<h2>แกร็บ เผยข้อมูลสถิติ “ที่สุดแห่งปี 2024” พบกระแส “หมูเด้งฟีเวอร์” ดันยอดเรียกรถไปสวนสัตว์เขาเขียวเพิ่มขึ้น 267% ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนและประเทศในอาเซียนติดท็อป 5 ใช้บริการมากที่สุด โดยเน้นเรียกรถไปห้างสรรพสินค้าและแหล่งช้อปปิ้ง ฟากบริการฟู้ดเดลิเวอรี เมนู “อาหารไทย” และ “อเมริกาโน่เย็น” ยังครองใจผู้ใช้บริการเป็นอันดับหนึ่ง กระแสไวรัลของหมีเนยดันยอด Butterbear พุ่งเป็นประวัติการณ์ ยอดสั่งโต 1,200%</h2> บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปี 2567 เรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงเติบโต รับอานิสงส์ “ท่องเที่ยวคึกคัก-หมูเด้งฟีเวอร์-ไลน์อัพอีเวนท์”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงได้รับความนิยมจากคนไทยและต่างชาติ โดยมียอดใช้บริการสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริการใหม่อย่าง GrabCar SAVER ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการเรียกรถในราคาที่ประหยัดลง โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึงกว่า 400% ในหัวเมืองหลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระแส “หมูเด้ง” ที่กลายเป็นขวัญใจของคนทั่วโลก ไม่เพียงช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยวในประเทศ แต่ยังดันยอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่เดินทางไปสวนสัตว์เปิดเขาเขียวให้เติบโตขึ้นกว่า 267% <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/pvdv23WZCpM4MzJhMNXF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="pvdv23WZCpM4MzJhMNXF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นโยบายรัฐบาลที่ผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็น “World Class Event Hub” ทำให้ปีนี้ได้เห็นความคึกคักของวงการอีเวนต์ ไม่ว่าจะเป็น งานประชุมและนิทรรศการ งานแฟร์ รวมถึงการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินไทยและเทศ ซึ่งส่งผลให้ยอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ไปงานเหล่านี้เติบโตขึ้นถึง 25% โดยเฉพาะการเดินทางไปราชมังคลากีฬาสถาน ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อิมแพ็คอารีนา และไบเทค บางนา ต่างชาติมั่นใจใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ไป “สนามบิน แหล่งช้อปปิ้ง และเที่ยวเมืองรอง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยบริการที่สะดวกสบายและราคาที่โปร่งใสทำให้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว สะท้อนผ่านยอดใช้บริการที่สนามบินต่างๆ ซึ่งเติบโตขึ้นกว่า 67%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย 5 ชาติที่ใช้บริการมากที่สุด คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/wKYEcH8GUw4nFkt5Yimn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wKYEcH8GUw4nFkt5Yimn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ห้างสรรพสินค้าและแหล่งช้อปปิ้งยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลักที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย 5 สถานที่ยอดฮิต คือ ไอคอนสยาม (ICONSIAM) เซ็นทรัลเวิลด์ (CentralWorld) สยามพารากอน (Siam Paragon) ถนนข้าวสาร และตลาดนัดจตุจักร นอกจากนี้ อีกหนึ่งห้างที่มาแรงที่สุด คือ เอ็มสเฟียร์ (EMSPHERE) ไลฟ์สไตล์มอลล์ใจกลางสุขุมวิท ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จังหวัดเมืองรองยังได้รับความนิยมต่อเนื่องจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล สะท้อนผ่านยอดใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ที่เติบโตขึ้นกว่า 90% โดยเฉพาะใน 5 เมืองน่าเที่ยวอย่างเชียงราย ตาก อุดรธานี อุบลราชธานี และพิษณุโลก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/HkL8cJQLLtoGrK4iXfNC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HkL8cJQLLtoGrK4iXfNC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> ​ฟีเจอร์มาแรง “จองรถล่วงหน้า ใช้รถอีวี”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฟีเจอร์จองรถล่วงหน้า (Advance Booking) กลับมาได้รับความนิยมหลังแกร็บประกาศปรับโฉมใหม่ โดยสามารถจองรถล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน และมีประกันคุ้มครองสูงสุดถึง 800,000 บาท โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่นิยมใช้บริการเพื่อเดินทางไปสนามบิน ไม่ว่าจะเป็น สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และกระบี่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คนไทยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สะท้อนผ่านจำนวนผู้ใช้บริการที่ใช้ฟีเจอร์เลือกใช้รถอีวี (Grab EV Rides) เพิ่มขึ้นกว่า 200% โดยฟีเจอร์ดังกล่าวพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสค้นหารถ EV ในพื้นที่และช่วงเวลานั้นๆ เพื่อให้บริการเป็นตัวเลือกแรก บริการฟู้ดเดลิเวอรี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อาหารไทยยังคงครองใจผู้ใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี โดยเฉพาะเมนูสั่งง่ายในราคาสบายกระเป๋า โดย 5 เมนูขายดีแห่งปี คือ ส้มตำ ไก่ทอด ข้าวมันไก่ หมูปิ้ง รวมถึงเมนูที่ทำจากหมูอย่าง “ไข่พะโล้” และ “ข้าวขาหมู” ซึ่งมียอดสั่งในเดือนกันยายนเติบโตขึ้นกว่า 38% จากอิทธิพลของ “หมูเด้ง” ฟีเจอร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่กาแฟและชายังคงเป็นเมนูเครื่องดื่มขายดีตลอดปี นำโดย “อเมริกาโน่เย็น” กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลที่ตอบโจทย์คอกาแฟสายสุขภาพ โดยมียอดสั่งรวมทั้งปีถึง 5 ล้านแก้ว รองลงมา คือ “ชาไทย” โดยเฉพาะเมนู “เสลอปี้ชาไทย” สุดฮิตที่แทบทุกแบรนด์ส่งมาชิงตลาด ตามมาด้วยเอสเพรสโซ่เย็น ชาเขียวเย็น และชานมไข่มุก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระแสไวรัลของหมีเนยขวัญใจโซเชียลมาแรงไม่แผ่วตลอดทั้งปี ทำให้ยอดสั่งเมนูต่างๆ ของบัตเตอร์แบร์ (Butterbear) พุ่งเป็นประวัติการณ์โดยเติบโตกว่า 1,200%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชาผลไม้พรีเมียมแบรนด์ดังจากประเทศจีนที่ตบเท้าเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น เจี้ยนชา (JIAN CHA) ชาจี (CHAGEE) และ ไนซือ (NaiXue) ได้รับกระแสความนิยมจากคนไทยไม่ขาดสาย โดยมียอดขายเฉลี่ยเติบโตขึ้นถึง 10 เท่า โดยเฉพาะ “ชาองุ่นปั่นครีมชีส” ที่กลายเป็นไอเทมที่มาแรงที่สุดในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมนูเพื่อสุขภาพยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มฟู้ดดี้สายเฮลท์ตี้ ไม่ว่าจะเป็น อาซาอิโบลว์ที่ดังต่อเนื่องข้ามปี สลัดแร็ปผักล้น ไปจนถึงสมูตตี้เพื่อสุขภาพที่เป็นกระแสจาก “น้ำปั่น Erawon” จนกลายเป็นอีกหนึ่งเมนูฮิตติดลมบน โดยเฉพาะ Oh! Juice แบรนด์น้องใหม่จากโอ้กะจู๋ ที่ปั่นทั้งกระแสและยอดขายไปอย่างถล่มทลายจนเติบโตขึ้นกว่า 400% ภายในระยะเวลา 3 เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฟากของหวานอย่าง “ดูไบช็อกโกแลต” รวมถึงเมนูขนมหวานที่มีส่วนผสมของถั่วพิตาชิโอ กลายเป็นไอเท่มสุดฮอตแห่งปี โดยเฉพาะแบรนด์ The Rolling Pinn ที่มียอดขายถล่มทลายในช่วงครึ่งปีหลัง และทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นกว่า 20 เท่า ฟีเจอร์มาแรง “สั่งเป็นกลุ่ม กินที่ร้าน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฟีเจอร์คำสั่งซื้อกลุ่ม (Group Order) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นโดยมียอดสั่งอาหารเติบโตขึ้นสองเท่าหลังแกร็บฟู้ดอัปเกรดฟีเจอร์ให้สามารถสั่งอาหารร่วมกันได้สูงสุดถึง 10 คนและเพิ่มทางเลือกในการแบ่งจ่ายได้ถึง 3 ออปชัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทรนด์การกินข้าวนอกบ้านดันให้ฟีเจอร์กินที่ร้าน (Dine Out) เติบโตขึ้น โดยมียอดใช้บริการเติบโตขึ้นกว่า 11 เท่าในไตรมาสสุดท้าย โดยเฉพาะในร้านบุฟเฟต์ ซึ่ง 3 ร้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ โม โม่พาราไดซ์ (Mo-Mo-Paradise) โคเอ็น (Kouen) และซูกิชิ (Sukishi) เครดิตภาพ: แกร็บ,&nbsp;Butterbear.th, สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/it/marketing/yod-said-2024-is-the-real-year-of-thailand-food-delivery-market" alt="‘ยอด’ มองตลาดฟู้ดเดลิเวอรีไทย ปีนี้เห็นชัดว่าใครจะอยู่ได้ยาว ส่วน ‘ไลน์แมน’ จำนวนธุรกรรมขึ้นอันดับ 1 แล้ว">‘ยอด’ มองตลาดฟู้ดเดลิเวอรีไทย ปีนี้เห็นชัดว่าใครจะอยู่ได้ยาว ส่วน ‘ไลน์แมน’ จำนวนธุรกรรมขึ้นอันดับ 1 แล้ว</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘หมูเด้ง’ กระแสแรงมาก! แกร็บเผยยอดเรียกรถไปเขาเขียวโต 267% ส่วน ‘บัตเตอร์แบร์’ ยอดสั่งโตพุ่ง 1,200%

