<h2>ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประกาศกำไรสุทธิ ไตรมาส 1 ปี 2568 จำนวน 838.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.9%YoY มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 20.7%YoY และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 5.1% YoY อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.8 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2567</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 838.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 212.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 33.9 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2567 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 22.1 ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.2&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดสามเดือนปี 2568 มีจำนวน 3,583.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 77.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2567 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานอื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 134.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.1 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรสุทธิจากการขายเงินลงทุน สุทธิกับการลดลงของกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 62.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.7 เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมและบริการ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 118.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.1 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนปี 2568 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2567 ลดลงจำนวน 485.3 ล้านบาทหรือร้อยละ 22.1 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 47.6 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 62.5&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับงวดสามเดือนปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 2.0 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.2 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันที่ 31 มีนาคม 2568 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 246,300 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 310,500 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.2 จากสิ้นปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 324,000 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 79.3 จากร้อยละ 77.6 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 6,900 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.8 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 เป็นผลจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยยังคงมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อ และนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมขึ้น ตลอดจนได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามหนี้ การดำเนินการดูแลและการแก้ไขลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบดังกล่าวอย่างใกล้ชิด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 134.3 ลดลงจากสิ้นปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 137.9 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1,500 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีจำนวน 59,700 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 21.4 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 16.7&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สำหรับปี 2025 เราระมัดระวังในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกและภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เรายังคงเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตลาด ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ เป้าหมายของธนาคาร คือการผลักดันผลการดำเนินงานหลักและความสามารถในการทำกำไร พร้อมทั้งมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว ภายใต้แผนกลยุทธ์ใหม่ของกลุ่มซีไอเอ็มบี นั่นคือ 'Forward30' - Advancing Customer And Society เรามุ่งมั่นในการขับเคลื่อนลูกค้าและสังคมไปข้างหน้า ด้วยแนวทางการทำงานที่ “เรียบง่าย รวดเร็ว และดียิ่งขึ้น” พอล วอง กล่าว ภาพ: CIMBT เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bbl-q-1-2568-apr-2025" alt="ธนาคารกรุงเทพ เผยไตรมาส 1 ปี 68 กำไรสุทธิพุ่ง 12,618 ล้านบาท โต 19.9%YoY แม้หนี้เสียยังเพิ่ม">ธนาคารกรุงเทพ เผยไตรมาส 1 ปี 68 กำไรสุทธิพุ่ง 12,618 ล้านบาท โต 19.9%YoY แม้หนี้เสียยังเพิ่ม</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 68 ที่ 838 ล้านโต 33.9%

<h2>ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เผยเป้าหมายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งปี 2568 คาดว่ารายได้ฯ จะเติบโต 20% ใกล้เคียงกับปีนี้ ส่วน AUM คาดว่าจะเติบโตขึ้น 10% จากปัจุบันที่อยู่ราว 400,000 ล้านบาท โดยจะเน้นขยายฐานเงินฝากออมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมแนะนำการลงทุนให้ลูกค้าท่ามกลางความผันผวนที่สูงขึ้นในปีหน้า รวมถึงเล็งเพิ่มรายได้ธุรกิจประกันฯ ผ่านผลิตภัณฑ์ด้านวางแผนมรดก ซึ่งช่วง 10 เดือนแรก ปี 2567 ยังเติบโตกว่า 35%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายติยะชัย ชอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Wealth &amp; Preferred Segment ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT) กล่าวว่า ช่วง 10 เดือนแรกปี 2567 ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth management) ของธนาคารเติบโตขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลให้รายได้จากกลุ่มลูกค้าทั้งหมดของธนาคารเติบโตขึ้นมากกว่า 20% (กลุ่มลูกค้ารายย่อยที่มีเงินลงทุนต่ำกว่า 1 ล้านบาท ถึง High net worth ที่มีเงินลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ 10 เดือนแรกปี 2567 ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของธนคาร ขยายตัวจากฐานเงินฝากออมทรัพย์ที่เติบโตขึ้นกว่า 34%YoY มาจากกลยุทธ์การให้อัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ เช่น CIMB Preferred Savings จ่ายอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 2.2% ใน 4 เดือนแรก สำหรับลูกค้าใหม่ที่มีเงินฝากตั้งแต่ 3 ล้านบาทถึง 500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงสุดในตลาด นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจประกันเติบโตขึ้นกว่า 37%YoY ส่วนใหญ่เติบโตจากผลิตภัณฑ์ด้านการวางแผนมรดกของครอบครัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนกลุ่มธุรกิจการลงทุนยังคงเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อตราสารหนี้ผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือของซีไอเอ็มบีไทย โดยการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดแรกผ่านแอพพลิเคชั่นเติบโตเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 102% ต่อปี ในส่วนของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรอง ก็เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 75% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2564&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนปี 2568 ตั้งเป้าหมายว่ารายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของธนาคาร จะเติบโตขึ้น 20%YoY ขณะที่สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) คาดว่าจะขยายตัว 10% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 400,000 ล้านบาท โดยยังคงมุ่งขยายฐานเงินฝากออมทรัพย์ให้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะต่อยอดสู่การลงทุนมากขึ้น ภายใต้ AUM ดังกล่าวมีสัดส่วนเงินฝากราว 35% (เงินฝากออมทรัพย์ในสัดส่วน 60% และเงินฝากประจำที่ 40 %)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ช่วงที่ผ่านมา เราพยายามปรับสัดส่วนจากเงินฝากประจำมาเป็นเงินฝากออมทรัพย์มากขึ้น ทั้งเพื่อดึงดุดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ และลูกค้าอาจขยับไปส่วนการลงทุนได้เมื่อต้องการ ซึ่งพบกว่ากลุ่มที่มี AUM 10 ล้านบาทขึ้นไป มีการโยกเงินไปลงทุนมากกว่ากลุ่มอื่น ” ติยะชัย กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ธนาคารเตรียมพัฒนานวัตกรรมด้านเงินฝาก โดยจะปรับใช้ AI เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมด้านการเงิน เช่น การให้ Bonus rate แก่ลูกค้า อย่างการให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษ เมื่อมีการฝากเงินเพิ่มขึ้นทุกเดือน หรือ ลงทุนต่อเนื่อง เป็นต้น โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาและออกแบบคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านธุรกิจประกัน ปี 2568 คาดว่ารายได้ส่วนนี้จะเติบโต 10-15% โดยจะขยายตัวจากผลิตภัณฑ์วางแผนมรดก ผ่านความร่วมมือกับบริษัทพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) เพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2568 คาดว่าภาพรวมการลงทุนอาจมีความผันผวนสูงขึ้น จากความท้าทายในหลายด้านทั้งนโยบายการค้า และการเงินที่อาจเปลี่ยนแปลง ธนาคารจึงเน้นออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ลดความเสี่ยง และลดความผันผวนได้ แต่ยังสร้างรายได้ หรือปันผลที่เพิ่มขึ้น ช่วงที่ผ่านมา ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยร่วมกับ Principal Asset Management ออกผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะคุ้มครองเงินต้นสำหรับลูกค้าที่ถือกองทุนจนครบกำหนด สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการขาดทุน ซึ่งสามารถระดมทุนได้กว่า 1,200 ล้านบาท ภาพ: CIMBT เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/jitta-invest-dec-2024" alt="'จิตตะ เวลธ์' มองปี 68 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจโตต่อ จับตาปรับเกณฑ์เก็บภาษีลงทุนนอก">'จิตตะ เวลธ์' มองปี 68 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจโตต่อ จับตาปรับเกณฑ์เก็บภาษีลงทุนนอก</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

