<h2>จากความร่วมมือของ 3 บริษัทชั้นนำ Nintendo Authorized Store ศูนย์รวมผลิตภัณฑ์จาก Nintendo อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดให้แฟนเกมได้เลือกซื้อสินค้าลิขสิทธ์แท้และสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกมสุดพิเศษแล้ววันนี้ ที่สยามพารากอน ตั้งเป้าเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ดึงดูดลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้า จัดจำหน่าย และบริการไอทีครบวงจรในประเทศไทย ผนึกกำลังพันธมิตรกับบริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) และบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดตัว Nintendo Authorized Store by SYNNEX แห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมตอบรับกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในตลาดเกม รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคทั้งไทยและต่างชาติ โดยเลือกที่ตั้งเป็นสยามพารากอน ศูนย์การค้าชั้นนำใจกลางกรุงเทพฯ เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2024 เป็นต้นไป​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/4bNane2yiBE5VBZcGVvv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4bNane2yiBE5VBZcGVvv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div>​ขยายพอร์ตเกมมิ่ง ตั้งเป้ารายได้แตะหลักพันล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราเล็งเห็นถึงศักยภาพของพอร์ต Nintendo Switch ผ่านวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจในการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ความสะดวกในการเข้าถึงสินค้าและบริการ คุณค่าของประสบการณ์ในการทดลองสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ และการบริการหลังการขาย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากการรับประกัน Nintendo Switch ที่ยาวนานถึง 2 ปี และซินเน็คฯ ก็กำลังเตรียมประสบการณ์และสิทธิพิเศษสำหรับแฟนๆ ของ Nintendo ที่มาใช้บริการและซื้อสินค้าจากร้าน Nintendo Authorized Store แห่งนี้ในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุธิดายังเผยว่า ซินเน็คฯ ได้วิเคราะห์อัตราการเติบโตที่ทะยานสูงขึ้นของตลาดเกมในประเทศไทย ซึ่งมีเกมเมอร์ชาวไทยมากถึง 32 ล้านคน หรือคิดเป็น 47% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด ทำให้ซินเน็คฯ มั่นใจที่จะเดินหน้ากลยุทธ์เชิงรุกในการเปิด Nintendo Authorized Store by SYNNEX เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค และมุ่งหมายให้ร้านค้าทางการแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตเกมมิ่ง โดยตั้งเป้ารายได้จากผลิตภัณฑ์ Nintendo ทั้งหมดในปี 2025 ไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/ags7XdNkvCCZcYpS8zfU.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ags7XdNkvCCZcYpS8zfU.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1"><figcaption><div>ชฎาทิพ จูตระกูล, Mario, สุธิดา มงคลสุธี และปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของ Nintendo Authorized Store by SYNNEX คือเกมเมอร์ทุกช่วงวัยและครอบครัว เพราะเกมของ Nintendo หลายเกมสามารถเล่นร่วมกันได้ เหมาะสำหรับเป็นกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความสนุกของทุกคนในครอบครัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนกลุ่มเป้าหมายรองคือแฟนๆ Nintendo ที่ชื่นชอบและต้องการสะสมผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการติดตามข่าวสารอัปเดตใหม่ๆ อย่างเหนียวแน่น ในขณะเดียวกัน Nintendo Authorized Store by SYNNEX ก็พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยี่ยมชมสยามพารากอนด้วยเช่นกัน จุดหมายปลายทางไลฟ์สไตล์ระดับโลกแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nintendo Authorized Store by SYNNEX พร้อมมอบประสบการณ์ที่ครบครันบนพื้นที่กว่า 356 ตร.ม. บนชั้น 3 สยามพารากอน ซึ่งเป็นที่ตั้งศักยภาพ สรัลธร อัศเวศน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “สยามพารากอนต้อนรับผู้มาเยือนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 150,000 - 200,000 คนต่อวัน และยังเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งระดับโลกในใจกลางกรุงเทพฯ ที่นำเสนอที่สุดแห่งประสบการณ์เหนือระดับสำหรับไลฟ์สไตล์ในทุกมิติ”​​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/xMv4qxbaztMUSwvfHj9a.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xMv4qxbaztMUSwvfHj9a.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/thnqRDomcKPSs4LFCrfR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="thnqRDomcKPSs4LFCrfR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สยามพารากอนสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าทุกเจนเนอเรชั่น สอดคล้องกับที่ Nintendo เป็นบริษัทที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1889 และค่อยๆ สะสมฐานแฟนมาตลอดระยะเวลากว่า 130 ปี ทำให้มีลูกค้าจากหลากหลายช่วงวัย นอกจากนี้คอนเทนต์และคาแรกเตอร์ภายใต้แบรนด์ Nintendo ก็มีจำนวนมาก รองรับรสนิยมความชอบที่แตกต่างกันของแต่ละคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “คอปเปอร์ไวร์ด ในฐานะพันธมิตรด้านการดำเนินงานและวางแผนงานร้าน Nintendo Authorized Store by SYNNEX วางแผนกลยุทธ์ในการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ในร้านตามพฤติกรรมการเดินซื้อสินค้าของผู้บริโภค โดยการแบ่งเป็นโซน”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/4JZdefmBDefQeBELi78J.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4JZdefmBDefQeBELi78J.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="4"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/DcbP9UfgEEnmPc6akRjk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DcbP9UfgEEnmPc6akRjk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="5"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับโซนต่างๆ ใน Nintendo Authorized Store by SYNNEX ได้แก่&nbsp; &nbsp; &nbsp;- Experience Zone เพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมแบบจัดเต็มกับ Trial Station ถึง 5 สเตชั่น ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 98 นิ้ว เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ลองเล่นเกมก่อนตัดสินใจซื้อ&nbsp; &nbsp; &nbsp;- Merchandise Zone โซนสำหรับคนรักของสะสมที่ตกแต่งด้วยธีมตัวละครสุดฮิตจาก Nintendo Switch ทั้ง 7 คาแรคเตอร์ ได้แก่ Super Mario, Kirby, Pokemon, Pikmin, The Legend of Zelda, Animal Crossing และ Splatoon โดยมีสินค้าให้เลือกซื้อกว่า 350 รายการ ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา ของเล่น ฟิกเกอร์ amiibo เครื่องเขียน ฯลฯ ภาพ:&nbsp;Nintendo Authorized Store by SYNNEX เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/google-said-that-thailand-digital-economy-in-2024-will-grow-second-fastest-in-southeast-asia" alt="Google เผยเศรษฐกิจดิจิทัลไทย 2567 โตเร็วอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้">Google เผยเศรษฐกิจดิจิทัลไทย 2567 โตเร็วอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดแล้ววันนี้ที่สยามพารากอน! Nintendo Authorized Store แห่งแรกในไทย ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

‘ชญาภา จูตระกูล’ กับนิยามความสำเร็จนอกกรอบ ปลุกปั้น The Pink Lab ด้วยตนเอง 

<h2>ความสำเร็จของ ‘ลูกค้า’ คือความสำเร็จที่แท้จริงของบริษัท เปิดแนวคิดเบื้องหลังการก่อตั้งบริษัทเทคฯ ลุย Web 3.0 </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนเจอร์ธุรกิจที่มันผันผวน ที่มันขึ้นลง มีความเสี่ยง และมีความตื่นเต้นตลอดเวลา คุณต้องมัดใจลูกค้าระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes Thailand พูดคุยกับ ปิ๊ง - ชญาภา จูตระกูล&nbsp;ผู้ก่อตั้งบริษัท ‘The Pink Lab’ ที่ปรึกษาธุรกิจด้านเทคโนโลยีและอินโนเวชั่น <div class="se-component se-video-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 100%; min-width: 100%;"><figure style="width: 100%; height: 56.25%; padding-bottom: 56.25%; margin: auto;"><iframe src="https://www.youtube.com/embed/s7zQjQoH1AE" data-proportion="true" data-percentage="100%,56.25%" data-size="100%,56.25%" data-align="center" data-file-name="s7zQjQoH1AE" data-file-size="0" data-origin="100%,56.25%" style="width: 100%; height: 100%;" data-index="0"></iframe></figure></div> อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2567 ได้ที่&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/5a9d7700-b8a3-44da-8f71-dc089d9916d2/may-2024" alt="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/5a9d7700-b8a3-44da-8f71-dc089d9916d2/may-2024">ookbee</a>​

