บริบทที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล เปลี่ยนโครงสร้างความฝันของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจมากกว่าพนักงานประจำ เห็นได้จากรายงานการวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า 66% ของ Gen Z และ 71% ของคนยุคมิลเลนเนียลต้องการสร้างรายได้ผ่านการเป็นเจ้าของธุรกิจหรือทำงานอิสระท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก
บริบทที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบซึ่งไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค แต่ยังเปลี่ยนโครงสร้างความฝันของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจมากกว่าพนักงานประจำ โดยอ้างอิงจากรายงาน Deloitte Global 2023 Gen Z and Millennial Survey ชี้ว่า 66% ของ Gen Z และ 71% ของคนยุคมิลเลนเนียลต้องการสร้างรายได้ผ่านการเป็นเจ้าของธุรกิจหรือทำงานอิสระท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก
เทรนด์ดังกล่าวสะท้อนแรงขับภายในของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการควบคุมเส้นทางชีวิตด้วยมือของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ออนไลน์ การค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ หรือการให้บริการเฉพาะทางในรูปแบบดิจิทัล ล้วนเป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนผ่านจากวัฒนธรรมของ "ความมั่นคง" ไปสู่ "ความเป็นเจ้าของและการเติบโต"
สำหรับในสหรัฐอเมริกาจากข้อมูล Guidant Financial ระบุว่า 13% ของธุรกิจใหม่เป็นของมิลเลนเนียล และ 55% ของผู้ประกอบการในกลุ่มนี้มั่นใจในศักยภาพการบริหารกิจการของตนเอง ในระดับโลก Mintel พบว่า 25% ของมิลเลนเนียลทั่วโลกมีแผนจะเริ่มต้นธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้า
ส่วนประเทศไทยที่ผู้ประกอบการเปรียบได้กับเส้นเลือดของเศรษฐกิจประเทศไทยมี SMEs กว่า 3.2 ล้านราย คิดเป็น 99% ของธุรกิจในประเทศ และสร้างงานมากกว่า 14 ล้านตำแหน่งต่อปี ทั้งยังมีบทบาทต่อ GDP อย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจที่กำลังเติบโต เช่น FinTech, HealthTech, AgriTech ล้วนขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นปัญหาแล้วเปลี่ยนเป็นโอกาสอย่างไรก็ตามแนวโน้มอันน่าตื่นเต้นนี้ยังคงติดหล่มจากอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก
ความท้าทายบนเส้นทางธุรกิจ
ผู้ประกอบการหน้าใหม่จำนวนมากยังต้องเผชิญความท้าทายในการเริ่มต้นธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นทุน ทักษะ และความเปลี่ยนแปลง โดยผู้ประกอบการที่มีไอเดียยังไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนหรือกลไกการสนับสนุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการบริหาร การตลาด การจัดการทางการเงิน และการสร้างเครือข่าย ล้วนเป็นทักษะที่ไม่ได้เกิดจากแรงบันดาลใจแต่ต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่ออกแบบอย่างถูกต้อง รวมถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วเกินคาด เช่น AI, big data, blockchain และระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล เป็นองค์ประกอบที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องเข้าใจและประยุกต์ใช้ให้ได้ภายในเวลาอันสั้น
