<h2>จะเป็นอย่างไรหากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสกัดน้ำมันจากหินดินดานสามารถนำมาปรับใช้เพื่อปลดล็อกพลังงานสะอาดจากความร้อนใต้เปลือกโลกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด?&nbsp;Tim Latimer ได้ระดมทุนมากกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากนักลงทุน เช่น Bill Gates, Jeff Bezos และ Mark Zuckerberg เพื่อทำให้ความฝันพลังงานสีเขียวของเขากลายเป็นจริง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Tim Latimer ชื่นชอบการขุดมาตลอด “ตอนที่ผมอายุ 7 ปี ผมตัดสินใจว่าผมอยากจะขุดหลุมลงไปในดินและก็ลงมือขุดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 สัปดาห์” เขาเล่าถึงอดีต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมเคยดูรายการทีวีเกี่ยวกับบ้านใต้ดินสุดเจ๋งและอยากสร้างเป็นของตัวเอง” ต่อมาในปี 2008 ตอนช่วงวัยรุ่นเขาเห็น Sandy Creek Energy Station ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่สูงตระหง่านเหนือภูมิประเทศชนบทที่ราบเรียบ โรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นเป็นแห่งสุดท้ายในสหรัฐฯ โดยอยู่ห่างจากบ้านของเขาในเมือง Riesel รัฐ Texas เพียง 5 กิโลเมตร “ภาพดังกล่าวได้กลายเป็นความทรงจำชัดเจนในใจ พลังงานคือสิ่งจำเป็นในชีวิตของเรา แต่การพัฒนาเหล่านั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความหลงใหลในการขุดและการผลิตพลังงานเป็นส่วนผสม 2 อย่างที่นำพาให้ Latimer ซึ่งอยู่ในวัยเพียง 35 ปี และผู้เป็นศิษย์เก่าทำเนียบ Forbes 30 Under 30 ปี 2019 ได้ก้าวไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจกลายเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในภารกิจเสาะหาพลังงานสะอาดไร้คาร์บอนหรือเป็นแค่ความเพ้อฝันราคาแพง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในฐานะซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Fervo Energy ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐ Houston เขาได้ระดมทุนไปมากกว่า 400 ล้านเหรียญเพื่อพัฒนาโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพ (เกิดจากความร้อนจากแกนกลางของโลก) ที่แทบเรียกได้ว่า มีปริมาณอยู่อย่างไม่จำกัด ซึ่งมาจากหินร้อนจัดที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินอย่างน้อย 8,000 ฟุตโดยใช้เทคนิค “แฟรกกิ้ง” อันเป็นกระบวนการเดียวกับที่ใช้ในการสกัดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ร่วมลงทุนใน Fervo มีตั้งแต่ Mitsubishi Heavy Industries, บริษัทผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซแบบดั้งเดิม, Mark Zuckerberg และ Breakthrough Energy Ventures กองทุนเงินร่วมทุนที่มุ่งเน้นธุรกิจด้านการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจัดตั้งโดย Bill Gates และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มมหาเศรษฐีอย่าง Jeff Bezos, Michael Bloomberg, Ray Dalio และ Reid Hoffman <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/GExMkt5ptWfYjYW6gN9z.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="GExMkt5ptWfYjYW6gN9z.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า Fervo วางแผนที่จะใช้แท่นขุดเจาะขนาดความสูง 166 ฟุตในการขุดหลุมเจาะทั้งหมด 80 หลุม (หรือบางครั้งเรียกว่าบ่อ) ใน Escalante Desert ใกล้กับเมือง Milford รัฐ Utah ขนาดของแต่ละหลุมจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 นิ้วลึกลงไปในแนวตั้งราว 1 ไมล์ครึ่ง และจากนั้นจึงหมุนและเจาะไปในแนวนอนอีกเกือบ 1 ไมล์ ซึ่งขณะนี้ Fervo ทำการขุดเจาะไปแล้ว 20 หลุม กระบวนการนี้เป็นขั้นตอนการขุดเจาะที่ยากลำบากผ่านหินแกรนิตที่มีความร้อนสูงเกือบ 400 องศาฟาเรนไฮต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเสร็จสิ้นการขุดเจาะแล้วจะทำการฉีดน้ำผสมทรายด้วยกำลังอัดแรงสูงเข้าไปเพื่อให้ชั้นหินแตกตัวออก Fervo ใช้เซนเซอร์ในการระบุตำแหน่งที่รอยแตกได้ขยายออกไปจากนั้นจึงเจาะบ่อถัดไปโดยให้รอยแตกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากบ่อใหม่บรรจบกับรอยแตกของบ่อก่อนหน้า เมื่อทั้งสองบ่อพร้อมแล้ว Fervo จะอัดฉีดน้ำเย็นลงไปในบ่อใดบ่อหนึ่งเพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่รอยแตกในชั้นหิน น้ำจะทำให้หินมีอุณหภูมิลดลงและกลายเป็นไอน้ำที่จะแทรกตัวขึ้นมายังพื้นดินผ่านบ่อที่ 2 เพื่อใช้เป็นพลังงานความร้อนในการหมุนกังหัน บ่อแต่ละคู่จะมีกระบวนการทำงานแบบปิดโดยไอน้ำที่เย็นลงและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำจะถูกปล่อยกลับลงไปใต้ดินผ่านบ่อแรกเพื่อเข้าสู่วงจรทำให้กลายเป็นไออีกครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาหลังจากเช่าที่ดินไม่ถึง 4 ปี Latimer ได้รับใบอนุญาตสำคัญจากรัฐบาลกลางเพื่อขยายโครงการใน Utah ของ Fervo ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Cape Station ณ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพแห่งนี้เขาวาดหวังที่จะผลิตไฟฟ้า 2,000 เมกะวัตต์ (2 กิกะวัตต์) ด้วยพลังงานสะอาดจากความร้อนใต้พื้นผิวโลกที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนด้วยงบประมาณ “หลายพันล้านเหรียญ” ภายในปี 2030 โดยจะเป็นแหล่งไฟฟ้าที่เพียงพอสำหรับบ้านมากกว่า 2 ล้านครัวเรือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พลังงานความร้อนใต้พิภพที่ได้จากกระบวนการแฟรกกิ้ง “จะนำโลกเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิวัติพลังงานสะอาดดั่งที่เคยเกิดการเปลี่ยนสู่แหล่งพลังงานน้ำมันและก๊าซ” Latimer กล่าว National Renewable Energy Laboratory ระบุว่า หินร้อนใต้ผิวดินเหล่านี้อาจผลิตพลังงานได้ถึง 12% ของปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ภายในปี 2050&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พลังงานเหล่านี้จะไม่ได้มีราคาถูกหรืออย่างน้อยก็ในช่วงแรก แต่ Latimer หวังว่าต้นทุนการผลิตจะดิ่งลงเมื่อเวลาผ่านไปเหมือนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาราคาถูกลงกว่า 80% ด้วยค่าใช้จ่ายเพียง 6 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (คำนวณรวมทั้งค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและเงินอุดหนุนจากรัฐบาล) ทำให้ขณะนี้พลังงานแสงอาทิตย์มีต้นทุนต่ำกว่าและเอาชนะพลังงานจากถ่านหินที่ 12 เซนต์ หรือก๊าซธรรมชาติที่ 8 เซนต์ตามการคำนวณของ&nbsp;Lazard&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ Samuel Noynaert แห่ง Texas A&amp;M&nbsp;University ซึ่งศึกษาเรื่องพลังงานความร้อนใต้ผิวดินมานานหลายทศวรรษได้ชี้ถึงตัวเลขคาดการณ์ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ&nbsp;ที่ระบุว่า จะต้องใช้เงินทุนประมาณ 2.5 หมื่นล้านเหรียญในการผลักดันให้พลังงานความร้อนใต้พิภพก้าวขึ้นเป็นแหล่งพลังงานทดแทนในเชิงพาณิชย์ และอีก 2.5 แสนล้านเหรียญที่จะขยายกำลังการผลิตให้ถึง 100 กิกะวัตต์ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอสำหรับจ่ายไฟให้กับรัฐ Texas&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากดำเนินการแล้วเสร็จไป 20 บ่อ Fervo สามารถลดเวลาในการขุดเจาะบ่อลงจาก 70 วันเหลือ 21 วัน และลดต้นทุนค่าขุดเจาะลงไปราวครึ่งหนึ่ง Latimer ประเมินว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโครงการ Cape Station จะลดลงเหลือ 4.5 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงในที่สุดซึ่งจะใกล้เคียงกับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมขนาดใหญ่ระดับสาธารณูปโภคที่สร้างขึ้นใหม่ เรื่อง: Christopher HELMAN, เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา,&nbsp;ภาพ: Jamel Toppin​​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/insights/commentaries/%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99" alt="เศรษฐกิจหมุนเวียน ในพลาสติกรีไซเคิล">เศรษฐกิจหมุนเวียน ในพลาสติกรีไซเคิล</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-353931-Forbes-Thailand-March-2025" alt="อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-353931-Forbes-Thailand-March-2025" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-353931-Forbes-Thailand-March-2025" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/hkg9142rXR8ppMWSwFfW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="hkg9142rXR8ppMWSwFfW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="300,394" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-353931-Forbes-Thailand-March-2025" style="width: 300px; height: auto;" data-index="1"></a></figure></div><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-353931-Forbes-Thailand-March-2025" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-353931-Forbes-Thailand-March-2025" data-image-link="image"> </a></figure></div>

‘Tim Latimer’ ดาวแห่งโลกขุดเจาะ นักพัฒนาโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพ

<h2>Elon Musk เอาชนะคู่แข่งมหาเศรษฐีทั่วโลก และในปีเดียวกันนั้นเรายังเห็นเขาปูทางสู่การสร้างอิทธิพลทางการเมืองอย่างแข็งแกร่ง </h2> &nbsp; &nbsp; ช่วงที่ผ่านมาแม้จะอยู่ตำแหน่งอันดับ 2 มาตลอด แต่ล่าสุด Elon Musk ขึ้นครองแชมป์มหาเศรษฐีอันดับ 1 และกลายเป็นบุคคลผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกของปี 2025 ภายใต้การจัดอันดับของ Forbes&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักธุรกิจวัย 53 ปี ผู้มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างโดดเด่นจนทั่วโลกต้องจับตามอง และเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาคนสนิทของประธานาธิบดี Donald Trump โดย Elon Musk มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 342,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ณ 7 มี.ค. 2025) ไม่เพียงแต่เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่ยังเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดเท่าที่ Forbes มีการจัดอันดับมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Elon Musk ยังสูงมหาเศรษฐีอันดับ 2 อย่าง Mark Zuckerberg ถึง 118,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมูลค่าส่วนต่างทรัพย์สินที่เราเห็นกันนี้ยังมากกว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Bill Gates และใกล้เคียงกับมูลค่าทางการตลาดของบริษัท Spotify&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน Bernard Arnault แห่ง LVMH ผู้เคยครองตำแหน่งมหาเศรษฐีโลกอันดับ 1 ของโลกในปี 2023-2024 ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิราวครึ่งหนึ่งของ Elon Musk อยู่ที่ 178,000 ล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับตั้งแต่การจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกในปีที่ผ่านมา มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Elon Musk เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 75% หรือกว่า 147,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขามูลค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้แต่ Tesla ที่มูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 90% ภายในคืนก่อนการเลือกตั้ง ถึงแม้จะปรับตัวลงในช่วงสิ้นเดือน ธ.ค. แต่ในเชิงมูลค่ายังเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับการจัดอันดับครั้งก่อนหน้า ทว่าล่าสุด SpaceX ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงสุดโดยตัวบริษัทมูลค่าสูงถึง 350,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา (Elon Musk ถือหุ้นใน SpaceX ราว 42% และ Tesla ราว 13% ยกเว้นสัญญา options)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ Elon Musk บริษัท xAI ได้ระดมทุนจากนักลงทุนกว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา บริษัทนี้ยังมีมูลค่าสูงถึง 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนก่อนหน้า แม้แต่บริษัทด้านโซเชียลมีเดียอย่าง X เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ผ่านการปรับโครงสร้างด้านการเงิน และวันศุกร์ที่ผ่านมา Musk ยังประกาศว่า xAI กำลังเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ X ซึ่งมูลค่าสุทธิของกิจการอยู่ที่ 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นส่วนหุ้น 33,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หนี้สิน 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตัวเลข 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่ามูลค่าสูงกว่าตอนที่ Musk เข้าซื้อ Twitter ในปี 2022 ที่มูลค่าราว 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อคำนวณจากมูลค่าของดีลนี้คาดว่า xAI เมื่อรวมบริษัทใหม่อาจมีมูลค่าสุทธิของกิจการกว่า 113,000 ล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อย้อนกับไปดูจุดเริ่มต้นที่ Elon&nbsp;Musk เข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีโลกของ Forbes ติดต่อกันในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจากปี 2012 ที่เขามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงนั้น SpaceX มีมูลค่าเพียง 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ และ Tesla มีมูลค่าตลาดน้อยกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2015 ถึงช่วงต้นปี 2020 ความมั่งคั่งของ Musk เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่สม่ำเสมอ จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตสู่ 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระทั่งเข้าสู่ช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 มูลค่าหุ้นที่เขาถืออยู่กลับพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว จากการที่นักลงทุนกระหน่ำเข้าซื้อหุ้น Tesla จนราคาเรียกว่าพุ่งทะยานไปถึงดวงจันทร์ และทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Musk แตะ 151,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2021 และเพิ่มขึ้นสู่ 219,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีถัดมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความร่ำรวยย่อมมาพร้อมกับอำนาจ ระหว่างที่ความมั่งคั่งของ Musk เพิ่มพูนขึ้น เขาเริ่มใช้สิ่งที่มีอยู่มาสร้างอิทธิพลทางการเมืองและกลายเป็นผู้เล่นในสนามการเมืองสหรัฐฯ ที่หลายคนจับตามอง โดย Musk เป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้กับแคมเปญหาเสียงของ Donald Trump ซึ่งใช้เม็ดเงินเกือบ 300 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงการเลือกตั้งปี 2024 ขณะเดียวกันยังใช้ X ให้กลายเป็นกระบอกเสียงที่สนับสนุนของ MAGA (Make America Great Again) และนี่ได้สร้างผลตอบแทนให้เขาอย่างมากเมื่อ Musk กลายเป็นบุคคลที่ความมั่งคั่งสูงถึง 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือน ธ.ค. 2024 เมื่อมูลค่าตลาดของ Tesla สร้างสถิติ All-Time High กว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่าในฐานะที่ปรึกษาอันดับต้นๆ ของ Trump และตำแหน่งผู้บริหารของหน่วยานที่ตั้งขึ้นใหม่อย่าง Department of Government Efficiency (DOGE) ทำให้ Elon Musk ได้สร้างอิทธิพลทางการเมืองในวงกว้าง ครอบคลุมรัฐบาลกลาง รวมถึงเส้นทางที่อาจจะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจที่เขามีอยู่ในมือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Starlink บริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ SpaceX มีการรายงานว่า จะเซ็นสัญญากับสำนักงานการบินแห่งสหพันธรัฐ (FAA) ในมูลค่าดีลกว่า 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐมีแผนที่จะซื้อรถหุ้นเกราะจาก Tesla ในเดือนก.ย. แต่หลังจากนั้นก็ถูกพับแผนไปเมื่อเจอเสียงคัดค้านจากประชาชน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Elon Musk ยังไม่มีท่าทีจะลดบทบาททางการเมืองลง เห็นได้จากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาเดินทางไปที่รัฐ Wisconsin พยายามทุ่มเม็ดเงินเพื่อใช้อิทธิพลของเขาในการเลือกตั้งศาลสูงสุดรัฐวิสคอนซิน โดยในวันอาทิตย์ Musk ประกาศให้เช็ค 1 ล้านเหรียญสหรัฐแก่ 2 บุคคลที่หนุนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขา (ลงชื่อสนับสนุนในคำร้องที่ Elon Musk ต้องการ) ซึ่งโดยรวมแล้ว Musk และกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาได้ทุ่มเม็ดเงินกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อมีอำนาจเหนือการเลือกตั้งครั้งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Elon Musk อาจเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของโลก แต่สายตาของยังคงจับจ้องไปยังอวกาศที่กว้างใหญ่สู่เป้าหมายที่วางไว้อย่าง ดาวอังคาร จากสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่ Trump ให้คำมั่นว่าจะนำนักบินอวกาศสหรัฐไปสู่ดาวอังคาร ซึ่ง Elon Musk ได้เพิ่มเติมว่า ‘เราจะพา DOGE ไปให้ถึงดาวอังคาร’ เรื่อง: John Hyatt ภาพ:&nbsp;Forbes​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kresearch-earthquake-mar-2025" alt="วิจัยกสิกรฯ คาดแผ่นดินไหวปี 68 กระทบเศรษฐกิจไทยลบ 0.06% เสี่ยงโตต่ำ 2.4% จากความเสียหายเกิน 20,000 ล้าน"></a><a href="https://forbesthailand.com/forbes-lists/world-billionaire/world-billionaires-list-2025" alt="10 อันดับมหาเศรษฐีโลก ประจำปี 2025">10 อันดับมหาเศรษฐีโลก ประจำปี 2025</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘Elon Musk’ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกประจำปี 2025

<h2>นอกจากครอบครัว บุคคลสำคัญทางการเมือง และผู้นำรวมถึงตัวแทนผู้นำจากต่างประเทศแล้ว บุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้าร่วมในพิธีสาบานตนของประธานาธิบดี Donald Trump ในคืนนี้ยังมีบรรดามหาเศรษฐีและผู้บริหารบริษัทระดับโลกหลายคนด้วยกัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่ว่าจะเป็น Elon Musk แห่ง Tesla, Jeff Bezos แห่ง Amazon, Mark Zuckerberg แห่ง Meta, Tim Cook ซีอีโอ Apple รวมถึง Sundar Pichai ซีอีโอ Google และพวกเขาเหล่านี้คือเจ้าของทรัพย์สินที่มีรวมกันแล้วมีมูลค่าหลายแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/4Xnqr7HQxuckbP5WAL3P.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4Xnqr7HQxuckbP5WAL3P.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/wiZdE6SCUvkVQbuQSwoQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wiZdE6SCUvkVQbuQSwoQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,505" style="" data-index="1"></figure></div>​​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/aVPNf4XakUn3hEdFgkrw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aVPNf4XakUn3hEdFgkrw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/america/mark-zuckerberg-points-out-apple-not-develop-new-innovations" alt="Mark Zuckerberg ชี้ Apple ไม่พัฒนา 'นวัตกรรม' ใหม่ๆ ตอกย้ำยอดขาย iPhone ที่โดนคู่แข่งแซงหน้า">Mark Zuckerberg ชี้ Apple ไม่พัฒนา 'นวัตกรรม' ใหม่ๆ ตอกย้ำยอดขาย iPhone ที่โดนคู่แข่งแซงหน้า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘มหาเศรษฐีโลก’ ตบเท้าเข้าร่วมพิธีสาบานตนของ Donald Trump