ความสำเร็จของ ‘ลูกค้า’ คือความสำเร็จที่แท้จริงของบริษัท - ชญาภา จูตระกูล

<h2>ชญาภา จูตระกูล บุตรสาว ชฎาทิพ จูตระกูล แห่งสยามพิวรรธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้รุกธุรกิจใหม่ในนาม THE PINK LAB ที่ปรึกษาด้านแบรนดิ้ง Tech และ Data Strategy ประเดิมเปิดพื้นที่ “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต ในพื้นที่กว่า 4,000 ตร.ม. ของศูนย์การค้าสยามพารากอน ด้วยโมเดลธุรกิจระดับโลก Web 3.0</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชญาภา หรือ ปิ๊ง ก่อตั้ง THE PINK LAB หลังเรียนจบระดับปริญญาโท สาขา Applied Analytics จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา โดยเน้นนำข้อมูล (Big Data) ที่มีอยู่มหาศาลมาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ในธุรกิจหลากหลาย ในยุค Web 3.0 ประเดิมธุรกิจใหม่ โดยจับมือกับศูนย์การค้าสยามพารากอน เปิดพื้นที่ “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต ด้วยเงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท โอกาสทางธุรกิจของ Web 3.0&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชญาภา จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท The Pink Lab กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทย เป็นที่จับตามองจากบริษัทผู้นำด้าน Web 3.0 และบล็อกเชนทั้งระดับโลกและเอเชีย ที่มีศักยภาพในการเข้ามาลงทุน และทำงานร่วมกัน เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดีย ใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงนี้ สร้างนวัตกรรม สร้างโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่และทำงานร่วมกัน แบ่งปันประสบการณ์ระดับโลก ร่วมกันสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ที่จะสร้างผลกระทบให้กับทั้งผู้ใช้งาน ธุรกิจ และสังคมในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตยุคที่ 3 หรือ Web 3.0 (WEB3) นำศักยภาพของความสามารถเชิงลึกในการเรียนรู้ของคอมพิวเตอร์ (Machine Learning) และปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) และการประมวลผลแบบกระจายศูนย์ (Decentralization) มาใช้เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างพื้นที่การสื่อสารผ่านออนไลน์ และเครือข่ายโซเชียล เปิดโอกาสให้ “โลกเสมือนจริง” กลายเป็นพื้นที่ใหม่ ที่สามารถสร้าง “ประสบการณ์จริง” ในรูปแบบใหม่ ๆ ให้กับผู้ใช้งาน และสามารถเชื่อมต่อกับผู้คนในโลกเสมือนทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/cHXvxbzgwUaNzuucufex.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="cHXvxbzgwUaNzuucufex.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน วิวัฒนาการของ Web 3.0 เพิ่มศักยภาพสนับสนุนการทำธุรกรรมข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ระหว่างกระเป๋าเงินดิจิทัลบนบล็อกเชน มีบทบาทเป็นมากกว่าแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี แต่คือ “ความหลากหลาย และอนาคต” ซึ่ง Pink Lab ได้จัดแบ่ง 5 หมวดหมู่ ที่สามารถใช้ Web 3.0 มาเป็นโซลูชั่นสร้างโอกาส ประกอบด้วย 1.เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ บล็อกเชน และ Smart Contact 2.สินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ เงินคริปโต และ NFTs 3.แพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Platforms) รวมถึงเมตาเวิร์ส 4.โครงสร้างพื้นฐาน และ 5.การเชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน (User Interfaces) ผ่านแอปที่พัฒนาบนบล็อกเชน และกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“WEB3 คือ ปรากฎการณ์โลก จึงต้องมีการทำงานร่วมกันหลายฝ่าย การทำงานร่วมกันระหว่างสยามพิวรรธน์กับ Pink Lab ซึ่งสิ่งที่ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ มีมากกว่าการพูดเรื่องผลกำไรของธุรกิจ ก็คือการมอง WEB3 ในมุมมองมหภาค (Macro Scale) และได้คำตอบถึงสิ่งที่ประเทศไทยต้องการ ก็คือ NextTech (เทคโนโลยีแห่งอนาคต) จึงเป็นเหตุผลของการเปิดพื้นที่ “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต ที่สยามพารากอน และได้รับความสนใจจากพันธมิตรด้านเทคโนโลยีทั้งไทยและระดับโลก” ​ประเทศไทยมี DNA ของ Web 3.0&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชญาภา กล่าวว่า หัวใจสำคัญของ Web 3.0 คือ การสร้างสรรค์นวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นบนเทคโนโลยีนี้ จึงขึ้นอยู่กับ “คน” คนที่มีวิสัยทัศน์ มีแนวคิดเบื้องหลังผลิตภัณฑ์อันยิ่งใหญ่ และมุ่งไปข้างหน้าเพื่อทำตามฝัน การเปิดพื้นที่ “SIAM PARAGON NEXT TECH x SCBX” เป็นการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง Pink Lab กับสยามพารากอน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสยามพิวรรธน์ กับผู้เช่าพื้นที่ ผู้บริโภค เพื่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน (Co-Creation) และสำคัญที่สุด คือ ผู้คนจากทั่วโลกนำประสบการณ์ที่ดีที่สุดมาให้ทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกัน โดยเฉพาะการสร้างนวัตกรรม ซึ่งจะมีผลิตภัณฑ์หลายอย่างภายใต้คอนเซปต์ Web 3.0 ออกสู่ตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ประสบการณ์ของ Pink Lab ที่ได้ไปให้บริการมาแล้วทั่วโลกในหลายๆ ที่ มีลูกค้าทั้งจากยุโรป สหรัฐ และเอเชีย เราทั้งสนุก ได้เรียนรู้ ที่สุดเราจึงคิดว่า ทำอย่างไรให้คนได้มาเรียนรู้จากที่ดีที่สุดในโลก ปัจจุบันเชื่อว่ามุมมองของผู้บริหารระดับโลกหลายรายในวงการนี้ มองเห็นประเทศไทย เป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะเรามี DNA ของ Web 3.0” ชญาภากล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/n2sUava4TbngX7nbv21N.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="n2sUava4TbngX7nbv21N.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไซมอน โซจุน คิม (Simon Seojoon Kim) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหุ้นส่วนผู้จัดการ บริษัท Hashed นักลงทุนด้าน Web 3.0 รายใหญ่สุดของเกาหลีใต้ ที่เข้าร่วมเวที The Global Tech Talk @SCBX NEXT TECH จัดขึ้นที่สยามพารากอนต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยและเกาหลีใต้ กำลังกลายเป็นตลาดสำคัญสำหรับการใช้ Web 3.0 โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากความเฟื่องฟูของธุรกรรมเงินดิจิทัล (คริปโต) สอดคล้องกับภาพรวมของระบบนิเวศคริปโตทั่วโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เกาหลีใต้ กลายเป็นผู้บุกเบิกแถวหน้าของ Web 3.0 เพราะที่ผ่านมามีชื่อเสียงทั่วโลกในเรื่องราคาพรีเมียมของตลาดซื้อขายเงินบิทคอยน์สูงสุด (Kimchi Premium) และมีปริมาณการซื้อขายในตลาดเทรดคริปโตบนแพลตฟอร์มแบบที่มีตัวกลางแลกเปลี่ยน หรือ CEX (Centralized Cryptocurrency Exchange) ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ขณะที่ประเทศไทย มีจำนวนผู้ถือครองเงินคริปโต ติดอันดับ 1 ของโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามองถึงโอกาสการทำงานร่วมกับประเทศไทย โดยนำจุดแข็งของทั้งสองประเทศมาเติมเต็มให้กัน เพื่อต่อยอดการประยุกต์ใช้บล็อกเชน และ Web 3.0 มาสร้างแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เพื่อขยายพื้นที่ทางธุรกิจและการตลาดออกไปสู่เอเชีย โดยใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง” คิมกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศไทยมีโอกาสสูงในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับ WEB3 จากปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน ที่ประเทศไทยมี ได้แก่ 1.การท่องเที่ยว 2.มรดกทางวัฒนธรรม และ 3.ความโอบอ้อมอารี ดังนั้นถ้ามีการนำเอา “เทคโนโลยี” เข้ามาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องใน 3 ด้านนี้ ประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญในเรื่อง WEB3 อย่างแน่นอน ​อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99" alt="นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ ลดขยะอาหาร แก้ปัญหาโลกร้อน">นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ ลดขยะอาหาร แก้ปัญหาโลกร้อน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ชญาภา จูตระกูล ปั้น THE PINK LAB รุก Web 3.0

สยามพิวรรธน์ เปิดตัว 11 ผู้บริหารนักสร้างสรรค์ของกลุ่มธุรกิจ (BU Creators) ที่มีศักยภาพโดดเด่นในด้านนวัตกรรมและไอเดียใหม่ๆ ต่อยอดความแข็งแกร่งจากฐานลูกค้าที่ทรงพลังสร้างประสบการณ์พิเศษแปลกใหม่ด้วยการเชื่อมต่อทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ ถือเป็นการปรับพลวัตรับการเปลี่ยนแปลง ภายใต้วิสัยทัศน์ผู้นำความคิดสร้างสรรค์ (The Visionary ICON) มุ่งตอบสนองความต้องการหลากหลายของลูกค้าได้ดียิ่งกว่าเดิมอีกทั้งเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมแสดงศักยภาพ นำเสนอไอเดียยกระดับการสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมาย เพื่อให้สามารถก้าวข้ามความท้าทายของโลกธุรกิจและเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืนแบบไร้ขีดจำกัด
<h3>11 The Visionary ICON</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-61114" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/1-ปานเทพย์-นิลสินธพ-Chief-Customer-Officer.jpg" alt="" width="450" height="450" />

 ปานเทพย์ นิลสินธพ Chief Customer Officer บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด : Extraordinary Experience Creator – ONESIAM SuperApp นักสร้างสรรค์ประสบการณ์ดิจิทัล ร่วมคิดค้นไอเดียและสร้างความแปลกใหม่ผ่านแพลตฟอร์ม ONESIAM SuperApp พร้อมร่วมทำงานกับบริษัทชั้นนำจากหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-61115" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/2-สรัลธร-อัศเวศน์-Head-of-Shopping-Center-Business-Division.jpg" alt="" width="450" height="450" />

สรัลธร อัศเวศน์ Head of Shopping Center Business Division บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด : Extraordinary Experience Creator – ONESIAM นักสร้างสรรค์ประสบการณ์ต่อยอดความสำเร็จจากฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนกลยุทธ์สร้างความประทับใจเหนือระดับให้กับลูกค้า ทำให้ ONESIAM ซึ่งผสานศักยภาพ 3 ศูนย์การค้า สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ สร้างความตื่นตาตื่นใจและเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าประทับใจของลูกค้าชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครองใจความเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าเสมอไป

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-61126" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/3-สิริพร-หฤทัยวิญญู-Division-Head-Corporate-Partnership.jpg" alt="" width="450" height="450" />

สิริพร หฤทัยวิญญู Division Head - Corporate Partnership บริษัท ซูพรีโม จำกัด : Partnership Creator นักสร้างสรรค์ประสบการณ์เชื่อมต่อพลังความความร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายทั่วโลกเพื่อสร้างพลังความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดในทุกมิติ ทั้งในโลกคู่ขนานออฟไลน์และออนไลน์ รวมพลังศักยภาพทุกด้านเพื่อสร้างนวัตกรรมความร่วมมือในรูปแบบใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่จะนำเสนอประสบการณ์ที่ล้ำค่าและแตกต่าง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนในอนาคต เป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนเพื่อเชื่อมต่อระบบนิเวศธุรกิจพรีเมียมระดับโลกของสยามพิวรรธน์ สร้างปรากฏการณ์เหนือระดับด้วยความคิดสร้างสรรค์และการรวมพลังศักยภาพกับพันธมิตร เพื่อให้ธุรกิจขยายไปได้อย่างไร้ขีดจำกัดทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

 

<img class="alignnone size-full wp-image-61116" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/4-อรดิศ-สนิทวงศ์-Group-Head-Corporate-Relations-and-CSR.jpg" alt="" width="450" height="450" />

อรดิศ สนิทวงศ์ Group Head - Corporate Relations and CSR บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด : Relationship Creator นักสร้างสรรค์ประสบการณ์เสริมสร้างความสัมพันธ์และภาพลักษณ์ที่ดี ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability) ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับการผนึกกำลังและความร่วมมือขององค์กร และพันธมิตรหลากหลาย เพื่อต่อยอดการสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

<img class="alignnone size-full wp-image-61117" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/5-ไมเคิล-ถัง-Managing-Director-Siam-Piwat-Simon.jpg" alt="" width="450" height="450" />

ไมเคิล ถัง Managing Director Siam Piwat Simon บริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด : Luxury Premium Outlets Creator นักสร้างสรรค์ประสบการณ์พรีเมียม เอ้าท์เล็ต สร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอสินค้าแบรนด์เนมหรูในราคาที่จับต้องได้ เป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์นักช้อปได้อย่างดีเยี่ยมและได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากลูกค้าคนไทย

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-61118" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/6-ธณพร-ตันติยานนท์-Group-Head-Siam-Paragon-World-Class-and-Luxury-Experience-Creator.jpg" alt="" width="450" height="450" />

ธณพร ตันติยานนท์ Group Head - Siam Paragon : World-Class and Luxury Experience Creator ผู้นำการสร้างสรรค์ประสบการณ์ลักซ์ซูรี่ระดับโลกที่ทำให้สยามพารากอนเป็นศูนย์การค้าที่สร้างความตื่นตาตื่นใจเป็น จุดมุ่งหมายที่จะได้มาเยือนของคนทั่วโลก และยึดมั่นในการนำเสนอประสบการณ์สุดเอ็กคลูซีพและล้ำเทรนด์ ทั้งด้านสินค้า การบริการ และกิจกรรมการตลาด ที่ตอบโจทย์การแปลี่ยนแปลงของเทรนด์โลก และพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า

