'Swisstainable' เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์อย่างยั่งยืน กับ 'การรถไฟยุงเฟรา'

<h2>ผู้บริหาร Agoda สนับสนุนแนวทางรัฐบาลในการส่งเสริมให้ไทยเป็น Silicon Valley แห่งใหม่ของเอเชีย พร้อมผลักดันภาคการท่องเที่ยวปี 2568 หลังนายกฯ เศรษฐา เดินทางเข้าเยี่ยมชมสำนักงาน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเดินทางมาเยี่ยมชมสำนักงาน Agoda กรุงเทพฯ ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ( 6 มิ.ย. 67) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานว่า ไทยมีความมุ่งมั่นยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีชั้นนํา รวมทั้งได้หารือกับทาง Agoda ในการเพิ่มพูนทักษะด้านดิจิทัลเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Silicon Valley แห่งใหม่ของเอเชีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Agoda ถือเป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในเวทีโลก แต่ยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาวงการเทคโนโลยีของประเทศอีกด้วย จากการที่อโกด้ามีพนักงานกว่า 3,000 คน จาก 70 กว่าประเทศทั่วโลก ที่ประจำอยู่ในกรุงเทพฯ อโกด้าจึงเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งการทำงานภายใน Agoda นั้น จะแบ่งออกเป็นสาขาต่างๆ อาทิ การพัฒนาซอฟต์แวร์ แผนกวิทยาศาสตร์ข้อมูล ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการวิเคราะห์ธุรกิจ โดยทาง Agoda เองยังมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาบุคลากรชาวไทย ในการรับนักศึกษาฝึกงานด้านเทคโนโลยีจำนวน 150 คนต่อปี และจ้างวิศวกรจำนวนมากจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างแรงงานที่มีความชำนาญ และมีทักษะในไทยเพิ่มมากขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 516px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/V2yqKWQ3QbkPNGSweoQr.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="516px,268px" data-align="center" data-index="2" data-file-name="V2yqKWQ3QbkPNGSweoQr.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,374" data-origin="516px,268px" style="width: 516px; height: 268px;"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งแนวทางดังกล่าวนี้ สอดคล้องกับความพยายามของรัฐบาลในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Hub หรือ Silicon Valley ศูนย์กลางเทคโนโลยีชั้นนำแห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชียและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้ในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่สำคัญด้านการท่องเที่ยวของไทย รัฐบาลพร้อมดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ทั้งการจัด Festivals Concerts Events โดยเริ่มจาก จ.เชียงใหม่ ตลอดไตรมาส 4 ซึ่งจะมีกิจกรรมจัดขึ้นทุกสัปดาห์ อาทิ Michelin Food Festival, ลอยกระทง, Halloween, และการแข่งขันด้านกาแฟ เป็นต้น แต่ทว่ายังกังวลเรื่องจะมีเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติพอหรือไม่ และกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาในส่วนของรายละเอียดเหล่านี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทางผมขอรับฟังและช่วยแก้ไขปัญหาที่มีของ Agoda ร่วมกัน เพราะเชื่อมั่นว่าหากไม่รับฟังก็จะไม่ได้แก้ไขจุดบกพร่อง พร้อมกันนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันทำงานสู้กับความท้าทาย และทำให้ปีหน้าเป็นปีแห่งการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไทย” เศรษฐากล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า กล่าวว่า “Agoda มีความตั้งใจจะสนับสนุนรัฐบาลไทยและพยายามที่จะทำให้วิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นซิลิคอนวัลเลย์แห่งใหม่ของเอเชียเป็นจริง วันนี้เราได้หารือกับท่านนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการพัฒนาโนโลยและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีระดับโลกได้อย่างแท้จริง”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/thUpRjJwnXZiUT96WuGi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="thUpRjJwnXZiUT96WuGi.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/siteminder-launches-app-manage-hotel-business-revenue-after-room-prices-surge-19-percent" alt="SiteMinder เปิดตัวแอปฯ ช่วยจัดการรายได้ธุรกิจโรงแรม หลังปี 66 ‘ท่องเที่ยวฟื้น’ ราคาห้องพักพุ่งขึ้น 19%">SiteMinder เปิดตัวแอปฯ ช่วยจัดการรายได้ธุรกิจโรงแรม หลังปี 66 ‘ท่องเที่ยวฟื้น’ ราคาห้องพักพุ่งขึ้น 19%</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Agoda หนุนรัฐบาลไทย หลัง ‘นายกฯ เศรษฐา’ ตั้งเป้า Silicon Valley แห่งเอเชีย พร้อมผลักดัน ‘ท่องเที่ยว’ ปี 68

<h2>ผลการสำรวจ Eco Deals ของอโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว พบว่า 4 ใน 5 ของนักท่องเที่ยวชาวไทย หรือคิดเป็นตัวเลขราว 84% ใส่ใจกับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนมากขึ้น </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวไทยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเวลาเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น โดยผลการสำรวจ Eco Deals ของอโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว พบว่า 84% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยใส่ใจกับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงิน จำนวนแพ็คเกจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมีให้เลือกมากขึ้น และแนวทางวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ชัดเจนมากขึ้น สามารถช่วยกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อไปท่องเที่ยวครั้งต่อไปได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การสำรวจครั้งนี้มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามบนแพลตฟอร์มของอโกด้า ทั้งหมดกว่า 10,000 คน จาก 10 ประเทศ ทั่วทวีปเอเชีย โดยนักท่องเที่ยวเกือบ 8 ใน 10 คน ระบุว่าเต็มใจที่จะเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อไปท่องเที่ยว โดย 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าทุกครั้งพวกเขาจะพยายามท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากขึ้นอยู่เสมอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในทางกลับกัน 22% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าแทบไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืนเวลาวางแผนท่องเที่ยวเลย โดยในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นถึง 45% และเป็นนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์เพียง 8%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสิ่งจูงใจทางการเงินอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การสำรวจ Eco Deals 2024 ของอโกด้า มีคำถามเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ผู้ตอบแบบสอบถามตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกประเทศระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงิน เช่น ส่วนลด คือปัจจัยสำคัญอันดับ 1 เฉลี่ยแล้วคิดเป็น 45% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ (58%) ไต้หวัน (54%) และอินโดนีเซีย (47%) เป็น 3 ชาติแรก ที่ระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงินคือปัจจัยสำคัญอันดับ 1 มากที่สุด ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยมี 43% ที่ระบุเช่นเดียวกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยสำคัญอันดับ 2 คือจำนวนแพ็คเกจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่มีให้เลือกมากขึ้น เช่น แพ็คเกจที่เตรียมทริป หรือกิจกรรมไว้ให้แล้ว อย่างการเดินป่าเชิงอนุรักษ์แบบมีผู้นำทาง และการส่งเสริมโครงการริเริ่มในท้องถิ่น ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์ 28% เวียดนาม 24% และไทย 23% ส่วนปัจจัยสำคัญอันดับต่อมานั้น คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แนวทางวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ชัดเจน การให้ความรู้ และส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนโยบายเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่เกี่ยวข้องรัฐบาลในประเทศ&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/tEF2P5mrU31Af7G1sodb.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tEF2P5mrU31Af7G1sodb.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอนริก คาซาลส์, Associate Vice President Southeast Asia, อโกด้า กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวต้องการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โปรแกรม Eco Deals ของอโกด้ามีข้อเสนอสุดคุ้มมากมายให้นักท่องเที่ยวที่เลือกจองที่พักที่เข้าร่วมโปรแกรม และสำหรับทุกรายการจองของทุกที่พัก Eco Deals อโกด้าจะบริจาคเงินจำนวน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการอนุรักษ์ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ใน 8 ประเทศ ในทวีปเอเชีย โดยเราตั้งใจที่จะบริจาคเงินให้ได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อถามเรื่องวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอะไรที่ให้ความสำคัญมากที่สุดเวลาท่องเที่ยว โดย 36% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยระบุว่าให้ความสำคัญกับการส่งเสริมชุมชน และโครงการอนุรักษ์ในท้องถิ่นมากที่สุด ส่วนทั่วทั้งทวีปเอเชีย ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 1 ใน 4 (26%) เลือกส่งเสริมชุมชนในท้องถิ่นด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในท้องถิ่น หรือมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มของชุมชน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/expected-foreigners-visit-thailand-36-million-people" alt="ฟรีวีซ่า-นักท่องเที่ยวจีนคัมแบ็ก คาดปีนี้ต่างชาติเที่ยวไทยแตะ 36 ล้านคน">ฟรีวีซ่า-นักท่องเที่ยวจีนคัมแบ็ก คาดปีนี้ต่างชาติเที่ยวไทยแตะ 36 ล้านคน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