<h2>โบลท์ (Bolt) เผยเทรนด์การ ‘ไม่เป็นเจ้าของ’ ของคนรุ่นใหม่ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องรายงานสถิติผู้ใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันโบลท์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในไทยหลังเปิดตัว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณัฐดนย์ สุขศิริฐานันท์ ผู้จัดการประจำโบลท์ ประเทศไทย เผยเทรนด์คนรุ่นใหม่ใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันมากขึ้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลสถิติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โบลท์มีการขยายช่วงระยะทางในการวิ่งงานเพิ่มมากขึ้นกว่า 19% ในขณะที่การเรียกใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 600% และเมื่อนับจากช่วงเวลาที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยครั้งแรก ยอดจำนวนผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันโบลท์มีเพิ่มมากขึ้นถึง 800% การให้บริการโดยยานพาหนะ 4 ล้อที่ใช้งานบนโบลท์เพิ่มขึ้น 9.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากผลการสำรวจต่างๆ เผยให้เห็นว่าเหตุผลที่คนทั่วโลกหันมานิยมใช้รถผ่านบริการแอปมากขึ้น สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของคนในแต่ละรุ่นอย่างชัดเจน คนยุค Baby Boomer มีมุมมองการเป็นเจ้าของบ้านหรือรถเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เพราะเปรียบเสมือนเครื่องยืนยันการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่แบบเต็มตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน ทัศนคติเหล่านี้ได้เปลี่ยนไป หลังจากยุคของกลุ่ม Gen X ที่ใช้จ่ายเสริมสถานะของตัวเอง โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของเหล่าดารา คนกลุ่ม millennials ให้ความสำคัญกับการซื้อประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ ในขณะที่กลุ่ม Gen Z มองการใช้จ่ายเป็นการแสดงออกถึงตัวตน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การที่คนรุ่นใหม่มีมุมมองที่แตกต่างออกไป เนื่องจากปัจจัยกดดันอันหลากหลายในปัจจุบัน ทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่าอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น หนี้การศึกษา และอิทธิพลของสมาร์ทโฟน เทรนด์การไม่เป็นเจ้าของจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในอสังหาริมทรัพย์ ความสำเร็จของบริการยานพาหนะ (ride-hailing) บริการสตรีมวิดีโอ เพลง หรือบริการแบบสมัครสมาชิกอื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งล้วนแต่ตอกย้ำคนรุ่นใหม่ว่าให้คุณค่าและความสำคัญกับการเข้าถึงบริการหรือสินค้าตามความต้องการของผู้บริโภคบนโลกดิจิทัล มากกว่าการเป็นเจ้าของสิ่งที่จับต้องได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การสำรวจล่าสุดในปี 2023 ที่จัดทำโดย McKinsey เปิดเผยว่าผู้ที่มีอายุเกิน 45 ปีใช้ยานพาหนะส่วนตัวโดยเฉลี่ยสี่ครั้งต่อสัปดาห์ เทียบเป็น 49% ของผู้ที่มีอายุ 30-45 ปี และ 42% ของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ การขยายตัวของสังคมเมือง การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร และการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวเมือง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ความต้องการต่อรูปแบบของระบบขนส่งสาธารณะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการคาดการณ์ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่าภายในปี 2593 ประชากรโลก 68% จะอาศัยอยู่ในเขตเมือง เทียบกับ 55% ในปี 2561 ส่งผลให้เกิดความแออัดของการจราจร ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น พื้นที่จำกัด และปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยมลพิษที่สูงขึ้น ทำให้ผู้คนเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวหันมาพิจารณาทางเลือกอื่นในการเดินทางอย่างระบบขนส่งสาธารณะ หรือแอปเรียกรถมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และผลการสำรวจของ โบลท์ โกลบอล ที่จัดทำโดย Oliver Wyman ระบุว่าการใช้ยานพาหนะที่ใช้ร่วมกันเป็นวิธีการเดินทางที่ประหยัดกว่าสำหรับผู้ที่เดินทางในระยะทางไม่เกิน 15,000 กิโลเมตรต่อปี ข้อมูลนี้เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่ารถยนต์ในยุโรปโดยทั่วไปมีอัตราการวิ่งอยู่ที่ 11,000 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งลดลง 1,700 กิโลเมตรเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเข้าถึงบริการดิจิทัลมากกว่าการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ทำให้มุมมองการมีรถยนต์ส่วนตัวเปลี่ยนไปจากทรัพย์สินที่มีไว้ในครอบครอง กลายเป็นสาธารณูปโภคที่สามารถเข้าถึงได้ หันมาใช้แอปพลิเคชันเรียกยานพาหนะ บริการเช่ารถแบบ car-sharing ยานพาหนะขนาดเล็ก และขนส่งสาธารณะ ช่วยลดค่าใช้จ่าย และมลภาวะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โบลท์ ในฐานะบริษัทที่ให้บริการเรียกรถระดับโลก ตระหนักถึงความสำคัญและพร้อมปรับตัวรับเทรนด์ดังกล่าว เราเชื่อมั่นในการส่งเสริมเครือข่ายการขนส่งสาธารณะที่มีอยู่อย่างไร้รอยต่อ และบริการแบ่งปันยานพาหนะ จะเป็นหนทางหลักในการเดินทางของผู้คนในอนาคต มุ่งมั่นการส่งมอบบริการให้ดียิ่งขึ้น ครอบคลุมกว่าเดิม มอบทางเลือกการเดินทางที่สะดวก สบาย หลากหลายและเข้าถึงได้ง่าย ทั้งในเรื่องของราคา ความรวดเร็ว ความปลอดภัย อีกทั้งยังส่งเสริมในเรื่องความยั่งยืน การลดมลภาวะ และสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่แออัดของคนในยุคปัจจุบันด้วย ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/it/grab-focus-on-only-at-grab" alt="แกร็บลุยปั้น Only at Grab ขนทัพร้านดังสั่งได้ที่แกร็บเจ้าเดียว ชูความเอ็กซ์คลูซีฟเจาะกลุ่ม ‘ลูกค้าคุณภาพ’">แกร็บลุยปั้น Only at Grab ขนทัพร้านดังสั่งได้ที่แกร็บเจ้าเดียว ชูความเอ็กซ์คลูซีฟเจาะกลุ่ม ‘ลูกค้าคุณภาพ’</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Bolt เผยคนรุ่นใหม่ ‘ไม่เป็นเจ้าของ’ เพิ่มขึ้น สอดคล้องยอดใช้แอปเรียกรถ-บริการดิจิทัลเติบโต