&nbsp;

 <img class="alignnone size-full wp-image-61119" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/7-เอกวิทย์-ชัยวรานุรักษ์-Group-Head-Siam-Center-Siam-Discovery.jpg" alt="" width="450" height="450" />

เอกวิทย์ ชัยวรานุรักษ์ Group Head - Siam Center &amp; Siam Discovery : Idea Creator for Extraordinary Experiences นักสร้างสรรค์ประสบการณ์ด้านไอเดียความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สยามเซ็นเตอร์ครองความเป็นผู้นำเทรนด์ ศูนย์กลางแห่งความล้ำเทรนด์และทันสมัย เป็นสถานที่แจ้งเกิดของทุกวงการ ทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น ศิลปะ เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ และเป็นสถานที่ที่แบรนด์ดังทั้งในประเทศและต่างประเทศเปิดสาขาเป็นแห่งแรก สยามเซ็นเตอร์ถือเป็นหัวใจของวงการแฟชั่นที่ปฏิวัติวงการด้วยการนำคอนเซ็ปต์ Ideaopolis เมืองแห่งไอเดียล้ำเทรนด์ ศูนย์กลางแห่งจินตนาการและงานสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัด

 

<img class="alignnone size-full wp-image-61120" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/8-ปวีณา-คชเสนี-Director-of-Siam-Discovery-Business-Group.jpg" alt="" width="450" height="450" />

ปวีณา คชเสนี Director of Siam Discovery Business Group : Personalized Experience Creator ผู้นำสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ตอบโจทย์การแสวงหาตัวตนและเอกลักษณ์เฉพาะตัว สยามดิสคัฟเวอรี่ไม่ได้เป็นแค่ศูนย์การค้า แต่เป็นสถานที่นำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่ สร้างแรงบันดาลใจ เป็นศูนย์กลางหลอมรวมไอเดียที่พร้อมสนองต่อเทรนด์ต่าง ๆ และตอบรับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ด้วย Discovery Lab นำเสนอสินค้าภายใต้ธีมและเรื่องราวความสนใจของผู้คนตามรสนิยมเฉพาะตัว Ecotopia แหล่งรวมสินค้ารักษ์โลกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ล่าสุดนำแบรนด์ไทยขยายฐานกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างประเทศภายใต้คอนเซ็ปต์ Discover Siam ชูสินค้าคนไทยให้เติบโตจาก Local Hero ก้าวสู่ Global Hero

 

<img class="alignnone size-full wp-image-61121" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/9-โสภิดา-กิติโกมลสุข-Group-Head-of-Marketing-Event-and-Business-Relations.jpg" alt="" width="450" height="450" />

โสภิดา กิติโกมลสุข Group Head of Marketing Event and Business Relations, ICONSIAM : Global Event Creator นักสร้างสรรค์ประสบการณ์งานอีเว้นท์ระดับโลก หนึ่งในดรีมทีมที่ร่วมออกแบบคอนเซ็ปต์งานเปิดเมืองไอคอนสยามและงานเคาท์ดาวน์ ผ่านการทำงานร่วมกับสุดยอด 7 ออร์แกไนเซอร์ชั้นนำของไทย ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน รวมถึงทีมงานระดับโลกที่ร่วมใช้โดรนเพื่อการแสดงสร้างสีสันสุดอลังการริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกในเมืองไทย ทำให้ไอคอนสยามเป็น Talk of the World เป็นที่รู้จักทั่วโลกในชั่วข้ามคืน เป็น Showcase ผลักดันให้คนไทยก้าวขึ้นสู่เวทีโลกได้สำเร็จ

&nbsp;

 <img class="alignnone size-full wp-image-61122" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/10-ศุภริศร์-เนตรเขียน-Group-Head-Public-Relations.jpg" alt="" width="450" height="450" />

ศุภริศร์ เนตรเขียน Group Head - Public Relations บริษัท ซูพรีโม จำกัด : Brand Reputation Creator นักสร้างสรรค์ประสบการณ์ด้านการสื่อสารที่ถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จโด่งดังระดับโลก ร่วม Co-create สร้างปรากฏการณ์ระดับทอล์กออฟเดอะทาวน์ นับตั้งแต่การเปิดตัวโฉมใหม่ของสยามเซ็นเตอร์ The Ideaopolis สยามดิสคัฟเวอรี่ The Exploratorium ทำให้ทุกศูนย์การค้าของ ONESIAM เป็นหนึ่งใน Global Destination ที่ผู้คนทั่วโลกใฝ่ฝันที่ได้มาเยือน

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-61123" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/11-ณัฎฐา-พิจิตรพลากาศ-Group-Head-Integrated-Marketing-Communications.jpg" alt="" width="450" height="450" />

ณัฎฐา พิจิตรพลากาศ Group Head - Integrated Marketing Communications, ICONSIAM : Content Creator for Extraordinary Experiences นักสร้างสรรค์ประสบการณ์นำไทยสู่เวทีโลก ออกแบบการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้และสร้าง Brand Vision ด้วยหลักการให้ยึดลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง รวบรวมคอนเทนท์ทั้งในเชิงศิลปะ ประเพณีท้องถิ่น นวัตกรรม สถาปัตยกรรมระดับโลก ประสบการณ์เหนือระดับในการช้อปปิ้ง และความบันเทิงได้อย่างลงตัว จนทำให้ไอคอนสยาม เป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจคนไทยและชาวต่างต่างชาติ และทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงและสง่างามบนเวทีโลก

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/property/%e0%b8%aa%e0%b8%ab%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b9%82%e0%b8%ae%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b9%89.html">“สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง” ทุ่ม 500 ล้าน ผุด เจพาร์ค เฟส 2</a>

<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
&nbsp;

สยามพิวรรธน์ เปิดตัว "The Visionary ICON" 11 ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจ

<h2>สยามพิวรรธน์  นำโดย วันสยาม และไอคอนสยาม ร่วมกับ Rabbit Card และ  Rabbit Rewards เปิดเกมรุกปลายปี ด้วย VIZ Rabbit Card สุดยอด Loyalty Program ที่สามารถใช้จ่ายค่าเดินทางและช้อปปิ้งสินค้ารับสิทธิประโยชน์ทวีคูณ ภายใต้กลยุทธ์ Collaboration to Win</h2>
บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารโกลบอลเดสติเนชั่นกลุ่ม “วันสยาม” ผนึกกำลังศูนย์การค้าระดับโลก ได้แก่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ และหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของโครงการ ไอคอนสยาม ประกาศความร่วมมือกับพันธมิตร เปิดตัวบัตร VIZ Rabbit Card ผสานศักยภาพศูนย์การค้าในกลุ่มสยามพิวรรธน์ กับ Rabbit Card และ Rabbit Rewards เป็นครั้งแรกของโลก

สรัลธร อัศเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานบริหารสมาชิก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า นอกเหนือจากแผนกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและมหกรรมอีเว้นท์ส่งท้ายปี บริษัทยังเดินหน้าผนึกกำลังกับพันธมิตรระดับผู้นำของอุตสาหกรรมการขนส่งอย่างกลุ่มบีทีเอส โดยร่วมกับ Rabbit Card และ Rabbit Rewards ผสานศักยภาพมอบสิทธิ์ประโยชน์เพิ่มเติมให้กับลูกค้าสมาชิกทั้ง 2 องค์กร ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ Collaboration to Win พร้อมมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งเหนือระดับให้ลูกค้าตั้งแต่ที่บ้านและภายในศูนย์อย่างครบวงจรของ Customer Journey ในทุกมิติ

“วันสยาม และไอคอนสยาม คือ โกลบอลเดสติเนชั่นที่เป็นหนึ่งของประเทศไทย ที่มีผู้เข้ามาจับจ่ายและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในศูนย์การค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยามเป็นศูนย์รวมของทุกสรรพสิ่งสำหรับทุกคนในครอบครัว ครบครันทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งยังมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งเหนือระดับสำหรับลูกค้าทุกคน โดยมุ่งสร้างความแปลกใหม่และสร้างความแตกต่าง (Be the First &amp; Differentiate)” สรัลธร กล่าวถึงโจทย์ในการมอบสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้นให้ลูกค้าสมาชิกบัตร VIZ

<img class="alignnone wp-image-37876 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/VIZ-Rabbit-Card-ลายสวยงาม-01.jpg" alt="สยามพิวรรธน์ " width="600" height="379" />

ด้าน กวีวัฒน์ สินเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานบริหารสมาชิก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตร VIZ Rabbit Card ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Ricardo Cavolo ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานร่วมกับแบรนด์ระดับเวิลด์คลาสนำเสนอคอลเลคชันพิเศษ 3 ลาย พร้อมอีกหนึ่งลวดลายเป็นแพกเกจสำหรับซองใส่บัตร และกระเป๋าผ้า Tote Bag ซึ่งแต่ละลวดลายสื่อถึงมุมของศิลปินที่มีต่อไลฟ์สไตล์อันหลากหลายที่ร้อยเรียงขึ้นเป็นเรื่องราวของผู้คนที่เข้ามาใช้ชีวิตใน สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการนำเสนอความแปลกใหม่ให้ชีวิต

นอกจากนั้น การจับมือกับพันธมิตรดังกล่าวยังสามารถช่วยขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและเพิ่มจำนวนสมาชิก VIZ ได้ โดยวางเป้าหมายสมาชิกวันสยามและไอคอนสยามเพิ่มขึ้นอีก 100,000 คนจาก 610,000 คนเป็น 710,000 คนในปี 2563 และจะเพิ่มเป็นจำนวน 870,000 คน ภายในปี 2564

ขณะที่ รัชนี แสนศิลป์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก สมาร์ท การ์ด ซิสเทม ในฐานะ บริหาร Rabbit Card กล่าวว่า  “การร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่บัตรแรบบิท ได้จับมือกับผู้นำด้านธุรกิจรีเทลและศูนย์การค้าวันสยามและไอคอนสยาม ที่เป็นเดสติเนชั่นหลักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และรู้สึกยินดีมากที่บัตรแรบบิท ได้รับเกียรติจากศิลปินระดับโลกในการการวาดลวดลายสุดพิเศษนี้ลงบนบัตรของเรา และในความพิเศษนี้เองที่ทำให้ผู้ถือบัตร VIZ Rabbit ทุกใบมั่นใจได้ว่าจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่บัตรแรบบิทของเรามีให้กับผู้ถือบัตรอยู่แล้วอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางหรือซื้อสินค้าและบริการ พร้อมสิทธิพิเศษที่มากกว่าด้วยคะแนนจากแรบบิทรีวอร์ดส x2 ทันที เพียงแค่นำบัตร VIZ Rabbit นี้ ไปลงทะเบียนเป็นสมาชิกแรบบิทรีวอร์สดก่อนการใช้งาน”

