.33% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท เพื่อการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท ในราคาเสนอซื้อ 63.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาสูงสุดที่คำนวณได้ตามวิธีการกำหนดราคาเสนอซื้อเพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ภายใต้ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ.12/2554 เรื่องหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (ตามที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) ซึ่งราคาดังกล่าวอาจปรับเปลี่ยนได้หากเกิดเหตุร้ายแรงหรืออื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่การเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทเพื่อการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมีมติอนุมัติการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท และต้องไม่มีผู้ถือหุ้นคัดค้านการเพิกถอนหุ้นเกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. การเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจะต้องได้รับอนุมัติและ/หรือผ่อนผันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ฯ สถาบันการเงิน และคู่สัญญาอื่น ๆ ตามสัญญาที่เกี่ยวข้อง (ในกรณีที่จำเป็น)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โซ วอเตอร์จะดำเนินการที่เกี่ยวกับการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเงื่อนไขตาม 1 และ 2 สำเร็จลง แม้ว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทจะไม่ได้แสดงเจตนาเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทตามคำเสนอซื้อของโซวอเตอร์ครบทุกราย ดังนั้น จึงอาจมีความเป็นไปได้ที่โซวอเตอร์จะไม่สามารถซื้อหุ้นของบริษัทได้ครบทั้งหมดเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาเสนอซื้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังทางเสริมสุข ยังแต่งตั้ง บริษัท เจย์แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ​ และเสนอแนะความเห็นและชี้แจงต่อผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอของผู้ทำคำเสนอซื้อและการขอเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้ง ได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567ของบริษัท ในวันที่ 27 สิงหาคม 2567 เวลา 9.30 น.ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ชั้น 2 ห้องประชุม 208-209 &nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเสริมสุข เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม ได้แก่ เอส โคล่า เอส น้ำสี น้ำดื่มคริสตัล ชาเขียวโออิชิ จับใจ แรงเจอร์ ซาสี่ ร็อค เมาเท็น โซดา พาวเวอร์ พลัส วีบูทส์ 100พลัส และ ซี ทูน่า เอสเซนส์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ​<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/nissin-foods-pufferfish-noodle" alt="Nissin Foods เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รส ‘ปลาปักเป้า’"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/betagro-launching-first-feed-mill-in-lao" alt="‘เบทาโกร’ ทุ่มงบ 650 ล้านบาท สร้างโรงงานอาหารสัตว์ใน ‘ลาว’ ดันรายได้ธุรกิจต่างประเทศปี 67 โตกว่า 22%">‘เบทาโกร’ ทุ่มงบ 650 ล้านบาท สร้างโรงงานอาหารสัตว์ใน ‘ลาว’ ดันรายได้ธุรกิจต่างประเทศปี 67 โตกว่า 22%</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยเบฟเตรียมดึง 'เสริมสุข' ผู้ผลิตเอส ชาเขียวโออิชิ ออกจากตลาดหุ้นไทย 