ขณะเดียวกันการพัฒนาทุนมนุษย์ในเชิงลึก ผู้ประกอบการไม่ใช่แค่ผู้สร้างธุรกิจ แต่คือผู้นำการเปลี่ยนแปลง การสร้างผู้ประกอบการที่ยั่งยืนไม่ได้จบลงเพียงแค่การทำให้พวกเขาสร้างรายได้หรือดำรงอยู่ในตลาดได้ แต่ต้องมองถึงการพัฒนาศักยภาพในฐานะ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ที่สามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ชุมชน และแรงบันดาลใจให้แก่สังคมได้อย่างต่อเนื่อง องค์ประกอบสำคัญคือ การส่งเสริม soft skills ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและเป็นผู้นำในโลกที่ไม่แน่นอนได้
ยกตัวอย่างเช่น critical thinking & problem solving การคิดเชิงวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาซับซ้อนภายใต้ข้อจำกัด communication & storytelling การสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์อย่างมีพลัง สร้างการมีส่วนร่วมจากทั้งลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย empathy & leadership การเข้าใจผู้อื่นและสามารถนำทีมให้เติบโตไปด้วยกันอย่างมีเป้าหมายร่วม
ดังนั้น ประเทศไทยควรมีการพัฒนาโครงสร้างการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทักษะเหล่านี้ในระดับรากฐาน เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการถูกทิ้งไว้ให้ล้มลุกด้วยตัวเองในสนามที่เปลี่ยนเร็วเกินไป
จากกรณีศึกษาเชิงนโยบาย โมเดลต่างประเทศที่ไทยสามารถเรียนรู้ได้ เช่น แคนาดา อิสราเอล และเอสโตเนีย ต่างสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อผู้ประกอบการรุ่นใหม่ โดยไม่พึ่งพาเพียงแค่โครงสร้างเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แต่เน้นที่การส่งเสริมการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กและกลางให้สามารถโตได้อย่างยั่งยืน
สำหรับอิสราเอล สนับสนุนการสร้างสตาร์ทอัพผ่านกองทุนรัฐร่วมลงทุนกับเอกชน พร้อมการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) แคนาดาเน้นการสนับสนุนเจ้าของกิจการในชุมชน ผ่านศูนย์บ่มเพาะธุรกิจที่กระจายตัวทั่วประเทศ เชื่อมโยงมหาวิทยาลัยกับตลาดจริง เอสโตเนียสร้างระบบ Digital Nation ที่ทำให้การเปิดกิจการ การจดทะเบียนบริษัท และการจัดการเอกสารทางธุรกิจสามารถทำได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง การเรียนรู้จากโมเดลเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อนำมาเลียนแบบตรงๆ แต่เพื่อปรับใช้ในบริบทไทยที่มีความหลากหลายทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
หนึ่งในเวทีระดับโลกที่กลายเป็นต้นแบบของการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพคือ “Slush” ซึ่งจัดขึ้นที่กรุง Helsinki ประเทศฟินแลนด์ เป้าหมายหลักของ Slush คือ การสร้างระบบนิเวศช่วยเร่งการพัฒนานวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนโลกได้จริงภายใต้แนวคิดที่ว่า "ใครก็เป็นผู้ประกอบการได้ ไม่จำกัดเพศ เชื้อชาติ หรือภูมิหลัง"
หัวใจสำคัญของ Slush อยู่ที่การ redefine entrepreneurship หรือการนิยามผู้ประกอบการใหม่ในศตวรรษที่ 21 โดยไม่จำกัดแค่คนกลุ่มเดิม แต่เปิดพื้นที่ให้กับความหลากหลาย สร้างวัฒนธรรมที่ผู้หญิง เยาวชน หรือคนที่มีพื้นฐานนอกสายเทคโนโลยีสามารถเข้าถึงโอกาสได้อย่างเท่าเทียม พร้อมทั้งส่งเสริมให้ธุรกิจเกิดใหม่มีเป้าหมายเพื่อสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนมากกว่ากำไรเพียงอย่างเดียว
ไทยเข้าร่วมงานในฐานะ founders ผ่าน Thai Pavilion ในอนาคตอันใกล้โมเดลจาก Slush เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ประเทศไทยสามารถเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงในด้านการจัดงานเทคโนโลยีระดับโลกเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และกลุ่มผู้ประกอบการให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