CIMBT ตั้งเป้าปี 68 รายได้ธุรกิจเวลธ์โต 20% เล็งขยายฐานเงินฝากออมทรัพย์พร้อมลงทุน

<h2>หากพูดถึงสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ หลายคนอาจนึกถึงกลุ่มผู้ที่ต้องการสภาพคล่องหรือเงินหมุนให้เร็วที่สุดแม้ดอกเบี้ยสูง แต่ก็พร้อมกู้ แต่ปัจจุบันกลับพบว่า กลุ่มผู้ใช้รถหรู รถยุโรป หรือ Supercar หากขาดสภาพคล่องก็หันมาใช้สินเชื่อจำนำทะเบียนมากขึ้นด้วย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายวิสิทธิ์ พึ่งพรสวรรค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด บริษัทในเครือธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย CIMBT เล่าว่า ช่วงที่ผ่านมาการแข่งขันสินเชื่อรถยนต์ขยับจากรถยนต์ใหม่มายังที่ตลาดรถมือสองมากขึ้น กระทั่งช่วงปี 2566 - 2567 ราคารถยนต์มือสองที่ลดลงรุนแรงในบางช่วงไปถึง 50% (ปกติจะลดลงเฉลี่ยไม่เกิน 40%) ส่งผลให้หลายบริษัทขาดทุนจัดการขายรถ และจึงเห็นการปรับกลยุทธ์มาเน้นลูกค้าที่มีประวัติการผ่อนชำระดีมากขึ้น รวมถึงยังเห็นการเพิ่มเงินดาวน์เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ปี 2567 นี้ในพอร์ตของธนาคาร CIMBT ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์ปรับตัวดีขึ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ส่วนหนึ่งอาจเพราะมาตรการช่วยเหลือของรัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง และมองถึงปี 2568 เชื่อว่าตลาดสินเชื่อรถยนต์จะกลับมาฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และภาวะดอกเบี้ยนโยบายขาลงที่เป็นผลดีต่อเช่าซื้อ (คาดว่าไตรมาส 1 และ 2 ปี 2568 อาจเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลงราว 0.5-1%)​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/4qDpkzY6KpsFQbzkoWqZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4qDpkzY6KpsFQbzkoWqZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>​นายวิสิทธิ์ พึ่งพรสวรรค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด​</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น กลยุทธ์ของ ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จะรุกตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมากขึ้น แม้อาจมีการแข่งขันสูง แต่ทางบริษัทฯ จะแข่งขันในกลุ่มลูกค้าที่มีประวัติการผ่อนชำระที่ดี และกลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือน 30,000-50,000 บาทขึ้นไป ล่าสุดเปิดตัว ‘สินเชื่อรถปลดล็อค’ เป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.25% ต่อเดือน (3% ต่อปี) วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ต้องยอมรับว่า ตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถแข่งขันสูง ที่เรากล้าปล่อยแคมเปญสู้ เพราะเรามั่นใจว่าตรงความต้องการลูกค้า จากการที่ทีมงานทุ่มเทศึกษาตลาดและทำการบ้านอย่างหนัก เพื่ออุด pain point ของลูกค้าทุกจุด จึงออกมาเป็นสินเชื่อรถปลดล็อก by CIMB THAI AUTO ซึ่งเราคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อรถปลดล็อกได้ 3,000 ล้านบาทภายในปี 2568” นายวิสิทธิ์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายเกรียงภพ ปานุราช รองกรรมการผู้จัดการ สินเชื่อการตลาดและบริหารสินเชื่อ บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันยังเห็นความต้องการสภาพคล่องสูง ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้ประกอบกิจการ SME ที่มีทรัพย์สินเป็นรถยนต์จึงนำมาขอสินเชื่อจำนำทะเบียนเมื่อต้องการสภาพคล่อง โดยเริ่มเห็นการนำรถยุโรป Supercar มาขอสินเชื่อจำนำทะเบียนมากขึ้น ทางบริษัทฯ จึงขยายสู่ฐานลูกค้ากลุ่มนี้และให้วงเงินสูงสุดที่ 5 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สาเหตุที่เราให้วงเงินสูงเพราะต้องการเสริมศักยภาพทางการเงินให้ลูกค้า แต่ทำการตลาดจะควบคู่ไปกับการให้ความรู้ลูกค้าในการขอสินเชื่อเท่าที่ตัวเองสามารถผ่อนได้ โดยจากการศึกษาข้อมูล พบว่าลูกค้าที่มีรถปลอดภาระมักไม่ทิ้งรถ” นายเกรียงภพ กล่าว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/wo6rzdM1jKL8EWPPRXpo.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,330px" data-align="center" data-file-name="wo6rzdM1jKL8EWPPRXpo.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,330" data-origin="720px,330px" style="width: 720px; height: 330px;" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ สินเชื่อจำนำทะเบียนของธนาคารมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 9.95% ต่อปีซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยจำนำทะเบียนแบบไม่โอนเล่มที่ถือว่าอยู่ในอัตราต่ำของตลาด ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงกว่า ยังมีการปล่อยสินเชื่อแต่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า (อัตราสูงสุดตามกฎเกณฑ์อยู่ที่ 24% ต่อปี)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามแผนใน 2 ปี ตั้งเป้าหมายในรถที่อายุน้อยลง จากปัจจุบันเฉลี่ยอายุรถที่ 6-10 ปี ส่วนมูลค่ารถที่นำมาจัดสินเชื่อเฉลี่ยที่ 500,000 บาทต่อคัน เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ราว 300,000 บาทต่อคัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า พอร์ตสินเชื่อรวมของบริษัทฯ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 31,000 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน โดยปี 2568 คาดว่าจะมียอดสินเชื่อใหม่เดือนละ 1,200 ล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่ราว 800 ล้านบาท (ปัจจุบันมียอดการชำระคืนเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท) แต่ภายใน 3 ปีข้างหน้าตั้งเป้าหมายจะมีสินเชื่อคงค้างเช่าซื้อยานยนต์อยู่ที่ 38,000 ล้านบาทโดยแบ่งสัดส่วนเป็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อเช่าซื้อให้กับดีลเลอร์ยานยนต์ 60% (จากปัจจุบันอยู่ที่ 90%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อจำนำทะเบียนราว 20% (จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อมอเตอร์ไซค์ใช้แล้วในสัดส่วน 20% (จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ด้านหนี้เสียหรือ NPL ปัจจุบันอยู่ที่ 1.9% ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตามในปี 2568 เชื่อว่า NPL จะลดลง ทั้งจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและการมุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มคุณภาพ โดยปัจจุบันในพอร์ตของบริษัทมีการให้สินเชื่อในกลุ่มที่มีฐานข้อมูลในเครดิตบูโร (NCB) กว่า 75% Photo by <a href="https://unsplash.com/@redcharlie?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">redcharlie</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/silver-bmw-m-3-coupe-parked-in-building-6EjtuM4D0oQ?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a>, CIMBT เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/travel/rs-group-invest-entertainment-complex" alt="RS ประกาศลงทุน Entertainment Complex ตั้งบริษัทย่อยผนึกพาร์ทเนอร์ ปักธงภูเก็ต-พังงา">RS ประกาศลงทุน Entertainment Complex ตั้งบริษัทย่อยผนึกพาร์ทเนอร์ ปักธงภูเก็ต-พังงา</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คนไทยใช้รถหรูมากู้มากขึ้น! CIMBT เปิดตัว ‘สินเชื่อรถปลดล็อก’ วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0.25% ต่อเดือน