อโกด้า เผยผลสำรวจ Eco Deals 2024 นักท่องเที่ยวไทย 84% ใส่ใจชุมชน เที่ยวแบบยั่งยืนมากขึ้น

ภัทรนันฑ์ กิตติสาร VELOCEAN ผงาดน่านน้ำตอบโจทย์นักท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ระดับไฮเอนด์

<h2>Booking.com เผยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยกลับมาฟื้นตัว เติบโตกว่าช่วงโควิดร้อยละ 24 มองผลกระทบสงครามระยะสั้น ร้อยละ 70 ของคนไทยวางแผนท่องเที่ยวในปี 2567 แบบระมัดระวัง ใช้ AI ช่วยในการวางแผน เผย 7 เทรนด์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ รับพฤติกรรมคนเปลี่ยนจากความกังวลเรื่องค่าครองชีพ ภัยพิบัติ และความยั่งยืน ญี่ปุ่น เวียดนาม ที่เที่ยวยอดฮิตของคนไทย​ </h2> &nbsp; &nbsp; แพลตฟอร์มให้บริการท่องเที่ยวครบวงจร เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้เดินทางเพื่อคาดการณ์การเดินทางท่องเที่ยวในปี 2567 โดย&nbsp;มิเชล เกา ผู้จัดการ Booking.com&nbsp;ประจำภูมิภาคประจำกลุ่มลุ่มน้ำโขง เปิดเผยว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทยกลับมาฟื้นตัว โดยมีอัตราการจองที่พักเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 และในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา อัตราการจองห้องพักเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคนไทยร้อยละ 70 วางแผนเดินทางท่องเที่ยวในปี 2567 แม้ร้อยละ 65 ของกลุ่มตัวอย่างจะมีความกังวลเรื่องค่าครองชีพ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/3BcJPmSEidJCp9Fp4GQh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3BcJPmSEidJCp9Fp4GQh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ปัจจัยด้านสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสส่งผลระยะสั้น โดยหลังจากโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมาจะมีการยกเลิกการจองห้องพักทั้งการเดินทางในประเทศและไปต่างประเทศ แต่หลังจากนั้นช่วงปลายเดือนตุลาคม ยอดจองที่พักเริ่มกลับมา โดยธุรกิจ Booking.com ในประเทศอิสราเอล คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ขณะที่ภูมิภาคตะวันออกกลางคิดเป็นร้อยละ 5 ของธุรกิจทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเดินทางท่องเที่ยวกลับมาแล้ว แม้โลกจะไม่มีเสถียรภาพ นักท่องเที่ยวยังมีความมั่นใจในการเดินทาง เพราะพวกเขามองว่าการท่องเที่ยว คือชีวิต แต่สิ่งที่กังวล คือค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนักเดินทางก็พร้อมที่จะปรับรูปแบบการท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีจำกัด รวมทั้งยังให้ความใส่ใจเรื่องความยั่งยืน ที่จะช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวของผู้คน” มิเชลกล่าว เผย 7 เทรนด์ท่องเที่ยวในปี 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มิเชล กล่าวว่า ผลสำรวจเทรนด์การท่องเที่ยวในปี 2567 พบว่านักเดินทางมองการท่องเที่ยว คือ ชีวิต ไม่ใช่แค่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเหมือนที่ผ่านมา โดยร้อยละ 74% มองว่าการท่องเที่ยวทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น และร้อยละ 88 มองว่าการเดินทางจะทำให้พวกเขามีความเป็นตัวเองมากที่สุด และมี 7 เทรนด์สำคัญของการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในปีหน้านี้1. ตามรอยต้นกำเนิดของความอร่อย การท่องเที่ยวของสายกิน สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการโปรโมตการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ซึ่งร้อยละ 92 อยากลิ้มลองอาหารพื้นเมืองมากขึ้นในปีหน้า โดยเน้นค้นหารสชาติอาหารดั้งเดิมที่ปรุงด้วยสูตรลับที่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น และร้อยละ 78 สนใจเรียนรู้ต้นกำเนิดอาหารจานเด็ด และอาหารที่ “ห้ามพลาด” ในจุดหมายปลายทางนั้น ๆ มากกว่าที่เคยเป็นมา2. ทริปหนีร้อนไปพึ่งเย็น จากสภาพอากาศที่ร้อนระอุ และคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก กระตุ้นให้ผู้เดินทางมองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสภาพภูมิอากาศเย็น เพื่อพักผ่อนสำหรับคลายร้อนและความกังวล โดยร้อยละ 78 ของผู้เดินทางชาวไทย เผยว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลต่อการวางแผนการท่องเที่ยวในปีหน้า และร้อยละ 84 เห็นด้วยว่าการได้พักผ่อนใกล้ชิดกับสายน้ำทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นได้ทันที&nbsp;3. ขอให้ได้ลุ้น ผู้เดินทางอยากปล่อยใจไปกับความเซอร์ไพรส์ ออกสำรวจสิ่งที่ไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน และลองไปจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ในระหว่างออกเดินทาง เปลี่ยนจากการวางแผนที่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเช็คลิสต์ มาเป็นการลุ้นดูว่าจะได้เจออะไรบ้าง และอยากสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่เหมือนเปิดกล่องสุ่ม โดยร้อยละ 82 เน้นวางแผนการเดินทางแบบไม่ละเอียดมาก โดยร้อยละ 70 ของคนกลุ่มนี้จะใช้ AI ช่วยในการวางแผนท่องเที่ยว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/NfVRFKBx9TcDpA7KQzdR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NfVRFKBx9TcDpA7KQzdR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> 4. สุนทรียศาสตร์ของการเดินทางแบบยั่งยืน การท่องเที่ยวเดินทางอย่างยั่งยืนในความหมายของปี 2567 ให้ความสำคัญของการออกแบบ นวัตกรรม และความรับผิดชอบในแบบที่สร้างสรรค์มากขึ้น และนำมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยร้อยละ 78 กำลังมองหาที่พักที่มีนวัตกรรมด้านความยั่งยืนที่ดูตื่นตาตื่นใจ และร้อยละ 83 อยากเห็นการดำเนินการเพื่อความยั่งยืนที่เป็นรูปธรรม5. ผ่อนคลายเพื่อฟื้นพลัง เมื่อสถานการณ์ที่บ้านเริ่มย่ำแย่เนื่องจากความวุ่นวายและสั่นคลอนทั่วโลก ผู้เดินทางที่กำลังเผชิญกับความวุ่นวายเหล่านี้จึงหันมาเน้นจองทริปที่เจาะจงแค่การพัฒนาร่างกายและจิตใจแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อเยียวยาความรู้สึกและคลายความเครียด โดยร้อยละ 76% วางแผนเดินทางคนเดียวในปีหน้า แบบไม่พาลูกและคู่ครองของตัวเองไปด้วยเพื่อรีชาร์จพลังชีวิตตัวเอง ขณะที่ร้อยละ 59 จะหาเวลาไปท่องเที่ยวเพื่อหาคู่หรือคนรักใหม่ และร้อยละ 75 ต้องการเดินทางเพื่อจะนอนหลับสนิทแบบไม่มีอะไรมากวนใจ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/6g46VySUWaKKAHeaw6g2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6g46VySUWaKKAHeaw6g2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> 6. เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อออกเดินทาง ในปี 2567 ผู้เดินทางจะรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นด้วยการสร้างตัวตนใหม่จากการเดินทางท่องเที่ยว โดยผู้เดินทางชาวไทยสองในสาม หรือร้อยละ 88 เชื่อว่าพวกเขาได้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดระหว่างออกท่องเที่ยว สามารถหลีกหนีข้อจำกัดต่าง ๆ และเปิดรับบุคลิกภาพใหม่ ๆ ของตนเองได้อย่างเต็มที่ และร้อยละ 85 อยากนำตัวตนนั้นมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน7. ยกระดับวันหยุดแบบ A La Carte จากวิกฤตการณ์ค่าครองชีพตลอดจนการเข้ามาของเทรนด์รวยแบบกระซิบ (Stealth Wealth) ที่เป็นกระแสในปี 2566 ส่งผลให้ผู้เดินทางในปี 2567 จะหันมาหาวิธีรัดเข็มขัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังต้องการยกระดับการท่องเที่ยวให้มีความหรูหราแบบ “ตามสั่ง” หรือ “A La Carte” ผ่านการใช้จ่ายแบบเต็มที่ในทริปสั้น ๆ หรือเลือกที่จะลดค่าใช้จ่ายด้านหนึ่งเพื่อไปเต็มที่กับสิ่งที่ตนเองต้องการมากกว่า โดยร้อยละ 65 ยินดีจ่ายค่าบัตรผ่านรายวันเพื่อเข้าใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรมห้าดาว แทนการเข้าพักจริง และร้อยละ 64 วางแผนที่จะเลือกจุดหมายปลายทางที่ค่าครองชีพถูกกว่าเมืองตัวเองอยู่ เพื่อใช้จ่ายได้อย่างเต็มที่มากขึ้น&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/UDJxSQWLcPA2qEvGUcgR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="UDJxSQWLcPA2qEvGUcgR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มิเชล กล่าวว่า สำหรับประเทศยอดฮิตของนักท่องเที่ยวชาวไทย อันดับ 1 คือ ญี่ปุ่น และอันดับ 2 คือ เวียดนาม ซึ่งทั้งสองประเทศมีความหลากหลายในสถานที่ท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน เช่น โตเกียว โอซาก้า หรืออย่างเวียดนาม สถานที่ยอดฮิต คือ ดานัง และ เกาะฟู้โกว๊ก เป็นต้น รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยยังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศที่มีค่าครองชีพที่ถูกลง แต่ยังคงให้ความสำคัญกับที่พักที่มีความหรูหรา สะดวกสบาย ซึ่งปี 2567 Booking.com จะเปิดตัว AI Trip Planner เครื่องมือที่จะช่วยนักเดินทางวางแผนการท่องเที่ยวได้อย่างตรงใจและเหมาะกับงบประมาณที่เหมาะสมของแต่ละคนมากขึ้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/jkn-stockmarket-falldown-on-floor-after-report-central-bankruptcy-court" alt="หุ้น JKN ร่วงติด floor หลังยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง">หุ้น JKN ร่วงติด floor หลังยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ท่องเที่ยวฟื้น Booking.com เผย 7 เทรนด์นักเดินทางปี 2567