<h2>กลุ่มบริษัทไทยเบฟ นำโดยเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ยกระดับศักยภาพการดำเนินงาน พร้อมขยายตลาดเบียร์ช้างทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไทยเบฟประกาศแต่งตั้ง ฐาปน สิริวัฒนภักดี บุตรชายของเจริญ สิริวัฒนภักดี ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/2RVkVXkE2dJ4pRuLF2CW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="2RVkVXkE2dJ4pRuLF2CW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="500,554" style="" data-index="0"><figcaption><div>ฐาปน สิริวัฒนภักดี</div></figcaption></figure></div> ​&nbsp; &nbsp;&nbsp;โฆษิต สุขสิงห์ ขึ้นนั่งเก้าอี้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย ดูแลการดำเนินธุรกิจภายในประเทศ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/XUJmua4VYCukPHmkp4Ju.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XUJmua4VYCukPHmkp4Ju.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="452,500" style="" data-index="1"><figcaption><div>โฆษิต สุขสิงห์</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp; &nbsp;&nbsp;ส่วน ประภากร ทองเทพไพโรจน์ ขึ้นเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการต่างประเทศ ดูแลการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/YV8PZ8JuxbdH3wHZoCM8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="YV8PZ8JuxbdH3wHZoCM8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="452,500" style="" data-index="2"><figcaption><div>ประภากร ทองเทพไพโรจน์</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp; &nbsp;&nbsp;การปรับโครงสร้างและตำแหน่งผู้บริหารทั้งหมดจะมีผลในวันที่ 27 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป และจะช่วยขยับขยายเครือข่ายการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบไปยังตลาดที่สำคัญต่างๆ ทั่วอาเซียน ทั้งไทย เวียดนาม เมียนมา มาเลเซีย และสิงคโปร์&nbsp; &nbsp;&nbsp;เอกสารทางการของไทยเบฟยังเผยว่า การปรับโครงสร้างนี้ยังเป็นการกระตุ้นการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนในตลาดใหม่ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของแบรนด์ในภูมิภาคของพวกเขา&nbsp; &nbsp;&nbsp;ไทยเบฟบอกด้วยความพวกเขากำลัง “ลงทุนด้านเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งระบบวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ในการบริหารห่วงโซ่คุณค่า และนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนาเครือข่ายกระจายสินค้าต่อไป”&nbsp; &nbsp;&nbsp;รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 2.5% เทียบกับปีที่ผ่านมา โดยตัวเลขอยู่ที่ 2.79 แสนล้านบาทในเดือนกันยายน 2566 สืบเนื่องจากยอดขายเบียร์เติบโตด้วยอานิสงส์ของการบริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศไทย ไทยเบฟมีการขยายธุรกิจสุราออกไปเช่นกัน โดยเข้าซื้อบริษัทสัญชาติฝรั่งเศส Larsen Cognac และบริษัทนิวซีแลนด์ Cardrona Distillery เมื่อปีที่ผ่านมา&nbsp; &nbsp;&nbsp;เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ยังครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของไทยบนทำเนียบ 50 มหาเศรษฐีไทยประจำปี 2023 ของ Forbes ด้วยมูลค่าความมั่งคั่ง 4.73 แสนล้านบาท&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากไทยเบฟเจ้าสัวเจริญยังเป็นผู้ถือหุ้นควบคุม (Controlling Shareholder) ของสองบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ Frasers Property ที่มีชื่อในตลาดหุ้นสิงโปร์ และ Asset World Corp. อันมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพ ประเทศไทย&nbsp; &nbsp;&nbsp;Frasers Property นั้นได้ลูกชายของเจ้าสัวเจริญ หรือปณต สิริวัฒนภักดี กุมบังเหียนในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกำลังดำเนินการก่อสร้าง One Bangkok โครงการอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูสยักษ์ใหญ่ใจกลางนครหลวง มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท นับเป็นโครงการอสังหาฯ ที่ใหญ่ที่สุดของภาคเอกชนที่เคยมีมาในประเทศไทย แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.forbes.com/sites/jonathanburgos/2024/01/11/thaibev-billionaire-revamps-management-as-chang-beer-maker-expands-in-southeast-asia/?sh=2d0b04fb1a64" alt="ThaiBev Billionaire Revamps Management As Chang Beer Maker Expands In Southeast Asia">ThaiBev Billionaire Revamps Management As Chang Beer Maker Expands In Southeast Asia</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/konvy-expand-to-philippines" alt="Konvy ปิดระดมทุนซีรีส์ A ที่ 11 ล้านเหรียญ ปักธงขยายสู่ “ฟิลิปปินส์” ในปีนี้">Konvy ปิดระดมทุนซีรีส์ A ที่ 11 ล้านเหรียญ ปักธงขยายสู่ “ฟิลิปปินส์” ในปีนี้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยเบฟปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ เตรียมยกทัพขยายอาณาจักรทั่วอาเซียน 