<h2>ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยงบการเงินงวด 9 เดือน ปี 67 มีกำไรสุทธิ 1,890.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9%YoY ผลจากรายได้การดำเนินงานเพิ่มขึ้น ตั้งสำรองฯ ลดลง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย หรือ CIMBT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,890.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 (YoY) สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 4.5% และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 5.7% สุทธิกับการเพิ่มขึ้นในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 6.5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 มีจำนวน 10,785.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%YoY เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 6.8% ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากให้บริการชำระค่าสินค้าและบริการชำระเงิน และค่าธรรมเนียมการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน ส่วนรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 24.9% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนสุทธิกับการลดลงของกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพและกำไรสุทธิจากเงินลงทุน สุทธิกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง 1.5% เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเติบโตสูงกว่าการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้น 6.5%YoY สาเหตุหลักมาจากค่าเผื่อการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขายที่เพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 61.7%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM) สำหรับงวด 9 เดือนปี 2567 อยู่ที่ 2.3% ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2566 อยู่ที่ 2.6% เป็นผลจากต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณ 30 ก.ย. 2567&nbsp;สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 6,400 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 2.5% ลดลงเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้าอยู่ที่ 3.3% สาเหตุเกิดจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในระหว่างงวด 2567 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และกระบวนการในการเก็บหนี้&nbsp;อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ที่ 138.8% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 124.2% ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 8,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1,500 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ณ 30 ก.ย. 2567 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 251,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ สิ้นปี 2566 ขณะที่กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) อยู่ที่ 283,700 ล้านบาท ลดลง 8.6% จากสิ้นปี 2566 อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 88.7% จาก 78.9% ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2566&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ 30 ก.ย. 2567 มีจำนวน 57,200 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 19.5% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 15.8% เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bbl-q-3-2024" alt="แบงก์กรุงเทพเผย 9 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิ 34,807 ล้านบาท โต 6.2%YoY ผลรายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังโต"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-q-3-oct-2024" alt="กรุงศรีเผยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2567 อยู่ที่ 23,424 ล้านบาท ลดลง 7% เหตุตั้งสำรองรับความเสี่ยงหนี้"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ttb-q-3-oct-2024" alt="เปิดงบ! ธ. ทหารไทยธนชาต 9 เดือนแรกปี 67 กำไรสุทธิแตะ 15,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.1%YoY ย้ำคุ้มหนี้เสียได้ตามเป้า">เปิดงบ! ธ. ทหารไทยธนชาต 9 เดือนแรกปี 67 กำไรสุทธิแตะ 15,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.1%YoY ย้ำคุมหนี้เสียได้ตามเป้า</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ประกาศกำไรสุทธิงวด 9 เดือน ปี 67 ฟื้น 1,890.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9%YoY

<h2>ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จับมือ แอสเซนด์ มันนี่ เพิ่มช่องทางลงทุน ‘หุ้นกู้ตลาดรอง’ ให้ซื้อขายผ่านแอปฯ TrueMoney ที่มีผู้ใช้งานกว่า 34 ล้านคน ทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชม. หวังในระยะสั้นมูลค่าซื้อขายหุ้นกู้ตลาดรองผ่านแอปฯ นี้แตะ 10,000 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB THAI) กล่าวว่า จากกลยุทธ์ของธนาคารที่มุ่งเน้นด้านดิจิทัล และมีจุดแข็งด้าน Wealth Management จึงเกิดเป็นความร่วมมือกับ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ที่มีฐานผู้ใช้งานแอปพลิเคชันกว่า 34 ล้านคน โดยจะเปิดช่องทางใหม่ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดีที่ CIMB THAI คัดสรรแล้ว และสามารถซื้อขายหุ้นกู้ตลาดรอง (Secondary Bond) ผ่านแอปฯ TrueMoney ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันตลาดตราสารหนี้ได้รับความสนใจมากขึ้น ในภาพรวมปี 2567 (ม.ค.-ก.ย. 67) พบว่า มูลค่าธุรกรรมซื้อขายตราสารหนี้ทุกประเภทที่มีอายุมากกว่า 1 ปี อยู่ที่ 5.92 ล้านล้านบาท โดยมีลูกค้าบุคคลเข้ามาเป็นทำธุรกรรมซื้อขายในตลาดรองมูลค่าราว 37,089 ล้านบาท (คาดว่าสิ้นปี 67 จะมีมูลค่าราว 50,000-60,000 ล้านบาท) คิดสัดส่วนเป็น 1% ของมูลค่าการซื้อ-ขายทั้งตลาด โดยเชื่อว่าในแง่มูลค่าซื้อขาย และจำนวนลูกค้ากลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถซื้อขายได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง CIMB THAI ยังมีส่วนแบ่งการตลาดในหุ้นกู้ตลาดรองเป็นอันดับ 1 ที่ราว 28%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากเปิดตัวบริการ 'หุ้นกู้ตลาดรอง' บนแอปฯ TrueMoney ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีผู้สมัครเข้าใช้งานหลักหมื่นรายและมีมูลค่าซื้อขายเกือบ 100 ล้านบาทแล้ว โดยคาดหวังว่าจะมีมูลค่าซื้อขาย 10,000 ล้านบาทในระยะสั้นนี้ โดยภายในปี 2568 คาดว่าจะเปิดกว้างให้ซื้อขายหุ้นกู้ตลาดรองในขั้นต่ำที่หลักพันหรือหลักหมื่นบาทเพื่อสร้างการเข้าถึงได้มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด ผู้ให้บริการแอปฯ TureMoney เปิดเผยว่า ปัจจุบันแอปฯ TureMoney ขยายให้บริการทางการเงินหลายด้าน โดยมีรายได้หลักจากระบบการชำระเงิน และมีบริการอื่น เช่น สินเชื่อ เงินฝาก ประกันภัย ฯลฯ ซึ่งความร่วมมือกับ CIMB THAI จะช่วยขยายบริการให้ลูกค้าได้มากขึ้น ณ ขณะนี้มีฐานลูกค้าบน TrueMoney ใช้บริการทางการเงินต่างๆ อยู่ราว 5 ล้านคน จากที่มีผู้ใช้งาน Active อยู่ราว 20 ล้านคน (ใช้อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปกติแล้ว ‘หุ้นกู้ตลาดแรก’ หรือที่เรียกว่า ‘หุ้นกู้มือหนึ่ง’ นั้นมีจำนวนไม่มากและมีขั้นตอนในการติดต่อขอจองซื้อที่ยุ่งยาก ทำให้ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ ทางทรูมันนี่ จึงร่วมกับ ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้นผ่านแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีของเรา” ธัญญพงศ์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่ผ่านมา แอสเซนด์ มันนี่ มีบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากลาย และมีความตั้งใจที่จะขยายบริการทางการเงินให้มากขึ้น โดยมองว่า หุ้นกู้ตลาดรอง น่าสนใจและเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ดี ซึ่งจะทำให้ลูกค้า มีสภาพคล่องในสินทรัพย์ของตัวเองได้ มีความปลอดภัยมากขึ้น จะเปิดช่องทางใหม่ให้ลูกค้ากระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประจำ (ปัจจุบันมีการรับชำระเงินผลิตภัณฑ์การลงทุนอยู่แล้วมูลค่าเฉลี่ย 500,000 - 1,000,000 บาท) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/agoda-thailand-sep-2024" alt="ไทยติดอันดับ 3 เมืองที่สายกินต้องมาเยือนในเอเชีย รองจาก ‘เกาหลีใต้ - ไต้หวัน’"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/cardx-first-half-2024-total-loans-103000-million-baht-expected-all-year-spending-credit-cards-grow-5-8-percent" alt="CardX เผย ครึ่งแรกปี 67 ยอดสินเชื่อรวม 103,000 ล้านบาท คาดทั้งปียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตโต 5-8%">CardX เผย ครึ่งแรกปี 67 ยอดสินเชื่อรวม 103,000 ล้านบาท คาดทั้งปียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตโต 5-8%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

