Oetker Hotels นำเสนอ 5 โรงแรมสุดคลาสสิกในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของยุโรป โดยแต่ละแห่งล้วนโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และยังคงความหรูหรา สร้างประสบการณ์เหนือระดับ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักเดินทางท่องเที่ยวระดับ Hi-End ได้เป็นอย่างดี
Oetker Hotels (เอิตเคอร์ โฮเทลส์) กลุ่มโรงแรม luxury ระดับมาสเตอร์พีซในยุโรปมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1872 โดย ณ ปัจจุบัน มีโรงแรมที่อยู่ภายใต้เครือนี้ทั้งหมด 12 แห่ง ได้แก่ 1. Le Bristol Paris ณ กรุงปารีส 2. Hotel du Cap-Eden-Roc ณ เมืองอองตีบส์ 3. Chateau Saint-Martin & Spa ณ เมืองวองซ์ 4. L’Apogee Courchevel ประเทศฝรั่งเศส 5. Brenners Park-Hotel & Spa ณ เมืองบาเดน-บาเดน ประเทศเยอรมนี 6. The Lanesborough ณ ใจกลางกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร 7. Eden Rock - St Barths ในแซงต์-บาร์เธเลมี ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส 8. Jumby Bay Island บนเกาะส่วนตัวในแอนติกา ทะเลแคริบเบียน 9. Palacio Tangara ณ นครเซาเปาโล ประเทศบราซิล 10. Hotel La Palma บนเกาะคาปรี ประเทศอิตาลี 11. The Vineta Hotel ณ เมืองปาล์มบีช สหรัฐอเมริกา (มีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2025) และ 12. โรงแรมแห่งใหม่ในแซงต์-โทรเปซ์ ประเทศฝรั่งเศส (คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2027)
จากรายชื่อทั้งหมดที่กล่าวมา...โรงแรมแต่ละแห่งล้วนเป็น 'Destination' ที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น และยังเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราเหนือกาลเวลา สะท้อนให้เห็นความงดงามของสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ควรค่าแก่การเดินทางไปสัมผัส และด้วยจุดมุ่งหมายของทาง Oetker Hotels ที่พร้อมต้อนรับเหล่านักเดินทางจากไทยผู้ซึ่งนิยมไลฟ์สไตล์อันโดดเด่น หรูหรา แตกต่างไปจากเดิม จึงได้นำเสนอโรงแรมทั้ง 5 แห่ง ที่ตั้งอยู่ในแต่ละเมืองของ 4 ประเทศที่คนไทยนิยมเดินทางท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ อย่าง ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี และ เยอรมนี ไว้ดังนี้
เลอ บริสโตล ปารีส (Le Bristol Paris) - ปารีส ฝรั่งเศส
โรงแรมแห่งนี้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1925 ตั้งอยู่บนถนน Rue du Faubourg Saint-Honore ณ ใจกลางกรุงปารีส จุดเด่นของโรงแรม คือ การบอกเล่าเรื่องราวของศิลปะ ความสง่างาม ผสมผสานการบริการที่ยอดเยี่ยมตามสไตล์ปารีเซียง นับตั้งแต่การตกแต่งภายในที่ปรับปรุงใหม่ในศตวรรษที่ 18 ต่อเนื่องไปถึงประสบการณ์ Bristol After Dark ที่นำความหรูหราของค่ำคืนในกรุงปารีสกลับมาสู่โรงแรมอีกครั้ง


และด้วยวาระครบรอบ 100 ปีในปีนี้ ทางโรงแรมยังร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ในการสร้างประสบการณ์ผ่านไลฟ์สไตล์อีกระดับให้แก่แขกผู้มาพักได้ตลอดทั้งปีในทุกๆ วัน เช่น น้ำหอมกลิ่นพิเศษจาก Cire Trudon แบรนด์ผู้ผลิตเทียนพรีเมียมชื่อดังของฝรั่งเศสซึ่งมีประวัติยาวนานที่สุดแบรนด์หนึ่งในโลก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1643, ประสบการณ์มื้อค่ำที่ Epicure ห้องอาหารมิชลิน 3 ดาวของโรงแรม โดยเชฟอาร์โนด์ เฟย์ (Arnaud Faye) ผู้สร้างสรรค์เมนูพิเศษด้วยวัตถุดิบจากพืชและซิตรัสแสนสดชื่นและเปี่ยมชีวิตชีวา