"ไทยเบฟ" โชว์วิชั่น 2025 ลุยตลาดอาเซียนเต็มสูบ

<h2>กลุ่มธุรกิจ “สุรา” ในเมืองไทยปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1 แสนล้านบาท โดยมี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งกว่า 90% ด้วยผลิตภัณฑ์สุราขาวและสุราสี ซึ่ง ณ ไตรมาส 3/2560 (30 มิถุนายน) กลุ่มธุรกิจสุราสร้างรายได้จากการขายให้ไทยเบฟแล้วราว 8 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท</h2>
แม้จะมาเป็นเบอร์ต้น แต่ไทยเบฟก็ต้องเผชิญศึกครั้งใหม่ เพราะเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา “คาราบาวแดง”ประกาศขยายพอร์ตธุรกิจเพิ่มจากเครื่องดื่มชูกำลังสู่วงการน้ำเมา รวมทั้งต้องต่อกรกับสองค่ายข้ามชาติที่สร้างฐานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดคือความท้าทายที่ ประภากร ทองเทพไพโรจน์ วัย 46 ปี รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ซึ่งเป็นผู้นำ กลุ่มธุรกิจสุรา ของไทยเบฟต้องรับมือเพื่อสร้างการเติบโตในแบบที่เขาย้ำว่า “ไม่หวือหวาแต่ยั่งยืน”<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c651940cc35307636a019dfa87e1ef64.png" alt="" />
<h2>โลดแล่นวาณิชธนกิจ</h2>
ประภากรเติบโตในครอบครัวที่ปู่และพ่อขายผักอยู่ในตลาดบางรัก ความขยันและเก็บออมทำให้พ่อของเขามีทุนส่งให้ลูกมีการศึกษาที่ดี อย่างประภากรซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวในบรรดาลูกๆ 4 คน จบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ก่อนต่อปริญญาตรีด้านธุรกิจที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และเรียนต่อปริญญาโทด้านการเงินที่ Georgia State University สหรัฐอเมริกา

15 ปีหลังจากนั้นคือช่วงที่ประภากรสั่งสมประสบการณ์ด้านวาณิชธนกิจในสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่ง เช่น Chase Manhattan Bank ใน New York ตามด้วย JPMorgan Chase ที่สิงคโปร์และฮ่องกง ก่อนจะกลับมาบ้านเกิดในปี 2545 และเริ่มงานใหม่ที่ Standard Chartered ประเทศไทย

แม้ทุกอย่างจะไปได้ดี แต่ประภากรกลับรู้สึกอิ่มตัวกับงาน จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่มาถึงในปลายปี 2551 เมื่อเขามีโอกาสพูดคุยกับ เจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหารของไทยเบฟ ซึ่งเห็นความสามารถในตัวนักการเงินหนุ่ม “เจ้าสัวเจริญ” จึงชักชวนประภากรมาร่วมงาน

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d13dc1dd216b8e586a182f3b5fc7a3b5.png" alt="" width="350" height="466" /><figcaption> เจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหาร ไทยเบฟเวอเรจ</figcaption></figure>

“ผมอยากสร้างและพัฒนาทักษะด้านอื่นๆ เพราะคิดว่าน่าจะไปได้อีก ซึ่งการได้ทำงานกับครอบครัวท่านประธานเจริญก็น่าจะช่วยเปิดให้ทำอะไรแปลกใหม่ตลอดเวลา ที่นี่จึงเป็นเหมือนสนามใหม่ของผม” ประภากรกล่าว
<h2>ร่วมทีมไทยเบฟ</h2>
เมษายน ปี 2552 ประภากรก้าวเข้าสู่อาณาจักรของเจริญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้กลุ่มทีซีซี แลนด์ ผ่านงานสายการเงินสายสนับสนุนองค์กร การลงทุนและพัฒนาที่ดิน รวมทั้งหมด 3 ปี ก่อนที่ในปี 2555 เจริญให้เขาไปอยู่ไทยเบฟในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการเงินและบัญชี ใช้ความช่ำชองในสายงานเดิมร่วมทีมเจรจาซื้อหุ้น Fraser and Neave, Limited (F&amp;N) ซึ่งเป็นดีลประวัติศาสตร์ของเจริญ ทั้งในเชิงมูลค่ารวมหลักแสนล้านบาท และเชิงกลยุทธ์ที่จะทำให้ไทยเบฟเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจเครื่องดื่มระดับภูมิภาค

ผลของการเข้าซื้อ F&amp;N ทำให้ไทยเบฟโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การตลาดแบบเดิมที่ขายทุกอย่างรวมกันจึงทำได้ยาก เป็นเหตุผลหลักที่ ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของไทยเบฟ ผลักดันให้ปรับโครงสร้างองค์กร โดยแยกเป็นกลุ่มธุรกิจสุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และธุรกิจอาหาร

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/19164f963b922a9b51021d2850d4bd45.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของไทยเบฟ</figcaption></figure>

“องค์กรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทุกคนต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับองค์กร ผู้คนอาจไม่ค่อยชอบความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าไม่เปลี่ยนหรือไม่ปรับตัว เราก็ไม่สามารถอยู่กับองค์กรได้” เขาให้ความเห็น

หลังปรับโครงสร้าง ประภากรก็ขออาสารับบทบาทเป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มธุรกิจเบียร์ในช่วงต้นปี 2557 ซึ่งขณะนั้นส่วนแบ่งตลาดของเบียร์ช้างต่ำกว่า 30% ประภากรสรุปว่าต้องเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ เมื่อเจริญและฐาปนอนุมัติแล้วจึงเดินหน้าด้วยเม็ดเงินที่ประเมินว่าถึงตอนนี้ไม่น่าจะต่ำกว่าพันล้านบาท ทำการเปิดตัวในปี 2558 ปรับรสชาติ บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์และทำการตลาด

การสร้างภาพจำครั้งใหม่ ทำให้ปี 2559 ส่วนแบ่งการตลาดของเบียร์ช้างขึ้นมาเป็น 38-40% และคงระดับถึงทุกวันนี้ บวกลบ 0.5-1% ขึ้นกับสถานการณ์ เป็นรองเบียร์ลีโอที่มีส่วนแบ่งราว 53% ส่วนเบียร์สิงห์อยู่ที่ 5% และอื่นๆ 4-5% จากมูลค่าตลาดรวมราว 1.8 แสนล้านบาท และกลายเป็นผลงานที่มีส่วนหนุนให้ประภากรได้รับการพิจารณาให้ก้าวขึ้นสู่หัวเรือใหญ่ของกลุ่มธุรกิจสุราในเดือนตุลาคม ปี 2559
<h2>“สุรา” ภารกิจท้าทาย</h2>
รายได้กว่าครึ่งของไทยเบฟมาจากกลุ่มธุรกิจสุรา ซึ่งประภากรออกปากว่าเป็นความท้าทายไม่น้อยในการดูแลธุรกิจดังกล่าว ไทยเบฟมีสุราขาวสำหรับผู้บริโภคระดับกว้าง เช่น รวงข้าว ไผ่ทอง ฯลฯ ส่วนสุราสี อาทิ หงส์ทอง แสงโสม ฯลฯ เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อขึ้นมาอีกขั้น ทั้งหมดผ่านการผลิตจากโรงงานสุราของไทยเบฟรวม 18 แห่ง<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2a78bdcac7dff9c801b1655c77a31653.png" alt="" />