<h2>ตลาดแพลตฟอร์มเรียกรถในไทยยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง หลังมีรายใหม่ๆ เดินหน้าเข้ามาในสงครามอันดุเดือดนี้ ล่าสุดกับ TADA (ทาดา) แพลตฟอร์มเรียกรถแบบไม่มีค่าคอมมิชชั่น ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;TADA ระบุว่า การเปิดตัวครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของ TADA ที่จะทำให้การเดินทางเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน และช่วยสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น ผ่านการกระจายราคาและรายได้ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นธรรม ระหว่างแพลตฟอร์มผู้ให้บริการ ผู้โดยสาร และคนขับรถ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งการขยายการให้บริการมาสู่ไทยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ TADA ได้รับความนิยมและสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ได้ดำเนินกิจการมานานกว่า 5 ปีในประเทศสิงคโปร์ กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการด้านการเดินทางที่มีคุณภาพสูงและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฌอน คิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ TADA กล่าวว่า “ความสนใจของ TADA ในประเทศไทยไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการเติบโตเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการส่งเสริมความร่วมมือและผสานการบริการของเราให้เข้ากับในประเทศไทยได้อย่างลงตัว ทีมของเราในประเทศไทยได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2566 เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการให้บริการที่เหมาะสมกับความต้องการผู้ใช้บริการในประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การขยายตลาดครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าแค่การขยายธุรกิจ แต่คือการนำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่สู่อุตสาหกรรมการคมนาคมเพื่อสร้างและสนับสนุนชุมชนที่ได้รับประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;TADA เป็นส่วนหนึ่งของ MVLLABS Group บริษัทแห่งการขับเคลื่อนที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งก่อตั้งโดย เค วู บริษัทยังได้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ONiON ที่ประสบความสำเร็จในโครงการนำร่องร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพีกรุ๊ปของประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 พิเศษสุดกับโปรโมชั่นช่วงเปิดตัวมอบรีวอร์ดให้กับผู้ใช้แพลตฟอร์มรายใหม่เป็นส่วนลดมูลค่า 80 บาทสำหรับการเดินทางครั้งแรก โดยใส่โค้ด [IJOLNZ] ระหว่างการลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป ส่วนผู้ใช้เดิมที่แนะนำเพื่อนใหม่มาใช้บริการแพลตฟอร์มจะได้รับส่วนลด 60 บาทสำหรับเพื่อนแต่ละคนที่ใช้บริการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ TADA ยังมีโปรโมชั่นช่วงเปิดตัวพิเศษสำหรับผู้ใช้ทุกคน รับส่วนลดสูงสุดถึง 300 บาทเมื่อใช้บริการ TADA ด้วยการใช้โค้ด [TADA60] ผู้โดยสารสามารถแลกส่วนลด 60 บาทต่อการเดินทางเพื่อใช้ในครั้งถัดไป รวมสูงสุดห้าเที่ยว โปรโมชั่นนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในฐานะผู้ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการพิสูจน์ถึงความสำเร็จแล้ว TADA เป็นหนึ่งในห้าแพลตฟอร์มบริการเรียกรถที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานขนส่งทางบกของสิงคโปร์ (Singapore’s Land Transport Authority: LTA) ซึ่งได้ให้บริการแก่ผู้โดยสารในสิงคโปร์มานานกว่าห้าปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนในประเทศไทย TADA ได้เริ่มดำเนินการตามขั้นตอนของกรมการขนส่งทางบกของประเทศไทยในปี 2566 และได้รับใบอนุญาตให้บริการเรียกรถโดยสารจากกรมการขนส่งทางบกอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หัวใจสำคัญของแนวทางที่ไม่เหมือนใครของ TADA นี้ คือนวัตกรรมโมเดลแพลตฟอร์มแบบไม่มีค่าคอมมิชชั่น โดยบริษัทคาดว่าจะเพิ่มจำนวนการลงทะเบียนของคนขับต่อไป ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ให้โอกาสในการเดินทางแบบไม่มีค่าคอมมิชชั่นสำหรับคนขับชาวไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยความร่วมมือกับบริษัทแท็กซี่ชั้นนำในประเทศ TADA ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนให้มากยิ่งขึ้น ผ่านการกระบวนการเชิญชวนให้ผู้สนใจทุกคนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน TADA สำหรับคนขับรถและเริ่มขั้นตอนการลงทะเบียนได้ทันที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คนขับรถยังสามารถเยี่ยมชมศูนย์ให้บริการคนขับ TADA Driver Centre ที่สำนักงานเลขที่ 2322 ชั้น 2 ซอยประชาสงเคราะห์ เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400 เพื่อลงทะเบียนได้อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเปิดตัวครั้งนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ TADA ในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมบริการเรียกรถในประเทศไทย ให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีความเท่าเทียมมากขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้บริการผู้โดยสาร ไม่ใช่เพื่อแสวงหาผลกำไรเพียงอย่างเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คนขับของ TADA คือพาร์ทเนอร์ของเรา และ TADA เชื่อว่าพวกเขาควรได้มีวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ซึ่งคนขับสามารถมีแหล่งรายได้ที่มั่นคงมากขึ้นด้วยนโยบายการไม่คิดค่าคอมมิชชั่นของเรา ในขณะที่ผู้โดยสารสามารถใช้บริการด้วยอัตราค่าโดยสารที่ให้ความคุ้มค่ามากขึ้นโดยไม่กระทบต่อคุณภาพ” ฌอน กล่าวเสริม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;TADA ยังมีแผนที่จะเปิดตัวบริการเรียกรถจักรยานยนต์และบริการอื่น ๆ โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในปี 2567 นี้ ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/it/global/apple-cancels-ev-project-shifting-to-ai" alt="10 ปีก็พับโครงการได้! Apple ยกเลิกโปรเจ็กต์รถ EV ขอเอาดีด้าน AI แทน">10 ปีก็พับโครงการได้! Apple ยกเลิกโปรเจ็กต์รถ EV ขอเอาดีด้าน AI แทน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บุกไทยอย่างเป็นทางการ! TADA แอปเรียกรถจากสิงคโปร์ ชูจุดเด่น ‘ไม่มีค่าคอมมิชชั่น’