<h2>นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศใดประเทศหนึ่งอนุญาตให้นักเดินทางข้ามผ่านพรมแดนด้วยหนังสือเดินทางดิจิทัลบนสมาร์ตโฟนแทนการใช้หนังสือเดินทางแบบเป็นเล่ม ระบบทดสอบนี้กำลังดำเนินการในฟินแลนด์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สหภาพยุโรปต้องการให้พลเมืองอย่างน้อย 80% ใน 27 ประเทศสมาชิกเปลี่ยนมาใช้การระบุตัวตนแบบดิจิทัลภายในปี 2030&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงการนำร่องซึ่งเริ่มต้นนับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผลเฉพาะกับพลเมืองชาวฟินนิชเท่านั้น โดยจัดขึ้นที่ท่าอากาศยานเฮลซิงกิพร้อมความร่วมมือกับสายการบิน Finnair, บริษัทผู้ดำเนินการสนามบิน Finavia และตำรวจแห่งฟินแลนด์ ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2024 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้โดยสาร Finnair ที่บินไปกลับสนามบินสามแห่งในสหราชอาณาจักรสามารถผ่านจุดตรวจได้โดยใช้ “หนังสือรับรองการเดินทางดิจิทัล (Digital Travel Credential หรือ DTC)”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Raja ผู้ดูแลพรมแดนฟินแลนด์กล่าวว่า นักท่องเที่ยวที่ใช้ DTC ใหม่ล่าสุดนี้สามารถ “ผ่านจุดตรวจได้รวดเร็วและราบรื่นกว่าแบบเดิมโดยไม่ต้องเสียเวลาเข้าคิว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สหภาพยุโรปร่วมสนับสนุนทุนแก่โครงการนำร่องนี้ 2.3 ล้านปอนด์ (2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยระหว่างที่มีการทดสอบในเฮลซิงกิตลอดระยะเวลาหกเดือนนั้นเอง ทางสหภาพยุโรปก็กำลังวางแผนโครงการนำร่องที่ท่าอากาศยาน Zagreb Franjo Tudman ในโครเอเชีย และท่าอากาศยาน Schiphol Amsterdam ในเนเธอร์แลนด์ด้วยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความเคลื่อนไหวของยุโรปในการสร้างขอบข่ายการทำงานร่วมกันเพื่อการระบุตัวตนแบบดิจิทัลคือเป้าหมายสำคัญสูงสุดของ eIDAS ซึ่งเป็นกฎว่าด้วยลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่บังคับใช้ในปี 2014 กฎนี้มุ่งยกระดับความปลอดภัย ความรวดเร็ว และประสิทธิภาพในการปฏิสัมพันธ์แบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธุรกิจต่างๆ และแต่ละบุคคล ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่แห่งหนใดในยุโรปก็ตาม​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/09/WmsZqrZ78SXHy27RTqY9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="WmsZqrZ78SXHy27RTqY9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="1440,925" style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>Biometric Passport หรือ E-Passport แบบเดิม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คำนิยามเฉพาะทางเกี่ยวกับหนังสือรับรองแบบอิเล็กทรอนิกส์อาจก่อให้เกิดความสับสนได้ ต้องอธิบายว่า DTC ของยุโรปนั้นหมายถึงหนังสือรับรองอิเล็กทรอนิกส์บนมือถือ ซึ่งเป็นคนละอย่างกับ Biometric Passport หรือ E-Passport ที่เป็นหนังสือเดินทางแบบเล่มดั้งเดิมเสริมไมโครชิปบรรจุข้อมูลเฉพาะทางกายภาพของผู้ถือครอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศส่วนใหญ่ในโลกกำลังพยายามใช้ E-Passport รูปแบบต่างๆ กัน ซึ่งตามปกติแล้วจะระบุตัวตนโดยสัญลักษณ์กล้องถ่ายรูปบนหน้าปก ชิป RFID บรรจุข้อมูลชีวภาพทำให้ยากจะลอกเลียนแบบหรือปลอมแปลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาได้นำ E-Passport มาใช้เป็นมาตรฐาน ถัดมาในปี 2021 ก็มีการใช้หนังสือเดินทางแบบ Next Gen-eration Passport (NGP) ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ประสิทธิภาพสูงกว่ามาแทนที่ E-Passport แบบเดิมในฐานะเอกสารพื้นฐานสำหรับเดินทางในสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือในหน้าของข้อมูลที่เป็นโพลีคาร์บอเนต ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนบัตรเครดิตมากกว่าหนังสือเดินทาง หน้าข้อมูลที่เป็นพลาสติกนี้ได้เพิ่มความสมบูรณ์และทนทานมากขึ้น เพราะแต่ละชั้นถูกเชื่อมติดกันไม่สามารถแยกจากกันได้จึงทำให้เกิดความเสียหายได้ยาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Europe Is Testing The Worlds First Digital Passport In Finland ซึ่งเผยแพร่บน Forbes&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71160" alt="การรับช่วงต่อของทายาทธุรกิจพันล้านแห่ง Royal Group">การรับช่วงต่อของทายาทธุรกิจพันล้านแห่ง Royal Group</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