<h2>หลังจากกู้เงิน 125,000 เหรียญสหรัฐฯ มาซื้อร้านแซนด์วิชในท้องถิ่น ตอนอายุ 17 ปี Peter Cancro ก็สร้าง Jersey Mike’s จนกลายเป็นหนึ่งในเครือร้านอาหารที่โตเร็วที่สุดของอเมริกาด้วยยอดขายเกือบ 4 พันล้านเหรียญ และคราวนี้เศรษฐีหลายพันล้านต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ว่าอยากขายกิจการหรือยังหิวความสำเร็จอยู่ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Brooks Brothers ผ้าอ็อกซ์ฟอร์ดสีฟ้าขึ้น พลางเข้าไปยืนเป็นหัวแถวในสายการประกอบแซนด์วิช ด้วยลีลาการขยับข้อมือที่ฝึกมาอย่างดี เจ้าของและซีอีโอวัย 67 ปี ของ Jersey Mike’s ใช้มีดเฉือนขนมปังอบใหม่ยาว 15 นิ้วอย่างรวดเร็ว ทางขวาของเขามีพนักงานผูกผ้ากันเปื้อนสีกรมท่ากำลังหั่นเนื้อสัตว์ก้อนสีชมพูด้วยเครื่องหั่น พวกเขาช่วยกันทำแซนด์วิช Cancro Special ที่มีเนื้ออบและเปปเปอโรนีวางซ้อนบนชีสโปรโวโลเน โรยด้วยผักกาดหอมและมะเขือเทศ ราดซอสสูตรเฉพาะของร้านที่ผสมน้ำมัน น้ำส้มสายชู และออริกาโนจนฉ่ำ Jersey Mike’s ทำแซนด์วิชทุกชิ้นสดต่อหน้าลูกค้าโดยใช้เนื้อสัตว์คุณภาพสูงที่หั่นหรือย่างตามออร์เดอร์ “ไปดูทั่วประเทศได้เลย ไม่มีใครทำเหมือนเรา” Cancro อวดขณะบรรจงใช้กระดาษห่ออาหารกลางวันของเขาเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Cancro ทำแซนด์วิชอยู่ที่ร้านแซนด์วิชในเมือง Point Pleasant ย่านชายฝั่ง Jersey Shore มาตั้งแต่ปี 1971 ตั้งแต่เขาอายุ 14 ปี ร้านซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Jersey Mike’s แห่งนี้ ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ หลังตึกผนังอิฐสีน้ำตาลที่ไม่สะดุดตา ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1956 และปัจจุบันเป็นศูนย์การฝึกอบรมที่ Cancro กับทีมของเขาใช้สอนเจ้าของร้านแฟรนไชส์รายใหม่เพื่อให้ทำร้านตามแบบฉบับร้านเดลี (deli) กิจการครอบครัวที่คุณภาพดี โดยผู้เข้ารับการฝึกต้องเรียนกระทั่งประวัติศาสตร์ของรัฐ New Jersey ด้วย “คนมองว่าเราเป็นร้านแซนด์วิชท้องถิ่น ไม่ได้คิดว่าเราเป็นเครือใหญ่” Cancro กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขายืนยันว่าความใส่ใจทุกรายละเอียดของเขาคือ ซอสสูตรลับที่ช่วยให้ Jersey Mike’s กลายเป็นหนึ่งในเครือร้านฟาสต์ฟู้ดที่โตเร็วที่สุดในประเทศด้วยรายได้รวมเกือบ 4 พันล้านเหรียญจากร้านทั้งหมด 3,000 สาขา (99% เป็นร้านแฟรนไชส์) และเงินนี้ก็เป็นแหล่งทรัพย์สินกองใหญ่ของ Cancroด้วย เมื่อดูจากมูลค่ากิจการและเงินปันผลที่เขาได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าของ Jersey Mike’s หนึ่งเดียวคนนี้มีทรัพย์สินประมาณ 5.6 พันล้านเหรียญ มากกว่า Mark Cuban หรือ Steven Spielberg และมากเป็น 2 เท่าของ Jimmy John Liautaud ผู้ก่อตั้ง Jimmy John’s&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แบรนด์ Jersey Mike’s ของ Peter Cancro สุดยอดมาก” เศรษฐีพันล้านคู่แข่งในวงการแซนด์วิชกล่าว เขาขายกิจการให้ Inspire Brands ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทไพรเวทอิควิตี้ Roark Capital ไปเมื่อปี 2019 แต่ยังเป็นประธานกรรมการของ Jimmy John’s อยู่ “เขาแซงผมไปลิ่วเลย”<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/xdx2KpJmS3peNnskusfd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xdx2KpJmS3peNnskusfd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,821"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามข้อมูลของ Technomic บริษัทที่ปรึกษาด้านบริการอาหารระบุว่า ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา Jersey Mike’s มียอดขายเติบโตเฉลี่ย 20.2% ต่อปี และมีรายได้ก้าวกระโดดจาก 1.3 พันล้านเหรียญในปี 2019 ไปเป็น 3.3 พันล้านเหรียญในปี 2023 มีเครือร้านอาหารอื่นๆ ในสหรัฐฯ 4 รายเท่านั้นที่โตเร็วกว่านี้ ได้แก่ Cava ร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียนแบบ fast-casual (อาหารจานด่วนที่คุณภาพดีกว่าฟาสต์ฟู้ดทั่วไป) ร้านไก่ทอด Raising Cane’s และอีก 2 รายเป็นเครือร้านกาแฟไดร์ฟทรู Scooter’s และ Dutch Bros&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Jim Salera นักวิเคราะห์ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่บริษัทวาณิชธนกิจ Stephens กล่าวว่า Jersey Mike’s และเครือร้านอาหารเหล่านี้ได้อานิสงส์ร่วมกันจากเทรนด์อาหารจานด่วนแบบ “หรูแต่ไม่แพง” ที่กำลังเฟื่องฟู “[ลูกค้า] มองหาจุดกึ่งกลางระหว่างคุณภาพกับราคา” Salera กล่าวและเสริมว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Jersey Mike’s มีรายได้สูงกว่ากลุ่มลูกค้าที่เข้าร้าน McDonald’s และ Burger King นี่คือเหตุผลที่ Jersey Mike’s ตั้งราคาแซนด์วิชชิ้นใหญ่ที่สุดได้ถึง 19 เหรียญ และยังทำกำไรสุทธิเฉลี่ยต่อร้านได้เกือบ 160,000 เหรียญต่อปีตามการประเมินของ Forbes&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Cancro เดินหน้าอย่างไม่หยุดนิ่งด้วยแผนการเปิดร้านอีก 5,000 สาขาในช่วง 5 ปีข้างหน้า และอีก 300 สาขาที่แคนาดาในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยเป้าหมายคือการมีร้านมากกว่า 10,000 สาขา (แต่ Subway ก็ยังมีสาขาในสหรัฐฯ มากกว่านั้นประมาณ 2 เท่า) Cancro ผลักดันการขยายธุรกิจด้วยการกระหน่ำโฆษณา เขาทุ่มงบประมาณเกือบ 600 ล้านเหรียญไปกับการตลาดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เช่น จ้าง Danny DeVito มาแสดงโฆษณา ซึ่งดาราชาว Jersey Shore โดยกำเนิดคนนี้เปิดตัวในฐานะโฆษกชื่อดังคนแรกของ Jersey Mike’s เมื่อปี 2022&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คำถามสำคัญคือ Jersey Mike’s จะคงรักษาความเป็นกิจการบ้านเกิดไปได้อีกนานแค่ไหนในเมื่อเครือนี้กำลังเติบโตแบบทวีคูณไปทั่วประเทศ และแน่นอนว่าต้องบอกปัดข้อเสนอขอซื้อกิจการอันแสนจะยั่วยวน คู่แข่งใหญ่ที่สุด 3 รายคือ Subway, Jimmy John’s และ Firehouse Subs ต่างขายกิจการให้บริษัทเงินทุนรายใหญ่ไปแล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่วน Cancro เองก็ดูเหมือนเตรียมตัวจะวางมือเช่นกัน เขาซื้อบ้านที่เมือง Miami ซึ่งมีนโยบายเอื้อประโยชน์เรื่องภาษีและอยู่ที่นั่นปีละ 6 เดือนในช่วงที่ไม่ได้ออกเดินสายเยี่ยมร้านแฟรนไชส์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อต้นปีนี้มีข่าวลือว่า Blackstone เสนอขอซื้อกิจการจาก Cancro ด้วยราคา 8 พันล้านเหรียญ Cancro ปฏิเสธเรื่องที่คนลือกันว่าเขาเกือบจะตกลงไปแล้ว แต่ยอมรับว่าช่วงหลายปีมานี้เขาได้พูดคุยกับหลายคนจริง แม้ Jersey Mike’s จะเป็นบริษัทใหญ่แต่ก็ยังมีความเป็นกิจการครอบครัวในหลายแง่มุม Tatiana ภรรยาที่อยู่ด้วยกันมา 11 ปีทำงานที่นี่ เช่นเดียวกับลูกๆ ของ Cancro 3 ใน 4 คน และ John พี่ชายวัย 70 ปีของเขา ส่วนพนักงานก็มีทั้งเพื่อนๆ และเพื่อนบ้าน (พนักงานเกือบทั้งหมดจาก 185 คนที่สำนักงานใหญ่ในเมือง Manasquan รัฐ New Jersey เป็นคนท้องถิ่น) “ทำงานที่นี่ก็คล้ายๆ เข้าแก๊งมาเฟีย” Stephen Reid ผู้นำสายงานประชาสัมพันธ์ของ Jersey Mike’s และอดีตนายกเทศมนตรีเมือง Point Pleasant Beach พูดติดตลก เขาเคยทำงานที่ร้านสาขาแรกและกลับมาทำงานกับ Cancro เต็มตัวอีกครั้งเมื่อปี 2019&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทนี้จะขายกิจการไหม? ก็อาจจะขาย แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเมื่อไร “ถ้าหมดสนุกเมื่อไรเขาก็คงวางมือ แต่เขายังไม่หยุดจนกว่าจะถึงวันนั้น” John Cancro กล่าว เรื่อง: JEMIMA McEVOY เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง ภาพ: Jamel Toppin ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/tsmc-taiwan-catching-ai-trend" alt="เกาะกระแส AI พุ่ง บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ไต้หวันคว้าโอกาสสร้างการเติบโต"></a><a href="https://forbesthailand.com/world/america/kings-hawaiian-mark-taira-2024" alt="Mark Taira ผู้เปลี่ยนร้านเบเกอรี่ครอบครัว ให้เติบโตสู่ทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านเหรียญ">Mark Taira ผู้เปลี่ยนร้านเบเกอรี่ครอบครัว ให้เติบโตสู่ทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านเหรียญ</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="300,394" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" style="width: 300px; height: auto;" data-index="1"></a></figure></div>