ส่วน ภคินท์ พัฒนวรเมธ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท แรบบิท รีวอร์ดส จำกัด ย้ำความพิเศษของความร่วมมือในการบมอบสิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิก Rabbit Rewards และ สมาชิก VIZ ซึ่งผูกบัญชีเชื่อมต่อข้อมูลบัตรถึงกัน โดยจะได้รับคะแนนพิเศษสะสม 2 ต่อ และสามารถนำคะแนนสะสมแลกของรางวัลที่ได้ทั้ง 2 โปรแกรม ซึ่งถือเป็น Loyalty Program ที่มอบสิทธิประโยชน์ให้ผู้ถือบัตรแรบบิต ซึ่งเป็นบัตรหลักของผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยปัจจุบันมีสมาชิก Rabbit Rewards กว่า 5.1 ล้านสมาชิก

“การจับมือของวันสยามกับพันธมิตรสำคัญ คือ Rabbit Card และ Rabbit Rewards เป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจครั้งสำคัญของธุรกิจรีเทลอีกครั้ง ตอกน้ำกลยุทธ์ที่มุ่งผสานศักยภาพความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนจุดแข็งของแต่ละองค์กร สร้างประโยชน์สูงสุดให้เกิดแก่ผู้บริโภค ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำของลูกค้าทุกวันเพื่อสร้างความสุขและแรงบันดาลใจเสมือนเพื่อนที่รู้ใจในทุกที่ทุกเวลา สยามพิวรรธน์ขอยืนหยัดในการคัดสรรนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้าทุกๆ คน” ผู้บริหารสยามพิวรรธน์ กล่าวเสริม

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%a5-sea-%e0%b9%82%e0%b8%95%e0%b9%80%e0%b8%a3.html">เศรษฐกิจดิจิทัล “SEA” โตเร็วแต่ขาดบูรณาการ</a>
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>

สยามพิวรรธน์ จับมือ บัตรแรบบิท เปิดตัว VIZ Rabbit Card ครั้งแรกของโลกค้าปลีก

<h2>เจาะลึกแนวคิด "สยามพิวรรธน์" ศูนย์การค้ายักษ์ใหญ่ในสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ดันกลยุทธ์ “ร่วมกันสร้างสรรค์” และ “สร้างคุณค่าร่วมกันทุกฝ่าย“ เพื่อการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน</h2>
ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน  สยามเซ็นเตอร์  สยามดิสคัฟเวอรี่ และพันธมิตรเจ้าของโครงการไอคอนสยาม เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ทำให้ทุกองค์กรต้องเร่งที่จะพัฒนาและยกระดับการดำเนินงานเพื่อตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้บริโภคเช่นเดียวกับธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะศูนย์การค้าที่ต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม สยามพิวรรธน์เชื่อมั่นในแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนจำนวนมากนับตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งในปี 2502 และยกให้เป็นหนึ่งในปณิธานหลักของบริษัทในการพัฒนาโครงการให้เป็นรูปแบบธุรกิจเพื่อส่วนรวมที่สร้างคุณค่าต่อผู้คน ชุมชนสังคมและประเทศชาติ ส่งผลให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการดำเนินกลยุทธ์ธุรกิจ “ร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) และการสร้างคุณค่าสร้างประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย (Creating Shared Values)” ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาคนจากภูมิปัญญาไทยและความคิดสร้างสรรค์ส่งต่อประโยชน์ให้กับคนจำนวนมากในสังคมไทยและทั่วประเทศตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม

“โครงการที่สยามพิวรรธน์ริเริ่มปลูกฝังแนวคิดการส่งต่อประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้คนเป็นวงกว้าง สร้างความยั่งยืนในทุกมิติ มีการพัฒนาและต่อยอดให้เกิดความสำเร็จร่วมกัน ไม่ใช่เป็นเพียงการทำกิจกรรมเพียงครั้งคราวแล้วจบไป สยามพิวรรธน์ทำงานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เพื่อที่จะสร้างรูปแบบธุรกิจต่างๆ ของการค้าปลีกที่ได้มีโอกาสใช้ธุรกิจและสถานที่ของสยามพิวรรธน์เป็นเวทีของการนำเสนอสินค้าและบริการในหลากหลายประเภท” ชฎาทิพ ย้ำถึงโมเดลธุรกิจการสร้างความยั่งยืนที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

<figure><img class="wp-image-34156 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/5-SookSiam-Map.jpg" alt="สยามพิวรรธน์" width="600" height="316" /><figcaption> ภาพร่างของ สุขสยาม</figcaption></figure>

นอกจากนั้น บริษัทยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมพัฒนาธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องการขายและการตลาดสมัยใหม่ สร้างกระบวนการในการเรียนรู้การทำธุรกิจและออมเงินสำหรับผู้ประกอบการนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมทั้งหาพันธมิตรจากสถาบันการเงินต่างๆ มาให้ความรู้เรื่องการออมและการลงทุน เพื่อผลักดันให้ Local Hero เติบโตไปสู่การเป็น Global Hero ต่อยอดสู่การค้าขายในเวทีโลก

สำหรับโครงการที่บริษัทได้ริเริ่มเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อย เช่น โครงการไอคอนคราฟต์ (ICONCRAFT) บนพื้นที่ 2,500 ตารางเมตร ซึ่งได้รวบรวมผลงานจากช่างฝีมือไทยทั่วประเทศที่ใหญ่ที่สุด และเชิดชูภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยในมุมมองใหม่ลงบนงานหัตถศิลป์ โครงการ ไอคอนคราฟต์  เพื่อให้ช่างฝีมือและผู้ประกอบการรายย่อยมากกว่า 500 รายได้มีโอกาสได้ก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจแบบโมเดิร์นเทรด โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับด้านการสร้างแบรนด์ การตลาด และการจัดการด้านการเงินต่างๆ ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการหลายรายสามารถขยายธุรกิจและได้รับการติดต่อให้นำสินค้าไปวางจำหน่ายในต่างประเทศด้วย

<img class="alignnone wp-image-34158 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/ICONCRAFT.jpg" alt="สยามพิวรรธน์" width="600" height="248" />

ขณะเดียวกันโมเดลศูนย์การค้าในอนาคตยังควรให้ความสำคัญกับด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน เช่น โครงการ Ecotopia หรือเมืองแห่งคนรักษ์โลก  ซึ่งเป็นอีโค่คอมมูนิตี้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ด้วยความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างความสมดุลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และตอบสนองไลฟ์สไตล์อีโค่ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีสุขภาพดีและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน รวมถึงไลฟ์สไตล์  Sustainable Living ซึ่งรวมสินค้าที่ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สินค้าที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ และรีไซเคิลได้ พร้อมทั้งการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อรณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และจัดโซนที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยมากกว่า 300 แบรนด์ ได้นำงานฝีมือและภูมิปัญญาชาวบ้านที่สร้างสรรค์จากวัตถุดิบธรรมชาติเพื่อสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชน

“พื้นที่ Ecotopia เกิดจากการสร้างสรรค์ และความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้นำด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสาขาต่างๆ รวม 12 ท่าน ที่ได้ร่วมกันรังสรรค์พื้นที่ของคนรุ่นใหม่ที่ปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแห่งความสุขที่เติบโตอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้นบนโลก สร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและธรรมชาติ”

<img class="alignnone wp-image-34157 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/Ecotopia.jpg" alt="สยามพิวรรธน์" width="600" height="412" />

ชฎาทิพกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างเวทีที่เปิดโอกาสการดำเนินธุรกิจและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่ความยั่งยืน ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการผ่านสุขสยาม ซึ่งย้ำชัดถึงแนวคิดร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) และการสร้างคุณค่าสร้างประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย (Creating Shared Values) ด้วยการรวบรวมผู้ประกอบการท้องถิ่นและช่างฝีมือกว่า 3,000 ราย จากทุกจังหวัดทั่วประเทศมานำเสนอสุดยอดผลิตภัณฑ์ไทยจนเกิดเป็นกลไกของระบบนิเวศทางการค้า (commercial ecosystem) ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นอกจากนั้น ศูนย์การค้ายังสามารถร่วมกันสร้างประโยชน์เพื่อส่วนรวมได้ ด้วยพื้นที่ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถต่อยอดการพัฒนาสินค้าของแต่ละชุมชนให้ดียิ่งขึ้น และเป็นเวทีในการเรียนรู้กลไกการค้าปลีกและค้าส่งสู่ต่างประเทศ รวมถึงการตลาดรูปแบบใหม่อย่างครบวงจร (Omni Channel) และการบริหารจัดการสินค้าโดยมีผู้เกี่ยวข้องทั่วประเทศ และผู้ได้รับประโยชน์ในวงกว้าง เช่น การจัดตั้ง Sook Siam Academy สร้างผู้ประกอบการในสุขสยามให้เป็นครูถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับผู้ประกอบการรุ่นต่อไปอย่างยั่งยืน ซึ่งผ่านมาบริษัทได้มีส่วนร่วมผลักดันธุรกิจขนาดเล็กหลายรายให้สามารถดำเนินธุรกิจในต่างประเทศได้สำเร็จและมีเงินทุนในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

“โครงการเหล่านี้คือเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่เราเชื่อว่าการร่วมกันรังสรรค์ สร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย คือหัวใจหลักที่จะพัฒนาคนและสร้างสมดุลของระบบนิเวศทางการค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่จะทำให้ทุกคนในสังคมสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ชฎาทิพกล่าวปิดท้าย

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/property/%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%a5%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%88-%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b9%8c-%e0%b8%9b.html">เกษรวิลเลจ เปิดกลยุทธ์ปรับคอนเซ็ปต์ย้ำผู้นำไฮเอนด์ไลฟ์สไตล์เออร์บันวิลเลจ</a>

<article id="post-34018" class="post-34018 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-891 tag-11994 tag-11992 tag-1970 tag-11993">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>
</article>

สยามพิวรรธน์ เดินหน้าปั้นโมเดลค้าปลีกอนาคต

"ไมเคิล ถัง" เตรียมความพร้อม "สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพฯ" ในวันที่น่านฟ้าเปิด

<h2>ห้างสรรพสินค้าไทย ชูแผน New Normal เตรียมความพร้อมหลัง ศบค. พิจารณามาตรการผ่อนคลายระยะที่ 2 ในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ ร่วมใจนำอุตสาหกรรมค้าปลีกของไทยมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท กลับคืนมา</h2>
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกโดยยอดค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาและจีน ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ลดลงต่อเนื่อง 20-25% ด้าน EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดว่ามูลค่าธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยจะหายไปกว่า 5 แสนล้านบาท

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 (ศบค.) เตรียมพิจารณามาตรการผ่อนคลายระยะที่ 2 ซึ่งการเปิดห้างสรรพสินค้าเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะค้าปลีกถือเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีแรงงานเกี่ยวข้องมากกว่า 10 ล้านคน

ทำให้ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าแต่ละรายต้องเตรียมมาตรการชุดใหญ่ วางแผนการเปิดให้บริการอย่างละเอียด รัดกุม และเข้มข้นที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ให้เกิดการระบาดระลอกสอง หากมีการผ่อนคลายให้เปิดห้างสรรพสินค้าได้ในวันที่ 17 พฤษภาคม นี้