หนังสือเดินทางดิจิทัล ครั้งแรกของโลก เริ่มทดสอบแล้วที่ฟินแลนด์

<h2>คุณจะยอมเสียเงินให้ใครสักคนวางแผนการท่องเที่ยวโดยคุณจะรู้จุดหมายปลายทางก็ต่อเมื่อมาถึงสนามบินแล้วหรือเปล่า?</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คำถามนี้คือแนวคิดของ Destination Unknown ผู้ให้บริการวางแผนการท่องเที่ยวภายใต้บริษัท Explorer X ที่ตั้งอยู่ในเมืองซีแอตเทิล ซึ่งมี Michael Bennett เป็นผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสิ้น โดยตอนนี้เขาได้กลายเป็นศูนย์กลางกระแสการท่องเที่ยวแบบใหม่ในกลุ่มเล็กๆ ที่กำลังขยายตัว นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ติดต่อเขามาเพื่อให้ช่วยวางแผนการต่างๆ&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปลายทางนั้นคือที่ไหน? พวกเขาจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมาถึงสนามบินแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฉกเช่น Christine และ Paul Groppe จากนิวยอร์กที่ก้าวเท้าเข้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี และพบว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าสู่สโลวีเนียในเดือนกรกฎาคม 2022 เพื่อฉลองวันเกิดปีที่ 60 ของเธอ พวกเขาต่างยินดีกับการเดินทางคราวนั้นเสียจนต้องขอให้ Destination Unknown วางแผนต่อไปให้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งพาพวกเขาไปยัง Andalucia ประเทศสเปน&nbsp; &nbsp;&nbsp;<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/KzQjV29s8WuVDxX2V6sx.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KzQjV29s8WuVDxX2V6sx.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="960,720" style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>Christine และ Paul Grouppe ในสโลวีเนีย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีคู่รักชาวซีแอตเทิลซึ่ง Bennett พบที่สนามบินพร้อมตั๋วและรายละเอียดการเดินทางสู่ชิลีช่วงวันหยุด คู่แต่งงานใหม่ที่ถูกส่งไปฮันนีมูนกันที่เวียดนามและกัมพูชาแบบเซอร์ไพรส์ และนักเดินทางคนเดียวผู้ได้ไปฉายเดี่ยวที่กรีนแลนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ใครเล่าที่วางใจให้บริษัทจัดการเดินทางทั้งหมดให้พวกเขาโดยเก็บไว้เป็นความลับเช่นนี้แม้จะเป็นบริษัทที่พนักงานเปี่ยมประสบการณ์และคุณสมบัติก็ตาม?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นักเดินทางของเรามีแนวโน้มอายุ 40 ปีขึ้นไป เข้าสู่วัยทำงานมานานแล้ว และไม่มีเวลาวางแผนท่องเที่ยวเอง” Bennett เผย “นอกจากนี้ พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าต้องการไปที่ไหน บางครั้งนั่นมีสาเหตุจากการจมกองข้อมูล หรือไม่ก็กลัวเลือกผิด บางคนก็ยุ่งเสียจนไม่มีเวลามาฝันหวานว่าอยากไปไหน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bennett บอกว่านักท่องเที่ยวบางคนยังให้ความสำคัญวันเวลาเดินทางมากกว่าอยากรู้ว่าจะได้ไปทำอะไรที่ไหนเสียอีก พวกเขาอาจกำลังมองหาจุดหมายปลายทางสุดแปลกใหม่ หรือไม่ก็กระหายความตื่นเต้นในการเดินทาง แต่ไม่รู้ว่าจะหาได้อย่างไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แล้วทางบริษัทจะกำหนดสถานที่ที่จะส่งลูกค้าไปเที่ยวได้อย่างไรให้ถูกใจพวกเขา?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Destination Unknown เก็บข้อมูลนักท่องเที่ยวเหล่านี้ผ่านกระบวนการเรียนรู้สำหรับทั้งสองฝ่าย เพื่อสร้างสรรค์การเดินทางที่ตอบโจทย์ความชอบและความต้องการของลูกค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พวกเขามี Dream Sheet ไว้สำรวจความต้องการและความปรารถนาของทุกคน ตรวจสอบประวัติการท่องเที่ยวของลูกค้าว่าแต่ละคนเคยไปที่ไหนมาแล้วชอบสถานที่นั้นตรงไหนบ้าง หากลูกค้ามีประสบการณ์พลิกชีวิต Destination Unknown ก็อยากนำสถานที่เหล่านั้นเข้ามารวมไว้ด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“พวกเขาอาจบอกเราว่าอยากไปที่ไหนสักแห่งในเดือนธันวาคม และเป็นการเดินทางตะลุยชิมอาหาร ที่เหลือก็ปล่อยให้เราจัดการได้เลย” Bennett อธิบาย ทว่าขั้นตอนก่อนวางแผนเดินทางล้ำลึกกว่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อาจต้องระบุวันหรือกิจกรรมให้ชัดเจน จุดหมายปลายทางในฝันนี้เป็นแบบคลาสสิกหรือเพิ่งเกิดใหม่แบบที่ Bennett เรียกว่า “อัญมณีลับ” พร้อมคำถามโดยละเอียดอย่าง อยากเจาะจงสภาพแวดล้อมแบบไหนหรือเปล่า เช่น ทะเลทราย เมือง หรือชายทะเล? มีรายชื่อสถานที่ที่อยากไปไหม? และเหนือสิ่งอื่นใด มีสถานที่ไหนไหมที่ไม่ต้องการไป?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พวกเขาจะรวบรวมข้อมูลพร้อมพิจารณางบและเริ่มดำเนินการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หากพวกเขาอยากมุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่ไม่คุ้ยเคย เราอาจเลือกมองโกเลีย” Bennett กล่าว “หากงบรัดกุมกว่านั้น ก็อาจเป็นเอกวาดอร์หรือกัวเตมาลาซึ่งเป็นตัวเลือกที่ประหยัดค่าใช้จ่าย”&nbsp; &nbsp;&nbsp;<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/HAhm55bw7fnbzhnJ4VSB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HAhm55bw7fnbzhnJ4VSB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," origin-size="960,960" style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div>Michael Bennett แห่ง Destination Unknown &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Destination Unknown ยังมีระดับความตื่นเต้นให้เลือกอีกด้วย ในแผนการท่องเที่ยวระดับ 1 คุณจะรู้จุดหมายปลายทางและที่ตั้ง เช่น เมืองและภูมิภาค แต่ไม่รู้รายละเอียดหรือประสบการณ์ที่อาจได้รับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในแผนการท่องเที่ยวระดับ 2 คุณจะรู้จุดหมายปลายทางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น Destination Unknown สามารถเลือกให้คุณได้ หรือคุณจะเลือกเองก็ได้เช่นกัน แล้วปล่อยให้ทางบริษัทจัดการที่เหลือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท้ายสุดคือระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับความตื่นเต้นสูงสุด คือคุณจะไม่รู้อะไรเลยกระทั่งถึงวันเดินทาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bennett เผยว่าแผนการเหล่านี้จะยาวนานราว 7-12 วันโดยเฉลี่ย บางที Destination Unknown อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาความเร้าใจในการท่องเที่ยวครั้งถัดไป &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Destination Unknown: The Ultimate Surprise Trip ซึ่งเผยแพร่บน Forbes.com&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71073" alt="ผลสำรวจตลาดประกันภัยไทย ปี 66 ชี้ลูกค้ายินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ได้รับผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์มากขึ้น">ผลสำรวจตลาดประกันภัยไทย ปี 66 ชี้ลูกค้ายินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ได้รับผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์มากขึ้น</a>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​​​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>&nbsp;&nbsp;​