ขณะที่มหาวิทยาลัยได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของระบบ ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตบัณฑิต ระบบการศึกษาคือ เส้นทางสำคัญของการสร้างเจ้าของธุรกิจ หากเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วจะพบว่า สถาบันการศึกษาของไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอน แต่เป็นผู้พัฒนาผู้ประกอบการที่พร้อมลงสนามตั้งแต่ยังเรียน
ข้อมูลจาก IMD World Competitiveness Ranking 2024 ระบุว่า ไทยตกจากอันดับที่ 19 ไปอยู่ที่ 32 ซึ่งหนึ่งในสาเหตุหลักคือ ระบบการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจจริง โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุมจึงเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่แค่การอัปเดตหลักสูตร แต่คือการปรับวิธีคิดของทั้งระบบ เพื่อสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้สำหรับเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ ได้แก่ การเรียนรู้เชิงบูรณาการ ส่งเสริมการเรียนรู้ข้ามศาสตร์ สร้างเครือข่ายและความร่วมร่วมมือให้มีโอกาสเข้าถึงเครือข่ายผู้ประกอบการ นักลงทุน พี่เลี้ยง และกิจกรรมที่จำลองสภาพแวดล้อมของโลกจริง รวมถึงความกล้าล้มเหลวเป็นหนึ่งในกลไกการเรียนรู้ในทุกหลักสูตร
การสร้าง “อนาคตที่ออกแบบได้” ผ่านการลงทุนในความฝันของคนรุ่นใหม่ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเริ่มต้นจาก “ความฝัน” ที่ต้องการสร้างอะไรเป็นของตัวเอง ปรับเปลี่ยนสังคม หรือพัฒนาสิ่งที่ยังไม่เคยมีมาก่อน หน้าที่ของระบบเศรษฐกิจและการศึกษาจึงไม่ใช่แค่การ “ส่งเสริมให้ทำธุรกิจ” แต่คือการ “ลงทุนในความฝัน” ของคนรุ่นใหม่ ให้เชื่อมั่นว่าเส้นทางที่เลือกเดินสามารถเป็นจริงได้ มหาวิทยาลัยที่ปรับตัวทันไม่เพียงมีหน้าที่ในการส่งมอบองค์ความรู้ แต่ต้องทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มที่รวมทุน ทักษะ เครือข่าย และแรงสนับสนุนอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการเริ่มต้นธุรกิจในบริบทที่ท้าทาย เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เติบโตจากความเก่งเพียงลำพัง แต่เติบโตจากระบบที่เชื่อมั่นในตัวเขาและช่วยพยุงในวันที่ล้มได้เร็วเพื่อจะได้ลุกขึ้นมาได้ไกลยิ่งกว่าเดิม
การเปลี่ยนความรู้เป็นพลังเศรษฐกิจด้วยวิสัยทัศน์ในฐานะนักออกแบบอนาคต หากต้องการเห็นเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และแข่งขันได้ในเวทีโลก ทำให้จำเป็นต้องสร้างคนที่ไม่เพียงมีความรู้ แต่มีหัวใจของความเป็นเจ้าของ คิดได้ ลงมือทำได้ และพร้อมเติบโตอย่างต่อเนื่อง การมีมหาวิทยาลัยที่กล้าคิด กล้าทำ และกล้าปรับบทบาทของตนเองให้กลายเป็น "ผู้สร้างระบบนิเวศของเจ้าของกิจการ" จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขของอนาคต เพราะคนรุ่นใหม่คืออนาคตของธุรกิจ ประเทศต้องลงทุนที่ "คน"ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดตัดสำคัญของโลกยุคใหม่
เทรนด์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่คือการแสดงพลังของความเปลี่ยนแปลงการสร้างระบบสนับสนุนที่ดีทั้งในเชิงนโยบาย โครงสร้างทางเศรษฐกิจ และระบบการศึกษา จะทำให้ไม่เพียงรับมือกับอนาคต แต่มีโอกาสเป็นผู้นำในอนาคตนั้น
บทความโดย : ผศ.ดร.เกรียงไกร สัจจะหฤทัย คณบดีคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สูตรสำเร็จดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่แท้จริงคือ “ไม่มีสูตรสำเร็จ”