นอกจากนี้ ยังมีการตกแต่งใหม่ของ 2 ห้องสวีตในตำนาน ได้แก่ ห้อง Honeymoon Suite ที่มองเห็นวิวหอไอเฟล ตกแต่งด้วยงานศิลปะเฟรสโก้ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพนิยายแห่งรักอมตะ Eros and Psyche (หรือในชื่อโรมันว่า Cupid and Psyche) และห้อง Imperial Suite ได้รับการตกแต่งใหม่ในสไตล์อะเตลิเยร์ โดยศิลปินร่วมสมัยชาวอเมริกันชื่อดัง จอร์จ คอนโด (George Condo) ซึ่งร่วมออกแบบเป็นครั้งแรก ถ่ายทอดความงามผ่านสีสันและภาพเหมือนสุดประณีต
เดอะ เลนส์โบโรห์ (The Lanesborough) - ลอนดอน สหราชอาณาจักร
โรงแรมหรูระดับตำนานริมสวน Hyde Park ณ ใจกลางกรุงลอนดอน ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากพระราชวังบักกิงแฮมเพียงไม่กี่ก้าว ผสานความงามของสถาปัตยกรรมจากยุครีเจนซีเข้ากับบริการระดับ World Class ถือเป็นที่พักที่ได้รับความนิยมจากแขกระดับสูงทั่วโลก โดดเด่นด้วยเสน่ห์แบบอังกฤษดั้งเดิม บริการผู้ช่วยส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง และประสบการณ์อันหรูหราที่ยากจะลืมเลือน


เพื่อเป็นการยกระดับความก้าวหน้าไปอีกขั้นในปี 20025 ทาง The Lanesborough Club & Spa ได้พัฒนาให้กลายมาเป็นศูนย์สุขภาพแบบองค์รวมระดับแนวหน้าของลอนดอน ภายใต้แนวคิด ‘Luxury Club for Life’ พร้อมเปิดตัวพันธมิตรสปาคนใหม่ ดร. กาลีนา เซเลซเนวา (Dr. Galyna Selezneva) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ความงามระดับโลก นำเสนอบริการ Biohacking เวชศาสตร์ชะลอวัย และทรีตเมนต์เพื่อการฟื้นฟูในระดับเซลล์อย่างล้ำลึก ตอบโจทย์ผู้ที่แสวงหาความงามแบบยั่งยืนจากภายในสู่ภายนอก


นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 ไฮไลต์ของโรงแรมที่สำคัญ นั่นก็คือ Bridgerton Afternoon Tea ซึ่งจะจัดขึ้น ณ ห้องอาหาร The Lanesborough Grill อันหรูหรา เหล่าบรรดาแขกผู้มาเยือนจะได้ดื่มด่ำบรรยากาศย้อนยุคเสมือนหลุดเข้าไปในโลกของซีรีส์บริดเจอร์ตัน และด้วยเมนูขนมและชาที่ออกแบบมาเฉพาะ พร้อมบรรยากาศและดนตรีสดสไตล์เรเจนซี ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ดีๆ ในการจิบชายามบ่ายที่สง่างามไม่ซ้ำใคร