มากกว่าจ่ายเงินใน 7-Eleven! TrueMoney จับมือ CIMB THAI เปิดซื้อขาย ‘หุ้นกู้ตลาดรอง’ ได้ 24 ชม. ตั้งเป้ามูลค่าซื้อขายแตะหมื่นล้าน

<h2>CIMB THAI มองอาเซียนยังเติบโตได้ เพราะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน อาจกลายเป็นโอกาสให้เกิดการค้ากับอาเซียนมากขึ้น มอง 3 ประเทศน่าลงทุน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ โดยมุ่งใน 4 Mega Trend ‘ความยั่งยืน-AI-ความมั่นคงทางอาหาร-พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่‘</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า แม้ทั่วโลกยังมีความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า แต่คาดว่าผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นไม่แตกต่างนัก สาเหตุเพราะตั้งแต่เกิดสงครามการค้า สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนลดลงเรื่อยๆ ซึ่งอาเซียนได้รับอานิสงส์เพราะเมื่อจีนส่งออกไปสหรัฐไม่ได้ อิทธิพลการค้าจีนกับอาเซียนเพิ่มเป็นทวีคูณ ขณะเดียวกัน อาเซียนหลายประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากขึ้น แม้แต่สิงคโปร์ที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐก็ขาดดุลลดลง ส่วนสหรัฐก็ขาดดุลการค้ากับอาเซียนมากขึ้นเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดี หากอาเซียนรับมือกับสงครามการค้าครั้งใหม่ได้ไม่ดีพอ การค้าโลกที่มีความเสี่ยงจะลดลงอาจกระทบกับการค้าและการเชื่อมโยงด้านการลงทุนของอาเซียนได้ ทั้งนี้ ประโยชน์และผลกระทบที่แต่ละประเทศจะได้รับขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของแต่ละประเทศ เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ความน่าดึงดูดในการลงทุน และสิ่งอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ในปี 2566 ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลก ลดลง 2% สู่ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ท่ามกลางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าพิจารณาไส้ใน พบว่า FDI ในประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มขึ้น 1% เป็น 2.26 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สิงคโปร์เป็นประเทศที่ได้รับ FDI มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามมาด้วยอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย (ตามรายงานการลงทุนโลกปี 2567 โดย UNCTAD) สะท้อนว่าโลกกำลังย้ายฐานการผลิตมา ASEAN&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วุธว์ ธนิตติราภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บรรษัทธุรกิจและธุรกรรมการเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ทำให้การพึ่งพาทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนลดลง และหันมาทำการค้ากับประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้น และเชื่อว่าเป็นโอกาสให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศอาเซียนได้ทำธุรกิจกับคู่ค้าใหม่ๆ ในตลาดโลกมากขึ้น และอาจขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศปลายทางที่น่าลงทุนที่สุดตอนนี้ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- มาเลเซีย โดดเด่นในภาคบริการและการผลิตสินค้าที่อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้น เป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต โดยปี 2566 มีเงินลงทุนไหลเข้ามาเลเซียกว่า 3.29 แสนล้านริงกิต เติบโตสูงขึ้น 23% จากปีก่อนหน้า นับเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ส่วนสินค้าส่งออกของมาเลเซียหลักๆ คือ ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันปาล์ม และอุปกรณ์โทรคมนาคม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- อินโดนีเซีย มีจุดเด่นเรื่องของการเติบโตของประชากรที่ปัจจุบันมีกว่า 280 ล้านคน และมีการเติบโตของ GDP อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีแนวโน้มความต้องการสินค้าอุปโภคและบริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2566 อินโดนีเซียบันทึกเงินลงทุนไหลเข้า จำนวน 4.75 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% โดยแหล่ง FDI ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียได้แก่ สิงคโปร์ จีน และฮ่องกง โดยอุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานได้รับ FDI เยอะที่สุด สินค้าส่งออกหลักของอินโดนีเซีย คือ ถ่านหิน น้ำมันปาล์ม เหล็กและเหล็กกล้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สิงคโปร์ ที่เป็นศูนย์กลางการเงินและการค้าของภูมิภาค ในปี 2566 สิงคโปร์ มี FDI มูลค่าสูงถึง 2.14 แสนล้านเหรียญสิงคโปร์ เติบโต 10% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของทุนจดทะเบียนและกำไรสะสม โดยประเทศที่มีการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ จีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง โดยส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดของ FDI อยู่ในภาคบริการทางการเงินและการประกันภัย ส่วนสินค้าส่งออกหลัก คือ ปิโตรเลียม เครื่องจักร และเคมีภัณฑ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ ประเทศไทย ช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2567 นักลงทุนต่างชาติและในประเทศยื่นคำขอส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพิ่มขึ้น 35% มูลค่ารวม 4.58 แสนล้านบาท โดยในครึ่งแรกของปี 2567 ภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ครองอันดับหนึ่งด้วยมูลค่าการลงทุน 1.39 แสนล้านบาท (30.5% ของมูลค่าการขอลงทุนรวมของ BOI) รองลงมาคือภาคยานยนต์ 3.99 หมื่นล้านบาท (8.7% ของมูลค่ารวม) และเกษตรกรรมขั้นสูง 3.31 หมื่นล้านบาท (7.2% ของมูลค่ารวม)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของ Mega Trend ที่น่าจับตามองในช่วงนี้มี 4 กลุ่มหลักได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. Sustainability หรือการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน โดยที่ผ่านมาเราจะเห็นตลาดเกิดใหม่ไม่ว่าในเรื่องของพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า หรือผลิตภัณฑ์รีไซเคิล เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถนำมาพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการผลิตได้ในทุกภาคส่วน ทำให้เกิดความต้องการที่เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. Food Security หรือความมั่นคงทางอาหารเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ประเทศใหญ่ๆ หันมาให้ความสำคัญกันมากโดยเฉพาะประเทศที่มีประชากรและการเติบโตของประชากรสูง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. Consumer Behavior หรือพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่เน้นเรื่องของความสะดวกรวดเร็วและเข้าถึงแหล่งข้อมูลของสินค้าที่ต้องการโดยง่าย ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวให้เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปนิดา ตั้งศรีวงษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สถาบันการเงินประเทศไทย และ CLMV ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เพื่อการขยายธุรกิจอย่างราบรื่น ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ในการเคลื่อนย้ายเงินทุน และทุกๆ ด้านซึ่ง CIMB Group ที่มีเครือข่ายในอาเซียนจึงมีความเชี่ยวชาญในประเทศอีกด้วย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/true-revenue-q-2-2024" alt="‘ทรู’ ตั้งเป้าปี 2568 จะเป็น ‘ปีแห่งการทำกำไร’ อย่างยั่งยืน หลัง EBITDA เติบโตติดกัน 6 ไตรมาส"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/warren-buffett-berkshire-hathaway-sold-apple-shares-49-percent" alt="บริษัท Berkshire ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุบสถิติใหม่ถือเงินสด 2.77 แสนล้านเหรียญ หลังเทขายหุ้น Apple 49%">บริษัท Berkshire ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุบสถิติใหม่ถือเงินสด 2.77 แสนล้านเหรียญ หลังเทขายหุ้น Apple 49%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

CIMB THAI แนะขยายลงทุนในอาเซียน ‘มาเลเซีย-อินโดนีเซีย-สิงคโปร์’ จับตาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

<h2>สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มองเศรษฐกิจไทย ‘ซึมยาว’ ปี 2567 นี้โตแค่ 2.3% ถึงมี Digital Wallet อาจช่วยระยะสั้นให้ GDP ไทยปีนี้โตเพียง 2.5% ห่วง SME ยังเหนื่อย พ่วงต้องจับตา 4 ปัจจัยเสี่ยง ย้ำศักยภาพการขยายตัวเศรษฐกิจไทยต่ำ 3% แล้วจึงต้องเร้งปรับโครงสร้าง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย หรือ CIMBT เปิดเผยว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะ ‘ซึมยาว’ ในปี 2567 คาดว่า GDP จะขยายตัวที่ 2.3% และปี 2568 จะฟื้นมาที่ 3.2% แต่ด้วยระดับศักยภาพของไทยลดเหลือ 3% จึงมองว่าหลังจากนั้น GDP ไทยจะลดลงต่อเนื่องไม่เติบโตเกิน 3% เนื่องด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการสร้างรายได้ของไทยลดลง สังคมสูงวัย ขาดแคลนแรงงาน ขาดการเพิ่มทักษะ ปัญหาด้าน Productivity หรือ ผลิตภาพทางการผลิต ที่ฉุดศักยภาพในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แม้ว่าปีนี้อาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่าง Digital wallet แต่อาจช่วยเพิ่ม GDP ปีนี้ให้ขยายตัวเป็น 2.5% เท่านั้น และเป็นเพียงการกระตุ้นที่มีผลระยะสั้น ในช่วงปลายปีนี้หรืออาจจะถึงต้นปีหน้า ดังนั้นจึงหวังว่า รัฐบาลจะมีมาตรการเพิ่มเติมที่เน้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย สร้างการจ้างงานในระยะยาว เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มทักษะแรงงาน ที่จะเพิ่มศักยภาพให้เศรษฐกิจไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หวังว่านอกจากกระตุ้นระยะสั้นแล้ว จะเน้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ไปเป็นเรื่องดิจิทัล เรื่องการขยายฐานภาษี เรื่องการใช้จ่ายนวัตกรรมต่างๆ จะน่าสนับสนุน เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจจะแจกเงินก็ได้ แต่แจกแล้วจบ ไม่ได้เกิดการจ้างงาน ตรงนี้เป็นจุดนึง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินเยอะขนาดนี้” ดร. อมรเทพ กล่าว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/AhHjPsG9xKZVSkrU6kKm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AhHjPsG9xKZVSkrU6kKm.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,794"><figcaption><div>ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย CIMBT</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2567 นี้คาดว่าว่าจะเติบโตที่ 2.3% แม้จะมีแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยว (คาด 35.6 ล้านคน) ส่งออก บริโภคเอกชน และการส่งออกที่ต่างฟื้นตัว แต่ในภาพรวมยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อแรก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นและอาจสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง - ยูเครน รุนแรงขึ้น ปัจจัยนี้ทำให้ต้นทุนขนส่งสินค้าทางเรือจะสูงขึ้น ส่วนความขัดแย้งระหว่างจีน - ไต้หวัน หรือเกาหลีเหนือ - เกาหลีใต้ อาจกระทบห่วงโซ่อุปทานภาคการผลิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อสอง การเลือกตั้งในหลายประเทศที่อาจเปลี่ยนขั้วการเมือง เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ (5 พ.ย. 67) ที่อาจเห็นสะท้อนทิศทางนโยบายการค้าโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อสาม อัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระดับสูงและลากยาว โดยต้องจับตาว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดลงในช่วง ก.ย. ธ.ค. ตามคาดหรือไม่ (มาสู่ 5.00% ในช่วงปลายปี 67) ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และส่วนสุดท้าย คือ ภาคการผลิตอาจหดตัวต่อเนื่อง จากปัญหาหลายด้าน ทั้งขาดสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ขาด FDI หรือเติบโตรั้งท้ายในภูมิภาค หรือสินค้าจีนทะลักทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จากการที่จีนยังคงระดับการผลิตสินค้าเพื่อรักษาระดับการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจแม้อุปสงค์ในประเทศชะลอและเผชิญสงครามการค้ากับชาติตะวันตก ซึ่งที่จริงจีนน่าจะผลิตลดลง แต่กลับนำผลผลิตส่วนเกินมาระบายในตลาดอาเซียนโดยเฉพาะไทย หากเป็นเช่นนี้ต่อเนื่อง ภาคการผลิตของไทย โดยเฉพาะโรงงานในกลุ่ม SMEs ที่ขาดความสามารถในการแข่งขันอาจต้องปิดตัวลงจนกระทบการจ้างงานและการบริโภคของคนไทยอีกทอดหนึ่ง ซึ่งหวังว่ารัฐบาลไทยจะมีความชัดเจนในการแก้ปัญหาสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาและเร่งให้ SMEs ไทยปรับตัวได้ในไม่ช้า” ดร.อมรเทพ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นมองว่ากรณีสินค้าจีนทะลัก ควรมีมาตรการเข้ามาดูแล เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) ในสินค้าที่ตรวจสอบแล้วว่าได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐที่กดราคาสินค้าให้ต่ำ ซึ่งหากเพียงแค่ไทยไม่เพียง ยังคงมีอาเซียนที่จะให้ความร่วมมือได้ ที่สำคัญคือ มาตรการตรวจสอบและจัดการขบวนการจีนเทา เช่น การใช้ Nominee มีคนไทยเป็นตัวแทนในการทำธุรกิจ ต้องมีมาตรการควบคุม จัดระเบียบ เพื่อบรรเทาสถานการณ์ไม่ให้กระทบต่อ SME ไทย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/tta-mou-king-long" alt="TTA ของตระกูล ‘มหากิจศิริ’ จับมือค่ายรถจีน King Long เรียบร้อย บุกตลาด ‘กระบะไฟฟ้าเชิงพาณิชย์’ ในไทย"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bot-g-meet-the-press-july-2024" alt="เปิดมุมมองผู้ว่าแบงก์ชาติ ทำไมศักยภาพเศรษฐกิจไทยโตเหลือ 3% มองดอกเบี้ยปัจจุบัน ‘เหมาะสม’ แล้ว">เปิดมุมมองผู้ว่าแบงก์ชาติ ทำไมศักยภาพเศรษฐกิจไทยโตเหลือ 3% มองดอกเบี้ยปัจจุบัน ‘เหมาะสม’ แล้ว</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

CIMBT มองเศรษฐกิจไทย ‘ซึมยาว’ ศักยภาพเหลือโต 3% มองเงินดิจิทัลช่วยแค่ระยะสั้น

<h2>ท่ามกลางความหลากหลายทางเพศที่เพิ่มขึ้น แต่กฎหมาย และเรื่องต่างๆ กลับไม่ได้ปรับเปลี่ยนเร็วเท่าทันการเปลี่ยนแปลงในสังคมและชีวิตของผู้คน ที่ผ่านมาจึงเห็นปัญหาที่คู่รัก LGBTQ+ ต่างต้องเผชิญ เช่น เมื่อไม่สามารถแต่งงานกันได้ตามกฎหมาย สิทธิ สวัสดิการ และ อื่นๆ ก็สามารถส่งผ่านไปสู่คนรักของตน ไปจนถึง การสร้างอนาคตร่วมกัน อย่างการกู้ร่วมขอสินเชื่อบ้านกลายเป็นเรื่องยากกว่าที่หลายคนคิด</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.67) ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... หรือ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ทางที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบ ร่างกฎหมายฯ นี้แล้ว โดยมีคะแนนเห็นชอบ 130 เสียง ถือเป็นข่าวดีสำหรับประชาชนทุกเพศจะมีสิทธิเกี่ยวกับการสมรสได้อย่างเท่าเทียมกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ทันที ต้องผ่านขั้นตอนอีกบางส่วน และจะบังคับใช้ทันทีหลังการประกาศในราชกิจจานุเบกษา 120 วัน ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะได้เห็นกันในปี 2567 นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น หากคู่รัก LGBTQ+ ต้องการสร้างอนาคต สร้างครอบครัวไปด้วยกัน ทางด้านธนาคารจะมีความพร้อมแค่ไหน และมีธนาคารใดสามารถขอสินเชื่อบ้านได้บ้าง Forbes Thailand รวบรวบข้อมูลไว้ที่นี่แล้วกรุงศรีฯ เผยรุกตลาดสินเชื่อบ้าน LGBTQ+ มาตั้งแต่ปี 2564&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;‘ดมิศา พิศิษฐวานิช’ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านผลิตภัณฑ์และการตลาดลูกค้ารายย่อย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY เปิดเผยกับ Forbes Thailand ว่า เราเห็นความสำคัญของคู่สมรสเท่าเทียม คู่ชีวิตเท่าเทียมมาตั้งแต่ปี 2564 ปัจจุบันธนาคารจึงมีการให้สินเชื่อทั้งวงเงินเพื่อซื้อบ้าน และการรีไฟแนนซ์ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่น ฟรีค่าธรรมเนียมการสำรวจและประเมินหลักประกันให้กลุ่มลูกค้านี้อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อคู่รัก LGBTQ+ ต้องขอสินเชื่อบ้านร่วมกัน นอกจากเอกสารรายได้ และอื่นๆ ธนาคารจะขอเอกสารเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่า ผู้กู้มีความสัมพันธ์หรือการอยู่ร่วมกัน อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี ตามที่ธนาคารกำหนด เช่น&nbsp; &nbsp; - ทะเบียนบ้านที่อยู่ด้วยกัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บัญชีเงินฝากที่เปิดร่วมกัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สัญญาเช่าบ้านหรือที่พักอาศัยที่ลงนามร่วมกัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ทะเบียนสมรสจากต่างประเทศ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- อื่นๆ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(ข้อมูลเพิ่มเติม โดยปกติแล้วการขอสินเชื่อร่วมกัน ธนาคารจะขอเอกสารเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างผู้กู้ร่วมอยู่แล้ว)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เงื่อนไขการขอสินเชื่อบ้าน“คู่เพื่อน” ยังมีรายละเอียด ได้แก่&nbsp;&nbsp; &nbsp; - อายุ 27 – 65 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- พนักงานประจำ อายุงานรวมที่ทำงานเดิมและปัจจุบันตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป (งานปัจจุบันต้องผ่านการทดลองงานแล้ว) &nbsp; &nbsp; - ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ประกอบธุรกิจมาแล้ว ตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป &nbsp; &nbsp; - ผู้กู้หลักต้องมีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเมื่อรวมรายได้ของผู้กู้ร่วมแล้วต้องไม่น้อยกว่า 50,000 บาทต่อเดือน<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/ck1xPaMM8ZnYgE9hLXaf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ck1xPaMM8ZnYgE9hLXaf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" data-index="0" origin-size="720,480" style=""> <figcaption> <div>ดมิศา พิศิษฐวานิช ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านผลิตภัณฑ์และการตลาดลูกค้ารายย่อย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา</div> </figcaption> </figure></div>ทหารไทยธนชาต พร้อมปล่อยกู้สินเชื่อบ้าน LGBTQ+&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ttb กล่าวว่า สำหรับคู่รัก LGBTQ+ ที่ต้องการกู้ซื้อบ้าน ซื้อคอนโดร่วมกัน สามารถขอสินเชื่อได้ทั้งกู้ซื้อบ้าน และรีไฟแนนซ์ โดยจะใช้หลักฐานแสดงความสัมพันธ์เพิ่มเติม เช่น รูปภาพเพื่อยืนยันว่าเป็นคู่รัก หรือเอกสารยืนยันว่าอาศัยอยู่ร่วมกัน อย่างทะเบียนบ้านที่มีชื่อทั้งสองคน หรือเอกสารในการกู้ซื้อทรัพย์สินร่วมกัน เช่น รถยนต์ ไปจนถึงอาจใช้เอกสารการทำธุรกิจร่วมกันก็ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน เงื่อนไขในการพิจารณาสินเชื่อ ระบุว่า กรณีพนักงานประจำ ผู้กู้หลักต้องผ่านเกณฑ์อนุมัติ และกำหนดรายได้ขั้นต่ำต่อเดือนตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป และฐานเงินเดือนประจำ (Basic Salary) ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป กรณีเจ้าของกิจการ ซึ่งเกณฑ์รายได้ตามปกติผู้กู้ร่วม ไม่นับรวมรายได้ต้องถือกรรมสิทธิร่วมกันทั้งผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกกรณี CIMBT คาดตลาดสินเชื่อบ้านไทยมีลูกค้ากลุ่ม LGBTQ+ 3 ล้านคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝั่งธนาคารซีไอเอ็มบีไทย หรือ CIMBT เปิดเผยว่า ตลาดสินเชื่อบ้านในประเทศไทยคาดว่าจะมีฐานกลุ่มลูกค้า LGBTQ+ ประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งธนาคารมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านในกลุ่มลูกค้าดังกล่าว ทั้งการกู้ซื้อบ้านมือ 1 มือ 2 สินเชื่อบ้านอเนกประสงค์ มอร์เกจพาวเวอร์ และรีไฟแนนซ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามเงื่อนให้ถือกรรมสิทธิ์ในหลักประกันร่วมกัน และผู้กู้เป็นพนักงานประจำ หรือเจ้าของกิจการ ที่มีรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ในแต่ละประเภทสินเชื่อยังมีโปรโมชัน เช่น อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ฟรี ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ ฯลฯ<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/3Cxw9hNJVBHbqNkJmN4X.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3Cxw9hNJVBHbqNkJmN4X.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" data-index="1" origin-size="720,480" style=""> </figure></div> บางแบงก์แม้ไม่มีโปรดักส์เฉพาะทาง แต่กู้ร่วมสินเชื่อบ้านได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ผู้เขียนได้สอบถามเพิ่มเติมไปยังธนาคารอื่นๆ พบว่า หลายธนาคารเคยมีการออกแคมเปญพิเศษในบางช่วงเวลา (ธนาคารอาคารสงเคราะห์) และบางธนาคารแม้จะไม่มีสินเชื่อบ้านสำหรับ LGBTQ+ แต่ยังสามารถขอสินเชื่อบ้านเพื่อพิจารณา การปล่อยกู้ได้เช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารกสิกรไทยหรือ KBank ที่ระบุว่า ในปัจจุบันไม่มีสินเชื่อ LGBTQ+ โดยเฉพาะ แต่ลูกค้าสามารถขอวงเงินสินเชื่อบ้านในลักษณะการกู้ร่วมได้ ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ในฐานะเป็นเพื่อน โดยธนาคารจะพิจารณาการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ตามคุณสมบัติที่เหมาะสมตามข้อกำหนดของธนาคาร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ อาจต้องติดตามว่าหลังจาก ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ฟากฝั่งธนาคารจะปรับปรุงนิยามของ ‘คู่สมรส’ ได้เลยหรือไม่ แต่โจทย์ใหญ่ของการขอสินเชื่อยังคงเป็นเรื่อง ความสามารถในการชำระหนี้ หรือผู้กู้มีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายคืนสินเชื่อได้มากแค่ไหน <a href="https://www.freepik.com/free-photo/woman-showing-with-one-hand-mini-house-real-state-concept-ai-generative_41954006.htm#fromView=search&amp;page=2&amp;position=1&amp;uuid=a5e990da-a681-47ce-bbd4-f438cddbf00d">Image by chandlervid85 on Freepik</a>,&nbsp;Photo by <a href="https://unsplash.com/@jamesamolnar?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">James A. Molnar</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/green-yellow-and-purple-lego-blocks-BIDRXOGPMro?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/behind-celebrity-beauty-brands" alt="​เจาะลึกเบื้องหลัง เมื่อเหล่าคนดังหันมาทำแบรนด์เครื่องสำอาง">​เจาะลึกเบื้องหลัง เมื่อเหล่าคนดังหันมาทำแบรนด์เครื่องสำอาง</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ก่อน ‘สมรสเท่าเทียม’ จะเริ่มบังคับใช้  ธนาคารไหนให้ คู่รัก LGBTQ+ กู้ซื้อบ้านร่วมกันได้บ้าง