ประภากรให้ข้อมูลเชิงปริมาณการบริโภคว่าสุราขาวอยู่ที่ 50 ล้านลัง/ปี (ลังละราว 8 ลิตร) ส่วนสุราสีอยู่ที่ 20 ล้านลัง/ปี ด้านกลยุทธ์กลุ่มสุราจากนี้จะเน้นสร้างทิศทางธุรกิจให้ก้าวอย่างมั่นคง โดยการมีสินค้าครอบคลุม เช่น โซดาร็อค เมาเท็น หวังชิงส่วนแบ่งจากโซดาสิงห์ที่ครองตลาดกว่า 90% และการแตกไลน์สุราพรีเมียมซึ่งมีทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศภายใต้บริษัทลูกของไทยเบฟที่สก็อตแลนด์

เขาบอกว่าปัจจุบันมีสุราพรีเมียมระดับสแตนดาร์ดและซูเปอร์พรีเมียมแล้ว แต่ระดับพรีเมียมตรงกลางยังไม่ได้ทำ หากมีโอกาสก็จะขยับเข้าไปและพัฒนาช่องทางการจำหน่าย ประภากรไม่หวั่นกับสองบริษัทใหญ่อย่าง Diageo และ Pernod Ricard ที่อยู่ในตลาดมาก่อน “ในไทยเรามีศักยภาพพอที่จะทำสินค้าระดับนั้น...เราทำได้ดี” เขาเอ่ยหนักแน่น

เมื่อดูรายได้เฉพาะไตรมาส 3/2560 กลุ่มธุรกิจสุรามีรายได้จากการขายราว 2.55 หมื่นล้านบาท สูงขึ้น 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้ 3 ไตรมาสรวมกันที่ 8.1 หมื่นล้านบาท หรือ 56.7% จากรายได้รวมของไทยเบฟกว่า 1.42 แสนล้านบาท

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a07bb0a5a515b748d7fac3ecbdec8d82.png" alt="" width="340" height="453" /><figcaption> โซดาร็อค เมาเท็น เป็นสินค้าใหม่ของกลุ่มสุรา ไทยเบฟ ที่ต้องการให้มีสินค้าครอบคลุมในกลุ่มนี้ และเพื่อชิงตลาดมาจากโซดาสิงห์ที่ครอบครองมาร์เก็ตแชร์ไปถึง 90%</figcaption></figure>

ประภากรคาดว่าจบปีงบประมาณ 2560 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน) สัดส่วนของกลุ่มธุรกิจสุรายังดีอยู่ แต่ยอดขายอาจปรับตัวลดลง เพราะตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่อนข้างซบเซาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จึงต้องแก้ด้วยการควบคุมต้นทุน ส่วนแผนธุรกิจต่อจากนี้คือการปรับสินค้า เช่น เบลนด์ 285 ให้มีภาพลักษณ์ดีขึ้น รวมถึงทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่

เวลา 5 ปีในไทยเบฟของประภากรผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้เขายังสนุกและมีไฟในการทำงานเต็มที่ หากผู้บริหารเห็นว่ามีอะไรในองค์กรที่ท้าทายและอยากให้เข้าไปช่วยเปลี่ยนแปลงก็พร้อมและยินดีเสมอ

“ทุกอย่างอยู่ที่โอกาส ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะไปที่ไหน แต่รู้ว่าสิ่งที่ทำทุกวันต้องมีความสุข ถ้าวันหนึ่งผมตื่นมาและบอกตัวเองว่าไม่มีความสุข ผมก็จะเปลี่ยนงานเพราะคิดว่าไม่ใช่เราแล้ว” เขาทิ้งท้าย

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/611981d1a17f932dadbbe32f158b8bbc.png" alt="" />

ภาพประกอบ: มังกร สรพล

<hr />

<a href="https://goo.gl/kcoQQx">คลิกเพื่ออ่าน "ประภากร ทองเทพไพโรจน์ จัดทัพ 8 หมื่นล้าน กลุ่มสุรา ไทยเบฟ" ฉบับเต็มในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kcoQQx"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ee8f0c49c6f94ca8ba580d9f0bdf60d.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events