เบรนเนอร์ส พาร์ค-โฮเทล แอนด์ สปา (Brenners Park-Hotel & Spa) - บาเดิน-บาเดิน เยอรมนี
หลังจากใช้เวลาราว 20 เดือนในการปรับปรุงโรงแรมหรูระดับตำนานในเมืองบาเดิน-บาเดิน เมืองสปาชื่อดังระดับโลกที่ตั้งอยู่ริมชายป่า Black Forest ประเทศเยอรมนี โดยในส่วนของอาคารหลักซึ่งมีอายุเกือบ 150 ปี มีการรีโนเวทปรับปรุงโฉมตั้งแต่ล็อบบี้ ห้องพัก ระบบไฟฟ้า และการควบคุมการใช้พลังงานต่างๆ แต่ยังคงอนุรักษ์โครงสร้างของดั้งเดิมไว้ ซึ่งทางโรงแรมพร้อมกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบอีกครั้งช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ปี 2025


ทั้งนี้ แขกผู้เข้าพักจะได้สัมผัสห้องพักและห้องสวีตรูปแบบใหม่ที่ผสานเสน่ห์แบบคลาสสิกเข้ากับองค์ประกอบทางดีไซน์ร่วมสมัย เน้นความโปร่งโล่ง ใช้วัสดุธรรมชาติและโทนสีอบอุ่น ห้องพักทั้ง 79 ห้อง มีการออกแบบถึง 27 ดีไซน์ที่แตกต่างกันเพื่อแสดงถึงบุคลิกเฉพาะตัวของแต่ละห้อง มาพร้อมการออกแบบห้องน้ำที่แตกต่างกัน 2 สไตล์ โดยทั้ง 2 สไตล์มีจุดร่วมตรงการตกแต่งด้วยหินอ่อนที่ตัดอย่างประณีตจากบล็อกเดียวกันทั้งแผ่น

เทคนิคนี้ช่วยให้พื้นผิวหินดูต่อเนื่องไร้รอยต่อ สะท้อนความหรูหราและความงามที่กลมกลืนในทุกมิติของห้องน้ำ เสริมด้วยหนึ่งในรายละเอียดพิเศษที่แสดงถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน นั่นคือการฟื้นฟูและปรับปรุงก๊อกน้ำและอุปกรณ์สุขภัณฑ์เก่าให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ ด้วยกระบวนการรีสโตร์อย่างพิถีพิถันภายใต้โปรแกรมของ Dornbracht ReCrafted ผู้ผลิตอุปกรณ์สุขภัณฑ์ระดับพรีเมียม เพื่อรักษาคุณภาพและความงามระดับไฮเอนด์อย่างยั่งยืน


สำหรับส่วนของล็อบบี้ มีการฉาบผนังและเพดานใหม่ทั้งหมด ประดับงานจิตรกรรมและปูนปั้นลวดลายสวยงาม ขณะที่ห้องอาหาร Wintergarten และ Oleander Bar ก็ได้รับการปรับโฉมใหม่ แต่ยังคงให้บรรยากาศอันสง่างามสำหรับการรับประทานอาหารพร้อมวิวสวนในฤดูกาลต่างๆ นอกจากนี้ ศูนย์สุขภาพภายในโรงแรมอย่าง Villa Stephanie Spa & Wellbeing ก็ยกระดับโปรแกรมการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมให้เหนือขึ้นไปอีกขั้น ทั้งด้านเวชศาสตร์ป้องกัน การฟื้นฟูร่างกาย และทรีตเมนต์เฉพาะบุคคล ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ
โฮเทล ลา ปาลมา (Hotel La Palma) - เกาะคาปรี อิตาลี
โรงแรมแห่งนี้เดิมทีมีชื่อว่า โลคันดา ปากาโน (Locanda Pagano) ถือเป็นเป็นแหล่งพบปะของเหล่าศิลปิน นักสร้างสรรค์ และยังเป็นโรงแรมแห่งแรกบนเกาะคาปรีที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1822 หลังจากนั้นจึงมีการเปลี่ยนชื่อให้กลายมาเป็น โฮเทล ลา ปาลมา (Hotel La Palma) ในปี 1922 และต่อมายังมีการรีโนเวทครั้งใหญ่พร้อมเปิดตัวในปี 2022 โดย Reuben Brothers และ Oetker Hotels