<img class="alignnone size-full wp-image-29857" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/3-TOUCHLESS-SOCIETY-06_01.jpg" alt="" width="600" height="400" />
<h2>กลุ่มเดอะมอลล์งัด 100 มาตรการ</h2>
เกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดิ เอ็มโพเรี่ยม กรุ๊ป และกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด  กล่าวว่า ที่ผ่านมา นอกจากผู้ประกอบการค้าปลีกจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว การระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ที่เรียกว่า NEW NORMAL ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ

ยกตัวอย่างเช่น การใส่ใจในเรื่องของสุขภาพของผู้บริโภคที่มากขึ้น การใส่หน้ากาก ตรวจวัดอุณหภูมิกลายเป็นเรื่องปกติ การเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นเรื่องที่ต้องปฎิบัติทุกคน รวมถึง Digital life ที่ดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตของคนทุกคน ระบบการจ่ายเงินแบบ TOUCHLESS PAYMENT

สิ่งเหล่านี้เป็นหลักสำคัญในการบริหารศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในยุคใหม่ ที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยของศูนย์การค้า ร้านค้า ผู้บริโภคและพนักงานเป็นอันดับแรก จึงจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้

จากแนวโน้มที่เกิดขึ้น กลุ่มเดอะมอลล์ได้คิดค้นและพัฒนามาตรการต่างๆ ให้สอดรับกับ NEW NORMAL เป็นประสบการณ์ช้อปปิ้งไลฟ์สไตล์ใหม่ ภายใต้แนวคิด “TMG TOUCHLESS SOCIETY หรือสังคมไร้สัมผัส” ประกอบด้วย 5 มาตรการหลัก 34 มาตรการย่อย สำหรับลูกค้า และ 6 มาตรการเสริม 66 มาตรการย่อย สำหรับ 5 กลุ่มธุรกิจ รวมทั้งหมด 100 มาตรการ นับตั้งแต่ลูกค้าเข้าศูนย์การค้า จนถึงการใช้บริการในส่วนต่างๆ ของห้างสรรพสินค้า

เช่น บริการไร้สัมผัส (TOUCHLESS FACILITIES) สแกนเพื่อจอดรถไม่ต้องสัมผัส บริการกดลิฟท์ บริการช้อปปิ้งแบบไร้เงินสด การเช็คอินอย่างเข้มข้นผ่านการลงทะเบียนเช็คอินและเช็คเอาท์ มาตรการลดความแออัด มาตรการสุขอนามัยเชิงรุก มาตรการเฝ้าระวังติดตาม เป็นต้น

สำหรับพนักงาน ผู้ให้บริการต้องมีมาตรการด้านสุขอนามัยอย่างเข้มข้น ตั้งแต่มีใบรับรองแพทย์ ตรวจวันอุณหภูมิวันละ 2 ครั้ง มาตรการทำความสะอาด ณ จุดขาย การจำกัดลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในแต่ละเคาน์เตอร์ เป็นต้น

<img class="alignnone size-full wp-image-29858" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/5-COMPREHENSIVE-INFORMATION-TRACKING-01_01.jpg" alt="" width="600" height="400" />
<h2>สยามพิวรรธน์ปั้นรีเทลโมเดลใหม่</h2>
ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัพเวอรี่ และพันธมิตรของโครงการไอคอนสยาม กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไปในทุกด้า

ธุรกิจรีเทลต้องปรับตัวก้าวสู่โมเดลใหม่ เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าในโลกอนาคตอย่างยั่งยืน เป็นระบบนิเวศน์ใหม่ของธุรกิจค้าปลีกที่จะสร้างความสุขให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บริโภค ผู้ประกอบการร้านค้า หรือกลุ่มผู้ค้าย่อย ชุมชน สังคม และประเทศชาติ

สำหรับกลุ่มสยามพิวรรธน์ เตรียมการเปิดให้บริการศูนย์การค้า ภายใต้แนวคิด “New Beginning – New Smile” เป็นการสร้างสังคมค้าปลีกในลักษณะไทยช่วยไทยเพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มให้ผู้ประกอบการที่ขาดรายได้ ต้องการความช่วยเหลือ โดยไม่คิดค่าเช่าพื้นที่ พร้อมนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบสนองชีวิตวิถีใหม่ เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพและรักษาสุขอนามัย สินค้าที่ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมี หรือสินค้าออร์แกนิค ที่มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สินค้าที่ผลิตจากวัสดุเหลือใช้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ได้สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งใหม่ที่ผสานทุกช่องทาง หรือ Omni Channel Shopping โดยถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งลักชัวรี่แบรนด์ผ่าน S-commerce ด้วยบริการ “Luxury Chat &amp; Shop” รวมถึงบริการ OneSiam &amp; ICONSIAM Chat &amp; Shop ช่องทางนำเสนอสินค้าในชีวิตประจำวัน

การบริการ Call &amp; Pick Up บริการสั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากกูร์เมต์มาร์เก็ต รวมถึงบริการ Eat@Home และ Eat@Condo สำหรับร้านอาหารในสยามพารากอนและไอคอนสยาม

ขณะที่มีมาตรการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าที่มาใช้บริการด้วยมาตรการสุขอนามัยและความปลอดภัยด้วยนวัตกรรมสร้างสรรค์ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากขึ้น ผ่านแอปพลิเคชัน หรือ QR Code มาตรการความปลอดภัยของศูนย์การค้า โดยใช้เทคโนโลยีในการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ เช่น ประตูพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ หุ่นยนต์อัจฉริยะ True5G Temi Thermal Scan AutoBot เป็นต้น

<img class="alignnone size-full wp-image-29859" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/11.เครื่องช่วยวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ_02.jpg" alt="" width="600" height="486" />
<h2>เซ็นทรัลชูยุทธศาสตร์ 5 พร้อม</h2>
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัลได้ประกาศแผน “ยุทธศาสตร์ 5 พร้อม” เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมค้าปลีกของไทยมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท ให้ขับเคลื่อนอีกครั้ง พร้อมทั้งเร่งกระจายรายได้ให้กับคนไทยทุกระดับตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และเอสเอ็มอีไทยกว่า 4.5 แสนราย รวมถึงแรงงานที่เกี่ยวข้องกว่า 19 ล้านคนกลับเข้าสู่ระบบ ผ่าน Central Retail &amp; Service Platform ที่ให้ความสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1.ความสะอาดและสุขอนามัย และ 2. การฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก

สำหรับยุทธศาสตร์ 5 พร้อม ประกอบด้วย

1.พร้อม…พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ด้วยการช่วยเหลือครบวงจร โดยเฉพาะการดึงแรงงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 19 ล้านคนกลับเข้าสู่ระบบ เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ผ่านช่องทางค้าปลีกทั้งหมดของกลุ่มเซ็นทรัล รวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

2.พร้อม…ยกระดับและชูมาตรฐานความสะอาดต่อยอดความแข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขไทย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขั้นสูงสุด เช่น มาตรการฆ่าเชื้อ การจำกัดคนเข้าศูนย์ 1 คนต่อ 5 ตารางเมตร มาตรฐานด้าน Trace &amp; Tracking

3.พร้อม…ใช้นวัตกรรมสร้างประสบการณ์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุค Seamless &amp; Contact-Free Economy เช่น ระบบ Central Retail Smart FIN ด้วยแอปพลิเคชัน Dolfin ระบบ Digital Voucher

4.พร้อม…ต้อนรับและให้บริการลูกค้าทุกช่องทางในยุค NEW NORMAL ประสบการณ์ช้อปปิ้งในทุกช่องทาง

5.พร้อม…เร่งเครื่องแพลตฟอร์ม Central Retail &amp; Service อย่างเต็มที่ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วน ได้แก่ การขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในส่วนที่สำคัญต่อธุรกิจ สร้างแพลตฟอร์มสำหรับคู้ค้า ซัพพลายเออร์ และเอสเอ็มอี เพื่อสนับสนุนเกษตรและเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถใช้ประโยชน์ได้

นี่คือมาตรการส่วนหนึ่งของ 3 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของประเทศ ที่นำเสนอออกมาเพื่อให้ภาครัฐพิจารณาประกอบแผนเปิดให้บริการศูนย์การค้าในวันที่ 17 พฤษภาคม นี้ และหากสามารถดำเนินการได้โดยไม่ก่อให้เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 รอบสอง ไทยจะกลายเป็นโมเดลใหม่สำหรับศูนย์การค้าทั่วโลก
คลิกอ่าน: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-new-normal-%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87-6-%E0%B8%82.html">บสย.ปรับองค์กรรับ New Normal วาง 6 ขุนพลเสริมแกร่งค้ำประกันสินเชื่อ</a>


<hr />

<article id="post-29253" class="post-29253 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-covid-19 tag-11199 tag-11378">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail"><article id="post-28930" class="post-28930 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-news category-other tag-covid-19 tag-2543 tag-3025 tag-11235">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</article></div>
</article>

3 ยักษ์ใหญ่ ห้างฯ ไทย ชูแผน New Normal พร้อมรับมาตรการจากรัฐ

ครบ 1 ปี "ไอคอนสยาม" ชูความสำเร็จ Game Changer เศรษฐกิจริมเจ้าพระยา-ฝั่งธนฯ

<h2>ชฎาทิพ จูตระกูล ถอดรหัสค้าปลีกยุคใหม่ มุ่งสร้าง..เมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์</h2>
“One Siam” คือชื่อที่ผู้บริหารสยามพิวรรธน์ ใช้เรียกขานธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มสยามที่ประกอบด้วย 3 ศูนย์การค้าหลักในโซนสยาม ที่ประกอบด้วย สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และสยามพารากอน ศูนย์กลางแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่รู้จักดีทั้งผู้บริโภคชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก่อนจะบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เมื่อขยายมาร่วมทุนเปิดบิ๊กโปรเจค “เมืองไอคอนสยาม” เมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา

จากจุดเริ่มต้นถึงวันนี้ สยามพิวรรธน์สร้างการเติบโตผูกพันกับธุรกิจศูนย์การค้าในไทยมายาวนานถึง 60 ปี เป็น 6 ทศวรรษที่สร้างความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการที่น่าสนใจให้กับธุรกิจค้าปลีกไทย พร้อมก้าวมายืนแถวหน้าสร้างชื่อสร้างการยอมรับธุรกิจศูนย์ค้าปลีกไทยในเวทีระดับนานาชาติ

“วันนี้สยามพิวรรธน์ก้าวข้ามการแข่งขันภายในประเทศ ไปสู่การแข่งขันบนเวทีโลก ซึ่งเต็มไปด้วยการต่อสู้ที่เข้มข้น เรามีความภาคภูมิใจบนจุดยืนของเราที่เป็นผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

ประโยคข้างต้น คือโจทย์สำคัญทางธุรกิจของสยามพิวรรธน์ในปัจจุบัน จากการประกาศวิสัยทัศน์ในแผนธุรกิจ 5  ปีของบริษัท โดยแม่ทัพหญิงคนแก่ง “ชฎาทิพ จูตระกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำหลักที่สร้างการเปลี่ยนแปลง สร้างการยอมรับธุรกิจค้าปลีกไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ จากการได้รับรางวัลระดับสากลในธุรกิจค้าปลีกเป็นครั้งแรก