Destination Unknown สร้างแผนการท่องเที่ยวสุดเร้าใจ

<h2>ผู้ว่าราชการจังหวัดชอลลานัมโด เกาหลีใต้ ได้ลงนาม MOU เปิดไฟล์ทเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำเส้นทางกรุงเทพฯ - สนามบินนานาชาติมูอัน ระหว่างมกราคม - มีนาคมนี้ พร้อมคาดการณ์จะมีนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวจังหวัดชอลลานัมโดในปี 2023 ไม่ต่ำกว่า 13,000 คน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คิม ยองรก ผู้ว่าราชการจังหวัดชอลลานัมโด (ชอลลาใต้) ประเทศเกาหลีใต้ ได้ลงนาม MOU สำหรับข้อตกลงในการเปิดไฟล์ทเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำ เส้นทางกรุงเทพฯ - สนามบินนานาชาติมูอัน ร่วมกับ ปาร์ค อินกยู บริษัทเซอุน ทราเวล, เบญญาภา บุญวัฒนสิทธิ บริษัทเพลินเพลิน ทราเวล และ คิม มยองชิน ผู้จัดการสายการบินเจจูแอร์ สำนักงานกรุงเทพ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2023 โดยการลงนาม MOU ดังกล่าวเป็นผลมาจากการทำข้อตกลงตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันในปี 2023-2024 ระหว่างสองประเทศ คือ เกาหลีใต้และไทยที่ได้ลงนามไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2022 ที่ผ่านมา​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/Asm1BupbVWYcsaSXjwTJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,367px" data-align="center" data-file-name="Asm1BupbVWYcsaSXjwTJ.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,419" data-origin="569px,367px" style="width: 569px; height: 367px; transform: rotate(0deg);" data-index="0"><figcaption style="margin-top: 0px;">คิม ยองรก ผู้ว่าราชการจังหวัดชอลลานัมโด กล่าวในพิธีลงนาม MOU</figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คิม ยองรก ผู้ว่าราชการจังหวัดชอลลานัมโด (ชอลลาใต้) ประเทศเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า “สืบเนื่องจากปีแห่งการเยือนชอลลานัมโด จังหวัดที่มีความงดงามทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์, มีผลผลิตการเกษตรขึ้นชื่อ เช่น สาหร่าย สตรอว์เบอร์รี่ และซอสถั่วเหลือง รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ อย่าง เกาะสีม่วง ที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวได้มาเยือน เราได้สื่อสารกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องและผลจากการส่งเสริมทรัพยากรด้านความสะอาด การบำบัดรักษา และวัฒนธรรมที่มีศักยภาพของชอลนัม ทำให้บรรลุข้อตกลงทางธุรกิจที่มีความหมายในวันนี้ และในอนาคตเราจะประสบความสำเร็จในการจัดงานระดับนานาชาติ เช่น 2023 Suncheon Bay International Garden Expo และเป็นผู้นำโลกาภิวัฒน์ของ K-tourism โดยการสร้างเส้นทางท่องเที่ยวทางทะเลระดับโลกในชายฝั่งตอนใต้”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/if4W9T85GjRqiW54R7yj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,380px" data-align="center" data-file-name="if4W9T85GjRqiW54R7yj.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,434" data-origin="569px,380px" style="width: 569px; height: 380px; transform: rotate(0deg);" data-index="1"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div style="text-align: center;">หมู่บ้านนากานอัพซอง ธรรมชาติและวิถีชีวิตของชุมชนพื้นเมือง</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน คิม มยองชิน ผู้จัดการสายการบินเจจูแอร์ เปิดเผยว่า “ทางเจจูแอร์พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่มีเสถียรภาพ ซึ่งทางจังหวัดชอลลานัมโดและองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลีพร้อมสร้างแรงดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในปี 2023 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจมาเยือนภูมิภาคชอลนัมมากถึง 3 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่ต่ำกว่า 13,000 คน ซึ่งสามารถจำแนกเป็นนักท่องเที่ยวไทยที่มาจากแพ็กเกจทัวร์ในภูมิภาคชอลนัม 10,000 ราย, มาจากเที่ยวบินเช่าเหมาลำกรุงเทพฯ-สนามบินมูอัน 14 เที่ยวบิน / 2,400 ราย ส่วนที่เหลือคือมาจากเที่ยวบินปกติของสนามบินอื่นๆ “ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/UDv7a83PM6SRYke8sDhQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,384px" data-align="center" data-file-name="UDv7a83PM6SRYke8sDhQ.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,439" data-origin="569px,384px" style="width: 569px; height: 384px; transform: rotate(0deg);" data-index="2"><figcaption style="margin-top: 0px;">เกาะสีม่วง (Purple Island) หรือเกาะพันวอลโด ที่เที่ยวแห่งใหม่ของชอลลานัมโด</figcaption></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับข้อตกลงในครั้งนี้ทางบริษัท เซอุน ทราเวล แลนด์โอเปอเรเตอร์ผู้เชี่ยวชาญการต้อนรับนักท่องเที่ยวไทย และบริษัทเพลินเพลิน ทราเวล บริษัทนำเที่ยวผู้ชำนาญการด้านเกาหลียังร่วมกับบริษัทนำเที่ยวในพื้นที่กว่า 100 แห่ง พร้อมให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำไปยังสนามบินนานาชาติมูอัน และผลิตภัณฑ์ทัวร์ในภูมิภาคชอลนัมที่เชื่อมโยงกับสนามบินอื่นๆ เพื่อความสะดวกในการเดินทางแก่นักท่องเที่ยว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีการเปิดให้บริการร้านค้าปลอดภาษีถึง 3 แห่งในจังหวัดให้นักท่องเที่ยวได้จับจ่ายใช้สอยได้อย่างเพลิดเพลิน ซึ่งในส่วนของเที่ยวบินเช่าเหมาลำเที่ยวแรกของไทยที่จะมาถึงสนามบินนานาชาติมูอันนั้น คือ ในวันที่ 30 มกราคมและเปิดให้บริการไปจนถึง 24 มีนาคม 2023 อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<ul><li>​<a href="https://forbesthailand.com/news/property/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-65-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B8-4-1-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97" alt="ออริจิ้น ปี 65 เผยยอดขายทะลุ 4.1 หมื่นล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท">ออริจิ้น ปี 65 เผยยอดขายทะลุ 4.1 หมื่นล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท</a>​ </li><li>​<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" alt="“ซิตี้แบงก์” อัปเดตภาพรวมเศรษฐกิจไทยล่าสุด หลังจีนเปิดประเทศ">“ซิตี้แบงก์” อัปเดตภาพรวมเศรษฐกิจไทยล่าสุด หลังจีนเปิดประเทศ</a>​ </li></ul><hr class="__se__solid">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine?mibextid=LQQJ4d" alt="Forbes Thailand Magazine">Forbes Thailand Magazine</a>​​

เกาหลีใต้เปิดไฟล์ทบินเช่าเหมาลำหนุนคนไทยเที่ยว “ชอลลานัมโด”

เผย 15 รูปถ่ายที่ได้รางวัล Life Framer ปี 2022

องค์การท่องเที่ยวโลก (World Tourism Organization : WTO) เปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 พันล้านคน ในปี 2018 โดยเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2017 ด้วยการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในบริเวณตอนใต้ของทวีปยุโรป ตะวันออกกลางและทวีปแอฟริกา จากปัจจัยเเรงขับเคลื่อนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเเละการขนส่งทางอากาศที่ครอบคลุมมากขึ้น
ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวอเมริกัน เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ 3% นักท่องเที่ยวยุโรปเพิ่มขึ้น 6%  นักท่องเที่ยวแอฟริกันเพิ่มขึ้น 7%  และนักท่องเที่ยวเอเชีย-แปซิฟิกเพิ่มขึ้น 6%

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/travel/%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81.html">ญี่ปุ่นฮิตต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวมาเยือน ทุบสถิติ 31.19 ล้านคนในปี 2018</a></li>
</ul>
Zurab Pololikashvili เลขาธิการองค์การท่องเที่ยวโลก กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า “การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในกลไกการขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุดในการพัฒนาระหว่างประเทศ” 
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนยุโรปมีราวอยู่ 713 ล้านคน อย่างไรก็ตามทางตอนเหนือของทวีปยุโรปการเติบโตยังคงทรงตัว เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ Brexit ที่สหราชอาณาจักรจะแยกตัวจากสหภาพยุโรป
ด้านนักท่องเที่ยวที่มาเยือนแอฟริกา ในปี 2018 อยู่ที่ 67 ล้านคน โดยทางตอนเหนือของทวีปมีอัตราการเติบโตกว่า 10% เเละจำนวนผู้มาเยือนบริเวณ Sub-Saharan เพิ่มขึ้น 6% ขณะที่นักท่องเที่ยวในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 10% เป็น 64 ล้านคน
WTO ระบุอีกว่าการพัฒนาด้านการขนส่งทางอากาศที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญ อย่างอินเดียเเละรัสเซีย

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/travel/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83.html">เบื้องหลังยุคบูมครั้งใหม่ของเส้นทางบินระยะไกล (ultra-long-haul)</a></li>
</ul>
นอกจากนี้นักลงทุนบางส่วน รวมไปถึงเหล่านักเดินทาง ต่างก็ยัง “รอดู” (wait and see) สถานการณ์ความไม่เเน่นอนทางการเมืองที่เกิดจากปัญหาต่างๆ เช่นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯเเละจีน เเละผลกระทบจาก  Brexit เป็นต้น โดยองค์การท่องเที่ยวโลก คาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวทั่วโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 3-4% ในปีนี้
&nbsp;
ที่มา

<ul>
 	<li class="p1"><a href="https://www.nst.com.my/world/2019/01/453013/international-tourist-numbers-6-14-billion-2018-un">International tourist numbers up 6% to 1.4 billion in 2018: UN</a></li>
</ul>
ภาพ Pixabay