Peter Cancro กับเส้นทางการปั้น ‘Jersey Mike’s’ เครือร้านอาหารยักษ์ใหญ่ในอเมริกาที่มียอดขายเกือบ 4 พันล้านเหรียญ 

<h2>​Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft และมหาเศรษฐีเจ้าของทรัพย์สินมูลค่าหลักแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เผย ควรเก็บภาษีคนรวยที่อัตรา 62% แน่นอนว่ารวมตัวเขาเองด้วย แม้จะทำให้ความมั่งคั่งของเขาลดลงไปหลายหมื่นล้านเหรียญก็ตาม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในซีรีส์สารคดี What's Next? The Future with Bill Gates ที่เริ่มออกอากาศผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิง Netflix เมื่อเดือนกันยายน 2024 ที่ผ่านมา Bill Gates อดีตซีอีโอแห่ง Microsoft และ Bernie Sanders สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ผู้มีแนวคิดต่อต้านมหาเศรษฐีได้มาร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าด้วยความมั่งคั่งและระบบภาษี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อผู้สัมภาษณ์ถาม Gates ว่า เขาคิดว่าตัวเอง ‘รวยเกินไป’ หรือเปล่า มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ไม่ได้ตอบไปตามตรงว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่เขาเผยความรู้สึกว่าบุคคลที่ร่ำรวยควรแบ่งปันความมั่งคั่งของตัวเองกับมวลมนุษยชาติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เป็นเรื่องบ้ามากที่มีตัวตนอย่างมหาเศรษฐีอยู่ในโลก” Gates กล่าว “ทรัพย์สมบัติของแต่ละคนมีมากมายมหาศาลเสียจนหากคุณพยายามผลาญมันให้หมด คุณคงดูเหมือนกำลังเสียสติ คุณควรใช้เงินที่มีเพื่อตอบแทนสังคมมากกว่าจะผลาญมันอย่างเดียว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เป็นที่ทราบกันดีว่า Gates เป็นมหาเศรษฐีผู้อุทิศตัวให้กับการกุศล มูลนิธิ Bill &amp; Melinda Gates ที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2000 กับอดีตภรรยาได้มีการบริจาคเงินไปกว่า 8.6 พันล้านเหรียญแล้วเพื่อช่วยเหลือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะความยากจนและความเหลื่อมล้ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gates พูดถึงภาษีและการกุศลว่า “หากคุณจ่ายภาษีเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็ควรแบ่งไปทำการกุศล” ย้ำมุมมองของเขาที่ให้ความสำคัญทั้งสองสิ่งนี้ ทว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา คือผู้มั่งคั่งหลายคนจ่ายภาษีในอัตราต่ำกว่าคนอื่นๆ มาก​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/nj5LHwT9jhCsgbUq8u3t.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="nj5LHwT9jhCsgbUq8u3t.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gates เคยเขียนในบล็อกส่วนตัวเมื่อปี 2019 ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มีรายได้จากเงินเดือนและค่าจ้างรายชั่วโมง ซึ่งมีอัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่ 37% ในขณะที่คนรวยไม่ได้มีรายได้หลักจากเงินเดือนหรือค่าจ้าง แต่มาจากกำไรในการลงทุนซึ่งหากถือครองมากกว่า 1 ปีก็จะมีอัตราภาษีอยู่ที่ 20%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หากให้ผมออกแบบระบบภาษี ผมอาจจะจนลงกว่าทุกวันนี้หลายหมื่นล้านเลยเหรียญ” Gates เล่าในรายการพอดแคสต์ On With Kara Swisher ที่ออกอากาศสดเมื่อวันจันทร์ที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา แต่ยังคงยืนกรานว่า “ผมจะตั้งอัตราภาษีให้สูงขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยสำหรับกลุ่มคนรวย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เขาไม่สุดโต่งถึงขั้นเดียวกับ Bernie ที่มองว่าไม่ควรมีมหาเศรษฐีและในเมื่อมีมหาเศรษฐีแล้วก็ควรเก็บภาษีจากคนกลุ่มนี้ในอัตรา 99% โดย Gates มองว่าควรเก็บภาษีจากบุคคลที่มั่งคั่งในอัตรา 62% ก็พอ เหลือพื้นที่เป็นแรงจูงใจในการแข่งขันทางธุรกิจ พร้อมให้เหตุผลว่า อเมริกาคือประเทศที่ทั่วโลกอิจฉาเพราะเป็นสถานที่มีบริษัทมูลค่ามหาศาลมากมายเติบโต และความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจก็จำเป็นสำหรับรัฐบาลในการยกระดับระบบสวัสดิการสังคมที่ Bernie ต้องการผลักดัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gates ไม่ใช่มหาเศรษฐีคนเดียวที่ให้คุณค่ากับการตอบแทนสังคมและระบบภาษี ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา Jamie Dimon ประธานและซีอีโอแห่ง JPMorgan Chase ให้สัมภาษณ์ว่า การเก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น จะช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของประเทศ และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมแนะนำว่าควรใช้ ‘กฎของบัฟเฟตต์ (Buffett Rule)’&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กฎของบัฟเฟตต์ มาจากแนวคิดของนักลงทุนในตำนาน Warren Buffett เมื่อปี 2011 ซึ่งวิจารณ์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า พนักงานในบริษัทของเขาต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงกว่าเขาซึ่งเป็นมหาเศรษฐีเสียอีก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แนวคิดของ Buffett กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนภาษีในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดี Barack Obama ที่กำหนดให้ผู้มีรายได้มากกว่า 1 ล้านเหรียญต่อปีต้องเสียภาษีในอัตราขั้นต่ำ 30% อย่างไรก็ตามร่างกฎหมายฉบับที่รวมกฎของบัฟเฟต์เอาไว้ไม่ได้ถูกนำไปใช้จริงเพราะไม่ผ่านอภิปรายในปี 2012 แหล่งที่มา:​<a href="https://www.cnbc.com/2024/09/30/is-bill-gates-too-rich-i-would-take-away-62-percent-of-what-i-have-he-says.html" alt="Is Bill Gates too rich? ‘I would take away 62% of what I have,’ he says">Is Bill Gates too rich? ‘I would take away 62% of what I have,’ he says</a>​​​<a href="https://observer.com/2024/09/bill-gates-bernie-sanders-tax-wealthy/" alt="Bill Gates Says Billionaires Like Him Should Be Taxed Two-Thirds of Their Fortunes">Bill Gates Says Billionaires Like Him Should Be Taxed Two-Thirds of Their Fortunes</a>​ ​​<a href="https://www.businessinsider.com/bill-gates-taxes-billionaires-wealth-inequality-american-dream-sanders-philanthropy-2024-10" alt="Bill Gates calls for higher taxes on the rich — but warns against crushing the American dream">Bill Gates calls for higher taxes on the rich — but warns against crushing the American dream</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/forbes-midas-list-2024" alt="10 นักลงทุนแนวหน้าแห่งธุรกิจเทคบนทำเนียบ Midas List 2024">10 นักลงทุนแนวหน้าแห่งธุรกิจเทคบนทำเนียบ Midas List 2024</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

Bill Gates เผยมหาเศรษฐีควร ‘ตอบแทนสังคม’ และ ‘จ่ายภาษี’ แนะควรเก็บภาษีคนรวยที่อัตรา 62% 

<h2>Justin Ishbia เศรษฐีพันล้านผู้ปลุกปั้นบริษัทลงทุนหุ้นนอกตลาดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ จากการมุ่งเน้นลงทุนในกิจการขนาดเล็กทั่วประเทศ เขาเข้าซื้อธุรกิจขนาดเล็กในชุมชนกว่า 1,000 แห่ง พร้อมกับการสร้างผลตอบแทนมากมายให้กับผู้ลงทุนและยังไม่เคยพลาดขาดทุนเลยสักครั้ง ทว่า Mat น้องชายของเขายังคงมีทรัพย์สินในครอบครองมากกว่าเกือบ 2 เท่า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Justin Ishbia บอกว่า “ผมเป็นคนพูดเร็ว” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มระหว่างพาเยี่ยมชม Shore Capital Partners บริษัทเพื่อการลงทุนหุ้นนอกตลาดของเขา (private equity) ซึ่งตั้งอยู่ใน Chicago เศรษฐีพันล้านวัย 46 ปี ในชุดเสื้อสูทลำลองและกางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบ Nike ยังเป็นคนคิดเร็วทำเร็วเพื่อแข่งกับตารางชีวิตที่แน่นเอี้ยดด้วยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วงค่ำวันก่อนหน้า Ishbia ได้เข้าชมการแข่งขันของทีมบาสเกตบอล Chicago Bulls ในโซนที่นั่งติดขอบสนามพร้อมกับ Mat น้องชายของเขาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สโมสร Phoenix Suns ผู้มีความมั่งคั่งหลักพันล้านเหรียญเช่นกัน ในวันถัดมาเขามีนัดทานมื้อกลางวันแบบสบายๆ กับ Forbes พร้อมผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอีก 4 คน ตามด้วยการประชุมคณะกรรมการของบริษัทในพอร์ตการลงทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้นเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวมาเจอเพื่อนๆ สมัยเรียนกฎหมายเพื่อดูแข่งขันฟุตบอลทีม University of Oregon เปิดสนามรับการมาเยือนของทีม USC เขาตอบกลับข้อความและอีเมลภายในเวลาไม่กี่นาทีไม่ว่าจะดึกแค่ไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมไม่ค่อยได้นอนเท่าไร” เขากล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Shore Capital ก็ดำเนินงานรวดเร็วไม่แพ้ผู้ก่อตั้งเช่นกัน บริษัทเพื่อการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กนอกตลาดที่มุ่งเจาะกลุ่มธุรกิจสุขภาพแห่งนี้ปิดดีลซื้อขายกิจการทั้งหมด 801 แห่งระหว่างปี 2020-2023 ตัวเลขนี้ทำให้บริษัทขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้ซื้อกิจการจำนวนมากที่สุดในโลก มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทะยานขึ้น 7 เท่าเป็น 7 พันล้านเหรียญในช่วงปีดังกล่าวอันเป็นผลจากการที่อัตราผลตอบแทนระดับสูงดึงดูดให้นักลงทุนระยะเริ่มแรก เช่น University of Notre Dame และธุรกิจบริหารความมั่งคั่งภายใต้เครือ Sequoia Capital&nbsp;เซ็นสัญญาเพิ่มเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดี Shore ที่จะมีอายุครบ 10 ปีในปีนี้ยังถือว่ามีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับเจ้าตลาดกลุ่มธุรกิจลงทุนหุ้นนอกตลาดอย่าง Apollo, Blackstone และ KKR ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการมากกว่าบริษัทละ 5 แสนล้านเหรียญ แต่นี่คือสิ่งที่เราตั้งใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราปฏิเสธเงินลงทุนไปหลายพันล้านเหรียญ” Ishbia กล่าว “สำหรับบริษัทลงทุนหุ้นนอกตลาดหากคุณทำผลงานได้ดีก็เป็นเรื่องปกติที่จะระดมเงินทุนก้อนใหญ่ขึ้น แต่แนวทางการดำเนินธุรกิจของผมเริ่มมาจากความคิดที่ว่า กิจการขนาดเล็กเป็นสิ่งที่ทุกคนมองข้าม”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การมุ่งเป้าลงทุนในธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น Shore มีอัตราผลตอบแทนการลงทุนหลังหักค่าธรรมเนียมการจัดการเฉลี่ยปีละ 53% จากการลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพ 14 แห่งที่ปิดดีลขายออกไป ข้อมูลจาก Cambridge Association ระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าอัตราผลตอบแทน IRR ของกองทุนเพื่อเข้าถือครองบริษัท (การลงทุนประเภทหนึ่งของไพรเวทอิควิตี้) ที่มีการระดมทุนนับตั้งแต่ปี 2009 ถึง 3 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจาก Shore หักค่าธรรมเนียมการบริหาร 20-30% จากตัวเลขกำไรไปแล้วการลงทุนยังทำให้เงินต้นงอกเงยขึ้นอีก 5.5 เท่าโดยเฉลี่ย ซึ่งสูงกว่าอัตราส่วนผลตอบแทนสะสมบวกมูลค่าคงเหลือต่อเงินลงทุน (TVPI ใช้ในการชี้วัดผลการดำเนินงาน) ของกองทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการในสหรัฐฯ เกือบ 3 เท่าเช่นเดียวกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Shore กล่าวว่า บริษัทไม่เคยได้รับผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมต่ำกว่า 3 เท่าของเงินลงทุน และยังไม่เคยประสบการขาดทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อัตราผลตอบแทนของพวกเขาอยู่ที่ยอดพีระมิด 1 ใน 100 จากผู้เล่นไพรเวทอิควิตี้ทั้งหมด” นักลงทุนรายหนึ่งผู้ไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากขัดต่อนโยบายด้านสื่อขององค์กรกล่าวด้วยความทึ่ง “ผลกำไรระดับนี้หาได้ยากมาก แทบจะเปรียบได้กับการลงทุน VC ในสตาร์ทอัพหน้าใหม่มากกว่าการเข้าซื้อกิจการแบบดั้งเดิม”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นเมื่อปี 2009 Ishbia และทีมงานของเขาได้เข้าซื้อธุรกิจขนาดเล็กมากกว่า 1,000 แห่งที่กระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ ในสหรัฐฯ (มูลค่าการลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 15 ล้านเหรียญ) หลังจากนั้นดำเนินการพลิกโฉมยกระดับสู่เครือกิจการขนาดใหญ่ 61 แห่งในหลากหลายธุรกิจ ตั้งแต่คลินิกรักษาโรคออทิสติก ร้านเบเกอรี่ และบริการกำจัดปลวก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเข้าซื้อกิจการใน Akron, Ohio และ Pittsburgh ไปจนถึง Birmingham และ Alabama” Ishbia กล่าว “ผมสามารถหาโอกาสทำกำไรได้ง่ายกว่าเพราะธุรกิจเหล่านี้มีอยู่ทุกมุมเมือง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้น Shore ได้เข้าลงทุนในด้านระบบและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเสริมทัพทีมบริหารด้วยบรรดาผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์พร้อมทั้งเฟ้นหาบริษัทในอุตสาหกรรมใกล้เคียงที่จะมาเกื้อหนุนส่งเสริมกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราซื้อและซื้อ และก็ซื้อ” Ishbia ซึ่งย้ำว่า Shore ไม่ได้ก่อหนี้ยืมสินมากเท่าบริษัทไพรเวทอิควิตี้รายอื่นๆ และไม่ได้ตัดลดบริการหรือจำนวนพนักงานลงกล่าว “วงการไพรเวทอิควิตี้มีชื่อเสียในเรื่อง ‘ควักเงินซื้อและตัดโน่นตัดนี่ทิ้ง’ แต่เราเป็นบริษัทที่เติบโต เรามีพนักงานเกือบ 35,000 คน และจ้างงานเพิ่มปีละหลายพันตำแหน่ง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงดังที่กล่าวมา แต่ Ishbia ยังไม่โด่งดังเท่าน้องชายของเขาผู้มีมูลค่าทรัพย์สินในครอบครองมากกว่า Mat นั่งตำแหน่งซีอีโอของ United Wholesale Mortgage (UWM) บริษัทผู้ปล่อยกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดีตำแหน่งการจ้างงานของบริษัทในพอร์ตการลงทุนของ Shore มีจำนวนมากกว่าถึง 5 เท่า และได้รับการยอมรับว่ามีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่แพ้กันจากการช่วยพัฒนาธุรกิจขนาดเล็กในประเทศ ขณะที่นักวิจารณ์บางรายชี้ว่า การลงทุนในหุ้นนอกตลาดส่งผลเสียต่อผู้บริโภคเนื่องจากทำให้การแข่งขันและคุณภาพสินค้าหรือบริการถดถอยลงอันสวนทางกับราคาที่สูงขึ้น แต่ Ishbia ไม่เห็นด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในตลาดไม่ได้มีคลินิกรักษาสัตว์ คลินิกทันตกรรม หรือศูนย์ดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งกลายมาอยู่ภายใต้การถือครองของบริษัทไพรเวทอิควิตี้เพียงแห่งเดียว” เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/ten-billion-kingdom-of-todd-boehly" alt="Todd Boehly เศรษฐีการลงทุน เจ้าของอาณาจักรหมื่นล้าน">Todd Boehly เศรษฐีการลงทุน เจ้าของอาณาจักรหมื่นล้าน</a>​ ​<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/04488869-cf4a-4c6b-8dc5-5ad0491eb3cd/june-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine​">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine​</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px; width: 300px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/hZyQ2tzHLxk2X38DTdd8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="hZyQ2tzHLxk2X38DTdd8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="320,420" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></figure></div>

