<h2>บีโอไอ เผย ‘มาสด้า’ เข้าพบนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พร้อมประกาศแผนลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ตามมาตรการส่งเสริม HEV/MHEV ที่บอร์ดอีวีเห็นชอบ หนุนไทยฐานผลิตรถยนต์ B-SUV ซึ่งช่วยขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ตั้งเป้าผลิต 1 แสนคันต่อปี ย้ำศักยภาพประเทศไทยเป็นผู้นำฐานผลิตและส่งออกยานยนต์แห่งอนาคตทุกเซ็กเมนต์ของภูมิภาค</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 มาซาฮิโร โมโร (Mr. Masahiro Moro) President and CEO ของบริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี และประกาศแผนขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติม มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท โดยจะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของรถยนต์อเนกประสงค์ B-SUV แบบ Mild Hybrid (MHEV) ซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ตั้งเป้าผลิต 1 แสนคันต่อปี เพื่อส่งออกไปทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การขยายการลงทุนของมาสด้าในครั้งนี้ เป็นผลจากการที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบ ‘มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า’ เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับการผลิตรถยนต์ Hybrid (HEV) เหลือร้อยละ 6 - 9 และรถยนต์ Mild Hybrid (MHEV) เหลือร้อยละ 10 - 12 มีผลตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 - 2575) ประกอบกับบีโอไอ ได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยให้สิทธิประโยชน์พิเศษกับผู้ผลิตรถยนต์ทุกประเภทที่มีการนำระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในสายการผลิตด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การขยายการลงทุนของมาสด้า เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของรถยนต์ประเภท B-SUV ในครั้งนี้ ตอกย้ำความเชื่อมั่นที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทย และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ทุกประเภท ให้สามารถเติบโตและเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการรักษาและพัฒนาต่อยอดกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์แห่งอนาคตของภูมิภาค” นฤตม์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มาซาฮิโร โมโร President and CEO บริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า มาสด้าในประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 70 ปี ซึ่งนอกจากบริษัท มาสด้า เซลส์ และเครือข่ายผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าแล้ว มาสด้ายังได้มีการลงทุนสร้างฐานการผลิตในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยได้ก่อตั้งโรงงาน AutoAlliance (AAT) ที่จังหวัดระยอง เมื่อปี 2538 เพื่อผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และได้ก่อตั้งโรงงาน Mazda Powertrain Manufacturing Thailand (MPMT) ที่จังหวัดชลบุรี เมื่อปี 2558 เพื่อผลิตเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งทั้งสองโรงงานเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์มาสด้าและชิ้นส่วน เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“วันนี้มาสด้าได้ก้าวไปอีกขั้น เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ด้วยการเพิ่มเงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ B-SUV ของมาสด้า ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการช่วยขับเคลื่อน ประหยัดพลังงาน ลดมลภาวะ และความปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากล ตั้งเป้าการผลิต 1 แสนคันต่อปี เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น กลุ่มอาเซียน และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก” มาซาฮิโร เผย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การลงทุนนี้จะครอบคลุมทั้งในส่วนของการประกอบรถยนต์ และการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ ทั้งเครื่องยนต์ เกียร์ และแบตเตอรี่ พร้อมเร่งลงทุนเพื่อให้เริ่มผลิตได้ในปี 2570 รองรับความต้องการรถยนต์พลังงานใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศให้สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นี่คือจุดเริ่มต้นของการลงทุนเพิ่มเติมครั้งใหญ่สำหรับประเทศไทยเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของมาสด้า ภายใต้แนวทาง Multi-Solution ซึ่งตอกย้ำถึงพันธกิจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างมาสด้ากับประเทศไทย ที่ดำเนินมายาวนานหลายทศวรรษ และแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนช่วยสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย” มาซาฮิโร กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บอร์ดอีวี ได้เห็นชอบ ‘มาตรการสนับสนุนรถยนต์ Mild Hybrid (MHEV)’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลก โดยได้กำหนดสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการลงทุน ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120 g/km&nbsp; &nbsp; &nbsp; • การปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 10&nbsp; &nbsp; &nbsp; • การปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101 - 120 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 12&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทในเครือ ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567 - 2569 และไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567 - 2571&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Traction Motor หรือชิ้นส่วนที่มีลักษณะการทำงานเพื่อเสริมแรงขับเคลื่อน ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4) ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ในปี 2567 มีจำนวน 309 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 102,366 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ทั้ง BEV, HEV และ ICE การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อรถยนต์และอากาศยาน แบตเตอรี่ สถานีอัดประจุไฟฟ้าและสถานีบริการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ ภาพ: BOI เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/volvo-car-thailand-sales-grow-1-percent-in-2024" alt="แม้ปี 67 ตลาดรถยนต์ไทยสุดหิน! แต่ Volvo โต 1% ปีนี้จ่อเปิดตัวใหม่ 4 รุ่น – เปิดบริการ SMART Repair">แม้ปี 67 ตลาดรถยนต์ไทยสุดหิน! แต่ Volvo โต 1% ปีนี้จ่อเปิดตัวใหม่ 4 รุ่น – เปิดบริการ SMART Repair</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘มาสด้า’ ประกาศแผนลงทุน MHEV 5,000 ล้านบาทในไทย ตั้งเป้าผลิต 1 แสนคันต่อปี

<h2>Tesla เผยยอดขายรวมทั่วโลกประจำปี 2024 (Global Annual Sales) อยู่ที่ 1.79 ล้านคันตกลง 1.1% เทียบกับปี 2023 นับเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ท่ามกลางตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ยิ่งทวีความดุเดือดในการแข่งขันขึ้นเรื่อยๆ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลกรายงานว่าบริษัทฯ มีการจัดส่งรถยนต์ให้ลูกค้ารวม 1.79 ล้านคัน ตลอดปี 2024 ตกลงจาก 1.81 ล้านคัน ในปี 2023 แม้ยอดขายช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2024 จะจะเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน 2.3% ที่จำนวน 495,570 คันก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2011 ที่ Tesla มียอดขายประจำปีลดลง โดยข้อมูลจาก Global Data พบว่าในปี 2010 Tesla ขายรถยนต์ได้ทั้งหมด 1,306 คัน ส่วนปี 2011 ขายได้ 1,129 คัน แต่หลังจากนั้นยอดขายของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Tesla เคยคาดการณ์ไว้ในปี 2022 ว่ายอดขายของบริษัทฯ จะเติบโตขึ้น 50% ทุกปี อย่างไรก็ตาม ยอดขายหลักในปี 2024 ของ Tesla มาจากรถยนต์ไฟฟ้าโมเดล 3 และโมเดล Y ซึ่งเป็นรุ่นที่มีขนาดเล็ก ราคาไม่สูงมาก ในขณะที่โมเดล X และ S รวมถึง Cybertruck ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ซึ่งต่างเป็นรุ่นที่มีราคาแพงขายได้เพียง 23,640 คันเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Tesla ยังต้องเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดจีน ยุโรป และในสหรัฐฯ โดยเฉพาะคู่แข่งจากจีนที่มีรถยนต์รุ่นใหม่กว่าออกมาอย่างต่อเนื่อง หากพิจารณาโมเดลรถยนต์ 4 รุ่นหลักของ Tesla (ไม่รวม Cybertruck) รุ่นล่าสุดคือโมเดล Y ซึ่งเปิดขายครั้งแรกในปี 2020 หรือก็คือ 4 ปีมาแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนยังมีราคาเริ่มต้นต่ำกว่า ซึ่ง Tesla ก็ได้ใช้กลยุทธ์การลดราคาเข้าสู้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า แม้ยอดขายของ Tesla จะยังสูง แต่ผลประกอบการประจำปี 2024 ที่จะเปิดเผยในวันที่ 29 มกราคม 2025 นี้ อาจมีอัตรากำไรน้อยลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่เพียงรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนเท่านั้น ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ รายอื่นต่างก็หันมาประกาศเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดด้วยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมยานยนต์มองว่า Tesla เคยเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือเพียงรายเดียว แต่ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์นั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว กลายเป็นยุคแห่งการแข่งขันอันร้อนแรง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยด้านการเมืองดูจะไม่ได้ส่งผลเชิงบวกแก่ Tesla มากนัก ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน 2024 หลัง Donald Trump ประกาศชัยชนะและขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 พาให้บริษัทต่างๆ ของ Elon Musk ที่เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของ Trump มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตาม รวมไปถึง Tesla ทว่าล่าสุด เมื่อรายงานเผยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าตกลง ก็ได้ฉุดราคาหุ้นของ Tesla ลงตามไปด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jeff Schuter รองประธานฝ่ายวิจัยยานยนต์จาก Global Data ยังมองว่า การก้าวเข้าร่วมเกมการเมืองของ Musk อาจไม่ส่งผลดีต่อ Tesla ในระยะยาว เพราะอาจทำให้ต้องสูญเสียผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนพรรคคู่แข่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝั่ง Daniel Ives นักวิเคราะห์ด้านการเงินจาก Wedbush แสดงความคิดเห็นว่า ควรให้คุณค่าหุ้น Tesla กับความพยามยามทุ่มเทพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าระบบขับขี่อัตโนมัติอันล้ำสมัยที่บริษัทฯ เคยประกาศไว้ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เสียมากกว่า และแสดงความคิดเห็นว่าหุ้น Tesla ยังน่าซื้อแม้ยอดขายประจำปีจะตกลงก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราไม่เคยมอง Tesla เป็นบริษัทรถยนต์ทั่วไป…กลับกัน เรามอง Musk และ Tesla ในฐานะผู้นำเทคโนโลยีที่จะมาพลิกโฉมโลกอนาคต และส่วนแรกของมุมมองกลยุทธ์อันยิ่งใหญ่นี้ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว” Ives กล่าว และชี้ว่าหุ้น Tesla ยังน่าซื้อเก็บไว้ แม้ยอดขายประจำปี 2024 จะตกลงก็ตาม แหล่งที่มา:​<a href="https://www.inc.com/associated-press/tesla-saw-its-first-annual-sales-decline-in-a-dozen-years/91102208" alt="Tesla Saw Its First Annual Sales Decline in a Dozen Years">Tesla Saw Its First Annual Sales Decline in a Dozen Years</a>​ ​<a href="https://apnews.com/article/tesla-sales-2024-drop-electric-vehicles-69af17c4e606625694af8293db25b2f3" alt="Tesla sales dropped 1.1% in 2024, its first annual decline in a dozen years">Tesla sales dropped 1.1% in 2024, its first annual decline in a dozen years</a>​ ​<a href="https://edition.cnn.com/2025/01/02/business/tesla-sales-drop/index.html" alt="Tesla posts its first-ever annual sales drop">Tesla posts its first-ever annual sales drop</a>​ ภาพ: AFP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/other/news/global/elon-musk-became-first-400-billionaire" alt="Elon Musk มหาเศรษฐีคนแรกทะลุ 4 แสนล้านเหรียญ อานิสงส์หุ้น SpaceX, Tesla และ xAI โตแรง">Elon Musk มหาเศรษฐีคนแรกทะลุ 4 แสนล้านเหรียญ อานิสงส์หุ้น SpaceX, Tesla และ xAI โตแรง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ตลาด EV เดือดสะเทือน Tesla ยอดขายตกครั้งแรกในรอบ 12 ปี