โดยสยามดิสคัฟเวอรี่ ได้รับการยกย่องจาก สมาคมศูนย์การค้าโลก หรือ ICSC ว่าเป็นสุดยอดทางด้านดีไซน์การออกแบบอันล้ำสมัยประจำปี 2561  ขณะเดียวกันยังได้รับรางวัลสูงสุดจากเวที World Retail Award ในฐานะโครงการที่ออกแบบด้วยคอนเซปต์ดีที่สุดในโลก  ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ศูนย์การค้าไทยได้รับรางวัลชนะเลิศจากทั้งวงการศูนย์การค้าและการค้าปลีกของโลกพร้อมกัน

“เราดำเนินธุรกิจศูนย์การค้ามาแล้ว 60 ปี อีก 5 ปีข้างหน้าภารกิจของสยามพิวรรธน์ มุ่งมั่นจะเป็นผู้นำเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เพี่อนำไทยให้ยิ่งใหญ่บนเวทีโลก” ซีอีโอ สยามพิวรรธน์ ย้ำและว่า ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การทำธุรกิจศูนย์การค้าในอีก 5 ปีข้างหน้าย่อมเปลี่ยนไปเช่นกัน

สำหรับ สยามพิวรรธน์ มองว่าการพัฒนาศูนย์การค้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ การสร้างศูนย์และจัดพื้นที่ให้คนมาเปิดร้านขายของเพียงอย่างเดียวมัน Out of Date หรือล้าสมัยไปแล้ว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป การช้อปปิ้งอาจไม่จำเป็นต้องศูนย์การค้า ทุกวันนี้ช้อปปิ้งออนไลน์มีให้เลือกมากมาย จะทำอย่างไรให้ศูนย์การค้ายังเป็นคำตอบของผู้บริโภค จึงต้องสร้างเมืองที่เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับที่บริษัทได้ร่วมทุนพัฒนาโครงการ “เมืองไอคอนสยาม” ที่ถือเป็นโครงการ Co-Creation ความร่วมมือระดับประเทศ ดึงผู้ค้ารายย่อยจากต่างจังหวัดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ เพิ่มสีสันและทางเลือกแปลกใหม่ให้กับลูกค้าควบคู่กันไปด้วย

ดังนั้นโจทย์ของสยามพิวรรธน์จากนี้ไปอีก 5 ปี โครงการที่พัฒนาจะเป็นการสร้าง “เมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์” เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่พัฒนาบนที่ดินตั้งแต่ 50 ไร่ขึ้นไป ซึ่งในเบื้องต้นอยู่ระหว่างศึกษาเตรียมการลงทุน 3-4 แห่ง ซึ่งต้องร่วมกับพันธมิตรหลายฝ่าย เนื่องจากเป็นการสร้างเมืองขนาดใหญ่ ที่จะมีทั้งที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า แหล่งแฮงเอาท์ และศูนย์ประชุมนิทรรศการขนาดใหญ่

ดังเช่นพื้นที่ส่วนหนึ่งใน เมืองไอคอนสยาม ที่พัฒนาเป็น “ทรู ไอคอน ฮอลล์” (TRUE ICON HALL) ศูนย์ประชุมพร้อมนวัตกรรมล้ำยุคแห่งแรกในกรุงเทพฯ พร้อมรองรับบริการเทคโนโลยี 4G และ 5G บนพื้นที่กว่า 12,000 ตารางเมตร ที่สามารถรองรับการจัดงานประชุมระดับชาติ และจัดแสดงโชว์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ จะพร้อมเปิดบริการกลางปี 2562

 <img class="alignnone size-full wp-image-5538" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/ชฎาทิพ-จูตระกูล-02.jpg" alt="" width="638" height="388" />
<h2>เตรียมงบ 7 หมื่นล้านลุยบิ๊กโปรเจค</h2>
“เราเตรียมงบสำหรับการลงทุนใน 5 ปีข้างหน้าไว้ประมาณ 70,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งใหม่ และการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง” ชฎาทิพ เผยพร้อมย้ำว่าในอีก 5 ปีข้างหน้ารายได้รวมของสยามพิวรรธน์ จะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 1-1.5 เท่า จากฐานรายได้ล่าสุด ณ สิ้นปี 2561 ที่มียอดรายได้รวมกลุ่มสยามทั้ง 46 บริษัทที่ 2.55 หมื่นล้านบาท และทรัพย์สินรวม 4.5 หมื่นล้านบาท

รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากแผนลงทุนต่อเนื่อง 5 ปีที่เตรียมไว้ ซึ่งจะเน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในคอนเซ็ปท์ เมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คล้ายๆ กับเมืองไอคอนสยาม ซึ่งขณะนี้ได้มีการเจรจา เตรียมที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการดังกล่าวในกรุงเทพฯ 3-4 แปลง ที่ดูอยู่ในปัจจุบันมีขนาด 100 ไร่ขึ้นไป ในโซนตะวันออก, โซนเหนือ และในตอนกลางของกรุงเทพฯ ซึ่งจะสร้างเป็นเมืองการค้าที่เป็น Retail Destination โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกพื้นที่ และเฟ้นหาพันธมิตร

ขณะเดียวกันการพัฒนาศูนย์การค้าคอนเซ็ปท์ใหม่ก็ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง โดยโครงการล่าสุดที่คาดว่าจะเปิดบริการได้ภายในปลายปีนี้ คือ Luxury Premium Outlets แห่งแรกในกรุงเทพฯ ที่ใช้ชื่อว่า “Siam Premium Outlets” เป็นการพัฒนาที่ดิน 150 ไร่ ย่านมอเตอร์เวย์-ลาดกระบัง ร่วมกับ “ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” หรือ ไซม่อน บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯประเภทค้าปลีกรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกา เข้ามาร่วมทุนโดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปลายปีนี้ จากนั้นจะขยายไปเปิดต่างจังหวัดอีก 2 แห่ง

แผน 5 ปีกับเม็ดเงินลงทุนกว่า 7 หมื่นล้านบาท นอกจากการลงทุนในประเทศแล้ว ชฎาทิพ เผยว่า บางส่วนจะเป็นการขยายไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งยังคงมองลักษณะการร่วมทุนกับพันธมิตรเช่นเดียวกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา ทั้ง เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์ ประเทศเพื่อนบ้านในเออีซี ขณะนี้ยังมีความต้องการให้เราเข้าไปพัฒนาศูนย์การค้า แต่ระยะเวลาสำหรับการตัดสินใจลงทุนมีไม่นานนัก คาดว่าไม่เกิน 3 ปีหลังจากนั้นประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ก็จะได้รับการพัฒนา และไม่จำเป็นต้องพึ่งการลงทุนจากเราอีกต่อไป

<figure><img class="wp-image-5539 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/-จูตระกูล-03-e1552455041801.jpg" alt="" width="450" height="800" /><figcaption> ภาพจาก Siam Piwat</figcaption></figure>
<h2>เจาะบิ๊กดาต้าลูกค้านำร่องแผนลงทุน</h2>
ไม่เพียงแผนพัฒนาที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น ในอีก 5 ปีข้างหน้าสิ่งหนึ่งที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงให้ธุรกิจ คือการให้ความสำคัญกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่กลุ่มสยามมีจากฐานลูกค้าของศูนย์ค้าปลีกในเครือทั้งหมด ซึ่ง 3 ศูนย์การค้าในสยามมีฐานลูกค้าใช้บริการราวม 2-2.5 แสนคน/วัน และที่เมืองไอคอนสยามอีกราว 1.2-1.5 แสนคน/วัน และลูกค้าในฐานบัตรสมาชิกอีกรวมแล้ว 7-8 ล้านคน

“ข้อมูลที่ได้จากลูกค้า จะเป็นบอกได้ว่าเราควรขยายการลงทุนอะไร” ซีอีโอสยามพิวรรธน์ เผยและว่านี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจศูนย์การค้าเมื่อทราบว่า ลูกค้าที่มาเดินศูนย์ส่วนใหญ่ต้องการอะไร เลือกอะไรเพื่อการบริโภค ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากศูนย์การค้าทั้ง 4 แห่งของกลุ่มพบว่า ในเมืองไอคอนสยามลูกค้าที่มาเดิน 80% เป็นคนไทย และในจำนวนนี้เกินกว่าครึ่งเป็นลูกค้าใหม่ ซึ่งสะท้อนว่าการเปิดตลาดฝั่งธนประสบความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าใหม่ชัดเจน

ส่วนศูนย์การค้าในโซนสยามทั้ง 3 แห่ง ตัวเลขยังเหมือนเดิมคือจากลูกค้าราว 2 แสนคน/วัน จำนวน 65-70% เป็นลูกค้าคนไทย ที่เหลือ 30-35% เป็นลูกค้าต่างชาติ ซึ่งมีหลากหลายทั้งจีน อินเดีย กลุ่มประเทศ CLMV อินโดนีเซีย เกาหลี ซึ่งลูกค้าเหล่านี้เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ เป็นกลุ่มมี่เดินทางท่องเที่ยวเองหรือ FIT ไม่ได้มาเป็นกรุ๊ปทัวร์ กำลังซื้อค่อนข้างดี

ฐานข้อมูลลูกค้าเหล่านี้จะถูกนำมาประมวล เป็นแผนธุรกิจในอนาคตของสยามพิวรรธน์ สำหรับการพัฒนาเมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่เป็นมากกว่าศูนย์การค้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน

รายงานโดย อรวรรณ หอยจันทร์

&nbsp;

คลิกอ่าน:
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people/%E0%B8%8A%E0%B8%8E%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%9E-%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A5-ceo-%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7.html">ยอดสตรีแห่งสยาม </a>
</li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people-detail.php?did=355">ชฎาทิพ จูตระกูล The Icon of “Siam”</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people-detail.php?did=355">ชฎาทิพ จูตระกูล: ซีอีโอสยามพิวรรธน์</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people/power-women/%e0%b8%8a%e0%b8%8e%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%9e-%e0%b8%88%e0%b8%b9%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b9%e0%b8%a5-the-icon-of-siam.html">ชฎาทิพ จูตระกูล: จากศูนย์การค้าแห่งแรกในไทย สู่ mall ของคนทั้งโลก</a></li>
</ul>

ชฎาทิพ จูตระกูล ถอดรหัสค้าปลีกยุคใหม่

‘ไอคอนสยาม’ พร้อมยลโฉม 9 พฤศจิกายนนี้ ทุ่ม 1 พันล้านขนโชว์ศิลปินชื่อดัง-โดรน 1,500 ตัวจัดงานเปิดตัว

<h2>เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ คอนโดฯ ระดับซูเปอร์ลักเซอรีริมน้ำในโครงการ ไอคอนสยาม พัฒนาโดย MQDC ประกาศยอดขายทะลุ 70% ชี้เศรษฐีไม่หวั่นเศรษฐกิจ กำลังซื้อดีต่อเนื่อง ชะลอการขายหวังปั๊มราคาเพ้นท์เฮ้าส์หรูแตะ 7 แสนบาทต่อตร.ม.</h2>
วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า ปัจจุบันคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักเซอรี เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ของบริษัท มูลค่า 9,000 ล้านบาท จำนวน 146 ยูนิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูส ไอคอนสยาม ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บนถนนเจริญนคร คอนโดฯ แห่งนี้ได้สร้างยอดขายไปถึง 70% แล้ว หลังจากเปิดตัวมา 2 ปี ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาดหมาย

<figure><img style="width: 680px; height: 443px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ccfb0cde75ece0a2383e8884c75233c2.png" alt="" width="680" height="443" /><figcaption> เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ</figcaption></figure>

โดยเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เปิดตัวด้วยราคาเฉลี่ยห้องชุดทั่วไป 3.5 แสนบาทต่อตร.ม. ปัจจุบันมีการปรับขึ้นราคาประมาณ 4% เพิ่มเป็น 3.8 แสนบาทต่อตร.ม. และสำหรับห้องชุดเพ้นท์เฮ้าส์ ราคาเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 5.5-6.2 แสนบาทต่อตร.ม.