Justin Ishbia เจ้าพ่อธุรกิจขนาดเล็ก

Todd Boehly เศรษฐีการลงทุน เจ้าของอาณาจักรหมื่นล้าน

<h2>หมู่เกาะ Hawaii เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก หรือหลายคนอาจได้ยินว่าเป็นเกาะสวรรค์ แต่พื้นที่บนเกาะเหล่านี้อยู่ภายใต้การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของคนเพียง 37 คน ซึ่งล้วนเป็นเศรษฐีพันล้าน คิดเป็น 11% ของทรัพย์สินส่วนบุคคลทั่วทั้งรัฐ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Oprah Winfrey ช้อนซื้อพื้นที่ 850 เอเคอร์บนเกาะ Maui ปีที่แล้วในราคา 6.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มเติมจาก 1,280 เอเคอร์ที่เธอเป็นเจ้าของอยู่แล้วบนเกาะนี้ ที่ดินของเธออยู่ห่างจากชายฝั่ง (โดยส่วนใหญ่อยู่ติดกัน) ครอบคลุมเนินเขาเขียวขจีไปจนถึงป่าอนุรักษ์บนเนินภูเขาไฟ Haleakala มีวัวเล็มหญ้าอยู่บนที่ดินซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีการพัฒนาเพราะเธอพยายามจะอนุรักษ์ไว้ “ดูเหมือนสกอตแลนด์ที่อากาศดีมากๆ” Bob Greene ครูสอนฟิตเนสของเธอที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทรัพย์สินกล่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Winfrey ซึ่งมาพักอยู่ใน Hawaii ประมาณ 4 เดือนต่อปีซื้อฟาร์มปศุสัตว์บนเกาะ Maui เป็นอย่างแรกเมื่อ 20 ปีก่อน ที่ดินของเธอไม่ได้รับความเสียหายตอนที่ไฟป่าโหมกระหน่ำเกาะนี้เมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว ซึ่งเผาทำลายพื้นที่ 6,625 เอเคอร์และคร่าชีวิตผู้คนไป 100 ราย หลังจากเกิดเหตุเธอได้แจกหมอน ผ้าอ้อม และอุปกรณ์อื่นๆ ให้แก่ ผู้รอดชีวิต และได้จัดตั้งกองทุนประชาชนแห่ง Maui (People’s Fund of Maui) ร่วมกับ Dwayne Johnson หรือ “The Rock” โดย Winfrey ได้บริจาคเงินส่วนตัว 10 ล้านเหรียญเพื่อแสดงความมุ่งมั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของอสังหาริมทรัพย์หรูในช่วงโควิดทำให้ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งสูงขึ้นอีก และเพิ่มความตึงเครียดระหว่างชาวฮาวายและเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นคนนอกรัฐ แม้ว่า Winfrey จะพยายามให้ความช่วยเหลือหลังเกิดเพลิงไหม้แต่ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่บันทึกภาพขณะทำการกุศลและการเรี่ยไรเงินจากสาธารณชนซึ่งเธอบอกว่า การโจมตีดังกล่าวกำลังเบี่ยงเบนความสนใจของคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกาะ ส่วนคนอื่นๆ ตั้งคำถามถึงเงินบริจาค 100 ล้านเหรียญที่ Jeff Bezos และ Lauren Sanchez พาร์ตเนอร์ของเขาสัญญาว่าจะให้ ซึ่งเขาเองก็มีที่ดินขนาด 14 เอเคอร์ห่างจากไฟป่าไปทางใต้ 12 ไมล์ โฆษกบอกกับ Forbes ว่า Bezos บริจาคเงินไปแล้ว 15.5 ล้านเหรียญให้องค์กรการกุศล 9 แห่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คนที่รวยที่สุดของอเมริกาซื้อที่ดินใน Hawaii มาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าที่ดินที่พวกเขาครอบครองมีมากขนาดไหน และเพื่อหาความกระจ่างเรื่องนี้ Forbes ใช้เวลาหลายเดือนค้นทะเบียนที่ดินนับพันรายการบน 6 เกาะที่ใหญ่ที่สุดของ Hawaii สิ่งที่พบนั้นน่าตกใจมาก เศรษฐีพันล้านแค่ 37 คนเป็นเจ้าของที่ดินอย่างน้อย 218,000 เอเคอร์ ซึ่งเท่ากับ 5.3% ของที่ดินของรัฐ และ 11.1% ของที่ดินที่ไม่ใช่ของรัฐ อันที่จริงน่าจะสูงกว่านี้ด้วยเมื่อดูจากความพยายามของเศรษฐีพันล้านเหล่านี้ในการปกปิดสิ่งที่ตนครอบครอง พูดง่ายๆ ก็คือ 37 คนนี้คิดเป็น 0.003% ของประชากรทั้งหมด 1.4 ล้านคนของ Hawaii แต่เป็นเจ้าของที่ดินมากกว่า 10%<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/wuV2EzHeTiuLLeAPPr5x.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wuV2EzHeTiuLLeAPPr5x.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เศรษฐีพันล้านบางคนมีความผูกพันกับชุมชนมายาวนาน อย่าง Marc Benioff ซีอีโอของบริษัท Salesforce ที่มาเยือน Hawaii ครั้งแรกในปี 1974 เขาได้บริจาคเงิน 100 ล้านเหรียญให้กิจกรรมต่างๆ ทั่วรัฐกว่า 20 ปีที่ผ่านมาและเมื่อเดือนธันวาคมเขากับภรรยาของเขา Lynne ได้บริจาคที่ดิน 282 เอเคอร์เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง “ผมรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่แน่นแฟ้นกับ Hawaii” Benioff ผู้ซึ่งพยายามนำแนวคิดโอฮาน่า (ohana) ที่แปลว่า ครอบครัวของชาวฮาวายมาปรับใช้ในวัฒนธรรมองค์กรที่ Salesforce บอก “ผมเข้าใจผู้คนและจิตวิญญาณของ Hawaii อย่างลึกซึ้ง พวกเราเรียกมันว่า ‘จิตวิญญาณอโลฮ่า’”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนคนอื่นๆ ดูจะกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวมากกว่า เช่น Mark Zuckerberg ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta มีรายงานว่าเขากำลังสร้างหลุมหลบภัยในอาณาเขตของตัวเองซึ่งมีกำแพงล้อมรอบบางส่วน ส่วน Rob Kildow นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่บอกว่าเคยขี่จักรยานกับ Ken Griffin เศรษฐีพันล้านแห่ง Citadel จำได้ว่าเศรษฐีพันล้านรายหนึ่งที่ปลีกวิเวกอยู่ที่ Hualalai Resort บอกเขาว่า “คนที่นี่ครึ่งหนึ่งไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ส่วนอีกครึ่งไม่สนใจผมด้วยซ้ำ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Wayne Tanaka ผู้อำนวยการ Sierra Club of Hawaii องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรด้านสิ่งแวดล้อมพยายามมองในแง่ดี “หากประชากรเศรษฐีพวกนี้เอาชนะความอยากอยู่คนเดียวได้ และเริ่มพูดคุยกับผู้คนรอบตัว นั่นอาจจะช่วยเปิดประตูให้พวกเขาตอบแทนรัฐนี้ได้มากกว่า” ในระหว่างนี้เขายอมรับว่า “Hawaii กำลังกลายเป็นสนามเด็กเล่นของคนรวยมากขึ้นเรื่อยๆ” เรื่อง PHOEBE LIU และ MONICA HUNTER-HART เรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะ ภาพประกอบ: JASON RAISH เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/richest-families-in-america-2024" alt="10 อันดับตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา">10 อันดับตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา</a>​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/cff663cb-f69a-4970-8286-59647d2b2c12" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/GFfZhjRqUM2eoVFJEpkN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="GFfZhjRqUM2eoVFJEpkN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="320,420" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1"></figure></div>

ใครเป็นเจ้าของหมู่เกาะ Hawaii กัน ?