<h2>ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เผยไตรมาส 1 ปี 67 กำไรสุทธิลด 24.6% เพราะรายได้จากการดำเนินงานลดลง แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและหนี้เสียยังเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงต้องให้สินเชื่ออย่างรัดกุม และเดินหน้าบริหารความเสี่ยงแก้หนี้เสียอย่างต่อเนื่อง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่า มีกำไรสุทธิ 626 ล้านบาท ลดลง 24.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 36.9%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงาน ไตรมาส 1 ปี 2567 อยู่ที่ 3,506.1 ล้านบาท ลดลง 8.4%YoY เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงที่ 1.2% สาเหตุเพราะค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของเงินรับฝากเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ลดลง 8% เพราะค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมการบริการที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้อื่นๆ ยังลดลง 23.1% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของกำไรสุทธิจากเงินลงทุน และกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 11.8%YoY สาเหตุหลักเพราะการเพิ่มขึ้นของค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์รอการขาย และค่าภาษีอากร ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงาน ณ 31 มี.ค. 67 อยู่ที่ 62.5% เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2566 ที่อยู่ 51.2%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM) สำหรับงวด 3 เดือนปี 2567 อยู่ที่ 2.2% ลดลงจากงวดเดียวกันของปี 2566 ที่อยู่ระดับ 2.6% เป็นผลจากต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณ 31 มี.ค. 2567 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชีของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 248,300 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 โดยกลุ่มธนาคารมีเงินฝาก 316,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% จากสิ้นปี 66 โดยอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากลดลงมาสู่ระดับ 78.4% จากสิ้นปี 66 ที่อยู่ระดับ 78.9%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 8,400 ล้านบาท&nbsp;เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 66 ที่อยู่ราว 8,200 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 3.4% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่อยู่ระดับ 3.3% สาเหตุเพราะสินเชื่อรายย่อย โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ที่ 121.3% ลดลงจากสิ้นปี 66 ที่อยู่ระดับ 124.2% ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคาร ปัจจุบันอยู่ที่ 9,600 ล้านบาท เป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1,500 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารมีนโยบายการจัดการความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อที่รัดกุมมาตรฐานบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพรวมถึงการปรับปรุงแนวทางในการเรียกเก็บหนี้จากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีอยู่และการแก้ปัญหาสินเชื่อด้วยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ 31 มี.ค. 2561 มีจำนวน 59,700 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 20.8% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้น 1 ที่ 15.5% เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%B4%E0%B8%B4bbl-q-1-2024" alt="แบงก์กรุงเทพรายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 1 ปี 67 ที่ 10,524 ล้านบาท โต 3.9%YoY">แบงก์กรุงเทพรายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 1 ปี 67 ที่ 10,524 ล้านบาท โต 3.9%YoY</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

CIMBT เปิดงบไตรมาส 1 ปี 67 กำไรสุทธิลด 24.6% เหตุรายได้ฯลด - หนี้เสียเพิ่ม

ลงทุนอย่างไรให้มีความสุขกับ TREASURY PRODUCTS CIMB THAI

Wealth Management CIMB Thai ปั้นผลิตภัณฑ์-บริการเหนือระดับ

<h2>ปัจจุบันรูปแบบการฝากเงินนับมีความหลากหลายตอบโจทย์ให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น  ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ปลุกกระแสการฝากเงิน  ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 2% กับบัญชีเงินฝากประจำพิเศษ 12 เดือน เงินบาท คู่กับ US Dollar ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย  เจาะกลุ่มลูกค้า Wealth เพิ่มฐานสมาชิก CIMB Preferred  ที่นอกจากให้ดอกเบี้ยสูง ยังพาลูกค้าสัมผัสประสบการณ์การฝากเงินเป็นสกุล US Dollar</h2>
อดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย  กล่าวถึงเป้าหมายสร้างประสบการณ์ใหม่ ให้กับลูกค้า