แผนการขายหลังจากนี้ จะเริ่มรื้อเซลส์แกลลอรี่ลงในเดือนพฤษภาคม เพื่อรอก่อสร้างเซลส์แกลลอรี่แห่งใหม่ในอาคารคอนโดฯ ซึ่งมีความคืบหน้าการก่อสร้างคิดเป็น 28% โดยคาดว่าคอนโดมิเนียมเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ จะสร้างเสร็จราวเดือนสิงหาคมปี 2561

ในระหว่างนี้โครงการยังเปิดขายตามปกติ แต่จะชะลอการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ เนื่องจากมองว่าการก่อสร้างของส่วนรีเทลในโครงการไอคอนสยามมีความคืบหน้ามาก และหากเริ่มเปิดใช้บริการศูนย์การค้าจะยิ่งทำให้การปรับราคาคอนโดฯ ทำได้ดีขึ้น เชื่อว่าสามารถปรับราคาขึ้นได้อีก 5-10% โดยเฉพาะห้องเพ้นท์เฮ้าส์ซึ่งมีเหลือเพียง 5 ยูนิต อาจแตะระดับราคา 7 แสนบาทต่อตร.ม.ได้

<figure><img style="width: 340px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/038d97ca6ae6392d595399e11e112173.png" alt="" width="340" height="453" /><figcaption> โมเดลอาคาร เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ</figcaption></figure>

วิสิษฐ์ กล่าวต่อว่า ตลอดการเปิดขายคอนโดฯ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ พบว่าการขายไม่เคยชะลอตัวลง สามารถขายได้ 2-5 ยูนิตต่อเดือนอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นว่าแม้สภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวมซึมลงในหลายปีที่ผ่านมา แต่กำลังซื้อระดับบนยังดีอยู่ เพียงแต่ลูกค้ามีความพิถีพิถันในการเลือกซื้อ ใช้เวลาในการตัดสินใจพอสมควร

ด้าน ภีชภัตธา ผกากาญจน์ ผู้ช่วยรองประธานกรรมการ ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า ห้องชุดเหลือขายปัจจุบันแบ่งเป็น ห้องชุดแบบ 2-3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 127-228 ตร.ม. ราคา 50-80 ล้านบาท และห้องชุดแบบเพ้นท์เฮาส์และเพ้นท์เฮาส์ดูเพล็กซ์ ไซซ์ 380-707 ตร.ม. ราคา 200-450 ล้านบาทต่อห้อง เหลือเพียง 5 ยูนิตสุดท้าย โดยมีลูกค้า 2 รายที่กำลังให้ความสนใจซื้ออยู่ขณะนี้

<figure><img style="width: 680px; height: 510px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f29658d3c0df500ef5c2150908535918.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ภีชภัตธา ผกากาญจน์ ผู้ช่วยรองประธานกรรมการ ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) </figcaption></figure>

ทั้งนี้ คอนโดฯ แรกในโครงการไอคอนสยาม คือ แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2557 และปิดการขายไปแล้วนั้น มีการซื้อขายใบจองในกลุ่มลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก ทำให้ราคาจากช่วงเปิดตัว 2.4-2.5 แสนบาทต่อตร.ม. ขึ้นมาเป็น 2.8 แสนบาทต่อตร.ม. สะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมโครงการไอคอนสยาม ซึ่งเป็นมิกซ์ยูสระดับแลนด์มาร์กของไทย สามารถดันราคาห้องชุดเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

<figure><img style="width: 680px; height: 330px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d0a82fb57a1050d34a7079d75b10aa48.png" alt="" width="680" height="330" /><figcaption> ภายในห้องชุดตัวอย่างแบบ 2 ห้องนอน</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 510px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/07ef9edd02cb5fb2508b64eab83bdc5b.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> ความคืบหน้างานก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนสิงหาคม 2561</figcaption></figure>

Forbes in Details
<ul>
 	<li>ไอคอนสยาม เป็นโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 50 ไร่ ร่วมทุนกันระหว่าง สยามพิวรรธน์ เครือซีพี และ MQDC มูลค่าโครงการกว่า 5 หมื่นล้านบาท ภายในประกอบด้วยศูนย์การค้า หอประชุมและจัดแสดง คอนโดมิเนียม 2 แห่ง พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ และยังมีทางเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาความยาว 500 เมตร หวังเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก</li>
 	<li>นอกจากนี้ กลุ่มผู้ร่วมทุนจะลงทุนสร้าง รถไฟฟ้าสายสีทอง เชื่อมกรุงธนบุรี-คลองสาน ผ่านหน้าโครงการไอคอนสยาม</li>
 	<li>คอนโดฯ ที่แพงที่สุดในไทยขณะนี้คือ 98 ไวร์เลส บนถนนวิทยุ พัฒนาโดย บมจ.แสนสิริ ราคาเฉลี่ย 5.8 แสนบาทต่อตร.ม. ส่วนราคาสูงสุดอยู่ที่ 7.25 แสนบาทต่อตร.ม.</li>
</ul>

ปั้นให้ถึง 7 แสนบาทต่อตร.ม.! คอนโดฯ หรูในโครงการ 'ไอคอนสยาม' สร้างยอดขายทะลุ 70%

เรียงเรียงใหม่จาก "2020 ฤามอลล์จะท่วมเมือง" เรื่อง: พิชญ์สินี จิตรพลีชีพ ภาพ:&nbsp; Bangkok Post 
 
จากนี้จนถึงปี 2020 หรือ พ.ศ. 2563 เม็ดเงินอย่างน้อย 3 แสนล้านบาทจะถูกทุ่มลงไปในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้งโครงการค้าปลีกอเนกประสงค์ขนาดนับแสนตารางเมตร ไปจนถึงมอลล์ชุมชน และร้านสะดวกซื้อตามหัวมุมถนน ทั้งจากผู้เล่นเดิม และผู้เล่นหน้าใหม่ที่เห็นความเย้ายวนของรายได้ ต่างดาหน้าเข้ามาสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจที่มีมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้เป็นอันดับสองของประเทศ และสร้างงานภาคบริการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้เกี่ยวข้องถึง 6.2 ล้านคน คำถามคือ จะมีลูกค้าเพียงพอต่อจำนวนห้างร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ผุดขึ้นมากมาย 
 
ในวงการค้าปลีกสมัยใหม่ เซ็นทรัลกรุ๊ปถือเป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าแรกให้กับธุรกิจค้าปลีกทันสมัย หรือ ห้างสรรพสินค้า นับตั้งแต่การเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแห่งแรกขึ้นในย่านวังบูรพาเมื่อปี 2500 และการตามมาด้วยห้างสรรพสินค้า อาทิ ไทยไดมารู เดอะมอลล์ เมอร์รี่คิงส์ คาเธ่ย์ นิวเวิลด์ เวลโก้ เมโทร เป็นต้น พัฒนาการของการเปิดธุรกิจค้าปลีกทันสมัยของประเทศไทยเติบโตและท้าทายไปทุกกลุ่มตลาดทั้งการเปิดตัวกลุ่มร้านสะดวกซื้อ, ธุรกิจค้าปลีกประเภท Cash &amp; Carry, ธุรกิจค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือ ดิสเคาน์สโตร์ 
 
ภาวะวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 ทำให้ทุนต่างชาติเข้ามาร่วมทุนและซื้อกิจการจากผู้ประกอบการค้าปลีกที่ประสบปัญหาทางด้านการเงินจากสภาวะการณ์ที่ค่าเงินอ่อนตัวลงอย่างมาก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจค้าปลีกในทุกภาคส่วนของการตลาด ทั้งการเข้ามาของทุนยักษ์ใหญ่ค้าปลีกจากต่างประเทศ การล้มหายของค้าปลีกไทย โชว์ห่วย รวมไปถึงห้างสรรพสินค้า &nbsp; 
 
ในปัจจุบันจากการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานของกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีเส้นทางการเดินรถไฟฟ้าที่เชื่อมเส้นทางต่างๆ เข้าด้วยกัน ยิ่งทำให้ธุรกิจค้าทันสมัยกำหนดกลุ่มเป้าหมายและทิศทางของทางการตลาดได้มากยิ่งขึ้น ในสมรภูมิ ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) ที่มี 7-eleven เป็นเจ้าของตลาดโดยปัจจุบันมีสาขากว่า 8,000 สาขาทั่วประเทศ กลับมาแข่งขันมากยิ่งขึ้นเมื่อทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นเข้ามาเป็นพันธมิตรธุรกิจกับทุนไทยที่พร้อมจะลุยในสมรภูมิ ไม่ว่าจะเป็น Lawson 108, FamilyMart, MaxValu, Foodland ที่ตั้งเป้าการขยายสาขา โดยมีการคาดการณ์ว่าใน 5-10 ปี ประเทศไทยจะมีร้านสะดวกซื้อถึง 30,000 สาขา เลยทีเดียว 
 
สำหรับทิศทางการลงทุนของศูนย์การค้าต่างๆ อย่าง 3 กลุ่มหลัก กลุ่มเซ็นทรัล, สยามพิวรรธน์ และ เดอะมอลล์ ได้ปรับตัวเองเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีก Luxury และ Super Luxury อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างเมืองไทยเป็น Shopping Destination ของภูมิภาคพร้อมกับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 
 
นอกจากร้านค้าสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า และไฮเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ธุรกิจค้าปลีกไทยได้พัฒนาและเปิดตัวค้าปลีกรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้น อาทิ ร้านค้าเฉพาะทาง หรือเรียกว่า สเปเชียลตี้สโตร์ ช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ คอมมูนิตี้มอลล์ จนถึงซูเปอร์สโตร์ และไม่เพียงแต่นักธุรกิจเก่าในวงการค้าปลีกเท่านั้น ผู้ประกอบการจากวงการอื่นๆ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ เฟอร์นิเจอร์ แฟชั่นเสื้อผ้า ก็โดดเข้าร่วมสังฆกรรมในธุรกิจค้าปลีกด้วย 
 
แล้วห้างจะท่วมไทยไหม? เมื่อการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกเกิดความหลากหลายเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายของตนให้อยู่หมัด การบริหารจัดการตุ้นทุนที่ดีและเครือข่ายสินค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะชี้วัดการอยู่รอดบนเส้นทางธุรกิจค้าปลีก และก่อให้อีกโฉมหน้าใหม่ของวงการค้าปลีกในปี 2020 ที่จะมาถึง
<hr />