<h2>แม้บรรดามหาเศรษฐีอเมริกันจะเผชิญความเหลื่อมล้ำในความมั่งคั่ง แต่เหล่าสมาชิกบนทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2023 ซึ่งรวบรวมบรรดาผู้คนที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ก็ยังคงมีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มหาเศรษฐี 20 อันดับแรกร่ำรวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยมีมูลค่าความมั่งคั่งรวมกันเกือบ 1.9 ล้านล้านเหรียฐสหรัฐฯ สูงกว่าเมื่อปีก่อนหน้า 30% ล้ำหน้าค่าเฉลี่ยความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของทั้ง 400 อันดับซึ่งคิดเป็น 12% นับได้ว่ามูลค่าทรัพย์สินที่ทั้ง 20 คนครอบครองคือ 40% จากมูลค่าทรัพย์สินรวมของทุกคนบน Forbes 400&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jensen Huang ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอแห่ง Nvidia คือหนึ่งในผู้โชคดีไม่กี่คนของปีนี้ เขาเปิดตัวเข้าสู่ 20 อันดับสูงสุดของทำเนียบเป็นครั้งแรก ต้องขอบคุณความตื่นตัวของตลาดหุ้นที่มีต่อการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หุ้นของ Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปสำหรับระบบ AI มากกว่าใครสูงขึ้นกว่า 200% ทำให้ Huang มีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่าใครในทำเนียบประจำปี 2023 สูงกว่าปีที่แล้วถึง 216% คิดเป็นความมั่งคั่งราว 4.07 หมื่นล้านเหรียญ Huang จึงได้ตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับที่ 17 ของอเมริกาไปครอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;AI ยังสร้างผลตอบแทนอย่างยิ่งใหญ่แก่สมาชิกทำเนียบคนอื่นๆ ใน 20 อันดับแรกด้วยเช่นกัน Larry Ellison มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 5.7 หมื่นล้านเหรียญ สูงสุดเมื่อคำนวณเป็นหน่วยเงิน ยามหุ้นบริษัทซอฟต์แวร์ของเขา Oracle พุ่ง 69% พาเขาทะยานสู่อันดับ 3&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ Mark Zuckerberg หวนคืนสู่ 10 อันดับแรกอีกครั้งหลังห่างหายไปนานหลายปี โดยอยู่ที่อันดับ 8 อานิสงส์จาก AI ของ Meta และการปรับลดต้นทุนที่ส่งผลต่อราคาหุ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนผู้ร่วมก่อตั้ง Google ทั้งสองคือ Larry Page อันดับ 5 และ Sergey Brin อันดับ 7 ได้รับประโยชน์จากการที่หุ้นของ Alphabet เพิ่มขึ้น 27% ตั้งแต่ทางบริษัทเปิดตัวชุดเครื่องมือ AI ในเดือนพฤษภาคม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bill Gates ที่คั่นกลางสองหนุ่ม Google มาในอันดับ 6 เลือกลงทุนในสตาร์ทอัพ Inflection.ai ผู้พัฒนาแชทบอต AI เมื่อเดือนมิถุนายน พร้อมด้วย Microsoft ที่ครอบครองหุ้นส่วนหนึ่งของผู้พัฒนา ChatGPT อย่าง OpenAI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อ Huang ก้าวขึ้นไปยัง 20 อันดับแรก หนึ่งคนจึงตกลงมานั่นคือ Mackenzie Scott ที่หล่นสู่อันดับ 21 โดยมูลค่าความมั่งคั่งของเธอน้อยกว่าปีที่แล้วราว 600 ล้านเหรียญ แม้หุ้น Amazon ที่เธอถือจะมีราคาสูงขึ้น 8% ก็ตาม สาเหตุมาจากการที่เธอยังคงทำการกุศลอย่างต่อเนื่องด้วยทรัพย์สินที่ได้เมื่อคราวหย่ากับ Jeff Bezos ในปี 2019&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีสมาชิก 20 อันดับแรกเพียงสองคนที่ความมั่งคั่งน้อยกว่าปที่แล้ว ได้แก่ Charles Koch อันดับที่ 16 และ Phil Knight ผู้ก่อตั้ง Nike ซึ่งตกมาที่อันดับ 18 เนื่องด้วยมูลค่าหุ้นของบริษัทเสื้อผ้ากีฬาของเขาลดลง 8%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือบัลลังก์อันดับ 1 ซึ่ง Elon Musk ยังคงครอบครองติดต่อกันเป็นปีที่สองแล้ว นักธุรกิจเทคโนโลยีรายนี้เป็นมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินราว 2.51 แสนล้านเหรียญเท่ากับปีก่อน สูงกว่า Jeff Bezos อันดับ 2 ถึง 9 หมื่นล้านเหรียญ โดยมูลค่าทรัพย์สินของผู้ก่อตั้ง Amazon อยู่ที่ประมาณ 1.61 แสนล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับมหาเศรษฐีผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในอเมริกา 10 อันดับแรกจากทำเนียบ Forbes 400 มีดังนี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/vawigkUJbFL5LdgQCNod.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vawigkUJbFL5LdgQCNod.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="1440,810" style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>อันดับ 1Elon Muskความมั่งคั่งสุทธิ: 2.51 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มา: Tesla และ SpaceX​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 50%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/TBaCtNQ1HG3xccCa9uaL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="TBaCtNQ1HG3xccCa9uaL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="1440,810" style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div>อันดับ 2 Jeff Bezosความมั่งคั่งสุทธิ: 1.61 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มา: Amazon <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/tWQs6g5zaxtmQfiwLPT1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tWQs6g5zaxtmQfiwLPT1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="1440,810" style="width: 100%;" data-index="2"></figure></div>อันดับ 3 Larry Ellisonความมั่งคั่งสุทธิ: 1.58 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มา: Oracle​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/9hYHp6hnwknHMw19MDsL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="9hYHp6hnwknHMw19MDsL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="959,799" style="width: 100%;" data-index="3"></figure></div>อันดับ 4 Warren Buffettความมั่งคั่งสุทธิ: 1.21 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มา: Berkshire Hathaway​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/uPhvg5ueP49ej26bv5gE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uPhvg5ueP49ej26bv5gE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="959,780" style="width: 100%;" data-index="4"></figure></div>อันดับ 5 Larry Pageความมั่งคั่งสุทธิ: 1.14 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มา: Google <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/5euCBqcE3zudkVZnbBM4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5euCBqcE3zudkVZnbBM4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="1080,1440" style="width: 100%;" data-index="5"></figure></div>อันดับ 6 Bill Gatesความมั่งคั่งสุทธิ: 1.11 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มา: Microsoft​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/MLZf9cK4TkpPVPsv17pB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MLZf9cK4TkpPVPsv17pB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="1440,960" style="width: 100%;" data-index="6"></figure></div>อันดับ 7 Sergey Brinความมั่งคั่งสุทธิ: 1.10 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มา: Google​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/mxBPe51YS9rTB3oSHRHL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mxBPe51YS9rTB3oSHRHL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="1439,1136" style="width: 100%;" data-index="7"></figure></div>อันดับ 8 Mark Zuckerbergความมั่งคั่งสุทธิ: 1.06 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มา: Facebook​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/5rUKmVUV6bTeG1HEVsYB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5rUKmVUV6bTeG1HEVsYB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="958,637" style="width: 100%;" data-index="8"></figure></div>อันดับ 9 Steve Ballmerความมั่งคั่งสุทธิ: 1.01 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มา: Microsoft <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/REPp9kokSHDv8qi6pZ1K.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="REPp9kokSHDv8qi6pZ1K.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="960,640" style="width: 100%;" data-index="9"></figure></div>อันดับ 10 Michael Bloombergความมั่งคั่งสุทธิ: 9.63 หมื่นล้านเหรียญแหล่งที่มา: Bloomberg LP แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;The 2023 Forbes 400: The 20 Richest People In America ซึ่งเผยแพร่บน Forbes อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71376" alt="10 อันดับ สุดยอดครีเอเตอร์ ประจำปี 2023">10 อันดับ สุดยอดครีเอเตอร์ ประจำปี 2023</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

10 อันดับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในอเมริกาแห่งทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2023

10 มหาเศรษฐีนีผู้สร้างฐานะด้วยตัวเองแห่งสหรัฐอเมริกาประจำปี 2023

10 อันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของสหรัฐฯ ประจำปี 2019

<h2 class="p3">แม้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีความเหลื่อมล้ำที่เป็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนจนกับคนรวยในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แต่ไม่ใช่แค่ระหว่างคนจนกับรวยเท่านั้น เพราะอันที่จริงแล้วก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนรวยและคนรวยด้วยเหมือนกัน</h2>
ลองมองไปที่การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปัจจุบัน Donald Trump ได้รับการประเมินว่ามีความมั่งคั่งอยู่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่บนโลก แต่ทรัพย์สินของ Trump กลับดูน้อยลงหากเทียบกับทรัพย์สินของผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่าง Michael Bloomberg ผู้ครองความมั่งคั่ง 5.3 หมื่นล้านเหรียญ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา Bloomberg สามารถบริหารจัดการธุรกิจและทรัพย์สินได้อย่างเหมาะสม จนกระทั่งเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้เป็นทวีคูณ ทั้งยังติดอันดับ 400 บุคคลที่รวยที่สุดในสหรัฐฯ หรือ Forbes 400 เป็นครั้งแรกในปี 1992 (คนที่จะติดอันดับได้ต้องมีสินทรัพย์ 350 ล้านเหรียญขึ้นไป) หลังจากบริษัทของเขาที่ให้บริการข้อมูลหุ้น, พันธบัตร และอื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมในวอลสตรีท
ขณะที่ในเวลานั้น Trump กำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อรักษาอาณาจักรของเขาไว้ หลังมีหนี้สินก้อนโตที่เกือบพาเขาล้มละลาย
Trump ฝ่าวิกฤตได้และกลับเข้ามาสู่ทำเนียบ Forbes 400 ได้ในปี 1996 ด้วยความมั่งคั่งราว 450 ล้านเหรียญ ขณะที่ Bloomberg ในขณะนั้นมีความมั่งคั่งอยู่ราว 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งคิดจากมูลค่าของหุ้นที่เขาถืออยู่ในธุรกิจข้อมูลด้านการเงินของเขา
ในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา ความมั่งคั่งสุทธิของ Trump เติบโตในอัตรา 8.8% ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนของดัชนีหุ้น S&amp;P 500 ซึ่งอยู่ที่ 6.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ผลตอบแทนของ Trump ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในปี 1996-1997 ซึ่งความมั่งคั่งของเขากระโดดจาก 450 ล้านเหรียญมาเป็น 1.4 พันล้านเหรียญ ขณะที่ความมั่งคั่งของ Bloomberg นั้นมีการเติบโตและความเสถียรมากกว่า ด้วยอัตราการเติบโตอยู่ที่ 18.8% ต่อปี
ผลตอบแทนที่โดดเด่นซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตทางธุรกิจ สามารถอธิบายได้ว่าทำไม Bloomberg จึงรวยมหาศาลเมื่อเทียบกับมหาเศรษฐีที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังเป็นการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เก่าอย่าง Trump อยู่มหาศาล ขณะที่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท Bloomberg LP เติบโตขึ้นจากการเพิ่มการรายงานข่าวธุรกิจและการเงินเข้ามาด้วย จากที่ในช่วงแรกให้บริการข้อมูลด้านการเงินเท่านั้น
นอกจากนั้น ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท Bloomberg LP ยังเติบโตขึ้นจากการเพิ่มการรายงานข่าวธุรกิจและการเงินเข้ามาด้วย จากที่ในช่วงแรกให้บริการข้อมูลด้านการเงินเท่านั้น โดย Bloomberg LP ได้เข้าซื้อกิจการหนังสือ BusinessWeek ซึ่งกำลังประสบปัญทางการเงินอย่างหนักจาก McGraw-Hill ด้วยมูลค่า 5 ล้านเหรียญ และรับโอนหนี้สินมาอีกเกือบ 32 ล้านเหรียญในปี 2009
ปัจจุบัน ประมาณการว่า Bloomberg LP มีรายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านเหรียญ และ Michael Bloomberg ครองหุ้นอยู่ 88% ของบริษัท
ทั้งนี้ Michael Bloomberg นับเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่บริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยเขาบริจาคเงิน 8 พันล้านเหรียญให้กับองค์การกุศลและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัย Johns Hopkins และกิจกรรมที่ผลักดันการควบคุมอาวุธปืน
อย่างไรก็ตาม การเอาชนะใครบางคนได้ในสนามธุรกิจ กับการเอาชนะใครบางคนได้ในสนามเลือกตั้งนั้นต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกัน ซึ่ง Bloomberg อาจต้องหาทักษะอื่นๆ เข้ามาช่วย ในปีหน้า Bloomberg ผู้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี New York มา 3 สมัย จะได้รับโอกาสพิสูจน์ว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับ Trump บนเวทีการเมืองได้อย่างไร
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/america/%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87-trump-tower.html">ตามล่าหาความจริง เบื้องหลัง Trump Tower ใน Moscow</a></li>
</ul>
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/michelatindera/2019/11/22/heres-why-michael-bloomberg-is-17-times-richer-than-donald-trump/#7ef1514e274f">Here’s Why Michael Bloomberg Is 17 Times Richer Than Donald Trump</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ส่องที่มาเหตุผล...ทำไม Michael Bloomberg รวยแซงหน้า Donald Trump ถึง 17 เท่า