เผยสถิติ นักท่องเที่ยวทั่วโลก เพิ่มขึ้นเป็น 1.4 พันล้านคน ในปี 2018

<h2 class="p2">ท่องเที่ยวญี่ปุ่นบูม จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2018 มากสุดเป็นประวัติการณ์ ทำสถิติใหม่ 31.19 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.7 % เติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 </h2>
องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เปิดเผยว่า ในปี 2018 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นมากถึง 31.19 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.7% ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากชาติในเอเชีย โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 8 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 13.9%) นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ 7.5 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 5.6%) และนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน 4.8 ล้านคน
ส่งผลให้ญี่ปุ่นมีเงินสะพัดด้านการท่องเที่ยวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.5 ล้านล้านเยน (4.15 หมื่นล้านเหรียญ) นักท่องเที่ยวจีนเป็นผู้ที่ใช้จ่ายเงินมากที่สุดที่ 1.54 ล้านล้านเยน คิดเป็น 1 ใน 3 ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในญี่ปุ่นในปีดังกล่าว
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี ยกเว้นในเดือนกันยายน ที่มีนักท่องเที่ยวลดลงจากปีก่อน จากเหตุพายุไต้ฝุ่นและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ต้องปิดทำการสนามบินใน Osaka และ Hokkaido ชั่วคราว
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวเติบโตสูงขึ้นทุกปีนั้น ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการยกเลิกการขอวีซ่า สำหรับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ เช่น รัสเซีย อินเดียและฟิลิปปินส์ รวมไปถึงโปรโมชั่นการส่งเสริมการขายภายในประเทศ
“ความพยายามของรัฐบาลได้ผลตามที่ต้องการ เเละมีเป้าหมายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ถึง 40 ล้านคนให้ได้”  Keiichi Ishii รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (MLIT) กล่าว
การท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ขณะที่กำลังเผชิญผลกระทบจากวิกฤตประชากรและการบริโภคที่ลดลง โดยรัฐบาลตั้งเป้าที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศให้ได้ 40 ล้านคนในปี 2020 ที่กรุงโตเกียวจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิก
โดยเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้ประกาศมาตรการเก็บภาษีขาออกสำหรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจทุกคน “ไม่ว่าจะถือสัญชาติใดก็ตาม” หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีซาโยนาระ” ถือเป็นค่าธรรมเนียมการออกจากแผ่นดิน ในอัตราคนละ 1,000 เยน ( 9.22 เหรียญหรือราว 295 บาท) ให้มีผลบังคับใช้แล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลจะนำรายได้ส่วนนี้ไปพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ

<ul>
 	<li class="p2">อ่านรายละเอียด : <a href="http://forbesthailand.com/news/travel/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A.html">ญี่ปุ่นเก็บ “ภาษีซาโยนาระ” 1,000 เยนจากผู้โดยสารขาออกจากประเทศ ทั้งทางเครื่องบินและเรือ</a></li>
</ul>
&nbsp;
ที่มา

<ul>
 	<li><a href="https://japantoday.com/category/national/no.-of-foreign-tourists-to-japan-hits-record-high-31-mil.-in-2018">Japan today : No. of foreign tourists to Japan hits record high 31.19 mil in 2018</a></li>
 	<li><a href="https://www.dailymail.co.uk/wires/afp/article-6597637/Japan-sees-record-31-million-tourists-2018.html">AFP : Japan sees record 31 million tourists in 2018</a></li>
</ul>
ภาพ Kazuhiro NOGI / AFP

ญี่ปุ่นฮิตต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวมาเยือน ทุบสถิติ 31.19 ล้านคนในปี 2018

เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เครือโรงแรม Hilton ส่งแบรนด์ ‘วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย’ สู่ตลาด แบรนด์ที่มีอายุ 87 ปีจาก New York เมื่อมาเปิดตัวในกรุงเทพฯ การออกแบบจึงใช้กลิ่นอายความหรูหราแบบ Art Deco ด้วยเส้นสายโลหะทองเหลืองผสานเข้ากับรายละเอียดศิลปะไทยที่สอดแทรกไว้

วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในอาคาร mixed-use แมกโนเลีย ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งมีทั้งคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และโรงแรมวอลดอร์ฟฯ ซึ่งส่วนโรงแรมจะใช้อาณาบริเวณชั้น 1-16 และชั้น 55-57 ของตึกรูปทรงโค้งมนและเล่นลวดลายเกลียวคลื่นสีขาวสื่อถึงกลีบดอกแมกโนเลียแห่งนี้

ในงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโรงแรมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2018 Martin Rinck รองประธานบริหารและหัวหน้าใหญ่กลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตสายลักชัวรี แอนด์ ไลฟ์สไตล์ เครือ Hilton รับหน้าที่อธิบายความเป็นมาของวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 แบรนด์ระดับลักชัวรีของเครือร่วมกับแบรนด์ Conrad ที่คนไทยรู้จักดี, แบรนด์ LXR และแบรนด์ Canopy

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fec01bc6c90ff77a274c5c7744c59a7c.jpg" alt="" width="638" height="356" /><figcaption> ภายนอกอาคาร โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ</figcaption></figure>

สำหรับวอลดอร์ฟ แอสโทเรียนั้นได้รับการก่อตั้งครั้งแรกโดย Conrad Hilton ตั้งแต่ปี 1931 ที่ New York ขณะนี้สาขา New York อยู่ระหว่างรีโนเวทใหม่พร้อมเปิดให้บริการอีกครั้งในปี 2021 และจะกลับมาด้วยห้องพักขนาด 650 ตร.ม. ซึ่งใหญ่ที่สุดใน New York

ทั้งนี้ ในภูมิภาคเอเชีย แบรนด์วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย เคยเปิดตัวมาแล้วที่ Beijing, Shanghai และ Chengdu ประเทศจีน การเปิดตัวที่กรุงเทพฯ จึงนับเป็นแห่งที่ 4 ของเอเชีย และจะตามมาด้วยการเปิดตัวที่มัลดีฟส์ปีหน้า

วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ออกแบบภายในโดยบริษัท AFSO และ AvroKO สถาปนิกชาวฮ่องกง Andre Fu จาก AFSO อธิบายคอนเซปท์การออกแบบของเขาโดยภาพรวมว่า เป็นการนำความทรงจำจากวอลดอร์ฟฯ สาขา New York ซึ่งเต็มไปด้วยงานดีไซน์แบบ Art Deco มาใช้ แต่ลดทอนสไตล์อเมริกันลงและเติมรายละเอียดศิลปะไทยลงไป

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4389f55489270e5a88689f651b4bb999.jpg" alt="" width="638" height="343" /><figcaption> โถงบันไดโค้งสีขาวผสานกับโลหะทองเหลือง</figcaption></figure>

การออกแบบของเขาทั้งส่วนล็อบบี้ ร้านอาหาร ห้องฟังก์ชันจัดเลี้ยงต่างๆ จึงเน้นวัสดุลายหินอ่อนสีขาวและสีน้ำตาลอ่อน ผสมกับการใช้โลหะทองเหลืองเป็นจุดร่วม วางเส้นสายแบบ Art Deco ที่ให้ความรู้สึกหนักแน่นตัดกับสีขาวที่อ่อนช้อย

บริเวณที่ Forbes Thailand ได้เข้าเยี่ยมชม อาทิ โถงก่อนขึ้นห้องบอลรูมซึ่งเป็นบันไดโค้งสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับงานแต่งงาน เชื่อมต่อกับห้องบอลรูมที่รองรับแขกได้ 330 คน เป็นห้องที่ Fu ออกแบบแชนเดอเลียร์สั่งทำด้วยดีไซน์คล้ายกับโคมที่ให้กลิ่นอายศิลปะไทย

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ddb2463cdbfe46351d139cef4d42dbeb.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> ห้องบอลรูม Art Deco กับแชนเดอเลียร์ที่อ้างอิงศิลปะไทย</figcaption></figure>

ด้าน The Brasserie บนชั้น Upper Lobby เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสออกแบบทางเดินรูปเกือกม้าในบรรยากาศผ่อนคลาย ชมวิวเมืองฝั่งราชกรีฑาสโมสรได้อย่างสบายตา