ณ ปัจจุบันโรงแรมแห่งนี้จึงกลายเป็นห้องพักและห้องชุดสุดหรูหรา จำนวน 50 ห้อง ตั้งอยู่ห่างจาก Piazzetta ที่มีชื่อเสียงเพียงไม่กี่ก้าว โอบล้อมด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตอิตาเลียนสุดคลาสสิก และวิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสุดตระการตา ที่นี่มีร้านอาหารและบาร์ 3 แห่ง คลับชายหาดส่วนตัว ลานสระว่ายน้ำที่มองเห็นร้านบูติกบนถนน Via Vittorio Emanuele และมีบริการในส่วนของสปาอันเป็นเอกลักษณ์


สำหรับไฮไลต์ล่าสุดของปี 2025 คือการเปิดตัว เบียงกา รูฟท็อป การ์เน เอ กรูโด (Bianca Rooftop - Carne & Crudo) ห้องอาหารบนดาดฟ้าที่ออกแบบโดยนักออกแบบชื่อดัง ฟรานซิส ซัลตานา (Francis Sultana) ที่นี่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นเวทีการปรุงอาหารกลางแจ้ง ด้วยการผสานบาร์อาหารทะเลสดขนาดใหญ่เข้ากับเตาย่างไม้ไฟ เสิร์ฟเนื้อชั้นเลิศจากผู้ผลิตระดับโลก ให้แขกได้ชมการปรุงอาหารอย่างพิถีพิถันโดยเชฟฝีมือเยี่ยมจากครัวเปิด โดยมีเมนูเด่นอย่าง โทมาฮอว์กย่างไฟ ริบอายบ่มเนื้อนุ่ม หรือคาร์ปาชโชวากิวรสละมุน ไปจนถึงครูโดปลาหางเหลืองสด เป็นต้น เมนูทั้งหมดรังสรรค์โดยเชฟโจวานนี บาวูโซ (Giovanni Bavuso) ภายใต้การดูแลของเชฟมิชลินสตาร์และผู้อำนวยการฝ่ายอาหาร เจนนาโร เอสโปซิโต (Gennaro Esposito)

ลาโพเช่ คูร์เชอแวล (L'Apogee Courchevel) คูร์เชอแวล ฝรั่งเศส
ท่ามกลางทิวทัศน์บรรยากาศอันงดงามของเทือกเขาแอลป์ฝรั่งเศส 'ลาโพเช่ คูร์เชอแวล' โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ที่ Courchevel 1850 หมู่บ้านสกีที่สูงและหรูหราที่สุดในเขต Les Trois Vallees (3 หุบเขา) และยังถือเป็นพื้นที่เล่นสกีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวเมื่อปี 1992 รวมถึงการแข่งขันสกีระดับโลกหลายรายการ


ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของที่นี่ คือ การออกแบบที่หรูหราแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น มีเสน่ห์แบบอัลไพน์ ผสานกับบริการระดับเวิลด์คลาส พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องพักแบบ ski-in/ski-out ที่สามารถสกีไปกลับจากห้องพักสู่ลานสกีได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้รถหรือเดินทางหลายต่อ สปาระดับพรีเมียม ห้องอาหารชั้นเลิศ และบริการส่วนตัวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เหมาะสำหรับนักเดินทางที่แสวงหาความเหนือระดับในบรรยากาศสกีรีสอร์ตชั้นนำของโลก


สำหรับนักท่องเที่ยวระดับ Hi-end ที่ชื่นชอบกีฬาหน้าหนาวอย่างสกี โรงแรมรีสอร์ตสุดหรูแห่งนี้พร้อมเปิดให้บริการเฉพาะช่วงฤดูหนาวของยุโรป ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงปลายเดือนมีนาคม โดยฤดูกาลหน้าจะเริ่มอีกครั้งในวันที่ 12 ธันวาคม 2025

ภาพ : Oetker Hotels
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : '3 เมือง 3 โรงแรม' ที่พักยอดนิยมในจีนแต่ละแห่ง ติดอันดับ Top List แนะนำโดย Trip.best
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine