ดร.อาจารี ถาวรมาศ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และการค้าระหว่างประเทศ กับการสร้างพันธมิตรสองซีกโลกเอเชีย-ยุโรป

<h2>หลัง Donald Trump ประกาศชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลการค้นหาลู่ทางและจุดหมายในการย้ายประเทศของชาวอเมริกันก็พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะมีหลายคนพอใจ แต่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาทำให้หลายคนต้องผิดหวัง เมื่อผู้ที่คว้าชัยชนะไปคือ Donald Trump ชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งจึงหันมามองหาหนทางย้ายประเทศ ข้อมูลจาก Google เผยว่า การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับการ “ย้ายประเทศ” และ “วิธีการย้ายไปยังประเทศ...” เพิ่มสูงขึ้นมหาศาล โดยเฉพาะในรัฐที่ให้การสนับสนุนพรรคเดโมแครต แคนาดาและยุโรป จุดหมายที่ชาวอเมริกันใฝ่ฝัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายใน 24 ชั่วโมงหลังทราบผลการเลือกตั้ง การค้นหา “ย้ายไปแคนาดา” บน Google มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 1,270% ส่วนการค้นหาเกี่ยวกับการย้ายไปนิวซีแลนด์เพิ่มขึ้นเกือบ 2,000% และสำหรับการย้ายไปออสเตรเลียเพิ่มขึ้นราว 820%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแคนาดา สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศดังกล่าวเผยว่า เว็บไซต์สำนักงานฯ ต้องประสบกับจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นพร้อมคำถามมากมายหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งมาจากชาวอเมริกัน โดยคาดว่าที่ชาวอเมริกันสนใจแคนาดา เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมหลายอย่างใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/aSHvfUh6RXf1mwwg4Huv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aSHvfUh6RXf1mwwg4Huv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การย้ายถิ่นฐานไปแคนาดาอาจไม่ง่ายนัก เพราะเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีแคนาดา เพิ่งออกมาประกาศลดโควตาชาวต่างชาติที่จะย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศลง เพื่อรับมือกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอันนำมาสู่ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยและการเข้าถึงบริการสาธารณะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่าชาวอเมริกันไม่ได้มุ่งเป้าไปยังแคนาดาเพียงประเทศเดียว VisaGuide.World สื่อด้านการเดินทางและข้อมูลวีซ่าจากทั่วโลกเผยว่า หลัง Trump ประกาศชัยชนะเพียงวันเดียว จำนวนการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับการ “ย้านถิ่นฐาน” บนเว็บไซต์ VisaGuide.World ก็เพิ่มขึ้นถึง 338%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศอื่นๆ ที่ชาวอเมริกันค้นหาข้อมูลการย้ายถิ่นฐาน ได้แก่ ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย คอสตาริกา และเม็กซิโก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยแต่ละคนมีเหตุผลในการเลือกจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันออกไป เช่น ค่าครองชีพที่จ่ายได้ ภูมิอากาศอบอุ่น โอกาสด้านอาชีพการงาน การศึกษา คุณภาพชีวิต ฯลฯ นอกจากนี้ มีชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยสนใจประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอย่างสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียมากเป็นพิเศษ สาเหตุที่ชาวอเมริกันกังวลจนอยากย้ายประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Greenback Expat Tax Accountant บริษัทช่วยเหลือด้านการจัดการภาษีสำหรับชาวอเมริกันที่ทำงานในต่างประเทศเคยทำการสำรวจชาวอเมริกัน 1,001 คน และนำมาสรุปเป็นรายงานเผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน 2024 โดยในบรรดาผู้เข้าร่วมทำแบบสอบถาม มีจำนวนผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต 41% และผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน 22% <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/f5X4R6fSbMmm3wU5Upa2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="f5X4R6fSbMmm3wU5Upa2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1 ใน 5 ของผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตเผยว่าพวกเขาจะพิจารณาการย้ายประเทศหากตัวแทนจากพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะ โดยกลุ่ม Gen Z มีแนวโน้มที่จะดำเนินการคิดวางแผนย้ายประเทศมากที่สุด สำหรับ 3 อันดับประเทศทกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตสนใจ ได้แก่ แคนาดา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับประเด็นที่ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตเป็นกังวลมากที่สุด คือ สิทธิในการทำแท้งที่ 73% รองลงมาเป็นการควบคุมอาวุธปืน 66% ส่วนประเด็นด้าน Healthcare ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ และความยากจนอยู่ที่ 65% เท่ากัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันกังวลเรื่องผู้อพยพมากที่สุด 73% รองลงมาคือเรื่องเศรษฐกิจและการจ้างงาน 66% สุดท้ายคือนโยบายและความขัดแย้งกับต่างประเทศ 43%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมทำแบบสอบถาม 53% ต้องการย้ายถิ่นฐานถาวร แต่ยังคงต้องการคงสถานภาพพลเมืองสหรัฐฯ เอาไว้อยู่, 21% ต้องการย้ายถิ่นฐานถาวรและพร้อมละทิ้งการเป็นพลเมืองสหรัฐฯ, 17% ต้องการย้ายถิ่นฐานชั่วคราว แต่ยังไม่มีกำหนดกลับ และ 7% ่ต้องการย้ายไปอยู่ประเทศอื่นจนกว่าจะหมดวาระของรัฐบาล Trump แหล่งที่มา:​<a href="https://www.greenbacktaxservices.com/blog/politics-driving-americans-abroad/" alt="Politics Driving Americans Abroad">Politics Driving Americans Abroad</a>​ ​<a href="https://www.reuters.com/world/us/after-trumps-win-many-despondent-americans-research-moving-abroad-2024-11-08/" alt="After Trump's win, many despondent Americans research moving abroad">After Trump's win, many despondent Americans research moving abroad</a>​ ​<a href="https://www.politico.com/news/2024/11/08/americans-canadian-citizenship-trump-win-00188334" alt="American interest in Canadian citizenship is spiking again">American interest in Canadian citizenship is spiking again</a><a href="https://visaguide.world/news/1514-surge-in-americans-looking-to-move-abroad-after-trumps-victory/" alt="1514% Surge in Americans Looking to Move Abroad After Trump’s Victory">1514% Surge in Americans Looking to Move Abroad After Trump’s Victory</a>​ ​<a href="https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/americans-living-abroad-trump-election-b2644122.html" alt="Number of Americans looking to live abroad jumps by 1,500% after Trump wins election">Number of Americans looking to live abroad jumps by 1,500% after Trump wins election</a>​ ภาพ: <a href="https://unsplash.com/photos/an-airport-filled-with-lots-of-people-and-luggage-nStpM0K1n9U" alt="Unsplash.com">Unsplash.com</a>, AFP และ Greenback Expat Tax Services เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/us-election-nov-2024" alt="Trump ประกาศชัยชนะ ‘เลือกตั้งสหรัฐ 2024’ ตลาดจับตาหนี้สาธารณะสหรัฐพุ่ง-การค้าโลกเปลี่ยน">Trump ประกาศชัยชนะ ‘เลือกตั้งสหรัฐ 2024’ ตลาดจับตาหนี้สาธารณะสหรัฐพุ่ง-การค้าโลกเปลี่ยน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“ย้ายประเทศ” ขึ้นเทรนด์ในสหรัฐฯ หลัง Trump ชนะเลือกตั้ง แคนาดาและยุโรปคือจุดหมายยอดนิยม

<h2>​สายการบินลุฟท์ฮันซ่า นำเครื่องบินขนาดใหญ่ A380 มาให้บริการคนไทยที่จะเดินทางไปยุโรปในช่วงพีค High Season หรือช่วงหน้าหนาวระหว่างเดือน พ.ย. 2567 - มี.ค. 2568 อีกครั้ง พร้อมขยายเพิ่มจำนวนที่นั่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 220,000 คน ตลอดฤดูกาลดังกล่าว </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนื่องในวาระฉลองครบรอบ 65 ปี ของเที่ยวบินปฐมฤกษ์จากสายการบินลุฟท์ฮันซ่าที่บินตรงจากเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี มายังกรุงเทพฯ นับตั้งแต่ปี&nbsp;พ.ศ. 2502 โดยเที่ยวบินดังกล่าวเรียกว่า Super Constellation ที่มีเส้นทางการบินจากเมืองฮัมบูร์กผ่านดัสเซลดอร์ฟแฟรงก์เฟิร์ต โรม ไคโร การาจี และกัลกัตตา ก่อนจะมาถึงเมืองไทยต้องใช้ระยะเวลาเดินทางเกือบ 2 วัน ซึ่ง ณ ปัจจุบัน กลุ่มสายการบินของลุฟท์ฮันซ่า มีการให้บริการเที่ยวบินระหว่างไทยและยุโรป เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 21 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ มาเป็น 31 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพื่อรองรับความต้องการผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นในอัตราราวๆ เดียวกันก่อนที่จะเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/qtTdETubRwr76ZBzUjDN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="qtTdETubRwr76ZBzUjDN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฟลิเป้ บอนิฟาตติ รองประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและกิจการร่วมค้าในภูมิภาคตะวันออก กล่าวว่า&nbsp;“เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการของเราอย่างต่อเนื่องพร้อมฉลองความสำเร็จอันยาวนานของลุฟท์ฮันซ่าในประเทศไทยกว่าหกทศวรรษ โดยกรุงเทพฯ ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญ และปัจจุบันเราให้บริการเที่ยวบินจากยุโรปมาสู่ประเทศไทยมากกว่ากลุ่มสายการบินในยุโรปอื่นๆ เรายินดีเป็นอย่างมากที่จะนำเครื่องบิน A380 และที่นั่งในระดับ First Class กลับมาให้บริการอีกครั้งนับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/nm6DiSKKyjiSHfSXGzzL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="nm6DiSKKyjiSHfSXGzzL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ทาง อันลี โด ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง กลุ่มบริษัทลุฟท์ฮันซ่า ยังกล่าวด้วยว่า "ในปี 2023 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวไทยใช้บริการของสายการบินเพื่อเดินทางไปยุโรปมากถึง 328,000 คน และมีการให้บริการขนส่งสินค้าจากไทยมากถึงราวๆ 8.7 ล้านตัน นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มจำนานที่นั่งเพื่อรองรับผู้โดยสารจากไทยให้มากขึ้นเป็นจำนวน 220,000 ที่นั่ง จากการนำเครื่องบินขนาดใหญ่อย่าง A380 มาให้บริการในระหว่างช่วงเดือน พ.ย. 2567 - มี.ค. 2568"​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/UN2GDxvLTYCmaugGshFX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="UN2GDxvLTYCmaugGshFX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>ซ้าย: อันลี โด ผจก.ทั่วไปประจำประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง&nbsp;</div><div>ขวา: เบรนแดน ชาโชอา ผอ.อาวุโสฝ่ายขาย ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่ากลุ่มสายการบินลุฟท์ฮันซ่า ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลกทั้ง สวิสแอร์ไลน์ส, ออสเตรียนแอร์ไลน์ส, ยูโรวิงส์ และเอเดลไวซ์ นั้น สามารถสร้างรายได้ในปีงบประมาณ 2566 ได้มากถึง 3.54 หมื่นล้านเหรียญยูโร โดยธุรกิจหลักที่สร้างรายได้มากที่สุด ยังคงเป็นเรื่องของการบินพาณิชย์ โดยมีกลุ่มธุรกิจที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ การขนส่งสินค้าทางอากาศ และการซ่อมบำรุงอากาศยานแบบครบวงจร เป็นต้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/Yf5P69EUQmFUm2i5wzZ7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="Yf5P69EUQmFUm2i5wzZ7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ เครดิตภาพ : สายการบินลุฟท์ฮันซ่า เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/forbes-life/travel-forbes-life/touristanbul-turkish-airlines-provides-services-for-free-passengers-while-waiting-than-6-hours-connecting-flight" alt="'ทัวร์ฟรี อิสตันบูล' สายการบิน 'เตอร์กิซ แอร์ไลน์' ให้บริการตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกระหว่างรอต่อเครื่อง">'ทัวร์ฟรี อิสตันบูล' สายการบิน 'เตอร์กิซ แอร์ไลน์' ให้บริการตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกระหว่างรอต่อเครื่อง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'ลุฟท์ฮันซ่า' นำ A380 รองรับคนไทยบินไปยุโรปเพิ่มเป็น 220,000 ที่นั่ง ช่วงไฮซีซัน 

'ทัวร์ฟรี อิสตันบูล' สายการบิน 'เตอร์กิซ แอร์ไลน์' ให้บริการตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกระหว่างรอต่อเครื่อง 

<h2>ยอดนำเข้ารถต่างประเทศของเกาหลีใต้ในปี 2022 ทุบสถิติสูงสุดเกือบ 300,000 คัน ถือเป็นตัวเลขการนำเข้ารถยุโรปมากสุดอันดับ 8 ของโลก โดยแบรนด์ “Mercedes-Benz” มียอดขายมากสุดครองแชมป์ 7 ปีซ้อน สะท้อนค่านิยมคนในประเทศเรื่องความสำเร็จ ภาพลักษณ์ และความหรูหรา </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาคมผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์เกาหลี Korea Automobile Importers and Distributors Association ระบุว่า ยอดขายของแบรนด์รถยนต์นำเข้าในปี 2565 มีจำนวน 283,435 คัน เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับยอดขายของปีก่อนหน้า ซึ่งหากรวมกับยอดขายรถ Tesla จำนวน 14,571 คัน (เป็นจำนวนที่สมาคมฯ ไม่ได้นับรวม) จำนวนรถยนต์นำเข้าทั้งหมดของเกาหลีใต้จะอยู่ 298,006 คัน เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากระยะ 10 ปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ 70% ของรถที่นำเข้าทั้งหมด เป็นแบรนด์รถยนต์ที่ผลิตในเยอรมนี ซึ่งอันดับที่ 1 ยังคงเป็น&nbsp;Mercedes-Benz&nbsp;ที่ครองยอดขายอันดับ 1 ติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่องถึง 7&nbsp;ซ้อน โดยมียอดขาย 80,976 คัน เพิ่มขึ้น 6.3% จากปี 2564 ,&nbsp;อันดับสองเป็นของ&nbsp;BMW&nbsp;มียอดขายเพิ่มขึ้น 19.6% อยู่ที่ 78,545 คัน ขณะที่ Audi ทำยอดขายไปได้ 21,402 คัน และ Volkswagen ขายไปได้ทั้งสิ้น 15,791 คัน&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/uCyrLN51Uggw6GEmfTnd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uCyrLN51Uggw6GEmfTnd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป หรือ ACEA (The European Automobile Manufacturers Association) ระบุว่าในปี 2022 เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่นำเข้ายานยนต์จากสหภาพยุโรปมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก โดยนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึง 24.9% คิดเป็น 3% ของยอดส่งออกทั้งโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คิม พิล-ซู &nbsp;ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมยานยนต์แห่งมหาวิทยาลัยแดลิม กล่าวว่า “คนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ “ภาพลักษณ์ภายนอก” ไปจนถึง “รถยนต์” ที่เลือกใช้ จนมีคำศัพท์ใหม่ว่า ฮาชากัม (hachagam) ซึ่งเป็นความรู้สึกเมื่อคุณก้าวออกมาจากรถหรูแล้วมีคนมองมาด้วยความอิจฉา โดยเป็นการเล่นคำมาจาก ซึงชากัม (seungchagam) ซึ่งหมายถึงระดับความสะดวกสบายที่คุณรู้สึกได้ขณะขับรถ&nbsp;นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเกาหลีจึงเลือกใช้แบรนด์รถยนต์นำเข้ามากกว่ารถยนต์ของเกาหลีใต้&nbsp;เพราะต้องการได้รับความสนใจจากผู้อื่น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม แม้รถยุโรปจะเติบโตมากขึ้นในเกาหลีใต้&nbsp; แต่ถ้ามองไปที่ “ความพึงพอใจ” ในเรื่องของแบรนด์จากการสำรวจของหนังสือพิมพ์ Korea Economic Daily ที่สอบถามผู้ขับขี่ 1,100 คนในรถยนต์นำเข้าที่ขายดีที่สุด 15 อันดับของเกาหลีใต้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 พบว่า ชาวเกาหลีใต้ยกให้ “Lexus” แบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียมของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง&nbsp;Toyota Corp.&nbsp;เป็นแบรนด์ที่มีบริการหลังการขายที่ดีที่สุดในบรรดารถยนต์นำเข้าในเกาหลีใต้ ด้วยคะแนน 73.61% คะแนนเต็ม 100 รับคะแนนสูงสุดในด้านความพึงพอใจของผู้บริโภค สำหรับการระบุปัญหาที่แม่นยำและบริการซ่อมแซมที่รวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ Lexus สามารถขึ้นมาอันดับ 1 ในการสำรวจดังกล่าว หลังจากการสำรวจคราวที่แล้วรั้งอันดับ 2 ส่วนอันดับที่ 2 ในการสำรวจครั้งนี้ตกเป็นของ Volvo จากสวีเดน ด้วยคะแนน 75.3% และตามมาด้วย Porsche แบรนด์รถสปอร์ตสัญชาติเยอรมัน 74.4%&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/Mqg4DmdN6NDnLtnni5j1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Mqg4DmdN6NDnLtnni5j1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจในครั้งนี้สวนทางกับค่านิยมของคนเกาหลีที่นิยมรถยนต์จากเยอรมนี โดย Mercedes-Benz หล่นไปอยู่อันดับที่ 5 ด้วยคะแนน 73.6 ตกจากอันดับ 3 ในการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ส่วน Audi ตกลงไป 2 อันดับมาอยู่อันดับที่ 12 ด้าน BMW อยู่อันดับที่ 13 ขณะที่ Volkswagen และ Peugeot อยู่ครองอันดับที่ 14 ร่วมกันซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อี ฮยอง-แจ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยกุกมิน (Kookmin University) และหัวหน้าคณะกรรมการประเมินกล่าวว่า&nbsp;การที่แบรนด์ที่ขาดศูนย์บริการและช่างซ่อมบำรุงในเกาหลีสร้างผลกระทบต่อความพึงพอใจของผู้บริโภค ทั้งนี้&nbsp;เมื่อถามคนเกาหลีใต้ว่าต้องการ “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือ EV แบรนด์ใดมากที่สุด พบว่าอันดับ 1 เป็นของ Tesla ที่ 18.3% ตามมาด้วย Mercedes-Benz ที่ 17.3% นอกจากนี้ ยังพบว่าราวครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นเจ้าของรถแบรนด์ต่างประเทศในเกาหลีใต้ตั้งใจจะซื้อ EV ภายใน 5 ปีข้างหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับยอดขายของแบรนด์รถยนต์จากต่างประเทศในปีนี้ ศาสตราจารย์พิล-ซู กล่าวเพิ่มเติมว่า อาจจะทำยอดขายไม่ได้มากเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากปีนี้ไม่มีอานิสงส์ของความต้องการรถยนต์ที่เอ่อล้นในยุคโควิด-19 มาช่วยเหมือนปีก่อน อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ การกู้เงินเพื่อซื้อรถแพงขึ้นและยากมากขึ้น ซึ่งจะมีเพียงผู้ผลิตรถยนต์ระดับท็อปเท่านั้นที่สามารถเติบโตได้แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/other/property/marketing/news/sc-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87-cobe-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%AF-new-brand-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B5-%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8F%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C" alt="SC ส่ง “COBE” คอนโดฯ New Brand เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดึง “พีพี-กฤษฏ์” เป็นพรีเซนเตอร์">SC ส่ง “COBE” คอนโดฯ New Brand เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดึง “พีพี-กฤษฏ์” เป็นพรีเซนเตอร์</a>​ <hr class="__se__solid"><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“เกาหลีใต้” นำเข้ารถยุโรปอันดับ 8 ของโลกปี 2022 “Mercedes-Benz” ครองแชมป์ 7 ปีซ้อน สะท้อนภาพลักษณ์ความหรูหรา 

<h2>Zapp แอปพลิเคชันส่งของสัญชาติอังกฤษ ระดมทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายจุดให้บริการในกรุงลอนดอนและอัมสเตอร์ดัม เพื่อรองรับการจัดส่งภายใน 10 นาที</h2>
<img class="alignnone wp-image-57801" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/01/Zapp-rider-with-logos-1-1024x545.jpg" alt="Joe Falter " width="720" height="383" />

ด้าน Joe Falter ผู้ร่วมก่อตั้ง Zapp เผยว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายไปยัง "เมืองใหญ่" ใหม่ๆ เช่น ลอนดอนหรืออัมสเตอร์ดัม ซึ่งมีความต้องการรถจักรยานจัดส่งเบียร์ ของว่าง และของใช้ที่มีราคาสูง เช่น สายชาร์จ iPhone ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Getir, Gorillas และ Flink เดินหน้าขยายไปสู่เมืองและประเทศใหม่ๆ ในยุโรปในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา

“เราไม่ต้องการเปิดตัวใน 100 เมืองทั่วโลก แต่เราอยากจะมุ่งเน้นไปยังเมืองที่เราสามารถระบุพฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างชัดเจน และเป็นที่ที่เราสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์กระจายสินค้าของเราได้เป็นอย่างดี” Joe Falter กล่าว “เราจำเป็นต้องรู้ว่ามีผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับบริการของเราและพร้อมที่จะจ่าย”

สำหรับการระดมทุนในรอบนี้นำโดย Lightspeed Venture Partners, 486 Capital, Broadlight Capital และนักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน Sir Lewis Hamilton รวมเป็นทุนทั้งสิ้น 300 ล้านเหรียญ 

ทว่าเงินจำนวนนี้นับเป็นเพียงเศษเสี้ยวของทุนที่ Getir ระดมทุนไปกว่า 1.1 พันล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว หรือที่ <a style="color: #008000;" href="https://www.theinformation.com/articles/gorillas-raising-950-million-amidst-european-delivery-wars">Gorillas</a> คว้าเงินสนับสนุนกว่า 1.2 พันล้านเหรียญในช่วงเวลาเดียวกัน

เพราะในขณะที่ Zapp มุ่งเน้นไปที่ตลาดบ้านเกิดในกรุงลอนดอน และควบคุมห่วงโซ่อุปทานด้วยคลังสินค้าของตัวเอง Getir จากตุรกี Gorillas จากเยอรมนี และสตาร์ทอัพขนาดเล็กในท้องถิ่นอย่าง Delivery Hero ได้เริ่มสร้างเครือข่าย "ร้านมืด" ในเมืองหลวงและหลายเมืองใหญ่ในยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ท่ามกลางภัยคุกคามจากยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง GoPuff ที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank และ DoorDash ซึ่งมีมูลค่ากิจการ 3.29 หมื่นล้านเหรียญ ที่จ่อเข้าชิงส่วนแบ่งในตลาดยุโรป โดยล่าสุด GoPuff เพิ่งเข้าซื้อกิจการบริษัทสตาร์ทอัพ Dija และ Fancy เพื่อเปิดตัวในสหราชอาณาจักร สเปน และฝรั่งเศส ขณะที่ DoorDash เข้าซื้อกิจการ Wolt ผู้ให้บริการสัญชาติฟินแลนด์ ซึ่งเพิ่งขยายจากการจัดส่งอาหารไปยังการจัดส่งของชำในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

<figure><img class="wp-image-57805" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/01/1960x0.jpg" alt="Joe Falter" width="720" height="479" /><figcaption> Zapp สร้างโกดังเพื่อรองรับคำสั่งซื้อโดยตรงจากซัพพลายเออร์ และเพื่อให้ "ร้านค้ามืด" ในบริเวณใกล้เคียงสามารถเติมสต็อกได้ตลอด 24 ชั่วโมง</figcaption></figure>

แต่นั่นกลับไม่ใช่ข้อกังวลสำหรับ Zapp ซึ่งเพิ่งขยายไปยังอัมสเตอร์ดัมเมื่อ 6 เดือนก่อนเท่านั้น “นี่ไม่ใช่การแย่งชิงดินแดน และเราพิสูจน์มาแล้วก่อนหน้านี้” Falter กล่าว “ถ้าคุณดูการขยายตัวของเราในเนเธอร์แลนด์...เราเป็นผู้เล่นคนที่ 3 หรือ 4 แต่กลับครองตลาดได้อย่างรวดเร็ว”

เนื่องจากปัจจุบัน Zapp สามารถทำกำไรได้ราว 2 ใน 3 ของยอดคำสั่งซื้อ แม้ว่าจะมีการแข่งขันจากคู่แข่งทางการค้าที่เต็มไปด้วยใบปลิวและแคมเปญโซเชียลมีเดียจำนวนมหาศาล ที่ต่างเสนอส่วนลด 13 ถึง 20 เหรียญ (10 ถึง 15 ปอนด์) ให้กับลูกค้าใหม่และลูกค้าที่กลับมาใช้บริการซ้ำ “เราตั้งใจให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเหนือสิ่งจูงใจจำนวนมาก” Falter กล่าว

โดย Zapp มักทำข้อตกลงกับซัพพลายเออร์โดยตรง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงโอกาสในอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น จากขนาดตะกร้าเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 30 เหรียญต่อครั้ง “เรารู้สึกมั่นใจมากในอัตราการเติบโตและเส้นทางไปสู่จุดคุ้มทุน แต่ผมจะรู้สึกประหม่ามากขึ้นถ้าผมเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สร้างธุรกิจจากการใช้คูปองจำนวนมาก”

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Zapp Raises $200 Million To Open New Front In Fast Delivery War เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/justin-kim-เปิดตัวสตาร์ทอัพด้านก.html">Justin Kim เปิดตัวสตาร์ทอัพด้านการดูแลสุขภาพจิต Ami รุกตลาดเอเชีย</a>

Joe Falter นำ Zapp ระดมทุน 200 ล้านเหรียญฯ เปิดแนวรบใหม่ในสงครามเดลิเวอรี่

<h2>คณะกรรมาธิการยุโรปขอความร่วมมือประเทศสมาชิก เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบโครงการ วีซ่าและพาสปอร์ตทองคำ (golden visas and passports) เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษีและการฟอกเงิน</h2>
Vera Jourova กรรมาธิการด้านระบบยุติธรรมของคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยว่า ตลอด 1 ทศวรรษที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (EU) มีการออกสถานะผู้อยู่อาศัยพิเศษที่เรียกว่า "วีซ่าทองคำ" ให้แก่พลเมืองต่างชาติกว่า 1 เเสนคน และมอบสัญชาติกิตติมศักดิ์ ให้แก่ชาวต่างชาติที่มีฐานะร่ำรวย ที่เรียกว่า "หนังสือเดินทางทองคำ" แก่พลเมืองมากกว่า 6 พันคนที่เข้ามาลงทุน โดยสร้างรายได้มากกว่า 2.5 หมื่นล้านยูโร (2.8 หมื่นล้านเหรียญ)

ในหลายประเทศสมาชิก EU นักลงทุนต่างชาติที่ร่ำรวยสามารถเป็นเจ้าของพาสปอร์ตของประเทศเหล่านั้นได้ทันที หากมีการนำเงินมาลงทุนมากพอ เเละบางประเทศอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ร่ำรวยสามารถซื้อหนังสือเดินทางได้ โดยไซปรัส มอลตา และบัลแกเรีย เป็น 3 ประเทศที่สามารถขอวีซ่าทองคำหรือหนังสือเดินทางทองคำได้ "ง่ายที่สุด" ด้วยวงเงินลงทุนขั้นต่ำระหว่าง 8 เเสนยูโรถึง 2 ล้านยูโร
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/commentaries/wealth-management/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4.html">การลงทุนใน “สัญชาติ” และ “ชายหาด” งามๆ ไม่ใช่เรื่องสงวนเฉพาะมหาเศรษฐีอีกต่อไป</a></li>
</ul>
ขณะที่ประเทศสมาชิก EU ส่วนใหญ่ มีการกำหนดเงื่อนไขการลงทุน เช่นการฝากเงินกับสถาบันการเงินในประเทศ ไปจนถึงการถือหุ้นในบริษัทหรือร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษนี้

สเปน ไซปรัส โปรตุเกสและสหราชอาณาจักร เป็นประเทศที่ได้รับการลงทุนสูงสุดในโครงการตอบเเทนด้วยวีซ่าเเละพาสปอร์ตทองคำ โดยสเปนได้รับเงินลงทุนสูงถึง 976 ล้านยูโรต่อปี ส่วนสหราชอาณาจักรอยู่ที่ 498 ล้านยูโรต่อปี

https://twitter.com/EU_Justice/status/1088028663122182144?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1088028663122182144&amp;ref_url=https%3A%2F%2Fwww.dailynews.co.th%2Fforeign%2F689493

EC ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมามีบุคคลบางกลุ่มอาศัยช่องทางนี้เพื่อการทำการผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการฟอกเงินเเละหลีกเลี่ยงภาษี จึงต้องขอความร่วมมือให้ประเทศสมาชิกร่วมกันตรวจสอบพฤติกรรมเเละเส้นทางการเงินของบุคคลในโครงการ เพื่อความโปร่งใสเเละภาพลักษณ์ที่ดีของสหภาพยุโรป โดยจะมีการจัดทำนโยบายเรื่องนี้อย่างจริงจังภายในสิ้นปีนี้ พร้อมการจัดตั้งทีมพิเศษเเละเพิ่มการเเลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันมากขึ้น

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.france24.com/en/20190123-eu-urges-crackdown-golden-visas-passports">AFP : EU urges crackdown on 'golden visas and passports</a></li>
 	<li><a href="https://www.voanews.com/a/eu-calls-for-tougher-checks-on-golden-visa-applicants/4755239.html">VOA : EU Calls for Tougher Checks on Golden Visa Applicants</a></li>
</ul>
ภาพ AFP

EU ขอประเทศสมาชิก คุมเข้มตรวจสอบ "วีซ่าและพาสปอร์ตทองคำ"

<h2>เรื่อง: กฤษฎา สวามิภักดิ์ CEO Forbes Thailand</h2>
<h2>ถ้าคุณมีบุตรที่กำลังศึกษาอยู่ในยุโรป หรือมองหาโอกาสการขยายธุรกิจไปยังประเทศในยูโรโซน ลองพิจารณาการลงทุนทางเลือกกับการถือสัญชาติยุโรป การลงทุนเพียงครั้งเดียว แต่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตลอดชีวิต</h2>
การลงทุนซื้อสัญชาติยุโรปหรือเป็นพลเมืองในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ในวันนี้ การเชื่อมโยงระหว่างประเทศที่ย่อโลกให้มีขนาดเล็กลง ประตูการลงทุนเปิดกว้างสู่ทางเลือกใหม่ การถือสัญชาติยุโรปกลายเป็นการลงทุนที่ได้รับการยอมรับในสิทธิประโยชน์และผลตอบแทนที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ โดยไซปรัสเป็นหนึ่งในประเทศที่เปิดให้นักลงทุนสามารถลงทุนเพื่อแลกกับสัญชาติยุโรป ในฐานะหนึ่งใน 28 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2547

จากการที่ได้เดินทางร่วมกับ ปณิธิ วสุรัตน์ ท่านกงสุลกิตติมศักดิ์ สาธารณรัฐไซปรัส ประจำประเทศไทย และเยี่ยมชมสาธารณรัฐไซปรัส ประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะอันงดงามที่ล้อมรอบด้วยทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  มีโอกาสสัมภาษณ์ H.E. Harris Georgiades รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ Mr. Phedonas Phedonos นายกเทศมนตรีของเมืองตากอากาศ Paphos เกี่ยวกับหลักการลงทุนซื้อสัญชาติในไซปรัส ซึ่งผ่านการทบทวนวาระสุดท้าย โดย Council of Ministers เมื่อเดือนมีนาคม 2557

สำหรับหลักการลงทุนในไซปรัสแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ การขอสิทธิ์พำนักอาศัยถาวรหรือวีซ่าถาวร (permanent residency) และ การลงทุนเพื่อขอสัญชาติเป็นพลเมือง (citizenship by investment) ซึ่งทั้งสองแนวทางจำเป็นต้องเริ่มจากการซื้อที่อยู่อาศัยถาวรในสาธารณรัฐไซปรัสในระดับราคาอย่างต่ำ 300,000 ยูโรสำหรับ PR และ 500,000 ยูโร สำหรับ citizenship แบบไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 5%

Permanent Residency (PR)

การขอสิทธิ์พำนักอาศัยถาวรหรือวีซ่าถาวรในไซปรัสกำหนดเงื่อนไขว่า ผู้ที่สนใจต้องซื้อหรือลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์สำหรับพักอาศัยของไซปรัสจำนวนเงินขั้นต่ำ 300,000 ยูโร (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 5%) และต้องเปิดบัญชีเงินฝากจำนวนอย่างน้อย 30,000 ยูโรกับธนาคารแห่งใดก็ได้ในไซปรัส โดยห้ามถอนเงินฝากภายในระยะเวลา 3 ปี พร้อมแสดงหลักฐานรายได้ประจำขั้นต่ำ 30,000 ยูโรต่อปี และเพิ่มขึ้น 5,000 ยูโรต่อบุตร 1 คน ซึ่งใบอนุญาตดังกล่าวครอบคลุมถึงคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่แต่งงานอายุไม่เกิน 25 ปี โดยเป็นบุตรที่อยู่ในการดูแลด้านการเงินและอยู่ระหว่างการศึกษา ทั้งนี้ อาจมีรายละเอียดอื่นๆ อีกเล็กน้อย แต่สรุปแล้วผู้ยื่นคำขอและคู่สมรสต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีประวัติอาชญากรรม และเน้นการขอวีซ่าถาวรเพื่อการลงทุนมากกว่ามุ่งหางานทำในไซปรัส โดยที่กระบวนการพิจารณาอนุญาตหลังจากสมัครใช้เวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น

ประโยชน์ที่ได้รับ

- ไซปรัสกำลังจะได้เป็นสมาชิกในกลุ่มประเทศ Schengen เร็วๆ นี้ คาดว่าประมาณปี 2559 ในฐานะผู้ถือ PR ของไซปรัสจะสามารถเดินทางได้อย่างอิสระทั่วทั้งยุโรป ซึ่งช่วยปลดล็อกขั้นตอนหรือกระบวนการขอวีซ่าที่ยุ่งยากในแต่ละประเทศ
- ผู้ถือ PR ของไซปรัสได้รับส่วนลดค่าใช้จ่ายทางการศึกษาได้ทุกประเทศในยุโรป เนื่องจากเป็นผู้พำนักอาศัยถาวรในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป

Citizenship by Investment

การขอสัญชาติเป็นพลเมืองชาวไซปรัสนับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและระยะยาวจากสัญชาติที่อยู่ติดตัวตลอดไป โดยเฉพาะการที่ไซปรัสเป็นหนึ่งในสมาชิกของสหภาพยุโรปเต็มตัว ชาวไซปรัสจึงเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์เทียบเท่ากับชาวยุโรปประเทศอื่น

สำหรับเงื่อนไขการสมัครหรือการลงทุน ใช้หลักพิจารณาเดียวกันกับการขอ permanent residency ไม่ว่าจะเป็น การแสดงรายได้ การฝากเงินกับธนาคารในไซปรัสขั้นต่ำ 3 ปี และไม่มีประวัติอาชญากรรม โดยที่ทางเลือกการลงทุนมีหลากหลาย ทั้งกรณีนักลงทุนรายบุคคล (individual scheme) และกลุ่มนักลงทุนรวมกัน 5 ราย (collective scheme)

ในกรณีผู้สมัครเป็นนักลงทุนรายบุคคล สามารถลงทุนขั้นต่ำจำนวนเงิน 5 ล้านยูโร และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สำหรับพักอาศัย เพิ่มอีกจำนวน 500,000 ยูโรเป็นอย่างต่ำ (ไม่รวมภาษี 5%) ส่วนกรณีผู้สมัครรวมกลุ่มนักลงทุน 5 รายสามารถเลือกการลงทุนได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียวจำนวนไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านยูโรต่อราย หรือการลงทุนในสินทรัพย์ของไซปรัส 2.5 ล้านยูโรบวกกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สำหรับพักอาศัยขั้นต่ำจำนวน 500,000 ยูโรต่อราย (ไม่รวมภาษี 5%)

จากทางเลือกวิธีการสมัครทั้งหมดนี้ ตามความเห็นของผม การลงทุนทางเลือก b หรือ c น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากที่สุด ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่นิยมใช้การลงทุนทั้งสองทางเลือกในการขอสัญชาติใหม่เช่นกัน

ประโยชน์ที่ได้รับจาก Citizenship by Investment

- สิทธิ์ในการทำงาน พำนักอาศัย การลงทุน และซื้ออสังหาริมทรัพย์ใน 28 ประเทศสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรป
- สิทธิ์ในการเดินทาง 28 ประเทศสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรปโดยไม่ต้องขอวีซ่า
- สวัสดิการจากรัฐบาลในทุกประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
- สิทธิประโยชน์ตามกฎหมายเช่นเดียวกับชาวไซปรัสโดยกำเนิด

<figure><img class="wp-image-9389 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/76.1.jpg" alt="" width="712" height="480" /><figcaption> H.E. Harris Georgiades (กลาง), ปณิธิ วสุรัตน์ (ขวา), กฤษฎา สวามิภักดิ์ (ซ้าย)</figcaption></figure>

Forbes Fact ไซปรัส

ขนาดพื้นที่: 9,251 ตารางกิโลเมตร
ประชากร: ประมาณ 850,000 คน
ภาษา: อังกฤษ และกรีก
ศาสนา: กรีกออโธดอกซ์ (Greek Orthodox)
การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (ณ ธันวาคม 2558): S&amp;P B+. Moody’s B3. Fitch B-
Nominal GDP Per Capita: 25,700 ยูโร หรือประมาณ 26,109 เหรียญสหรัฐฯ
GDP Per Capita (PPP): 28,270 ยูโร หรือประมาณ 30,882 เหรียญสหรัฐฯ
ค่าเงิน: ยูโร (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551)
ภาษี: ภาษีเงินได้นิติบุคคล 12.5% พร้อมอนุสัญญาภาษีซ้อน (double taxation) กับประเทศไทยตั้งแต่ปี 2544
การเดินทาง: สายการบิน Emirates ไปยังสนามบิน Larnaca International ผ่านดูไบ ใช้เวลาเดินทางรวมระยะเวลาต่อเครื่องประมาณ 15 ชั่วโมง

&nbsp;

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงคำแนะนำหรือแนวทางการขอ permanent residency และการขอสัญชาติเป็นชาวไซปรัสในเบื้องต้น หากสนใจ สามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ทางการของกระทรวงมหาดไทย สาธารณรัฐไซปรัส www.moi.gov.cy หรือติดต่อขอข้อมูลจากสถานกงสุลไซปรัสประจำประเทศไทยได้ที่

ทางเลือกใหม่แห่งการลงทุน “ซื้อ” สัญชาติยุโรป

<div>
<h2 class="ace-copy-paste-skip-this-tag">30 Under 30 Europe List ของนิตยสาร FORBES ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 โดยมี 300 คนรุ่นใหม่ผู้สร้างปรากฏการณ์อันมีส่วนช่วยกำหนดทิศทางแห่งอนาคตเข้ามาติดในทำเนียบ </h2>
</div>
ผู้ประกอบการและนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่วัยไม่เกิน 30 ปีที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้มีพื้นเพมาจากประเทศต่างๆ มากเป็นประวัติการณ์ถึง 34 ประเทศ และในแต่ละหมวดอุตสาหกรรมนั้น เราได้คัดเลือก 10 คนที่น่าสนใจมานำเสนอดังนี้

&nbsp;

ศิลปะและวัฒนธรรม
NEGIN MIRSALEHI
29 ปี, เนเธอร์แลนด์
ผู้ร่วมก่อตั้ง GISOU

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d794a674995b33f9624fece0166db1ec.jpg" alt="" />

เมื่อ 2 ปีก่อน Mirsalehi ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลในสื่อโซเชียลมีเดียได้ปฏิเสธข้อเสนอจำนวน 800,000 เหรียญสำหรับการตกลงเป็น Brand Ambassador ให้กับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมยี่ห้อดัง เนื่องจากเธอมีแผนที่จะตั้งบริษัทของตัวเองในเวลานั้น

ผ่านมาถึงตอนนี้เธอสามารถทำมันสำเร็จแล้ว เธอมีบริษัทของตัวเองที่ชื่อว่า Gisou เพื่อประกอบธุรกิจผลิตสินค้าดูแลเส้นผม อย่างเช่น น้ำมันใส่ผมที่ผสมสารสกัดจากน้ำผึ้ง ซึ่งเธอได้รับแรงบันดาลใจจากครอบครัวของเธอเองซึ่งประกอบอาชีพเลี้ยงผึ้งกันมานานหลายชั่วอายุคน

&nbsp;

อุตสาหกรรม
ERIK GATENHOLM
28 ปี, สวีเดน
ผู้ร่วมก่อตั้ง CELLINK

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c0ea5fd56b3d7937e791fe5f466ffa06.jpg" alt="" />

บริษัทของ Gatenholm ผลิตหมึกและเครื่องพิมพ์ที่ก้าวหน้าไปถึงขั้นพิมพ์รูปภาพ 3 มิติสำหรับอวัยวะมนุษย์เพื่อใช้ในการวิจัยทางการแพทย์ บริษัทมูลค่า 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ของเขาสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq หลังเปิดดำเนินธุรกิจได้เพียงแค่ 10 เดือน

&nbsp;

ธุรกิจค้าปลีกและอี-คอมเมิร์ซ
SUSIE MA
29 ปี, สหราชอาณาจักร
ผู้ก่อตั้ง TROPIC SKINCARE

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a6e8088249ad5521049124cca1ae673f.jpg" alt="" />

เมื่ออายุได้ 15 ปีเศษ Ma ซึ่งเป็นชาวเซี่ยงไฮ้โดยกำเนิด ได้เริ่มทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบบโฮมเมด อย่างเช่น มอยส์เจอไรเซอร์และมาสก์ เพื่อที่จะช่วยแม่ของเธอหาเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ธุรกิจดังกล่าวช่วยให้เธอมีเงินจ่ายค่าเทอมจนเรียนจบมหาวิทยาลัยและส่งเธอให้แจ้งเกิดในฐานะผู้เข้าแข่งขันที่มีอายุน้อยที่สุดในรายการ The Apprentice ฉบับ BBC 

โดยผลิตภัณฑ์ความงามยี่ห้อ Tropic Skincare ของเธอซึ่งผลิตจากพืชธรรมชาติที่ปลอดสารเคมีและไม่มีการทำร้ายสัตว์ในทุกขั้นตอนการผลิต ได้สร้างรายได้ให้กับเธอในปีที่ผ่านมาสูงถึง 27 ล้านเหรียญ

&nbsp;

วิทยาศาสตร์และการดูแลสุขภาพ
ANAÏS BARUT
25 ปี, ฝรั่งเศส
ผู้ร่วมก่อตั้ง DAMAE MEDICAL

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/90a46f5d21cd4277e090e683900cbfec.jpg" alt="" />

บริษัท Damae Medical ได้พัฒนาเครื่องมือแพทย์ชนิดที่ไม่ล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกาย (Noninvasive Device) เพื่อทดแทนการรักษาแบบเดิมที่ต้องมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจพิสูจน์ โดยเครื่องมือแพทย์ดังกล่าวสามารถวินิจฉัยสภาพผิวในวงกว้างรวมถึงโรคที่พบบ่อยที่สุดอย่างมะเร็งผิวหนัง

&nbsp;

กฎหมายและนโยบาย
VYACHESLAV POLONSKI
28 ปี, เยอรมนี
ผู้ร่วมก่อตั้ง AVANTGARDE ANALYTICS

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0974fd056a6bad70436b0033ac726ed1.jpg" alt="" />

Polonski เกิดที่ประเทศยูเครนแต่ไปเติบโตที่เยอรมนี หลังจากจบการศึกษาจาก Oxford เขาได้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านการเมือง ซึ่งเป็นการต่อยอดโครงการวิจัยสมัยเรียนปริญญาเอกของเขา โดยเขาได้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียทำนายผลการลงประชามติของสหราชอาณาจักรว่าจะอยู่หรือออกจากสถานภาพการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (UK Brexit) หนึ่งเดือนก่อนเหตุการณ์จริง

&nbsp;

การเงิน
VICTORIA VAN LENNEP
28 ปี, เบลเยียม
ผู้ร่วมก่อตั้ง LENDABLE

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/411ce4425b4d64f1ef2c41def2648cd4.jpg" alt="" />

Van Lennep และ Martin Kissinger ช่วยกันก่อตั้งบริษัท Lendable ซึ่งให้บริการสินเชื่อผ่านระบบออนไลน์ โดยระบบจะประมวลผลและอนุมัติการให้สินเชื่ออัตโนมัติพร้อมโอนเงินเข้าบัญชีผู้ขอสินเชื่อภายใน 1 ชั่วโมง นับจนถึงปัจจุบันบริษัทได้ให้สินเชื่อแก่ลูกค้าไปแล้วกว่า 30,000 ราย คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 160 ล้านเหรียญในช่วงเวลา 3 ปี

&nbsp;

สื่อโฆษณาและการตลาด
JAMIE BOLDING
27 ปี, สหราชอาณาจักร
ผู้ก่อตั้ง JUNGLE CREATIONS

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0bfa2919239c0b235e33e41a9e162e5c.jpg" alt="" />

Disney และ Apple เป็นหนึ่งในลูกค้าที่ว่าจ้าง Jungle Creations ผลิตสื่อโฆษณาในรูปแบบ viral video ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้ในปีที่ผ่านมาสูงถึง 14.3 ล้านเหรียญ โดยผลงานของบริษัทมีจำนวนผู้คลิกเข้าชมมากกว่า 5 พันล้านวิวต่อเดือน บริษัทคาดว่าในปี 2018 รายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าจากปีที่ผ่านมาหรือประมาณ 38.5 ล้านเหรียญ

&nbsp;

เทคโนโลยี
OLIVER DLOUHY
30 ปี, สาธารณรัฐเช็ก
ผู้ก่อตั้ง KIWI.COM

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/21dcdabc77199510a89dc68b66e8cc85.jpg" alt="" />

แม้จะเรียนไม่จบชั้นมัธยมศึกษา แต่ Oliver ได้สร้างเว็บไซต์จองเที่ยวบินที่นำเสนอค่าโดยสารราคาถูกที่สุดโดยใช้ชุดคำสั่งอัลกอริทึมที่เขาพัฒนาขึ้นมาเองทำการรวบรวมข้อมูลเที่ยวบินจากสายการบินต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นพันธมิตรกัน โดย <a class="attrlink" href="http://kiwi.com" target="_blank" rel="noreferrer nofollow noopener" data-target-href="http://kiwi.com">kiwi.com</a> เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในปี 2017 และทำรายได้ประมาณ 700 ล้านเหรียญ คิดเป็นอัตราการเติบโตแบบเท่าตัว

&nbsp;

ผู้ประกอบการเพื่อสังคม
GERT VAN VUGT
29 ปี, เนเธอร์แลนด์
ผู้ร่วมก่อตั้ง SUSTAINER HOMES

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/84e6b701cc447d98ec41d8b07a65727e.jpg" alt="" />

อุตสาหกรรมก่อสร้างบ้านมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณสูงถึง 1 ใน 3 ของโลก นี่เป็นเหตุผลให้ Sustainer Homes พัฒนาบ้านระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป (Prefab Dwelling) ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เหลือเพียง 10% ของกระบวนการสร้างบ้านแบบเดิม โดยบริษัทได้ออกแบบและก่อสร้างบ้านไปแล้วเกือบ 200 หลัง ปีนี้ Van Vugt มีแผนจะสร้างชุมชนที่อยู่อาศัยแบบยั่งยืนอีกประมาณ 3 แห่งในเนเธอร์แลนด์

&nbsp;

ธุรกิจบันเทิง
RITA ORA
27 ปี, สหราชอาณาจักร/คอซอวอ
นักดนตรี

<img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ebedd81cf613aada0e3399866732139d.jpg" alt="" />

Ora เริ่มต้นอาชีพนักดนตรีจากการร้องเพลงในผับของพ่อเธอ และมักจะไปเดินเตร่แถวบริษัท Universal Music Group เพื่อแจกแผ่นบันทึกเสียงให้คนที่ออกมาจากตึกดังกล่าว

10 ปีต่อมา หนึ่งในคนที่รับแผ่นบันทึกเสียงของเธอได้มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับอัลบัมชุดที่ 2 ของ Ora ด้วยความมานะบากบั่นเธอจึงมาถึงจุดที่ได้เป็นนักร้องหญิงท็อปชาร์ต และได้ร่วมทำโปรเจ็กต์ต่างๆ กับแบรนด์ดังอย่าง Adidas, Absolut Vodka และ Rimmel London <a href="http://forbesthailand.com/leaderboard-detail.php?did=2530">(อ่านเรื่องราวของ Rita Ora ต่อที่นี่)</a>

&nbsp;

<hr />

<a href="http://bit.ly/2HPnhUb">คลิกอ่านบทความแรงบันดาลใจทางธุรกิจอื่นๆ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ พฤษภาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="http://bit.ly/2HPnhUb"><img style="width: 250px; height: 330px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/87de2e2b1221a10d782d1d0ead56fc1f.png" alt="" /></a>

30 under 30 สิบสุดยอดหนุ่มสาวไฟแรงจากทวีปยุโรป ปี 2018

<h2>ปี 2017 การขยายตัวของ GDP โลกโดยรวมจะยังคงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 3.0%  ด้านการผ่อนคลายนโยบายการเงินจะยังคงมีอยู่ แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะจำกัดมากขึ้น หลังจากอัตราเงินเฟ้อในปี 2017 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ดังนั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจจะถูกทดแทนด้วยการใช้นโยบายด้านการคลัง</h2>
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นปี 2017 เรามองว่าตลาดหุ้น สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และ อินเดีย เป็นกลุ่มประเทศที่เราจะให้น้ำหนักการจัดพอร์ตลงทุนมากกว่าที่อื่นๆ (Core Portfolio) จากโอกาสในการใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านตลาดหุ้นยุโรปจะมีความเสี่ยงการเมืองสูงขึ้น ดังนั้นแนะนำเข้าลงทุนเมื่อดัชนีปรับลง และ Valuation ถูกเท่านั้น ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนแม้ Valuation จะยังต่ำ แต่ นักลงทุนยังคงกังวลต่อการอ่อนค่าของค่าเงินหยวน สำหรับตลาดหุ้นไทยเรายังชอบหุ้นขนาดกลาง-เล็ก มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากจะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

ด้านตลาดหุ้นโดยรวมหลังเปิดปี 2017 ในช่วง 2 สัปดาห์แรก (วันเขียนบทความ 11 ม.ค. 2017) จะเห็นได้ว่าการปรับขึ้นเพิ่มของตลาดหุ้นเริ่มจำกัด  หลังจากช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2016 ตลาดหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนความหวังนโยบายนาย Donald Trump ซึ่งเราประเมินว่ามีโอกาสที่จะเกิดแรงขายทำกำไรได้ในระยะสั้น แต่ภาพรวมตลาดหุ้นจะยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับตราสารหนี้ที่อยู่ในช่วงของวัฏจักรการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ

&nbsp;

กราฟผลตอบแทนตลาดการเงินในปี 2016

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8310248150c4d6cd2e27e55d4fc0a448.png" alt="" />

(Source: Bloomberg)

<img style="width: 680px; height: 423px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/dfba9b0b6df7922d6cf866fe6287278f.png" alt="" />
สหรัฐฯ

ธีม: ความหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ Trumpnomic

เศรษฐกิจ:
- การลงทุนจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจสหรัฐฯ  คาด GDP จะขยายตัว 2.3% และประเมินว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง Q2/17 และ Q3/17 แม้ล่าสุด Dot Plot ของ Fed จะมีมุมมองขึ้น 3 ครั้งแต่เราเชื่อว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนาย Trump กว่าจะมีผลในช่วง 2H/17 ไปแล้ว
- นโยบายของนาย Trump  ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้น แต่ยังคงต้องติดตามแผนนโยบายการคลังจะปฏิบัติได้ตามหาเสียงหรือไม่ โดยนโยบายการขึ้นภาษีการค้าเป็นลบต่อเศรษฐกิจโลก

มูลค่า:
ปัจจุบันเทรดเหนือค่าเฉลี่ย P/E ย้อนหลัง 10 ปี

คำแนะนำ:
แนะนำลงทุนเป็นสัดส่วนหลักใน portfolio (core portfolio)

<img style="width: 640px; height: 390px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/083eed9894fd94594a1a178a8df13e8e.png" alt="" />
ที่มาภาพ: www.mfa.go.th
ยุโรป

ธีม: หลายประเทศในยุโรปจะมีการเลือกตั้ง อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้น

เศรษฐกิจ:
- ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น หลังจากธนาคารกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง แต่ปี 2017 ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะสูงขึ้น เนื่องจากมีการเลือกตั้งใน ฝรั่งเศส, เยอรมัน และเนเธอร์แลนด์
- นโยบายด้านการเงินยังผ่อนคลาย แต่จะจำกัดมากขึ้นหลังจากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัว

มูลค่า:
ตลาดคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 12-13% แต่ Valuation ในปัจจุบันค่อนข้างสูง

คำแนะนำ:
กลยุทธ์ รอเข้าลงทุนได้ในช่วงที่ Valuation ถูกเท่านั้น

<img style="width: 680px; height: 452px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e869a196072254b360353547250680e2.png" alt="" />
จีน

ธีม: จับตานโยบายรัฐบาลจีน และสหรัฐฯ

เศรษฐกิจ:

- รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการเงินและการคลัง แต่จะเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น
- เศรษฐกิจขยายตัว 6.5% ภาคส่งออกกลับมาขยายตัวดีขึ้น แต่มีความเสี่ยงนโยบายกีดกันการค้า
- ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ 1) การอ่อนค่าของเงินหยวน 2) นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ 3) การเปลี่ยนถ่ายอำนาจของผู้นำจีนในเดือน พ.ย. 2017

มูลค่า:
ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 10 ปี เทรดที่ P/E 8.1x ปัจจัยบวกสนับสนุน คือ การประกาศเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นจีนในดัชนี MSCI ซึ่งคาดจะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. 2017

คำแนะนำ:
ตลาดหุ้นจีนยังคงซื้อต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/E แต่มีความเสี่ยงเงินทุนไหลออก แนะนำทยอยซื้อสะสมที่ดัชนี HSCEI ในช่วงราคาปรับตัวลดลง

<img style="width: 680px; height: 414px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a4cf85afab1417b82c20c72342e3ee60.png" alt="" />
ที่มาภาพ: www.mcot.net

ญี่ปุ่น

ธีม: เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังมากกว่านโยบายการเงิน

เศรษฐกิจ:
- การบริโภคภายในประเทศเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังค่าจ้าง และ กำไรบริษัทต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นขยายตัวในปี 2017
- รัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรี Shinzo Abe ครองเสียงข้างมาก ดังนั้นมีโอกาสที่จะเพิ่มเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลัง

มูลค่า:
ซื้อขายที่ P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีเล็กน้อย คาดว่ากำไรจะเติบโตได้ 9% ปัจจัยหนุนสำคัญคือ การอ่อนค่าของเยน และ Fund Flow จากการซื้อหุ้นคืน, BoJ เข้าซื้อ ETF ปีละ 6 ล้านล้านเยน, รวมถึงเม็ดเงินจากกองทุน GPIF และ Pension Fund รวมถึง นลท.ต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อลงทุน

คำแนะนำ:
แนะนำลงทุนเป็นสัดส่วนหลักใน Portfolio (Core Portfolio)

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e988ab078eff3f528378df6a9420192f.png" alt="" />
ที่มาภาพ: www.mfa.go.th
อินเดีย

ธีม: การยกเลิกธนบัตรมีผลระยะสั้น เป็นจังหวะในการเข้าลงทุน

เศรษฐกิจ:
GDP จะยังขยายตัวได้เกิน 7% แม้ว่าในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้าการบริโภคจะชะลอลงบ้างจากผลของการยกเลิกธนบัตร แต่จะมีการใช้จ่ายภาครัฐผ่านโครงสร้างพื้นฐานช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมไปถึงการช่วยเหลือเกษตรกร

มูลค่า:
คาดกำไรจะเติบโต 12-15% ส่วน Valuation ปัจจุบันเทรดที่ค่าเฉลี่ย 10 ปี

คำแนะนำ:
แนะนำลงทุนเป็นสัดส่วนหลักใน Portfolio (Core Portfolio)

<img style="width: 680px; height: 452px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/103f70e965484576f25217e93658f280.png" alt="" />
ไทย

ธีม: การลงทุนภาครัฐ และการเลือกตั้งเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลาง-เล็ก

เศรษฐกิจ:
- ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการลงทุนภาครัฐ และ การบริโภคในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น
- แต่มีปัจจัยเสี่ยง คือ เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าและปัจจัยการเมืองโดยเฉพาะ กำหนดการเลือกตั้งที่คาดจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2017

มูลค่า:
ปัจจุบันเทรดที่ P/E 15.7x สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี +1 SD และ คาดกำไรจะเติบโต 10%

คำแนะนำ:
ครึ่งปีแรกยังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก เนื่องจากหุ้นขนาดใหญ่ยังมีความเสี่ยงจาก Flow ของ นักลงทุนต่างชาติที่ยังเน้นลดพอร์ตลงทุนตลาดเกิดใหม่

2017 ปีแห่งนโยบายการคลัง

<h2>นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 เศรษฐกิจยุโรปก็ประสบปัญหารุมเร้าต่อเนื่อง ทั้งจากปัญหาหนี้ภาครัฐของกลุ่มประเทศ PIIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน) และปัญหาการเมืองที่มีรากฐานมาจากความไม่พอใจของประชาชนที่สั่งสมมานานจากเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องหลายปี ประกอบกับความไม่แน่นอนจากการเจรจา Brexit รวมถึงปัญหาภาคธนาคารมีหนี้เสียในระดับสูง เป็นอุปสรรคต่อการปล่อยกู้และกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ</h2>
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง อัตราการว่างงานที่พุ่งสูงเกิน 20% ในหลายประเทศ ประกอบกับมาตรการรัดเข็มขัดของภาครัฐ ที่นำไปสู่การลดสวัสดิการสังคม เช่น การยืดอายุเกษียณและการลดเงินอุดหนุนให้ผู้เกษียณอายุ รวมไปถึงการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ซึ่งมุ่งลดสิทธิของลูกจ้างเพื่อให้การตลาดแรงงานมีความยืนหยุ่นมากขึ้น ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านพรรคการเมืองกระแสหลักที่ประชาชนเห็นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา และหันไปให้การสนับสนุนพรรคการเมืองเกิดใหม่ ซึ่งมีนโยบายต่อต้านการรัดเข็มขัด

นอกจากคะแนนความนิยมของพรรคซึ่งมีนโยบายต่อต้านการรัดเข็มขัดที่เพิ่มขึ้นแล้ว ความไม่พอใจของประชาชนยังสะท้อนผ่านการออกเสียงประชามติ Brexit ในเดือนมิถุนายน และการออกเสียงประชามติคว่ำการปฏิรูปการเมืองในอิตาลีในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว รวมถึงความพยายามประกาศเอกราชของท้องถิ่น เพื่อแยกตัวออกจากประเทศที่มีเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น ในกรณีแนวร่วม Junts Pel Si ที่เรียกร้องการแยกตัวของแคว้น Catalan ออกจากสเปน เป็นต้น

<figure><img style="width: 680px; height: 408px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/330297bede0981f948ed210d7d90ff1b.png" alt="" width="680" height="408" /><figcaption> การเรียกร้องเพื่อแยกประเทศของแคว้น Catalan ในประเทศสเปน (Photo Credit: occupy.com)</figcaption></figure>

ยิ่งไปกว่านั้นการก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ Donald Trump ซึ่งชูนโยบายกีดกันทางการค้า และการต่อต้านการรับผู้อพยพเข้าประเทศ อาจเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้กระแสพรรคประชานิยม (populist parties) ในยุโรปเพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดยในปี 2560 มีการเลือกตั้งที่สำคัญหลายประเทศในยุโรป ได้แก่

การเลือกตั้งในประเทศเนเธอร์แลนด์ วันที่ 15 มีนาคม 2560 ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่าพรรคฝ่ายขวา PVV ต้องการจัดทำประชามติเพื่อให้เนเธอร์แลนด์ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 23% ขณะที่พรรครัฐบาลปัจจุบัน (VVD) ความนิยมลดลงเป็น 16% โอกาสที่จะได้พรรคต่อต้านสหภาพยุโรปขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจึงค่อนข้างสูง

สำหรับฝรั่งเศสจะจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2 รอบ ในวันที่ 23 เมษายนและ 7 พฤษภาคม โดยในรอบแรกจะเป็นการคัดเลือกเอาผู้สมัครที่มีคะแนนมากที่สุด 2 ลำดับแรกไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งรอบที่ 2 ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า Francois Fillon จากพรรค The Republicans และ Marine Le Pen จากพรรค National Front ซึ่งเคยกล่าวว่าจะจัดทำประชามติเพื่อให้ฝรั่งเศสออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เป็นสองรายที่มีคะแนนนำที่ 65% และ 35% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม คะแนนความนิยม Fillon มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ Le Pen มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่ Le Pen จะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีและจัดทำประชามติเพื่อออกจาก EU ยังคงมีอยู่

<figure><img style="width: 680px; height: 441px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d90752512bac9e25278972fd87b14a76.png" alt="" width="680" height="441" /><figcaption> Marine Le Pen ผู้นำพรรค National Front (FN) พรรคฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศส</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>ความเสี่ยงจากการเจรจา Brexit</h2>
นอกจากความไม่แน่นอนทางการเมือง จากการเลือกตั้งในหลายประเทศแล้ว ความเสี่ยงจากการเจรจา Brexit ที่จะเริ่มต้นขึ้นในปีนี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่นและการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป

โดย Theresa May นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวในการแถลงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวในการเจรจา Brexit เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา โดยย้ำถึงความสำคัญในการควบคุมจำนวนผู้อพยพ การยกเลิกการยอมรับขอบเขตของอำนาจศาลและกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภายุโรป และการลดการจ่ายเงินอุดหนุนให้สหภาพยุโรป

ด้านการค้า Theresa May ย้ำว่า อังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกตลาดเดียว (single market) ซึ่งต้องยอมรับกฎการเคลื่อนย้ายเสรี 4 ประการ (4 freedom) ได้แก่ สินค้า บริการ ทุน และแรงงาน เนื่องจากอังกฤษต้องการจำกัดจำนวนผู้อพยพ นอกจากนี้อังกฤษจะไม่เป็นสมาชิกสหภาพศุลกากร (Custom Union) ซึ่งกำหนดให้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากนอกกลุ่มในอัตราเดียวกันทั้งหมด เนื่องจากอังกฤษต้องการอิสระในการเจรจาข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่นๆ

<figure><img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5c74f2d5a81f204c87fff09b11990c3d.png" alt="" width="340" height="340" /><figcaption> Theresa May นายกรัฐมนตรีอังกฤษ</figcaption></figure>

จากแนวทางดังกล่าว อังกฤษอาจจะต้องเริ่มเจรจาการค้ากับ EU ใหม่ทั้งหมด อังกฤษจะมีเวลาในการเจรจาเพียง 2 ปีตามข้อกำหนดในมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้การเจรจายังน่าจะคืบหน้าได้ช้าในปีนี้ เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งในหลายประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น Theresa May ยังแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว โดยกล่าวว่าอังกฤษพร้อมที่จะหันหลังให้กับการเจรจา (“No deal is better than bad deal”) หากผู้นำสหภาพยุโรปต้องการลงโทษอังกฤษผ่านการกีดกันทางการค้าเพื่อเป็นการปรามประเทศอื่น

ที่อาจต้องการออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการเจรจาการค้าและทำให้การค้าระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปถูกกระทบอย่างรุนแรง

&nbsp;
<h2>ปัญหาในภาคธนาคาร</h2>
อีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป ได้แก่ ปัญหาในภาคธนาคารที่มีหนี้เสียอยู่ในระดับสูง และผลกำไรที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตช้า และการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบของธนาคารกลางยุโรปซึ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (net interest margin: NIM) ของธนาคารหดแคบลง

ผลทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของธนาคารกลางยุโรป เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ชี้ว่าธนาคารที่มีฐานะทางการเงินแย่สุดในยุโรป ได้แก่ ธนาคาร Monte dei Paschi (BMPS) ของอิตาลี ซึ่งตามสมมติฐานในการทดสอบธนาคารจะมีสัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ลดลงติดลบ -2.4% ในภาวะวิกฤต ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 4.5%

<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2b2a0c891e1dd81b080f2a30bcdbe674.png" alt="" />

ธนาคารกลางยุโรปกำหนดให้ BMPS จัดการเพิ่มทุนให้เสร็จภายในสิ้นปี 2016 โดย BMPS เสนอแผนการเพิ่มทุนจำนวน 5 พันล้านยูโร โดยการขายหุ้นให้กับ Sovereign Wealth Fund ของประเทศกาตาร์ แต่แผนการเพิ่มทุนดังกล่าวล้มเหลวหลังกองทุนจากกาตาร์ประกาศถอนตัว ซึ่งทำให้รัฐบาลอิตาลีต้องขออนุมัติเงินช่วยเหลือภาคธนาคารจำนวน 2 หมื่นล้านยูโร สำหรับการเพิ่มทุนให้ BMPS รวมถึงธนาคารอื่นๆ อีกหลายแห่งที่มีปัญหา วิกฤตธนาคารอิตาลีในครั้งนี้น่าจะส่งผลกระทบในวงจำกัด เนื่องจากธนาคารที่มีปัญหาเป็นธนาคารขนาดไม่ใหญ่ และวงเงินที่ใช้ในการเพิ่มทุน (2 หมื่นล้านยูโร) นั้นคิดเป็นเพียง 1% ของ GDP อิตาลี และน้อยมากหากเทียบกับ GDP โดยรวมของยุโรป

ปัญหาของธนาคารในอิตาลี แม้จะมีโอกาสน้อยที่จะลุกลามจนนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ แต่ก็สะท้อนถึงพื้นฐานเศรษฐกิจและภาคธนาคารในยุโรปที่ยังมีฐานะทางการเงินอ่อนแอ และยังมีความเสี่ยงที่อาจต้องเพิ่มทุนหากเศรษฐกิจยังเติบโตในระดับต่ำ นอกจากนั้น การเข้าช่วยเหลือภาคธนาคารจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับรัฐบาลอิตาลี ซึ่งมีหนี้อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว (130% ของ GDP) และอาจเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่วิกฤตหนี้ภาครัฐฯ

<img style="width: 680px; height: 584px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f1e4707fa44214f64445397a903e9bd1.png" alt="" />

โดยความเสี่ยงวิกฤตหนี้ภาครัฐในยุโรป อาจเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ เมื่อมาตรการ QE ของ ECB ใกล้หมดอายุลงในเดือนธันวาคม 2560 ซึ่งหากธนาคารกลางยุโรปไม่มีการต่ออายุมาตรการ QE หรือมีการลดปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ ก็อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในยุโรปเพิ่มขึ้น และทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของหนี้ภาครัฐเพิ่มสูงขึ้นตาม

&nbsp;

<img style="width: 250px; height: 249px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ce3b69c2bd17658e4c3e3976de81ab5.png" alt="" />
คมศร ประกอบผล
หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน
TISCO Economic Strategy Unit (ESU)

เศรษฐกิจยุโรปกับปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน

<h2>การใช้จักรยานไฟฟ้าเป็นที่นิยมและแพร่หลายในจีนและยุโรป และขณะนี้กำลังปั่นสู่เส้นทางตลาดในสหรัฐฯ ด้วยความมั่นใจของวิศกรจากสถาบัน MIT คนหนึ่งที่เชื่อว่า ดีไซน์แบบย้อนยุคน่าจะทำให้จักรยานไฟฟ้าเอาชนะใจชาวเมืองได้</h2>
เรื่อง: SHELBY CARPENTER และ SUSAN ADAMS เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชม

อากาศในซานฟรานซิสโกวันนี้ค่อนข้างร้อนด้วยอุณหภูมิสูงถึง 75 องศาฟาเรนไฮต์ แต่ Adam Vollmerกลับไม่มีเหงื่อแม้แต่น้อย เพราะพาหนะที่พาเขามุ่งหน้าสู่ Mission Dolores Park นั้นมั่นคงและเสถียร แทบไม่ต้องทำให้เขาออกแรงใดๆ

“ผมเคยเกลียดการขี่จักรยานไปทำงานเอามากๆ เลยครับ” Vollmer กล่าวขณะเท้าถีบจักรยานไปพลาง “ใกล้ๆ บ้านผมมีเนินอยู่ลูกหนึ่งซึ่งชันอย่างกับปีนกำแพง แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องปั่นวิบากขนาดนั้นแล้ว” นั่นเพราะตอนนี้ Vollmer วิศวกรเครื่องกลวัย 36 ปีที่มีรูปร่างปราดเปรียวเหมือนพวกนักวิ่ง สามารถอาศัยแรงส่งจากมอเตอร์ที่ซ่อนอยู่ในจักรยานได้แล้วนั่นเอง

Vollmer เป็นผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Faraday บริษัทจักรยานไฟฟ้าที่ดำเนินธุรกิจมาได้ 4 ปีแล้ว เขาเชื่อว่า Faraday น่าจะสามารถเข้ามาชิงเค้กส่วนแบ่งทางกำไรจากตลาดจักรยานไฟฟ้าที่เพิ่งแจ้งเกิดในสหรัฐฯ ได้ สำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของจักรยานราคาตกคันละ 2,500 เหรียญสหรัฐฯ นี้ก็น่าจะเป็นคนสไตล์เขานี่แหละผู้ที่ต้องการเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แต่สภาพแวดล้อมในเมืองที่แออัดทำให้การขับรถและจอดรถคือฝันร้ายชัดๆ หลายคนที่ต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ ชอบรถจักรยานไฟฟ้ามากกว่ารถจักรยานทั่วไปเพราะสามารถติดสปีดไปทำงานได้ที่ความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมงโดยที่ไม่ต้องปั่นให้เหนื่อยเหงื่อแตก

จักรยานของ Faraday สามารถเลือกขี่ได้สองแบบคือ หากไม่กดเปิดปุ่มสีน้ำเงินที่อยู่ด้านหลังของแผงควบคุมซึ่งมีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเท่ากับกระเป๋าสตางค์ขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ใต้อานจักรยานแล้วล่ะก็ เจ้า Faraday ก็จะทำงานเหมือนจักรยานทั่วไป แต่เมื่อเปิดมอเตอร์ ซึ่งติดอยู่บริเวณตรงดุมล้อหน้าจักรยานแล้วนั้น ไฟหน้าและไฟท้ายจะสว่างขึ้นมา โดยการเปิดสวิตช์หัวแม่มือด้านซ้ายของแฮนด์จักรยานเป็นการเลือกความแรงระดับกลางหรือระดับสูง เมื่อเริ่มออกแรงปั่น เซ็นเซอร์ในข้อเหวี่ยงจะกระตุ้นให้มอเตอร์ทำงาน ยิ่งออกแรงปั่นก็จะยิ่งทำให้มีแรงส่งจากมอเตอร์มากขึ้น ทำให้การปั่นขึ้นเนินใน San Francisco รู้สึกเหมือนกับปั่นบนพื้นราบ

แม้ว่าจะเป็นตลาดเล็กๆ แต่ตลาดจักรยานไฟฟ้ากำลังขยายตัว และ Faraday ต้องเผชิญกับคู่แข่งหลายรายด้วยกัน Edward Benjamin ประธานสมาคม Light Electric Vehicle Association ซึ่งเป็นสมาคมนักค้าจักรยานไฟฟ้าได้รวบรวมข้อมูลและพบว่า ในปีที่ผ่านมา ยอดขายจักรยานไฟฟ้าทั่วสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 400 ล้านเหรียญ พุ่งขึ้นจากปี 2012 ซึ่งอยู่ที่เพียง 100 ล้านเหรียญเท่านั้น

ทั้งนี้จักรยานไฟฟ้าถึง 150 แบรนด์เลยทีเดียวในตลาดจักรยานไฟฟ้าสหรัฐฯ บริษัทผู้ผลิตจักรยานไฟฟ้า 2 รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ คือ Pedego ตั้งอยู่ที่ Fountain Valley ใน California กับ ProdecoTech ที่ Oakland Park ใน Florida โดยทั้ง 2 แห่งต่างดำเนินกิจการมาได้ 8 ปีแล้ว

จักรยานไฟฟ้าของ Faraday มีการออกแบบที่สวยงามแตกต่างไปจากจักรยานไฟฟ้าของเจ้าอื่นๆ จักรยานเจ้าคู่แข่งอื่นๆ มักจะเทอะทะและเน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่า แต่จักรยานของ Faraday มี 2 แบบด้วยกัน คือ Porteur กับ Cortland ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับจักรยานรุ่น touring ของอังกฤษในยุค 1960 ยอดขายของ Vollmer เติบโตจาก 1 ล้านเหรียญในปี 2014 ซึ่งเป็นปีแรกที่ Faraday มีการส่งจักรยานออกขาย ขึ้นมาแตะ 2 ล้านเหรียญในปีที่แล้ว ส่วนในปีนี้ เขาคาดว่าจะมีรายได้ 4 ล้านเหรียญ และเริ่มทำกำไรได้ในปี 2017

Faraday เหมือนกับแบรนด์จักรยานไฟฟ้าส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ตรงที่ใช้เทคโนโลยีช่วยในการออกแรงถีบกล่าวคือ เมื่อนักปั่นเริ่มออกแรงปั่น มอเตอร์ก็จะทำงานโดยทันที “คนเรายังอยากจะรู้สึกว่าได้ขี่จักรยานและออกกำลังกายอยู่ครับ” Vollmer อธิบาย “แต่พวกเขาไม่อยากเหงื่อท่วมอะไรขนาดนั้น” เขาเจาะตลาดกลุ่ม “คนที่ชอบจักรยานและปกติก็ปั่นจักรยานอยู่บ้างแล้ว” Vollmer เองก็เป็นอย่างนี้เลย

<hr />

<a href="https://goo.gl/fFyN78">คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "รถยนต์ 2 ล้อ?" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/fFyN78"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0204b3f8180980348e2ec4579732a69d.png" alt="" /></a>

รถยนต์ 2 ล้อ?

<h2>คุณอยากจะเที่ยวให้โก้เก๋แบบ George Clooney ที่ Lake Como หลบหนีไปซ่อนตัวที่ฟิจิ หรือจะเลือกสร้างข่าวฉาวที่โรงแรม Watergate โฉมใหม่อันเลิศหรู</h2>
<h2>ปีนี้เป็นปีที่มีโรงแรมใหม่ๆ เปิดตัวอย่างน่าตื่นตาตื่นใจไปทั่วทุกมุมโลก ในบรรดาโรงแรมเปิดใหม่ที่น่าสนใจสำหรับปี 2016 นี้ ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมที่มีความโอ่อ่าหรูหรา แต่ว่าอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่าง ภูฏาน และศรีลังกา (แนะนำให้รีบไปเยือนซะตั้งแต่ตอนนี้เพราะต่อไปการพัฒนาต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนโฉมไปตลอดกาล)</h2>
โรงแรมแนวฮิปๆ ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ช่วยฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่เกือบล้าสมัยไปแล้วอย่าง Palm Springs โรงแรมที่แยกตัวออกมาจากโรงแรมที่เป็นที่นิยมแห่งอื่นๆ ไปอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีใครคาดคิด (เช่น Le Sereno ใน St. Barth ที่กำลังจะเปิดตัวที่ Lake Como) และยังมีโรงแรมแบบคลาสสิคที่ถูกแปลงโฉมโดยสิ้นเชิงอย่าง Ritz Paris เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน แบรนด์โรงแรมหรูๆ ของเอเชียอย่าง Six Senses และ Aman ก็กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับการยกระดับการให้บริการ และต่อไปนี้ คือสถานที่ที่คุณควรจับตามองในปี 2016 และนี่เป็นเพียงตัวอย่างไฮไลท์ของสุดยอดที่พักจากทั่วมุมโลก

&nbsp;

&nbsp;

ยุโรป

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8ebf1950df80239f305c1ec7e3b9a5ea.png" alt="" />
The Ritz Paris

ด้วยประวัติอันยาวนานถึง 118 ปี โรงแรม Ritz จึงขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่เป็นที่สุดของที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เคยมีผู้เข้าพักสำคัญๆ อย่าง Proust, Hemingway และ Coco Channel ท่ามกลางกระแสการเกิดใหม่ของโรงแรมหรู ในปี 2011 ชื่อของโรงแรมนี้จางหายไปจากทำเนียบรายชื่อโรงแรมหรู ไม่ปรากฏอยู่ในแวดวงการท่องเที่ยวของทางฝรั่งเศสอีกต่อไป ในเวลาต่อมาจึงได้มีความพยายามบูรณะและปรับปรุงโรงแรมให้กลับมาอีกครั้ง โดยใช้งบประมาณ 200 ล้านเหรียญ ในระยะเวลา 3 ปี

โดยฝีมือของ Thierry Despont นักออกแบบสถาปัตยกรรม และตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่โรงแรม Ritz แห่งนี้จะได้ฤกษ์เปิดตัวอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึง โดยจะมีห้องพัก 71 ห้องที่เป็นโทนสีพาสเทล และห้องชุดอีก 71 ห้องที่ถูกแปลงโฉมใหม่ให้เป็นสไตล์คลาสสิกและเพิ่มส่วนที่เป็นสปาในชื่อว่า Channel และโรงเรียนสอนทำอาหาร Ecole Ritz Escoffier ก็ถูกฟื้นกลับมาให้บริการอีกครั้ง ห้องอาหาร L’Espadon ก็กลับมาเปิดใหม่ พร้อมกับ Hemingway Bar ก็กลับมาให้บริการเช่นเดิม
(ราคาเริ่มต้น 1,100 เหรียญ, ritzparis.com)

&nbsp;

เอเชีย

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1b1a3ced60dda915de3acbccc603d526.png" alt="" />
Six Senses Bhutan

จากความสำเร็จในการบุกเบิกรีสอร์ทของ Aman ก่อนนหน้านี้ ทำให้ Six Senses ดำเนินรอยตามเตรียมเปิดตัวโรงแรม 5 แห่งใน 5 เมืองของประเทศภูฏาน ได้แก่ Thimphu Punakha Gangtey Bumthang และ Paro เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ได้อย่างต่อเนื่องโดยตลอด

โครงการใหม่ของ Six Senses นี้จะมีบริการห้องพักทั้งหมดเพียง 82 ห้องในดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ซึ่งต่อไปนี้ มันอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว เพราะขณะนี้กำลังมีการทำถนนลาดยางอย่างดีที่สามารถรองรับรถทัวร์ และนักท่องเที่ยวจำนวนมากพร้อมกับจะมีโรงแรมระดับสามดาวที่กำลังผุดขึ้นมาเพื่อรองรับกระแสการท่องเที่ยว (sixsenses.com)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1565931022a4127ff51a4db4f36e7450.png" alt="" />
Anantara Peace Haven Tangalle Resort,  ศรีลังกา

และแล้วชายฝั่งอันงดงามทางตอนใต้ของประเทศศรีลังกาก็ถึงเวลาที่จะมีโรงแรมหรูหราที่คู่ควรกับความสวยงามตามธรรมชาติของที่นี่ โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดที่มาเปิดตัวที่นี่คือ

โรงแรมอนันตราจากประเทศไทย ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้ดีว่าจะมอบบริการที่ดีเลิศได้อย่างไร โดยที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งกลิ่นอายของท้องถิ่นโรงแรมแห่งนี้มีห้องพักทั้งหมด 152 ห้อง มีห้องพักแบบวิลล่า พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวจำนวน 32 ห้อง และภายในรีสอร์ทยังมีสระว่ายน้ำขนาด25 เมตร มีบริการสปาภายในโรงแรม มีคลับสำหรับเด็กเล็กและเด็กโต ห้องอาหาร 6 ห้อง และบาร์ที่เสริฟอาหารศรีลังกาที่นำเสนอในสไตล์โคโลเนียลที่เป็นกลิ่นอายของเกาะแห่งนี้ (ราคาเริ่มต้น 250 เหรียญ, anantara.com)

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/76653b2baf07afddb7f121c65537c027.png" alt="" />
Amanemu,  ญี่ปุ่น

รีสอร์ทแห่งแรกของโรงแรม Aman ที่ให้บริการน้ำพุร้อนด้วย กำลังจะเปิดให้บริการในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงที่Shima National Park บนเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ห้องชุดสุดหรูทั้ง 24 ห้อง และวิลล่าขนาด 4 ห้องนอนนั้นตั้งอยู่ริมชายหาดของ Ago Bay (หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า Bay of Pearls) โดยแต่ละห้องจะมีน้ำพุร้อนให้บริการ และมีทางเดินเชื่อมไปถึงสปาสุดหรูภายในรีสอร์ท มีอ่างน้ำแบบ Watsu มีห้องออกกำลังกายและโยคะสตูดิโอ สระว่ายน้ำ ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นและเลาจน์

ด้วยรูปแบบที่พักที่ดัดแปลงมาจาก “เรียวกัง” ของญี่ปุ่น จนมาเป็นสไตล์ที่เป็นแบบฉบับของ Aman โรงแรมแห่งนี้มุ่งจะให้บริการที่สมกับชื่อของโรงแรม Aman ที่แปลว่า “ความสุขสงบ” ในภาษาสันสกฤต และ Nemu ที่แปลว่า “ความสุข” ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง (ราคาเริ่มต้น 750 เหรียญ, aman.com)

แอฟริกา

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ac937884d3d4bb2a5828be909b74bc64.png" alt="" />
Leeu House and Leeu Estates, แอฟริกาใต้

ที่พักสไตล์ลอดจน์ หรือบ้านพักระดับหรูหราแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ในแหล่งผลิตไวน์ที่ประเทศแอฟริกาใต้ บริหารโดยกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมด 12 ห้อง (เปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาคม) ตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารและแกลเลอรี่ของ Franschhoekและยังมีห้องแบบรีทรีตอีก 17 ห้อง ที่เป็นสไตล์บ้านคหบดีในสมัยศตวรรษที่ 19 ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 170 เอเคอร์รายล้อมไปด้วยไร่องุ่น

แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งในแพ็คเกจการเข้าพักที่นี่คือการชิมไวน์ที่ Wine Studio (ราคาที่ Leeu House เริ่มต้นที่ 155 เหรียญ, Leeu Estates ราคาเริ่มต้น 286 เหรียญ leeucollection.com)

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3f4c005e6be1880f9a7634ed5021f8bd.png" alt="" />
Asilia’s The Highlands at Ngorongoro, แทนซาเนีย

แคมป์ที่พักแห่งใหม่ล่าสุดของ Asilia ทางฝั่งแอฟริกาตะวันออกนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่อันน่าตื่นใจสูง 9,000 ฟุต ทางตอนเหนือของภูเขาไฟ Olmoti ซึ่งห่างไกลจากที่พักอื่นๆ มาก แต่ทว่าอยู่ใกล้กับปล่องภูเขาไฟ Ngorongoro ซึ่งเหมาะสำหรับแขกที่ต้องการชมบรรยากาศยามรุ่งอรุณ ดีไซน์ของโรงแรมนั้นสวยงามทันสมัยน่าตื่นตาตื่นใจ ห้องชุดที่เป็นเต็นท์จำนวน 6 ห้อง

มีโครงสร้างภายนอกเป็นรูปโดมที่มีพื้นผิวเป็นรูปทรงเรขาคณิต มีหน้าต่างขนาดใหญ่ และเตาผิงสำหรับใช้ในค่ำคืนที่หนาวเย็นกลางทุ่งสะวันนา กิจกรรมสำหรับการพักผ่อนที่นี่ ไม่ใช่แค่เพียงแค่เดินชมรอบๆ ปล่องภูเขาไฟแต่นักท่องเที่ยวสามารถปีนเขาแบบครึ่งวัน หรือเต็มวันก็ได้ด้วย หรือจะไปเยี่ยมชมชุมชน หรือจะดูดาวพร่างพราวฟ้าในยามค่ำคืนก็เหมาะอย่างยิ่ง(ราคาเริ่มตั้งแต่ 170 เหรียญต่อคน, asiliaafrica.com

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/97fc036988abb72646dfc2012d061e0d.png" alt="" />
Park Hyatt St. Kitts

ความสะดวกสบายสไตล์ Park Hyatt มาถึงแคริบเบียนแล้ว ที่นี่มีห้องพักและห้องชุดรวม 125 ห้อง บางห้องมาพร้อมระเบียงกว้างขวาง ที่มองออกไปเห็นชายหาดขาวทอดยาวของ Christopher Harbour บางห้องก็มีสระว่ายน้ำบนดาดฟ้า ที่มองออกไปจะเห็นเกาะภูเขาไฟ Nevis

ผู้เข้าพักสามารถเข้าไปใช้บริการสนามกอล์ฟขนาด 18 หลุมที่ออกแบบโดย Tom Fazio หรือสโมสรริมชายหาดหรือจะใช้บริการท่าเทียบเรือยอร์ชสุดหรูบนพื้นที่ 300 เอเคอร์ก็ได้ (Stkitt.park.hyatt.com)

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b1ede4e60210d98528f3d5633244b2b1.png" alt="" />
The Beekman, New York City

นี่คือโรงแรมที่เป็นที่น่าจับตาแห่งใหม่ล่าสุดของนิวยอร์ค มีกำหนดจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลินี้ ที่อาคารอันเป็นแลนด์มาร์คแห่งปี 1881 ในย่านศูนย์กลางทางการเงินของเมืองนี้ โดยจะมีโถงสไตล์วิคตอเรียนสูง 9 ชั้น โดดเด่นเป็นสง่ามาพร้อมดาดฟ้ารูปปิรามิด โรงแรม Beekman จะเป็นส่วนหนึ่งของเครือโรงแรม Thompson อันแสนเก๋ไก๋และสะดวกสบาย

และให้บริการห้องพักที่ออกแบบได้อย่างลงตัวทั้งหมด 287 ห้อง และยังมีภัตตาคารชื่อดังที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักเดินทางอย่าง Tom Coliccchio และ Keity MaNally ให้บริการภายในโรงแรมด้วย (ราคาเริ่มที่ 619 เหรียญ, thebeekman.com)

<hr />

<a href="http://goo.gl/kz7T2r">คลิ๊กอ่าน "18 ที่พักน่าจับตามองรอบโลก" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MAY 2016 ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/kz7T2r"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/MAY%202016/160504072354ejtu.png" alt="" width="248" height="328" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events