ส่วนในห้องพักแต่ละห้องนั้นเราได้ชมห้องพักแบบ 50 ตร.ม.และ 75 ตร.ม. ซึ่งตกแต่งด้วยสีน้ำตาลอ่อน ทั้งสองห้องมี walk-in closet ในตัวและอ่างอาบน้ำ การจัดสรรฟังก์ชันในห้องค่อนข้างแน่นพอสมควรแต่แลกมาด้วยวิวเมืองที่สวยงามของหน้าต่างบานกว้าง นอกจากนั้นแล้ว แขกในวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ จะได้รับบริการผู้ช่วยส่วนตัว (PA) ทุกห้อง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b359a2a771c70c2d98c21e99c5e06406.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> ห้องน้ำในชุดห้องพักแบบ Deluxe</figcaption></figure>

อีกหนึ่งพื้นที่ไฮไลต์ของวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ คือร้านอาหารและบาร์บนชั้น 55-57 ซึ่งส่วนนี้ออกแบบโดย William Harris จาก AvroKO ซึ่งใช้คอนเซปท์ภาพรวมแบบเดียวกับ Fu แต่สร้างความแตกต่างด้วยการใช้โทนสีดำเป็นหลัก เหมาะกับฟังก์ชันงานกลางคืนของบาร์

ชั้น 55 เริ่มต้นด้วยร้านอาหาร Bull &amp; Bear ชื่อเดียวกับร้านใน New York ที่ได้ไอเดียมาจากรูปปั้นกระทิงบน Wall Street โดย Harris ใส่ความเป็นไทยผ่านรูปแกะสลักไม้ Bull &amp; Bear ลวดลายไทยและทำโดยฝีมือช่างไทย รวมถึงโคมไฟเพดานที่ทำจากแก้วลายขนนกซึ่งเขาต้องการจะสื่อถึงขนของพญาครุฑ ร้านนี้เสิร์ฟอาหารทะเลและปิ้งย่างให้ได้หนักท้องก่อนขึ้นไปสู่บาร์ชั้นต่อไป

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9880a41e54de3ae7d46e9745a0ab8d7b.jpg" alt="" width="638" height="366" /><figcaption> ประติมากรรม Bull &amp; Bear และแชนเดอเลียร์ขนนกพญาครุฑ</figcaption></figure>

ชั้น 56 คือร้าน The Loft มีความแตกต่างจากชั้นล่างเพราะให้ความเป็นผู้หญิงมากกว่า ด้วยการผสานสีชมพูลงไปในตัวทองเหลือง บาร์ และโซฟา คอนเซปท์โดยรวมเป็นห้องของศิลปินสตรีที่เปิดบ้านให้ทุกคนเข้ามาสังสรรค์กับค็อกเทลสูตรเฉพาะและอาหารว่าง ประดับตกแต่งด้วยโต๊ะบาร์ขนาดใหญ่ที่เลอะสี กล่องเครื่องมือ และงานดราฟท์ภาพศิลปะที่ติดตามผนัง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4ce3077a73c3627d96b65021d3161d94.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> The Loft บาร์ค็อกเทลแบบอาร์ตนูโวสีชมพู</figcaption></figure>

ขึ้นสู่ชั้น 57 ผ่านทางบันไดสีทองหรูหราที่สื่อความเป็น Art Deco เต็มเปี่ยม ด้านบนคือ The Champagne Bar ครั้งแรกในกรุงเทพฯ ที่มีการเปิดบาร์แชมเปญโดยเฉพาะที่รวบรวมแชมเปญหลายแบรนด์จากหลายแหล่งผลิตมารวมไว้ รวมถึงการออกแบบพื้นที่ให้มีความเป็นส่วนตัว ลึกลับด้วยสีดำแบบผู้ชาย และวิวกรุงเทพฯ ในมุมที่น่าประทับใจ

จากการเยี่ยมชมมีเกร็ดที่น่าประทับใจของโรงแรมอย่างการเลือกลดการใช้พลาสติก โดยใช้หลอดโลหะทดแทน และให้น้ำดื่มในกล่องกระดาษแทนขวดพลาสติก รวมถึงการนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาใช้ เช่น เบียร์ในมินิบาร์ของห้องเป็นแบรนด์สิงห์ และ วาฬ คราฟท์เบียร์ของไทย

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/787a12de22f3f2f1bfdb1c152634ca15.jpg" alt="" width="638" height="291" /><figcaption> สระว่ายน้ำบนชั้น 16</figcaption></figure>

&nbsp;

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5baa112cea0659ef839b1d804cdc0320.jpg" alt="" width="638" height="444" /><figcaption> ​วิวราชกรีฑาสโมสรชั้น Upper Lobby จากร้าน The Brasserie</figcaption></figure>

 

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e1fbffbe86db0050ff9cb783c4fe44d4.jpg" alt="" width="638" height="638" /><figcaption> บันไดสีทองเชื่อมต่อชั้น 55-57</figcaption></figure>

&nbsp;

https://youtu.be/bmbk1lsLTwE

&nbsp;

Forbes Facts

เจ้าของผู้พัฒนาอาคารแมกโนเลีย ราชดำริ บูเลอวาร์ด คือ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) ภายใต้การนำของ <a href="http://forbesthailand.com/people-detail.php?did=100">ทิพาภรณ์ เจียรวนนท์</a> ลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ MQDC เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นพัฒนาโครงการระดับกลางถึงบนและโครงการ mixed-use ขนาดใหญ่ เช่น ไอคอนสยาม (ร่วมทุนกับสยามพิวรรธน์และเครือซีพี) วิสซ์ดอม 101 ปุณณวิถี และเดอะ ฟอเรสเทียส์ บนถนนบางนา-ตราด

&nbsp;

&nbsp;

วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ เส้นสายแห่ง Art Deco จาก New York สู่ Bangkok

<h2>ทันทีที่ รุจิราภรณ์ หวั่งหลี เจ้าของบริษัทออกแบบภายใน พี ไอ เอ อินทิเรีย ทำการล้างสีที่ปิดทับตัวตึกในที่ดิน ฮวย จุ่ง ล้ง ของตระกูลออกก็พบว่า ภายในมีภาพวาดแบบจีนเขียนอยู่อย่างชดช้อยบนผนัง เธอทราบในทันทีว่าตึกเก่าที่ต้องการจะบูรณะแห่งนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยิ่งไปกว่าที่คาด</h2>
Forbes Thailand มีโอกาสพูดคุยกับ ศรัณฐ์ หวั่งหลี ผู้บริหารโครงการ ล้ง 1919 ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นยิ่งของงานเปิดตัว ล้ง 1919 อย่างเป็นทางการ โดยมีแขกทั้งนักธุรกิจชื่อดังของไทยและดาราคนดังร่วมงานอย่างคับคั่ง

&nbsp;

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/10c147fd0c494f0e4c6db4b362615b5e.png" alt="" width="340" height="511" /><figcaption> ศรัณฐ์ หวั่งหลี ลูกชายของสุจินต์-รุจิราภรณ์ หวั่งหลี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ศรัณฐ์ ลูกชายของรุจิราภรณ์ รุ่น 5 ของตระกูลหวั่งหลีที่เป็นผู้นำร่วมกับมารดาในการบูรณะ ฮวย จุ่ง ล้ง เล่าความเป็นมาของที่ดินเก่าแก่ผืนนี้ว่า ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2393 หรือเมื่อ 167 ปีก่อน โดย พระยาพิศาลศุภผล (ชื่น พิศาลบุตร) เพื่อเป็นท่าเรือกลไฟขนส่งสินค้าระหว่างจีน-ไทยในชื่อ ฮวย จุ่ง ล้ง พื้นที่บริเวณคลองสานเนื้อที่ 6 ไร่ตรงข้ามกับถนนทรงวาด-เยาวราชแห่งนี้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าข้าวไทยกับสินค้าจีน เช่น ใบชา ผ้าไหม เครื่องกระเบื้องเคลือบแบบจีน

ที่ดินตกทอดในตระกูลของพระยาพิศาลศุภผล จนกระทั่ง ตันลิบบ๊วย รุ่น 2 ของตระกูลหวั่งหลีซึ่งมีบ้านในที่ดินติดกันต้องการหาพื้นที่สำหรับสร้างโกดังค้าข้าว จึงได้ซื้อที่ดิน ฮวย จุ่ง ล้ง มาในปี 2462 กว่า 40 ปีที่ ฮวย จุ่ง ล้ง มีชีวิตในฐานะคลังข้าวสำคัญของหวั่งหลีและมีการปลูกตึก 2 ชั้นอย่างที่เห็นในปัจจุบันเพื่อเป็นที่อยู่ของคนงาน

"สมัยก่อนเราอยู่กันแบบกงสี หมายถึงกงสีแบบโบราณจริงๆ ที่คนงานทุกคนจะกินอยู่กับเรา มีห้องนอนส่วนตัว แต่จะใช้ห้องน้ำรวมและครัวรวม ทำอาหารชุดใหญ่ทานร่วมกัน" ศรัณฐ์กล่าว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1f4b66196546811631d4a547ef75943c.png" alt="" width="680" height="580" /><figcaption> สภาพอาคารของ ฮวย จุ่ง ล้ง ที่ทรุดโทรมก่อนที่จะได้รับการบูรณะ</figcaption></figure>

&nbsp;

ต่อมาท่าเรือคลองเตยกำเนิดขึ้นและกลายเป็นศูนย์รวมการขนส่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ ฮวย จุ่ง ล้ง ลดความสำคัญลงและเลิกดำเนินการมากว่า 50 ปี ครอบครัวหวั่งหลีจึงปล่อยเช่าห้องพักคนงานให้คนทั่วไปเช่า ตั้งแต่ยุคที่อัตราค่าเช่าเริ่มเพียง 25 บาทต่อเดือนจนถึง 800 บาทต่อเดือน

ทว่า สภาพตึกที่ไม่ได้รับการบำรุงทรุดโทรมลงอย่างมาก ครอบครัวจึงตัดสินใจระงับการปล่อยเช่าเมื่อปี 2558 ขณะเดียวกัน บริเวณริมน้ำเจ้าพระยาในช่วงนั้นก็เริ่มกลับมาเจริญขึ้นด้วยโครงการต่างๆ อาทิ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์, ท่ามหาราช, ยอดพิมาน ริเวอร์วอล์ค, ไอคอนสยาม

รุจิราภรณ์ มองว่าพื้นที่นี้สามารถสร้างประโยชน์ได้จึงเป็นผู้นำเสนอในครอบครัวซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกันว่าควรพัฒนาโครงการบนที่ดิน ฮวย จุ่ง ล้ง โดยอาจจะเป็นโรงแรม ในระหว่างที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะพัฒนาเป็นโครงการแบบใด เธอก็ลงมือล้างสีที่ทาทับผนังออกก่อนเพราะไม่ว่าจะดัดแปลงเป็นโครงการแบบใด ขั้นตอนแรกที่ต้องทำก็คือ การล้างสี

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7e17fc4c0cce52e2afcb549dee15978a.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> การซ่อมและบูรณะภาพจิตรกรรมฝาผนังของล้ง 1919</figcaption></figure>

&nbsp;

"เราไม่เคยคิดว่าจะมีการทุบตึก เราคิดว่าการใช้โครงสร้างเดิมแต่เสริมความแข็งแรงจะง่ายกว่า แต่พอล้างสีออกก็พบว่ามีภาพเขียนสีแบบจีนอยู่ด้านในโดยที่เราก็ไม่เคยทราบมาก่อน ไม่แน่ใจว่าใครเป็นผู้ตัดสินใจทาสีขาวทับลงไปทั้งอย่างนั้น แต่กลายเป็นเรื่องดีที่ทำให้ภาพเหล่านี้อยู่รอดมาถึงปัจจุบัน ทางครอบครัวจึงมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีนมาที่นี่เพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการบูรณะอนุรักษ์ให้ตรงกับของเดิมมากที่สุด" ศรัณฐ์กล่าว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9503d3425de2713fdbca875af4062482.png" alt="" width="680" height="363" /><figcaption> จิตรกรรมฝาผนังที่ ล้ง 1919</figcaption></figure>

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d7dfdc06a942b5b87f4ca3ee2613280b.png" alt="" />

เมื่อมีภาพเขียนอายุร่วมร้อยปีประกอบกับอาคาร รุจิราภรณ์ ตระหนักถึงคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ที่มากยิ่งขึ้นและสรุปแนวคิดได้ว่าจะบูรณะที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์เพื่อให้สังคมได้ศึกษาและสัมผัส โดยเธอเป็นแม่งานจัดตั้ง บริษัท ซิโน พอร์ท จำกัด ซึ่งมี บริษัท หวั่งหลี จำกัด ถือหุ้น 30% และอีก 70% เป็นการถือในนามบุคคลของลูกหลานตระกูลหวั่งหลีเฉพาะกลุ่มที่ยังคงอาศัยอยู่ในประเทศไทยและผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ที่สนใจโครงการ บริษัทซิโน พอร์ท ได้ลงทุนหลักร้อยล้านบาทเนรมิตคืนชีวิตที่นี่ในนาม ล้ง 1919

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ad41e08776f66f7a450d762dc9e031f2.png" alt="" width="340" height="515" /><figcaption> รุจิราภรณ์ หวั่งหลี สะใภ้ตระกูลผู้เป็นแม่งานใหญ่ในการพัฒนาโครงการ ล้ง 1919</figcaption></figure>

&nbsp;

“ตรงนี้อยากให้คนมองเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เป็นที่ส่วนบุคคลที่เปิดให้คนเข้ามาสักการะ ศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว เข้ามาดูสถาปัตยกรรมที่ยังเหลือ และเราก็มีร้านค้าของสวยงามอีก 6-7 ร้านที่เหมาะกับสถานที่เข้ามาเปิด เป็นร้านขายงานฝีมือและศิลปะ เช่น เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้าเครื่องประดับ เครื่องหอม และมีร้านอาหารอีก 4 ร้าน นอกจากนี้ก็มีสถานที่จัดอีเวนท์ทั้งในร่มและกลางแจ้ง ที่นี่จะสร้าง character ที่แตกต่างให้กับการจัดแสดงสินค้า เช่น ถ้าคุณจัดแสดงรถยนต์ที่ไบเทคก็เป็นแบบหนึ่ง แต่ถ้ามาที่ล้งก็จะได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่ง และเราก็เปิดรับการจัดงานอีเวนท์เทศกาลออกร้านต่างๆ ด้วย”

ศรัณฐ์ กล่าวว่า ในเชิงธุรกิจแล้วครอบครัวไม่ได้คาดหวังการทำกำไรมหาศาลกับล้ง 1919 เพียงต้องการให้พื้นที่คืนสู่สังคมและสร้างประโยชน์ได้มากขึ้นกว่าเมื่อครั้งปล่อยเช่าห้องพักทั่วไป จึงไม่ได้มีการติดต่อบริษัททัวร์เป็นกิจจะลักษณะ โดยคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนราว 12% ต่อปีและสามารถคืนทุนได้ใน 5 ปี ที่สามารถคืนทุนได้เร็วเนื่องจากการลงทุนทั้งหมดไม่มีการขอสินเชื่อจึงปลอดดอกเบี้ย

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ada5de8082d063001b17e8a9f57d1f61.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> บรรยากาศในโครงการ</figcaption></figure>

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8289d4f8011762e2bb0c5642bb5db160.png" alt="" />

“เราไม่รู้จริงๆ ว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นใคร แต่คาดหวังให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบ FIT (นักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเอง) เข้ามา และหวังว่าทัวร์จะเห็นว่าล้ง 1919 เหมาะเป็นจุดแวะพัก” ศรัณฐ์กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ ล้ง 1919 บนถนนเชียงใหม่ เขตคลองสาน เปิดบริการแล้วตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย. 60 เวลา 8.00-22.00น. สามารถเดินทางมาโดยใช้บริการเรือข้ามฟากท่าเรือสวัสดี-ท่าเรือวัดทองธรรมชาติ/หวั่งหลี หรือโดยรถส่วนตัว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7be50ca29653425aa35cc669db80877a.png" alt="" width="680" height="491" /><figcaption> โครงการล้ง 1919 ได้รับเกียรติจาก กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขึ้นกล่าวปาฐกถาเปิดงานอย่างจับใจถึงคุณค่าของการอนุรักษ์สถานที่ทางประวัติศาสตร์และพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นหัวใจสำคัญของประเทศ</figcaption></figure>

&nbsp;

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/48943c14620aacd1613fdfc14391db55.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว</figcaption></figure>

 

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ee1d63055b15a9208810fa1685732640.png" alt="" width="680" height="383" /><figcaption> โครงการล้ง 1919 จากมุมมองทางอากาศ</figcaption></figure>

&nbsp;

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events