<h2 class="p1">Uber ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดธุรกิจบริการเรียกรถ ดูเหมือนจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ในพื้นที่ภูมิภาคเอเชีย</h2>
โดยผู้ให้บริการเรียกรถรายนี้ระบุว่า บริษัทจะปลดพนักงาน 600 คนในอินเดีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 25% ของพนักงานทั้งหมดในประเทศนี้
ทั้งนี้ พนักงานที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ได้แก่ พนักงานที่ทำงานในส่วนของการสนับสนุนผู้ขับขี่ รวมถึงส่วนอื่นๆ
Pradeep Parameswaran ประธาน Uber แห่งอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวขอโทษที่ต้องมีการปลดพนักงานในครั้งนี้ และระบุว่านี่เป็นวันที่ช่างน่าเศร้าสำหรับบริษัท
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การปลดพนักงานครั้งนี้ บริษัทจะจ่ายเงินชดเชย 10 สัปดาห์และประกันสุขภาพ 6 เดือน ให้พนักงานที่ได้รับผลกระทบ
สำหรับการลดจำนวนพนักงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการประกาศปลดพนักงานครั้งล่าสุดของ Uber เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ประกาศว่าจะปลดพนักงานเพิ่ม 3,000 คน และปิดสำนักงานใน 40 ประเทศทั่วโลก จากที่ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม บริษัทประกาศว่าเตรียมปลดพนักงาน 3,700 คน
นั่นหมายถึง สตาร์ทอัพบริการเรียกรถรายนี้กำลังปลดพนักงานทั้งสิ้น 6,700 คน หลังจากต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่กระทบต่อธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งส่งผลให้ผลการดำเนินงานของเดือนเมษายนลดลง 80% และไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทขาดทุนไปถึง 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
“ผลกระทบของ COVID-19 และสถานการณ์ที่ยังคาดเดาไม่ได้ว่าเราจะฟื้นตัวได้เมื่อไหร่ ทำให้เราไม่มีทางเลือกและต้องลดจำนวนแรงงานลง โดยพนักงานประจำราว 600 คนในตำแหน่งสนับสนุนผู้ขับขี่ รวมถึงตำแหน่งอื่นๆ จะเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการปลดพนักงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของประกาศปลดพนักงานทั่วโลกที่บริษัทประกาศไปก่อนหน้านี้” Pradeep Parameswaran กล่าว
ในอินเดีย Uber ได้กลับมาให้บริการอีกครั้งในราว 50 เมืองตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ ทำให้การฟื้นตัวของธุรกิจนั้นเป็นไปได้ยาก
โดยอินเดียถือเป็นตลาดสำคัญของ Uber ในเอเชีย หลังก่อนหน้านี้ได้ขายธุรกิจเรียกรถในเอเชียให้กับคู่แข่งอย่าง DiDi จากประเทศจีน และ Grab จากประเทศสิงคโปร์ แต่ยังให้บริการอยู่ในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, ฮ่องกง และไต้หวัน
ส่วนคู่แข่งในอินเดียของ Uber ก็คือ Ola ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่งประกาศปลดพนักงาน 1,400 คน โดยอ้างว่าการระบาดครั้งนี้ “ทำลายเศรษฐกิจและสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา Uber ได้พยายามสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในอินเดีย โดยระบุในการนำเสนอซึ่งกล่าวกับนักลงทุนว่า บริษัทเป็นผู้ให้บริการเรียกรถเป็นอันดับ 1 ของประเทศ โดยมีมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 50%
ทั้งนี้ Uber และ Ola ต่างได้รับการสนับสนุนโดยนักลงทุนด้านเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง SoftBank
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%94-19-%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%88%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%88.html">โควิด-19 อาจเป็นแค่ปัจจัยเร่งให้ Hertz เป็นอีกบริษัทที่ประกาศล้มละลาย</a>

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/2020/05/26/tech/uber-india-job-cuts-intl-hnk/index.html">Uber lays off 600 people in India as the coronavirus pandemic hurts business</a></li>
 	<li><a href="https://www.businessinsider.in/business/startups/news/uber-lays-off-600-employees-in-india-as-coronavirus-pandemic-leaves-its-cabs-empty/articleshow/75994447.cms">Uber lays off 600 employees in India as coronavirus pandemic leaves its cabs empty</a></li>
</ul>

Uber เดินหน้าแผนปลดคน เตรียมเลย์ออฟพนักงานในอินเดีย 600 ตำแหน่ง

หลังกรมการขนส่งทางบกมีการล่อจับ Uber และ GrabCar ในจังหวัดเชียงใหม่เมื่อช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2560 ติดตามมาด้วยการให้สัมภาษณ์ของ ณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ว่ามีความเป็นไปได้ที่รัฐจะใช้ กฎหมายมาตรา44 เพื่อปิดการให้บริการของ Uber และ GrabCar ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ ทั้งฝ่ายผู้โดยสารที่รู้สึกเสียดายหากทางเลือกการเดินทางจะถูกระงับบริการ และความหวาดกลัวของพาร์ทเนอร์ผู้ร่วมขับขี่กับ Uber ที่เลือกจะงดออกให้บริการในระยะนี้เนื่องจากหวั่นเกรงการถูกจับกุม

สำหรับ Uber เป็นบริการ Ridesharing โดยบริษัทเทคโนโลยีจาก San Francisco ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้งคือ Travis Kalanick เริ่มต้นธุรกิจในปี 2009 ก่อนจะขยายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเทศไทยที่ Uber เข้ามาเปิดบริการในปี 2014 ในช่วงที่เริ่มเปิดตัวนั้นมีการให้สัมภาษณ์จาก ธีระพงษ์ รอดประเสริฐ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก แล้วครั้งหนึ่งว่า Uber ถือเป็นบริการที่ผิดกฎหมาย

ลักษณะการทำงานของธุรกิจ Uber เป็นการเรียกบริการรถแท็กซี่ผ่านแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ แต่รถแท็กซี่ที่ใช้บริการไม่ใช่รถแท็กซี่สาธารณะป้ายทะเบียนสีเหลืองตามปกติ หากแต่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคลป้ายดำ และผู้ขับขี่เพียงถือใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลก็สามารถร่วมขับขี่กับ Uber ได้

โดยเมื่อเรียกรถของ Uber แล้ว ผู้ขับขี่จะต้องไม่ปฏิเสธผู้โดยสารไม่ว่าจะมีจุดหมายปลายทางที่ใด (ยกเว้นอยู่นอกเขตบริการ) หลังไปถึงจุดหมายแล้ว สามารถตัดค่าโดยสารผ่านบัตรเครดิต/เดบิตที่ลงทะเบียนไว้ทันที และมีระบบให้คะแนนคนขับผู้ให้บริการ ซึ่งถ้าหากคะแนนผู้ขับลดระดับลงมาก Uber อาจพิจารณาระงับผู้ขับออกจากระบบ

ด้านค่าโดยสารในกลุ่ม UberX ซึ่งเป็นรถยนต์ธรรมดา (เช่น Honda City, Mazda 2, Mitsubishi Attrage) ถือว่าใกล้เคียงกับแท็กซี่ปกติ ยกเว้นในพื้นที่ที่ดีมานด์ต่อรถ Uber สูงกว่าซัพพลาย ระบบจะปรับค่าโดยสารสูงขึ้นอัตโนมัติ

ข้อดีของ Uber จึงเข้ามาทดแทนจุดอ่อนของรถแท็กซี่ทั่วไปหลายประการ อาทิ ไม่สามารถปฏิเสธผู้โดยสาร คิดค่าใช้จ่ายตามจริงไม่มีปัดเศษขึ้น สามารถร้องเรียนพฤติกรรมได้และมีระบบลงโทษที่เข้มงวด

แต่แน่นอนว่า รูปแบบของ Uber เป็นการละเมิดกฎหมายตามพ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 ของไทย หลักๆ คือการห้ามมิให้นำรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้ผิดประเภทคือนำมาบริการสาธารณะ และผู้ขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ นอกจากนี้ ตามปกติแล้วรถแท็กซี่จะต้องปฏิบัติตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติในรายละเอียดต่างๆ เช่น การแต่งกายต้องเป็นเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว และติดชื่อนามสกุลที่อกเสื้อด้วย

<img style="width: 680px; height: 455px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fa73e4e96a6058540a2383cf0824579d.png" alt="" />
<h2>ต่อต้านทั่วโลก</h2>
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทยที่เกิดแรงต้านจากหน่วยราชการหรือผู้ขับรถแท็กซี่ดั้งเดิม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลกแม้แต่ที่ประเทศต้นกำเนิดอย่างสหรัฐฯ ในช่วงแรกของการให้บริการเมื่อปี 2009-2014 หลายมลรัฐมีการฟ้องร้อง Uber ที่ละเมิดกฎหมายเนื่องจากผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตหรือขั้นตอนการตรวจสอบผู้ขับขี่ไม่รัดกุม ไม่ว่าจะเป็นรัฐ Illinois, Nevada, New York, Oregon ฯลฯ

ถัดลงมาที่ทวีปอเมริกาใต้ The Guardian รายงานว่าเมื่อปี 2015 Eduardo Paes นายกเทศมนตรีเมือง Rio de Janeiro ประเทศบราซิล ได้ผ่านกฎหมายเพื่อยุติการให้บริการของ Uber หลังการประท้วงหลายครั้งของแท็กซี่ดั้งเดิม ซึ่งมองว่า Uber เป็นการบริการผิดกฎหมายและเอาเปรียบการแข่งขัน เพราะผู้ขับ Uber ไม่ได้จ่ายภาษี ไม่ถูกตรวจสอบโดยรัฐ และไม่เสียค่าธรรมเนียมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการขับรถสาธารณะ

หรือประเทศใกล้เคียงไทยอย่างอินโดนีเซีย Jakarta Globe รายงานเมื่อปี 2014 ว่า หน่วยงานราชการมองว่า Uber ถือเป็นบริษัทให้บริการรถแท็กซี่ (แม้ว่า Uber มักจะนิยามตนเองว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยี) ดังนั้นรถที่เรียกผ่าน Uber จะต้องใช้ป้ายทะเบียนเหลืองหมายถึงเป็นรถสาธารณะ หลังจากนั้นเมื่อปีก่อน ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า คนขับรถแท็กซี่หลายพันคนรวมตัวกันหน้าอาคารรัฐสภาเพื่อประท้วง Uber และ Grab และมีการทุบทำลายรถยนต์หลายคันในบริเวณ

เหตุการณ์ถูกต่อต้านและถูกตั้งข้อกล่าวหาจากรัฐยังเกิดขึ้นในอีกหลายประเทศ เช่น เบลเยียม เดนมาร์ก ออสเตรเลีย บัลแกเรีย คอสตาริกา ฮังการี ฯลฯ

<figure><img style="width: 680px; height: 382px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fb3e836a616ffc5a90eb782535821337.jpg" alt="" width="730" height="410" /><figcaption> (ขอบคุณภาพจาก: ไทยรัฐออนไลน์)</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>สู่การรอมชอมและร่วมมือ</h2>
สภาวะความโกลาหลหลัง Uber เปิดบริการที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้ละเมิดกฎหมายหลายประการและแย่งส่วนแบ่งตลาดจากแท็กซี่ดั้งเดิม เริ่มคลี่คลายลงบ้างในช่วงปี 2016

เดือนมิถุนายน 2016 เว็บไซต์ Syracuse.com รายงานว่า The Senate Insurance Committee ของรัฐ New York มีการผ่านกฎหมายควบคุมให้บริษัทเครือข่ายการขนส่งต้องทำประกันอุบัติเหตุวงเงินไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อมีการรับผู้โดยสาร

ขณะที่เว็บไซต์ philly.com รายงานว่ารัฐ Philadelphia มีการผ่านกฎหมายให้ Uber และ Lyft (บริการเรียกรถลักษณะเดียวกัน) สามารถให้บริการอย่างถูกกฎหมายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2016 แต่จะต้องเสียภาษี 1.4% ในทุกๆ เที่ยวบริการ

เพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศมาเลเซีย เว็บไซต์ Techinasia.com เปิดเผยเมื่อเดือนสิงหาคม 2016 ว่า กรมการขนส่งทางบกของมาเลเซียเตรียมจะปฏิรูปกฎหมายเพื่อควบคุมบริการเรียกรถอิเล็กทรอนิกส์ โดยคนขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ในปี 2014 ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศแรกในเอเชียที่อ้าแขนต้อนรับบริการเรียกรถเช่นนี้ แต่ผู้ขับจะต้องมีใบอนุญาต และบริษัทเรียกรถไม่สามารถปรับราคาขึ้นมากกว่าที่กฎหมายกำหนดได้

จะเห็นได้ว่า ยังไม่มีประเทศใดหรือรัฐใดที่อนุญาตให้ Uber เปิดบริการแบบเสรี แต่มีการแก้กฎหมายหรือออกกฎหมายฉบับใหม่เพื่อควบคุมบริการโดยเฉพาะ เนื่องจากรัฐยังมีหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนและดูแลไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในทางธุรกิจ แต่จำเป็นที่ต้องปรับตัวตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งเข้ามาสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้บริการ

<figure><img style="width: 680px; height: 468px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/dc3feae226561dddc7ed24b02d2978d4.jpg" alt="" width="717" height="493" /><figcaption> (ขอบคุณภาพจาก: Posttoday)</figcaption></figure>

&nbsp;

ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ความพยายามที่จะก้าวทันเทคโนโลยีของรัฐเกิดขึ้นเมื่อปี 2014 รัฐเคยมีแนวคิดที่จะพัฒนาแอพพลิเคชั่นลักษณะเดียวกับ Uber แต่ใช้ผู้ขับแท็กซี่ปกติ แต่ปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้นจริง ถัดมาในปี 2015 แอพพลิเคชั่น GoBike ซึ่งใช้เรียกรถวินมอเตอร์ไซค์จากผู้พัฒนาที่มีรัฐร่วมสนับสนุนก็เกิดขึ้น และเปิดบริการจริงในปี 2016 จนถึงปัจจุบัน

ฝ่ายภาคเอกชน มีความพยายามที่จะเรียกร้องให้รัฐหันมองทางเลือกอีกหนึ่งช่องทางที่ไม่ใช่เพียงเปิดเสรีหรือยกเลิกแอพพลิเคชั่น นั่นคือการ “เจอกันครึ่งทาง” กับบรรดาเทคโนโลยีเรียกรถแท็กซี่ ทำให้มีผู้ใช้บริการคือ John Collins เริ่มเรื่องรณรงค์บนเว็บไซต์ change.org เพื่อให้ปรับแก้กฎหมายให้เอื้ออำนวยต่อ Uber และ GrabCar โดยมีผู้ลงชื่อแล้วกว่า 8,000 รายชื่อ รวมถึง Uber Thailand เองเริ่มเคลื่อนไหวล่ารายชื่อให้รัฐบาลรองรับบริการร่วมเดินทาง (Ridesharing) แล้ว

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events