<h2>สองค่ายรถชั้นนำจากญี่ปุ่น Suzuki และ Toyota ผนึกกำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ (SUV) ขับเคลื่อนบน 4 ล้อ โดย Suzuki ได้ออกมาเผยโฉมผลลัพธ์จากความร่วมมือกันที่อิตาลีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 นั่นคือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รุ่น e Vitara โดยมีกำหนดการผลิตที่ Suzuki Motor Gujarat ณ ประเทศอินเดีย ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คาดการณ์ว่า e Vitara จะเปิดตัวในยุโรป อินเดีย และญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อนปีหน้า โดย e Vitara ที่เปิดตัวออกมาประดับโลโก้แบรนด์ Suzuki แต่จะมีเวอร์ชั่นติดโลโก้ Toyota ตามมา ซึ่งจะเป็นไปได้ว่าจะมีหน้าตาคล้ายรถ Urban SUV ที่ Toyota เคยเผยคอนเซ็ปต์การออกแบบเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/xUQF4vtUYuErskCZKCgv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xUQF4vtUYuErskCZKCgv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Toyota และ Suzuki นับเป็นบริษัทรถยนต์ที่ขยาย EV เข้ามาในไลน์ผลิตภัณฑ์ช้ากว่าผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมยานยนต์ สำหรับ Toyota นั้นเพิ่งจะหันกลับมาทุ่มเทกับการสร้างรถยนต์ไฮบริดและ SUV ชนิด 3 แถวสำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา รายงานของ Autocar เผยว่า Suzuki เพิ่งประกาศชะลอเป้าหมายในการเปิดตัวรถ EV หลายรุ่นภายในปี 2030 เอาไว้ก่อน ซึ่งประธานบริษัทอย่าง Toshihiro Suzuki ให้เหตุผลว่า Suzuki จะ “เฝ้ามองสถานการณ์ตลาด” ก่อนหลังความต้องการรถ EV ทั่วโลกคลายความร้อนแรงลง​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/turmUy6JWaayvKB1tdHV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="turmUy6JWaayvKB1tdHV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/k7wLHYXmNEZcLRZF8dXg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="k7wLHYXmNEZcLRZF8dXg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของ e Vitara ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ lithium iron phosphate มีทั้งแบบ 49 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง และแบบ 60 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สื่อ The Japan Times ระบุว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าวสามารถวิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร (ราว 248 ไมล์) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยราคาของ e Vitara ออกมาแต่อย่างใด แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.theverge.com/2024/11/5/24289169/suzuki-e-vitara-ev-electric-suv-toyota-launch" alt="Suzuki teams up with Toyota on its first EV: the E Vitara">Suzuki teams up with Toyota on its first EV: the E Vitara</a>​ ภาพ: Suzuki เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/motoring/news/global/byd-q-3-2024-revenue-beat-tesla" alt="รายได้ BYD แซง Tesla แล้ว! Q3 นำหน้ากว่า 3 พันล้านเหรียญ">รายได้ BYD แซง Tesla แล้ว! Q3 นำหน้ากว่า 3 พันล้านเหรียญ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

e Vitara รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกจาก Suzuki และ Toyota เตรียมบุกตลาดยุโรป อินเดีย และญี่ปุ่นปีหน้า

<h2>หลังชิงส่วนแบ่งการตลาดและขึ้นเป็นผู้เล่นรายสำคัญที่ต้องจับตามองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อันร้อนแรง ล่าสุดผู้ผลิต EV สัญชาติจีน BYD มีรายได้นำ Tesla ของ Elon Musk ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อวันพุธที่ 30 ตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา BYD เผยรายได้ประจำไตรมาส 3 ของปี 2024 (กรกฎาคม - กันยายน) อยู่ที่ 2.01 แสนล้านหยวน หรือราว 2.82 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ในขณะที่รายได้ในช่วงเวลาเดียวกันของ Tesla อยู่ที่ 2.52 หมื่นล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านกำไรสุทธิของ BYD ในไตรมาส 3 ที่ 1.16 หมื่นล้านหยวน หรือราว 1.63 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 11.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ทั่วโลก ณ ไตรมาส 3 ฝั่ง Tesla ยังคงนำหน้าอยู่ โดยตลอดช่วงเวลาดังกล่าว Tesla ขาย BEV ได้ทั้งหมด 462,890 คัน และผลิตออกมาใหม่ทั้งสิ้น 469,796 คัน ส่วน BYD ขายได้ 443,426 คัน และลูกค้าหลักของ BYD ยังคงเป็นตลาดจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;BYD ครองส่วนแบ่งกว่า 1 ใน 3 ของยอดขายรถ EV และรถยนต์ไฮบริดทั้งหมดในจีนของปีนี้ ย้ำทิศทางยอดขายยังแข็งแกร่งด้วยแรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมของรัฐบาลที่กระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้งานรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ BYD ยังคงไม่ล้มเลิกแผนการที่จะเพิ่มปริมาณการส่งออก แม้ต้องเผชิญอุปสรรคอย่างการที่สหภาพยุโรปประกาศเก็บภาษีรถ EV นำเข้าจากจีนสูงถึง 45.3% แหล่งที่มา:​<a href="https://edition.cnn.com/2024/10/30/cars/chinese-byd-net-revenue-beat-tesla-first-time-intl-hnk/index.html" alt="Chinese EV maker BYD’s revenue beats Tesla for first time">Chinese EV maker BYD’s revenue beats Tesla for first time</a>​ ​<a href="https://cnevpost.com/2024/10/30/byd-earnings-q3-2024/" alt="BYD posts record Q3 net income, notably outperforms Tesla on revenue">BYD posts record Q3 net income, notably outperforms Tesla on revenue</a>​ ภาพ: AFP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/global/gartner-forecasts-85-million-ev-on-road-in-2025" alt="Gartner คาด ณ สิ้นปี 68 ทั่วโลกจะใช้รถ EV เพิ่มขึ้น เฉพาะไทยจะเพิ่มขึ้นกว่า 77,800 คัน">Gartner คาด ณ สิ้นปี 68 ทั่วโลกจะใช้รถ EV เพิ่มขึ้น เฉพาะไทยจะเพิ่มขึ้นกว่า 77,800 คัน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