<img style="width: 638px; height: 427px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/29151b0e99112fa7823797d8db03899c.jpg" alt="" />

“เราต้องการที่จะสะท้อนวิธีคิดการฝากเงิน ให้ทันกับความเป็นสากลของโลก  ลูกค้ามีความคุ้นเคยกับการฝากประจำอยู่แล้ว แต่เราก็อยากเสนอให้ลูกค้ากระจายเงินฝากเป็นสกุลดอลลาร์ ถ้าคุณมี 1 ล้านบาท ลงในเงินบาท 5 แสน เงินดอลล่าร์ 5 แสน แล้วเราให้อัตราดอกเบี้ยในอัตราที่เท่ากันคือ 2% ต่อปี ทั้งคู่สำหรับฝากประจำ 12 เดือน หรือรับดอกเบี้ย 1.80% ต่อปี สำหรับฝากประจำ 6 เดือน สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า CIMB Preferred ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

บัญชีเงินฝากประจำพิเศษเงินบาท คู่กับ US Dollar ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่มีความต้องการจะใช้เงินสกุล US Dollar อยู่แล้วในอนาคตอันใกล้ เพียงแต่จะใช้เมื่อไหร่ 6 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้า กรณีมีลูกที่เรียนอยู่ต่างประเทศ หรือต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นประจำ หรือคนที่ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก ที่ต้องซื้อของและจ่ายเงินเป็นสกุลดอลลาร์ ซึ่งกลุ่มนี้ สามารถที่จะล็อคเรทตรงนี้ไว้ ด้วยการเปิดบัญชีนี้ไว้  ให้ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต แล้วยังได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงถึง 2% ต่อปี”

อดิศร เสริมชัยวงศ์ กล่าวต่อถึงแคมเปญทางการตลาดในครั้งนี้ ที่ถือว่าธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ลุกขึ้นมาสร้างกระแสให้ลูกค้า หันมาตื่นตัวที่จะบริหารการเงินของตนเองให้เงินงอกเงยมากขึ้น

<img style="width: 638px; height: 427px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/5c7beb272fb4fc76ce330d75af6cab95.jpg" alt="" />

“เมื่อกล่าวถึงเงินฝากสกุลดอลลาร์ ลูกค้าย่อมรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว เราจึงนำเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูง ก็เพื่อสร้างแรงจูงใจลูกค้า ให้หันมาพยายามความเข้าใจให้รู้จักกับผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แล้วเปิดคู่กับบัญชีเงินฝากประจำสกุลเงินไทยที่ลูกค้าคุ้นเคย  อย่างน้อยให้ตื่นตัวลุกขึ้นมาพิจารณา  ในการกระจายเงินฝากในสกุลเงินตราต่างประเทศ”

มุมมองตลาดเงินฝาก US Dollar ในประเทศไทย ภูดินันท์ เศรษฐนันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริหารเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับลงทุนในรูปแบบที่เปลี่ยนไป

<img style="width: 638px; height: 427px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/1b0db7dfb686ed38b29b2130586ffab5.jpg" alt="" />

“ปัจจุบันมีความต้องการใช้เงินสกุล US Dollar สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย การติดต่อค้าขาย และมีการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น บัญชีเงินฝากต่างประเทศ เป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้รายย่อยอย่างเราๆ เข้าถึงได้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่น่าพอใจ   การที่ธนาคารเข้ามาเสนอผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการสร้างความคุ้นเคยกับอัตราแลกเปลี่ยน จากในอดีตที่ผ่านมา การใช้งานอัตราแลกเปลี่ยนมีกฎเกณฑ์เข้มงวดรัดกุม ซึ่งในปัจจุบันได้มีการผ่อนคลายมากขึ้น การเปิดบัญชีต่างประเทศให้ลูกค้านับเป็นการพาลูกค้าก้าวข้ามผ่านประสบการณ์ ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสสร้างความเข้าใจที่จะลงทุนในต่างประเทศในรูปแบบอื่นๆ  เช่น การลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศ กองทุนต่างประเทศ ที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านกองทุนรวม  ซึ่งธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กำลังเตรียมความพร้อมที่จะเสนอให้ลูกค้าต่อไป”

สนใจติดต่อที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ โทร. 02 626 7777 หรือโทร 02 626 7888
หรือที่ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา
รายละเอียดบัญชีเงินฝากประจำพิเศษเงินบาท คู่กับ US Dollar ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

สำหรับลูกค้า CIMB Preferred หรือสมัครเป็นสมาชิก CIMB Preferred ในวันเดียวกันกับการขอเปิดบัญชี • ฝากประจำ 12 เดือน รับดอกเบี้ย 2% ต่อปี • ฝากประจำ 6 เดือน รับดอกเบี้ย 1.80% ต่อปี  • ยอดฝากขั้นต่ำ 500,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 5,000,000 บาท ต่อรายลูกค้า ต่อสกุลเงิน  (ยอดคงค้างสกุลเงินต่างประเทศ รวมทุกประเภทเงินฝาก) • เปิดบัญชีภายในวันที่  1 ก.ค. – 31 ส.ค. 61 • ยอดเงินฝากต่อรายการ ต้องเท่ากันทั้ง 2 บัญชี (บัญชีเงินบาท และ US Dollar) และต้องทำรายการฝากในวันเดียวกัน และชื่อบัญชี ต้องเป็นชื่อเดียวกันทั้ง 2 บัญชี และ ต้องเป็นบัญชีเดี่ยว (บัญชีเงินบาท และ US Dollar) • รับดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝาก • ฝากเป็นธนบัตร US Dollar มีค่าธรรมเนียม 2% • อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขเป็นไปตามประกาศธนาคาร

“การฝากเงินดังกล่าวจะได้รับดอกเบี้ย และเงินต้นเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศตามสกุลเงินที่ฝากไว้ โดยผู้ฝากอาจมีความเสี่ยงหากมูลค่าของเงินตราต่างประเทศดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเมื่อเทียบกับมูลค่าของเงินบาท ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง หรืออาจเกิดขึ้นอย่างถาวร นอกจากนี้ หากเกิดการลดค่าของเงินตราต่างประเทศสกุลใด ๆ ที่ผู้ฝากได้ฝากไป ผู้ฝากอาจได้รับความเสียหายจากการลดค่าของเงินตราต่างประเทศดังกล่าว”

<img style="width: 638px; height: 427px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/8ac43e1f215c9a8a13b9492f0751749a.jpg" alt="" />

CIMB Preferred
คือกลุ่มลูกค้าที่มีเงินฝากหรือเงินลงทุน (AUM) ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ ได้รับการดูแลพิเศษจากผู้จัดการธนกิจประจำตัว ที่พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินและนำเสนอเอกสิทธิ์พิเศษสำหรับสมาชิก ได้รับเงินฝากอัตราดอกเบี้ยและอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษ ได้รับเชิญร่วมงานสัมมนาที่มีประโยชน์โดยเฉพาะด้านการเงิน เข้าร่วมกิจกรรมตอบสนองไลฟ์สไตล์ต่างๆ และสามารถเลือกรับสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวลูกค้าเอง

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events