	<a href="http://goo.gl/Zon5uK">คลิ๊กอ่าน "2020 ฤามอลล์จะท่วมเมือง" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2015</a>

2020 ฤามอลล์จะท่วมเมือง

<h2>สยาม พื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานครที่ครองความเป็นศูนย์กลางของความทันสมัยมากว่าครึ่งศตวรรษ คือทำเลทองของเมืองหลวงที่มีมูลค่าที่ดินสูงที่สุดในประเทศไทย เป็นที่ตั้ง ของศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัพเวอรี่ และสยามพารากอน มีพื้นที่รวม 6.3 แสนตารางเมตรโดยศูนย์การค้าทั้งสามเป็นของ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ที่มี ชฎาทิพ จูตระกูล เป็น CEO</h2>
ชฎาทิพ จูตระกูล บุตรสาวคนสุดท้องของ พลโทเฉลิมชัย และแพทย์หญิง ลัดดา จารุวัสตร์ จบปริญญาโทเฉพาะด้านและทำงานด้านประกันภัยที่อังกฤษ เคยรับตำแหน่งรักษาการผู้จัดการฝ่ายประกันภัยน้ำมันและก๊าซ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด ก่อนตัดสินใจกลับมาพิสูจน์ตัวเองในตำแหน่งฝ่ายบัญชีและทายาท สยามเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าสากลแห่งแรกของไทย กับเงินเดือน 4,500 บาท เมื่อ 28 ปีก่อน จากนั้นย้ายไปทำงานในแผนกสำคัญๆ อาทิ เซลส์โปรโมชัน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อเรียนรู้และทำความรู้จักกับศูนย์การค้า

ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีของการทำงาน ชฎาทิพ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ เมื่อปี 2539 แต่ละย่างก้าวของ ชฎาทิพ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทั้งมรสุมทางเศรษฐกิจที่ต้องฝ่าฟัน เหตุการณ์ทางการเมือง การประท้วงปิดถนน หรือล่าสุดกับเหตุลอบวางระเบิดบริเวณประตู 3 ทางเข้าสยามพารากอนของคืนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นวิกฤตที่เปิดโอกาสให้เธอได้เรียนรู้และฝึกปรือฝีมือของหญิงเหล็กให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สมกับที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 50 สุดยอดสตรีที่ทรงอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและวงการธุรกิจของเอเชียปี 2557 โดย Forbes Asia

“การทำศูนย์การค้า ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีเงิน มีความคิด จ้างสถาปนิกดีๆ สร้างขึ้นมาและหยุดอยู่แค่นั้น ระยะทางอันยาวไกล คือ เมื่อเปิดประตูแล้ว คุณจะเป็นอะไร คุณจะอยู่ในตำแหน่งใดบนเวที ตรงนี้ต้องทุ่มทั้งเงินทุนในการบริหาร งบประมาณในการ marketing และต้องศึกษาในเชิงลึกที่จะโน้มน้าวโดนใจผู้บริโภค” ชฎาทิพ กล่าว

ล่าสุด ชฎาทิพ กำลังจะสร้างตำนานแห่งกลุ่มสยามพิวรรธน์ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งในการเป็น The Best of Thailand Meet the Best of the World ภายใต้โครงการ “ไอคอนสยาม” (ICONSIAM) บนเนื้อที่กว่า 40 ไร่ย่านเจริญนคร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ได้แก่ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งอยู่ในกลุ่มซีพี ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นฝ่ายละครึ่ง จำนวนเงินลงทุนรวม 50,000 ล้านบาท นับเป็นโครงการของภาคเอกชนที่ใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล

เรื่อง พรพรรณ ปัญญาภิรมย์ ภาพ กิตติ บวรพัฒน์นนท์

<hr />

<a href="http://goo.gl/Zon5uK">อ่านความคิดและการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรไทยและพันธมิตรศูนย์การค้าระดับโลก ในบทความ  ชฎาทิพ จูตระกูล The Icon of “Siam” ฉบับเต็ม ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2015</a>

ชฎาทิพ จูตระกูล The Icon of “Siam”

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน 
 
Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2558 กลับมาเยือน ธุรกิจค้าปลีก อีกครั้ง ด้วย 2 เหตุผล คือ 
1. การก่อกำเนิดของห้างสรรพสินค้าใหญ่ในรอบ 2-3 ปีนี้ พร้อมมอลล์ชุมชนที่กำลังผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด 
2. ต้อนรับวัน สตรีสากล 5 มีนาคม ด้วยเรื่องราวของผู้หญิง กับ การจับจ่าย 
 
เราเลือก Queens of Retail มาเป็นเรื่องเด่นประจำฉบับ พร้อมกับตั้งคำถามว่า ฤามอลล์จะท่วมเมือง ในบทความพิเศษที่ย้อนรอยประวัติค้าปลีกไทย 
 
การช็อปปิ้งกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน สำหรับประเทศไทยแล้ว ผู้หญิงคือ ผู้นำของศูนย์การค้า และ ห้างสรรพสินค้า 
 
สตรีที่เราเชิญขึ้นปกทั้งสาม ล้วนแต่เป็น "ราชินี" แห่ง อาณาจักรค้าปลีกของเธอ หนึ่งในนั้นดูแลเครือข่ายห้างสรรพสินค้าที่กว้างขวางที่สุดในไทย ซึ่งก่อกำเนิดโดยปู่และพ่อของเธอ และกำลังพาไพร่พลออกรุกไปในประเทศเพื่อนบ้าน และยุโรป อีกหนึ่งนั้นมาทีหลัง แต่ก่อร้างสร้างอาณาจักรจนเติบโต มีความเชี่ยวชาญ ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์สินค้าหรูหราระดับโลก ส่วนสตรีที่สามนั้น ร่วมปลูกสร้างอาณาจักรที่บิดาสร้างขึ้นให้เติบโต รักษาความนิยมของลูกค้าไว้ได้กว่า 50 ปี สั่งสมความเชี่ยวชาญจนหาญกล้า ออกจากชัยภูมิเดิม ไปสร้างอาณาจักรใหม่ริมแม่น้ำ ทางฝั่งตะวันตกของนครหลวง 
 
ไม่เพียง ราชินี ทั้ง เรายังคุยกับ ราชา ในอาณาจักรค้าปลีกของพวกเขา ก่อศักดิ์ ไชยรัศมิศักดิ์ แห่ง 7-Eleven และ นพพร วิฑูรชาติ ลูกเจ้าของตลาดมีนบุรีผู้บุกเบิก มอลล์ชุมชน จนมีคนเลียนแบบทั่วประเทศ พร้อมกับการขยายไปเป็นศูนย์การค้าขนาดมหึมาตามชานเมือง 
ผมเชื่อว่า เรื่องราวการต่อสู้ของนักรบของแวดวงค้าปลีกจะเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านผู้อ่าน 
<div id="stcpDiv" style="position: absolute; top: -1999px; left: -1988px;">
	<div>
		นพพร วงศ์อนันต์</div>
	<div>
		Editor-in-Chief</div>
	<div>
		Forbes Thailand</div>
</div>
 
นพพร วงศ์อนันต์ 
Editor-in-Chief 
Forbes Thailand

Editor's Note: ช็อปปิ้ง กับ ผู้หญิง

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังศูนย์การค้าชั้นนำ Siam Center, Siam Discovery, Siam Paragon และ Paradise Park คือผู้หญิงชื่อ "ชฎาทิพ จูตระกูล" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทสยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้ที่บอกว่าตัวเองคือ "มืออาชีพ" ด้านบริหารศูนย์การค้า ที่สร้างรายได้กว่าปีละ 18,000 ล้านบาท

ศูนย์การค้าที่สยามพิวรรธน์บริหารจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เธอย้ำว่าสยามพิวรรธน์มีแนวคิดในการบริหารศูนย์การค้าแบบเทเลอร์เมด หรือพัฒนาตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาที่ศูนย์ฯ

“Siam Paragon, Siam Discovery และ Siam Center จะให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน”

ทั้งนี้ ความคิดพัฒนาศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์จะสวนทางกับผู้บริหารศูนย์การค้ารายอื่น โดยเธอบอกว่าแนวความคิดในการออกแบบศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์จะเป็นลักษณะ all for one, one for all  นั่นคือสยามพิวรรธน์ต้องเป็นผู้คิดธีมกลางของศูนย์ฯ และต้องอยู่ได้นาน ไม่ใช่ว่าทำไปแล้วนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปครั้งเดียว อย่างนี้ถือว่าเสี่ยงไม่ควรทำโดยธีมที่กำหนดนั้นร้านค้าต้องปรับตามด้วย อย่างเช่น Siam Center เป็นตึกขนาดเล็ก อยู่มา 40 ปี ปรับปรุงมาแล้ว 6 ครั้ง ครั้งล่าสุดนี้จะแค่แปลงร่างไม่ได้ ต้องเกิดใหม่

ทำให้จากที่เคยเป็นศูนย์การค้าสีขาวแห่งแรกในไทย กลายเป็นตึกสีดำ ซึ่งไม่มีใครกล้าทำ ร้านค้าทุกร้านต้องรีแบรนด์ดิ้งให้เข้ากับธีมของสยามพิวรรธน์การจับมือกับหุ้นส่วนถือว่าเป็นอีกอย่างที่แตกต่างกัน บนแนวคิดว่าสยามพิวรรธน์ไม่ได้เชี่ยวชาญไปทุกด้าน ชำนาญแต่เฉพาะทำศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และโรงแรม จึงจำเป็นต้องหาหุ้นส่วนที่มีความเชี่ยวชาญมาเสริมความแข็งแกร่งของศูนย์การค้านั้นๆ ตัวอย่างเช่น Siam Paragon ร่วมมือกับ The Mall เพราะเชี่ยวชาญการทำดีพาร์ตเมนต์สโตร์กลางเมือง

ส่วน Paradise Park เป็นการผสมผสาน ทำตลาดค้าปลีกแบบครบวงจร จึงได้ร่วมงานกับกลุ่มมาบุญครอง เซ็นเตอร์ (MBK) ที่เชี่ยวชาญในตลาดลูกค้าระดับกลาง

“สยามพิวรรธน์ไม่เคยเอาเป้ารายได้เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ ไม่ใช่ว่าอยากมีรายได้เพิ่มขึ้น 20% เลยทำโปรเจ็กต์ใหม่ แต่เราจะเริ่มจากทำโปรเจ็กต์แล้วค่อยคิดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่”

นอกจากนี้ เธอบอกว่าสิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จคือการฟัง การนั่งฟังเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ ฟังตั้งแต่นักธุรกิจระดับโลก ไปจนถึงแม่ค้าใน Paradise Park ต้องฟังทุกเสียง เพื่อให้ได้รู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ทำให้สยามพิวรรธน์กล้าที่จะสร้างความแตกต่าง ที่ไม่เหมือนใคร
<div>

<hr />

ติดตามอ่าน “ชฎาทิพ จูตระกูล: จากศูนย์การค้าแห่งแรกในไทย สู่ mall ของคนทั้งโลก” ฉบับเต็มใน Forbes Thailand ฉบับ JULY 2013

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events