รายได้ BYD แซง Tesla แล้ว! Q3 นำหน้ากว่า 3 พันล้านเหรียญ

<h2>การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2568 ทั่วโลกจะมีปริมาณรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำนวน 85 ล้านคัน วิ่งบนท้องถนน ครอบคลุมประเภทต่างๆ อาทิ รถยนต์, รถบัส, รถตู้ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ เฉพาะไทยจะมีรถ EV เพิ่มขึ้นมากกว่า 77,800 คัน เพิ่มขึ้น 49% จากปี 2567</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โจนาธาน ดาเวนพอร์ต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “แม้จะมีอุปสรรคหลายอย่างส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เรายังคาดการณ์ว่าในปี 2567 นี้ยอดรวมของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะอยู่ที่ 64 ล้านคัน และจะเพิ่มขึ้น 33% ในปี 2568 ซึ่งการที่บริษัทหลายแห่งต่างประเมินสูงเกินจริงไปว่าการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเกิดขึ้นรวดเร็ว ส่งผลให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ออกไป”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีหน้านั้น หลักๆ มาจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นในจีน (58%) และยุโรป (24%) ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้วคิดเป็น 82% ของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การ์ทเนอร์คาดว่า สิ้นปี 2568 ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) จะมีจำนวนเกือบ 62 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 35% จากปี 2567 ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าเล็กน้อยและปีหน้าจะมีปริมาณอยู่ที่ 23 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28% จากปี 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2568 จะมีรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) มากกว่า 77,800 คัน เพิ่มขึ้น 49% จากปี 2567 โดยรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่จะมีสัดส่วน 74% และมียอดรวมทั้งหมดกว่า 57,900 คัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับในระดับภูมิภาค การ์ทเนอร์คาดว่าความต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังคงมีปริมาณมากกว่าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าส่วนที่เหลือของโลกรวมกันยาวไปจนถึงปีหน้า และอาจเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกทศวรรษ โดยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในยุโรปและอเมริกาเหนือ คาดว่าจะคิดเป็น 36% ของยอดรวมรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การ์ทเนอร์ประมาณการว่าในปี 2568 จะมีรถยนต์ไฟฟ้า 49 ล้านคันวิ่งอยู่ตามท้องถนนในจีน, 20.6 ล้านคันในยุโรป และ 10.4 ล้านคันในอเมริกาเหนือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ คาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และการแก้ไขปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบถือเป็นเรื่องท้าทาย อย่างไรก็ตาม ภายในอีก 6 ปี หรือภายในปี 2573 ผู้ผลิตรถยนต์จะสามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่รถ EVs ได้สูง 95% ช่วยลดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดาเวนพอร์ตมองว่า “ความพยายามในการรีไซเคิลอย่างจริงจังเพื่อใช้ประโยชน์จากแบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งานรวมถึงเศษวัสดุจากกระบวนการผลิต ผนวกเข้ากับความพยายามของสหภาพยุโรปเพื่อบังคับให้มีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ ก็อาจช่วยลดความจำเป็นในการขุดแร่เพิ่มเติมได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เนื่องจากความเข้มข้นของโลหะหายากในแบตเตอรี่มีสูงกว่าแร่ธรรมชาติ ดังนั้นแบตเตอรี่ที่ใช้งานแล้วจึงอาจถือเป็นแร่ที่มีความเข้มข้นสูง หากสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในปริมาณมาก อาจช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าในภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการลดราคาแบตเตอรี่ลง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์เพิ่มเติมคือ แบตเตอรี่จะไม่ถูกกำจัดด้วยวิธีที่ผิดจริยธรรมหรือถูกนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบ" ดาเวนพอร์ตกล่าวสรุป เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/global/jim-farley-ford-ceo-praises-xiaomi-su-7" alt="ซีอีโอ Ford ติดใจ Xiaomi SU7 หลังทดลองขับมา 6 เดือน ย้ำ EV ค่ายจีนเป็นคู่แข่งที่ต้องตามให้ทัน">ซีอีโอ Ford ติดใจ Xiaomi SU7 หลังทดลองขับมา 6 เดือน ย้ำ EV ค่ายจีนเป็นคู่แข่งที่ต้องตามให้ทัน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Gartner คาด ณ สิ้นปี 68 ทั่วโลกจะใช้รถ EV เพิ่มขึ้น เฉพาะไทยจะเพิ่มขึ้นกว่า 77,800 คัน

<h2>NETA พร้อมส่งมอบ NETA V-II รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งรถดังกล่าวผลิตในประเทศไทย โดยคนไทยเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าคนไทยอย่างเป็นทางการ&nbsp;</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชู กังจื้อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “NETA ขอขอบคุณลูกค้าคนไทยสำหรับความไว้ใจในแบรนด์ NETA รวมทั้งภาครัฐที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของเรามาอย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณสำหรับความร่วมมือของ บริษัท บางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเราในประเทศไทย ผมมั่นใจว่าด้วยเทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้าของ NETA ประกอบกับศักยภาพด้านการผลิตจากฝีมือคนไทยจะทำให้ลูกค้าทุกท่านชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ของเรา ในขณะที่ผู้จำหน่าย NETA ทั่วประเทศพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ มอบการบริการและดูแลลูกค้าทุกท่านอย่างเต็มที่เช่นกันครับ”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/ya36khkCFvsfaTxTvFSY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ya36khkCFvsfaTxTvFSY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>ชู กังจื้อ ประกาศเตรียมพร้อมส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า NETA V-II</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;NETA V-II ผลิตจากโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งใหม่ของ NETA ในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง NETA กับ บริษัท บางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี จำกัด นับเป็นโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า100% แห่งแรกของ NETA ที่ตั้งอยู่นอกประเทศจีน และเป็นโรงงานผลิตเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากร ‘พระนครฟรีโซน’ นิคมอุตสาหกรรมบางชัน พื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร&nbsp; &nbsp; โรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิต 30,000 คันต่อปี ทั้งนี้จากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้าของ NETA ประกอบกับศักยภาพด้านการผลิตของ บริษัท บางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี จำกัด ที่มีประสบการณ์ในการประกอบรถยนต์ให้กับแบรนด์ต่างๆ มานานกว่า 50 ปี ทำให้ NETA สามารถส่งมอบยานยนต์พลังงานไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ผลิตโดยคนไทยให้ผู้บริโภคชาวไทยภายใต้กลยุทธ์ ‘All in Thailand, All for Thailand’​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/nHwmqspDdM8PwW5dDkNJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="nHwmqspDdM8PwW5dDkNJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp; &nbsp; อีกทั้ง ปัจจุบัน NETA มีโชว์รูมและศูนย์บริการเป็นทางการในประเทศไทยกว่า 50 แห่ง ครอบคลุมในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมถึงหัวเมืองใหญ่ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ที่พร้อมให้บริการลูกค้าอีกทั้งยังมีการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งการฝึกอบรมความพร้อมเจ้าหน้าที่สำหรับดูแลลูกค้าอย่างมืออาชีพ การจัดเตรียมอะไหล่สำรองให้สามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที พร้อมบริการช่วยเหลือลูกค้ากรณีฉุกเฉินผ่าน NETA Call Center ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง NETA V-II รถยนต์ไฟฟ้า City Car เพื่อคนไทย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;NETA V-II”รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% สไตล์ City Car มาพร้อมแนวคิด ‘SMART &amp; PLAY สมาร์ตให้สุด สนุกให้เหนือใคร’ มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ &nbsp; &nbsp; 1. NETA V-II รุ่น LITE ราคาจำหน่าย 549,000 บาท &nbsp; &nbsp; 2. NETA V-II รุ่น SMART ราคาจำหน่าย 569,000 บาท ​&nbsp; &nbsp; NETA V-II ให้ความสะดวกสบายและมั่นใจในการขับขี่ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน โดดเด่นด้วยหน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิตอล ขนาด 12 นิ้ว ระบบชาร์จมือถือแบบไร้สาย และกุญแจแบบสมาร์ทคีย์พร้อมระบบ Ride &amp; Go ให้รถพร้อมสำหรับการขับขี่ทันทีที่เปิดประตูรถ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ด้วยฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้วยกำลังสูงสุดถึง 3,300 วัตต์ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/GsUt9QM2muoDELJavw1E.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="GsUt9QM2muoDELJavw1E.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" origin-size="5790,3154" style="width: 720px; height: auto;" data-index="2"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;NETA V-II ให้สมรรถนะที่เพียงพอต่อการใช้งานด้วยมอเตอร์ขนาด 95 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-Ion Battery) ให้ระยะทางในการวิ่งสูงสุด 382 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มตามมาตรฐาน NEDC &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ NETA V-II รุ่น SMART มาพร้อมระบบช่วยในการขับขี่ ADAS รวม 8 ระบบ ได้แก่ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ รวมไปถึงระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/csr-sustainability/coca-cola-300-ml-use-plastic-recycle" alt="ขายแล้ว ‘โค้ก’ ไซส์ 300 มล. ใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100%"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/watsons-trends-2024-90-percent-women-aged-30-use-2-in-1-cosmetics" alt="วัตสัน เผยเทรนด์ปี 67 ผู้หญิงวัย 30 อัพ กว่า 90% ฮิตเครื่องสำอางแบบ 2 in 1 แต่งหน้าพร้อมบำรุง">วัตสัน เผยเทรนด์ปี 67 ผู้หญิงวัย 30 อัพ กว่า 90% ฮิตเครื่องสำอางแบบ 2 in 1 แต่งหน้าพร้อมบำรุง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

NETA V-II รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ผลิตในไทย โดยคนไทย พร้อมส่งมอบคันแรกให้ลูกค้าในเดือนมิถุนายนนี้

<h2>นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) เผย อนาคตรถ EV ยังสดใส แม้บริษัทไฟแนนซ์จะยังคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ แต่ปี 2023 ที่ผ่านมา กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่จดทะเบียนใหม่โตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 690%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ได้ร่วมมือกับ บริษัทอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย และกลุ่มพันธมิตร เตรียมพร้อมจัดงาน ‘Electric Vehicle Asia และ iEVTech 2024’ ระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยกล่าวว่า “ภาครัฐบาลได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบาย 30@30 ที่ตั้งเป้าการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งในปี 2023 ที่ผ่านมา กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่จดทะเบียนใหม่ในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 690% โดยปัจจัยสำคัญมาจากการส่งเสริมของนโยบายภาครัฐ รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น​ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/yLwodjBjNece5KEHycBP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="75%," data-align="center" data-index="3" data-file-name="yLwodjBjNece5KEHycBP.jpg" data-file-size="0" origin-size="1566,1044" data-origin="1543px,1029px" style="width: 100%;" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75,"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม แม้ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภครวมถึงการที่ธนาคารต่างๆ และบริษัทผู้ปล่อยกู้สินเชื่อรถยนต์จะมีความเข้มงวดในการปล่อยไฟแนนซ์มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ยอดการซื้อรถ EV ใหม่ขยายตัวไม่ได้ตามคาด&nbsp;แต่ทั้งนี้ ทางสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยก็ยังมั่นใจว่าอนาคตของธุรกิจรถยนต์ EV จะยังเติบโตและสดใสอย่างแน่นอน เห็นได้จากข้อมูลล่าสุดของ สถานี Charging Station ณ สิ้นปี 2566 ที่มีจำนวนหัวจ่ายสาธารณะกว่า 9,600 หัวจ่าย จากสถานีชาร์จทั้งหมดกว่า 2,600 แห่งทั่วประเทศ นับเป็นการเติบโตที่ดี <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/coKqq4GTrwos5JjLEKpW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="4" data-file-name="coKqq4GTrwos5JjLEKpW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งในอนาคตนั้นภาครัฐและเอกชนจะต้องมีการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อรองรับการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้อานิสงค์จากนโยบาย EV 3.0 และ 3.5 ของภาครัฐ ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญของการกำหนดยุทธศาสตร์การลงทุนเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เพื่อผลักดันให้ไทยก้าวไปสู่การเป็น Hub หรือศูนย์กลางด้านยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแน่นอน​​ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/NM8FR4zWh2seFAkWfUWi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="5" data-file-name="NM8FR4zWh2seFAkWfUWi.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/nex-partnerd-dayun-mini-suv" alt="NEX ผนึก Dayun เล็งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Mini SUV ตั้งเป้าขายราคาต่ำ 490,000 บาท">NEX ผนึก Dayun เล็งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Mini SUV ตั้งเป้าขายราคาต่ำ 490,000 บาท</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย เผย ยอดรถ EV ส่วนบุคคลปี 2023 โต 690% อนาคตรถ EV ยังสดใส แม้ไฟแนนซ์คุมเข้มสินเชื่อ 

<h2>บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้เปิดตัว EVme Club (อีวี มี คลับ) บริการสมาชิกแบบรายปี เพื่อมอบสิทธิประโยชน์และการบริการพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อผู้ใช้งาน EV และรวมถึงยานยนต์ 4 ล้อประเภทอื่นๆ โดยสามารถสมัครสมาชิกได้แล้วบนแอปพลิเคชัน EVme</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บริการสมาชิก EVme Club &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริการสมาชิก EVme Club ออกแบบมาเฉพาะเพื่อผู้ใช้งาน EV และสามารถรองรับผู้ใช้งานรถยนต์ 4 ล้อประเภทอื่น ๆ ด้วย โดยมีค่าบริการสมาชิกพิเศษเพียง 599 บาทต่อปีในช่วงเปิดตัว จากราคาปกติ 1,299 บาทต่อปี เมื่อสมัครเป็นสมาชิก EVme Club สมาชิกจะได้รับประโยชน์ และสิทธิพิเศษมากมาย เช่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน : ช่วยให้คุณคลายกังวลเรื่องรถเสีย ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงที่ครอบคลุมบริการรถลาก อุบัติเหตุยางแบน แบตเตอรี่หมด และบริการซ่อมรถถึงที่ ทุกพื้นที่ไม่จำกัดจำนวนครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนลดและสิทธิพิเศษ : สมาชิก EVme Club จะได้รับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษ สำหรับการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าบนแอปพลิเคชัน EVme พร้อมสิทธิ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าฟรีที่สถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ร่วมรายการ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กิจกรรม และอีเว้นท์พิเศษ : สมาชิกจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม และอีเว้นท์พิเศษที่จัดขึ้นโดยอีวี มี พลัส หรือพาร์ทเนอร์และพันธมิตรชั้นนำที่ร่วมรายการ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริการซ่อมบำรุงและตรวจเช็กสมรรถนะ : สมาชิกสามารถเข้ารับการตรวจเช็ก และซ่อมบำรุงพื้นฐาน 35 รายการฟรีที่ศูนย์บริการรถยนต์ FIT Auto ทุกสาขาทั่วประเทศ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/nbaonVLByhyAFiJwzoqr.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="nbaonVLByhyAFiJwzoqr.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="1920,1240"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุวิชชา สุดใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด กล่าวว่า EVme Club แสดงถึงความตั้งใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการต่อยอดบริการของเรา เพื่อสร้างประสบการณ์ที่คุ้มค่าให้กับผู้ใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า เรามุ่งมั่นที่จะทำให้ทุกคนได้รับประสบการณ์การใช้ EV เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ EV มากขึ้นในประเทศไทย ซึ่ง EVme Club จะไม่ใช่แค่เพียงการบริการ แต่เป็นคอมมูนิตี้แพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนประเทศสู่การเดินทางในรูปแบบที่ยั่งยืนอีกด้วย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิทิต ธาดากิตติสาร หัวหน้าส่วนงานบริหารและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด กล่าวเสริมว่า เราตั้งเป้าขยายจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 100,000 บัญชีภายในปี 2566 โดย EVme Club จะเป็นคอมมูนิตี้แพลตฟอร์มที่ยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้กับสมาชิก ด้วยประโยชน์และสิทธิพิเศษมูลค่ารวมกว่า 6,000 บาท ที่คัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคล ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสมัครเป็นสมาชิก EVme Club ได้ผ่านทางแอปพลิชัน EVme &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีวี มี พลัส เดินหน้าแสวงหานวัตกรรมใหม่ๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ที่คุ้มค่า และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เราไม่หยุดยั้งสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ๆ เพื่อส่งมอบทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนช่วยให้เกิดการใช้ EV อย่างแพร่หลายมากขึ้นในประเทศไทย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/sabina-%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%B5-66-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-1-7-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%95-10-2-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" alt="SAWAD ไตรมาส 2/66 โชว์กำไร 1,223 ลบ. พอร์ตสินเชื่อโตแกร่งเฉียด 9 หมื่นลบ. พร้อมเดินเกมขยายพอร์ตสินเชื่อต่อเนื่องตามเป้าหมาย">SAWAD ไตรมาส 2/66 โชว์กำไร 1,223 ลบ. พอร์ตสินเชื่อโตแกร่งเฉียด 9 หมื่นลบ. พร้อมเดินเกมขยายพอร์ตสินเชื่อต่อเนื่องตามเป้าหมาย</a>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

อีวี มี พลัส เปิดตัว EVme Club บริการสมาชิกแบบรายปี ตอบโจทย์ทุกไดรฟ์สไตล์ ด้วยสิทธิพิเศษแบบครบครัน

<h2>“ออลล์ นาว” (ALL NOW) ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจร ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์สีเขียว ประกาศดำเนินโครงการ EV Vision นำเข้ารถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้ในการขนส่งกระจายสินค้าเข้าสู่สาขา 7-Eleven นำร่องพื้นที่โซนนนทบุรี พร้อมตั้งเป้ามีรถบรรทุกไฟฟ้าให้บริการ 100 คันภายในปี 2567 ต่อยอดโซนกรุงเทพฯและปริมณฑล พร้อมวางแผนขยายการให้บริการไปสู่ธุรกิจอื่นๆ สอดคล้องเป้าหมายการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการพัฒนาที่ยั่งยืนตามนโยบายเครือเจริญโภคภัณฑ์ </h2>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/swwqwsbbiodRPGfw3DML.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="swwqwsbbiodRPGfw3DML.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="2500,1662"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายธเนศ พิริย์โยธินกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ออลล์ นาว (ALL NOW) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท ออลล์ นาว เป็นกลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ครบวงจร โดยมีโมเดลธุรกิจเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้าแบบครบวงจรให้แก่ธุรกิจทั้งในและนอกเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีผนึกกำลังกับซีพี ออลล์ ในการเป็นพันธมิตรด้านโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าทั้งแบบ off-line และ on-line จากศูนย์กระจายสินค้าไปสู่ร้าน 7-Eleven กว่า 10,000 จุดทั่วประเทศ และเพื่อเป็นการต่อ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/QUU9JZLxby7Mktp6RxLV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="QUU9JZLxby7Mktp6RxLV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="2500,1457"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดธุรกิจแบบยั่งยืน จึงได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำโลจิสติกส์ด้านส่งเสริมการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม โดยประกาศดำเนินโครงการ EV Vision ด้วยการใช้รถบรรทุก 4 ล้อไฟฟ้าขนาดใหญ่ในการขนส่งสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าไปยังร้านสาขา 7-Eleven โดยรถบรรทุกไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระยะทาง 200 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง นอกจากนี้ ตัวรถยังมีขนาดตู้บรรจุสินค้าที่สามารถบรรจุได้มากถึง 16 คิวบ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาจากเชื้อเพลิงที่ใช้กับยานยนต์ได้ จากความตั้งใจอย่างจริงจังของกลุ่มบริษัท ออลล์ นาว ที่ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้า แทนการใช้พลังงานน้ำมัน โดยมุ่งหวังลดปริมาณการสร้างมลพิษทางอากาศ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังช่วยลดต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ ด้วยการขนส่งสินค้าปริมาณที่มากขึ้นต่อเที่ยว ซึ่งโครงการ EV Vision เป็นโอกาสที่ดีที่กลุ่มบริษัท ออลล์ นาว จะตั้งเป้าเป็นผู้นำทางด้านโลจิสติกส์สีเขียว เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายธเนศกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน ออลล์ นาว ได้เริ่มนำร่องขนส่งและกระจายสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าบางบัวทองเป็นแห่งแรก ไปยังสาขา 7-Eleven ในกว่า 20 เส้นทาง และวางแผนที่จะขยายเพิ่มเติมไปสู่ศูนย์กระจายสินค้ามหาชัย และ ลาดกระบัง ทำให้สามารถกระจายสินค้าไปได้กว่า 700 สาขา พร้อมกับตั้งเป้าเพิ่มจำนวนรถบรรทุกไฟฟ้าที่จะให้บริการทั้งหมดเป็น 100 คัน ภายในสิ้นปี 2567&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/2QYD6bKSFZ6MJE7Yut7H.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="2QYD6bKSFZ6MJE7Yut7H.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="2000,1257"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมกันนี้ ออลล์ นาว ยังได้ลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าในพื้นที่ศูนย์กระจายสินค้าแต่ละแห่ง โดยตั้งเป้าขยายการติดตั้งสถานีไปให้ครอบคลุมครบทุกศูนย์กระจายสินค้าในอนาคต นอกจากนี้ ออลล์ นาว ยังวางแผนที่จะขยายการขนส่งและกระจายสินค้าด้วยรถขนส่งไฟฟ้าไปในธุรกิจอื่นๆ ทั้งในและนอกเครือฯ ต่อไปในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์สีเขียวที่ช่วยส่งเสริมการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมภายในปี 2568” นายธเนศกล่าวสรุป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;&nbsp;​<a href="https://forbesthailand.com/preview/70754" alt="KBank Private Banking เสนอกองทุนหุ้นนอกตลาด เน้นลงทุนกลุ่ม Venture Capital ผ่านกองทุนเปิด K Global VC PE 23A" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">KBank Private Banking เสนอกองทุนหุ้นนอกตลาด เน้นลงทุนกลุ่ม Venture Capital ผ่านกองทุนเปิด K Global VC PE 23A</a>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

All Now เปิดโครงการ EV Vision ใช้รถบรรทุกไฟฟ้า รองรับการกระจายสินค้าเข้า 7-Eleven มุ่งสู่เป้าหมายผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์สีเขียว 

EV ขับเคลื่อนอนาคตห่วงโซ่อุปทานยานยนต์

<h2>บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ ประกาศลงทุนธุรกิจพลังงานครบวงจรับดีมานด์พุ่งหนุนยอดขายโซลาร์เซลล์ปีนี้เพิ่มขึ้น 20% เตรียมประเดิมเปิด EV Charging Station 2 สถานีแรกที่โคราชและอีก 2 สถานีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมดัน EV Charger (Wallbox) และสถานีอัดประจุไฟฟ้า คาดรายได้ตามเป้า 1.2 พันล้าน</h2>
พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC เปิดเผยถึงทิศทางภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีแรกมีการเติบโตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้จากความมุ่งมั่นในการขยายการลงทุนในส่วนของธุรกิจเทรดดิ้ง ภายใต้การเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ ให้กับ LONGI Solar และ Trina Solar, และเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Inverterให้กับ Huawei ที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ

เนื่องจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางเริ่มให้ความสำคัญเรื่องการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้อัตราค่าไฟฟ้าปรับตัวขึ้นตาม ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องหันมาบริหารต้นทุนค่าใช้จ่าย เพื่อลดต้นทุนลง

ดังนั้น บริษัทจึงคาดการณ์ว่า ในปีนี้จะมียอดขายโซลาร์เซลล์เพิ่มสูงขึ้นกว่า 20% หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจการจำหน่ายโซลาร์เซลล์ และ Solar Inverter ประมาณ 250 ล้านบาท จากปัจจุบันบริษัทมียอดออเดอร์แล้วกว่า 150 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้ากลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจด้านพลังงานอย่างครบวงจรมากขึ้น มีการลงทุนในธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) ที่ได้ร่วมมือกับ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัทร่วมทุน “พีพีดับบลิวอี” (PPWE) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการเตรียมการเปิด 2 สถานีแรกที่จังหวัดนครราชสีมา (โคราช) ทั้งขาเข้า และขาออก

โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/2565 นี้ และเตรียมทยอยดำเนินการอีก 2 สถานี ภายในไตรมาส 4/2565 ซึ่งจะส่งผลให้ภายในปีนี้ จะมี EV Charging Station จำนวน 4 สถานี 12 หัวจ่ายตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

ส่วนความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV แบรนด์ Wallbox นั้น ในไตรมาส 3 ปี 2565 จะทยอยดำเนินการตามกลยุทธ์ที่วางไว้ ซึ่งมั่นใจว่าจะได้การตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่สนใจในการติดตั้งอุปกรณ์เครื่องอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ที่อยู่อาศัย ห้างสรรพสินค้า รวมถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้า เป็นต้น

โดยตั้งเป้ายอดขายในระยะแรกไว้ประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งผลิตภัณฑ์ EV แบรนด์ Wallbox ถือเป็นแบรนด์ที่กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต่างให้ความมั่นใจในคุณภาพ สามารถรองรับความต้องการได้ในระยะยาว และที่สำคัญการใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังสามารถช่วยในเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศอีกทางหนึ่ง เพื่อก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ได้ในอนาคต

นอกจากนั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มอุตสาหกรรมธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าว่า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย ประกอบกับมาตรการเปิดประเทศ รวมถึงแผนนโยบายขับเคลื่อนการลงทุนของภาครัฐ ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัว โดยจะเห็นได้จากภาครัฐบาลและเอกชน มีการทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ๆ, โครงการทดแทนของเก่าที่หมดอายุโดยเปิดให้มีการประมูลงานมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ดีมานด์การใช้หม้อแปลงไฟฟ้า รวมถึงงานด้านบริการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่บริษัทคาดว่าครึ่งปีหลังจะสามารถมีงานเข้ามาร่วม 300 – 500 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีออเดอร์ในมือ (Backlog) อยู่ที่ระดับ 410 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ ประเมินอัตราการเติบโตรายได้ในปีนี้ แตะระดับ 1.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้

“ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เดินสายเพื่อนำเสนอข้อมูลและสินค้าในกลุ่มพลังงานให้กับกลุ่มลูกค้าได้รับทราบ หลังจากที่บริษัทฯ มีการขยายการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของธุรกิจเทรดดิ้ง รวมถึงการเป็นตัวแทนการจำหน่ายโซลาร์เซลล์

ธุรกิจ EV ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงโอกาสในการต่อยอดธุรกิจสู่การเป็นผู้นำ “ด้านพลังงาน” ภายใต้การนำนวัตกรรมระบบหม้อแปลงไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Transformer Monitoring System) ที่มีการให้บริการแบบครบวงจรทุกมิติ

ทั้งหม้อแปลงไฟฟ้า Super low loss - โซลาร์เซลล์ - EV Charging Station และในเร็วๆ นี้พร้อมผลิต EV Charger ภายใต้แบรนด์ QTC อีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการเติบโตแบบยั่งยืนในระยะยาว ”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%B2.html">โซไซตี้ พาส ลุยซื้อกิจการในไทย-อาเซียน</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events