เปิดเหตุผล ทำไมเกือบ 1 ใน 4 ของ "มหาเศรษฐีอเมริกา" จึงอาศัยอยู่ใน California

GEORGIA
จำนวนประชากร: 10.4 ล้านคน
ผลิตภัณฑ์มวลรวมของรัฐ: 5.54 แสนล้านเหรียญ (เพิ่มขึ้น 2.7%)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมของรัฐต่อหัว: 53,145 เหรียญ (อันดับที่ 30 ของประเทศ)
จำนวนเศรษฐีพันล้าน: 13 คน
บุคคลที่ร่ำรวยที่สุด: JIM KENNEDY
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 9.7 พันล้านเหรียญ
Jim Kennedy เคยให้สัมภาษณ์กับ Forbes เมื่อปี 2015 ความว่า “ผมไม่ใช่นักข่าวผู้ยิ่งใหญ่ แต่ผมหลงรักหนังสือพิมพ์” หลังจากสำเร็จการศึกษาจาก University of Denver เขาเริ่มต้นทำงานในบริษัทสื่อซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวอย่าง Cox Enterprises ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นโดยคุณตาของเขาเอง ซึ่งได้ซื้อกิจการของ Daily News ใน Dayton รัฐ Ohio และขยายอาณาจักรจนมีกิจการหนังสือพิมพ์กว่า 10 ฉบับ ซึ่งรวมถึงฉบับเรือธงอย่าง Atlanta Journal-Constitution 
จากนั้น Kennedy ขยับตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จากผู้ช่วยฝ่ายผลิต เป็นผู้สื่อข่าว บรรณาธิการเล่ม และในที่สุดดำรงตำแหน่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ในส่วนธุรกิจหนังสือพิมพ์


<figure><img class="size-full wp-image-13117" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/Jim_Kennedy_1.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Jim Kennedy (ภาพจาก www.3blmedia.com)</figcaption></figure>
ปัจจุบัน ตระกูล Cox ต้องยอมสละทรัพย์สินที่มีค่ามากบางอย่างของตน สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น 14 สถานีของบริษัทของพวกเขาใน Atlanta ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อความอยู่รอดในระยะหลังนี้ จนตระกูล Cox ต้องขายสถานีโทรทัศน์เหล่านั้นให้กับ Apollo Global Management ซึ่งข้อตกลงทางธุรกิจมูลค่า 3 พันล้านเหรียญน่าจะปิดการเจรจากันได้ภายในปีนี้ โดยได้รวมสถานีวิทยุ 3 สถานี และหนังสือพิมพ์อีก 3 ฉบับ (มี Dayton Daily News รวมอยู่ด้วย) ทั้งนี้ บริษัท Cox Enterprises ซึ่งมีขนาดเล็กลงนี้ยังคงมี Kennedy ดำรงตำแหน่งประธาน และอยู่ภายใต้การบริหารของ Alex Taylor ลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอต่อไป โดยบริษัทยังคงได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจากธุรกิจทีวี (ให้บริการในภาคตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่) และธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล อย่างเช่น  ตลาดซื้อขายรถออนไลน์ Autotrader
Barbara Cox Anthony ผู้เป็นแม่ของ Kennedy และ Anne Cox Chambers ซึ่งเป็นป้าของเขา เคยมีชื่อเป็นสมาชิกรุ่นแรกในทำเนียบ Forbes 400 ในปี 1982 ส่วนใหญ่แล้วสมาชิกตระกูล Cox ชอบเก็บตัวเงียบ สมาชิกของตระกูลคนสุดท้ายที่ชอบเป็นจุดสนใจของผู้คนก็คือคุณตาของ Kennedy ซึ่งพลาดหวังจากการเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต ที่มี Franklin D. Roosevelt ร่วมทีมเป็นแคมดิเดทตำแหน่งรองประธานาธิบดีเมื่อปี 1920
“เงินทองเป็นของดี แต่เงินไม่ได้นิยามความเป็นตัวเรา ถ้าหากว่าเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ ของครอบครัว เราจบเห่แน่” Kennedy วัย 71 ปีกล่าว
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/leaderboard/%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%9e%e0%b8%ad%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8.html">ยังรวยไม่พอสู่อันดับ มหาเศรษฐีสหรัฐฯ แห่ง Forbes 400</a></li>
</ul>
&nbsp;

&nbsp;
เรื่อง: ABRAM BROWN AND NOAH KIRSCH เรียบเรียง: ริศา ภาพ: JAMEL TOPPIN


<hr />

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/22b7345c-e85d-4612-885f-f585f9010e8c">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจในนิตยสาร Forbes ฉบับ กรกฎาคม 2562 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/22b7345c-e85d-4612-885f-f585f9010e8c"><img class="alignnone wp-image-10127" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/cover-750.jpg" alt="" width="299" height="392" /></a>

Jim Kennedy มหาเศรษฐีวงการสื่อ ผู้มั่งคั่งที่สุดในรัฐ Georgia

บรรดามหาเศรษฐีจากทำเนียบ Forbes 400 ควักเงินก้อนโตจับจ่ายซื้อของแสนแพงอะไรบ้างในปี 2018 คำตอบมีหลากหลายตั้งแต่สโมสรกีฬาอาชีพ ที่พักสุดหรู หนังสือเก่าหนังสือพิมพ์ประจำเมืองใหญ่ ไปจนถึงสัตว์มีชีวิตและอื่นๆ มาลองชมตัวอย่างส่วนหนึ่งว่ามีอะไรกันบ้าง
&nbsp;
JEFFREY HILDEBRAND
ผู้ก่อตั้ง HILCORP ENERGY
300,000 เหรียญสหรัฐฯ
สิ่งที่ซื้อ : “แกะเจ้าของตำแหน่งแชมป์ระดับโลก” ณ งาน Houston Livestock Show and Rodeo ในราคาสูงทุบสถิติ โดยเงินส่วนใหญ่จะนำไปเป็นทุนการศึกษา (ซึ่งหวังว่าสุดท้ายจะแปรเปลี่ยนเป็นใบปริญญา) ให้กับผู้ร่วมจัดแสดงงานรุ่นเยาว์
<img class="alignnone wp-image-4385" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/a-1024x484.jpg" alt="" width="735" height="370" />

&nbsp;
DAVID TEPPER
ผู้ก่อตั้ง AppALooSA MANAgEMENT
2.3 พันล้านเหรียญ
สิ่งที่ซื้อ: สโมสรฟุตบอล Carolina Panthers ในลีก NFL ด้วยราคาสูงเป็นประวัติการณ์ที่รวมถึงรูปปั้นของ Jerry Richardson อดีตเจ้าของทีมด้วย โดยข้อตกลงซื้อขายระบุไว้ว่าเขาจะต้องเก็บรูปปั้นที่ยืนตระหง่านอยู่หน้าสโมสรใน Charlotte นี้ไว้ที่เดิม
<img class="size-large wp-image-4386" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/b-1024x683.jpg" alt="" width="640" height="427" />
PATRICK SOON-SHIONG
ธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ
500 ล้านเหรียญ
สิ่งที่ซื้อ: เรื่องนี้ใช่ข่าวลวง มหาเศรษฐีแห่งธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพขึ้นแท่นเจ้าพ่อวงการข่าว หลังจากเข้าซื้อ Los Angeles Times , San Diego Union-Tribune และ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นใน California อีกไม่กี่ฉบับ
<img class="alignnone wp-image-4388" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/fe-real-1024x909.jpg" alt="" width="481" height="427" />

&nbsp;
MARC BENIOFF
ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ SALESFORCE
190 ล้านเหรียญ
สิ่งที่ซื้อ: นิตยสาร Time ตัวเลขซื้อขายเกือบ 200 ล้านเหรียญชี้ให้เห็นว่าธุรกิจสิ่งพิมพ์มีสัญญาณฟื้นตัวเล็กๆ นับตั้งแต่ Newsweek ถูกขายไปในราคา 1 เหรียญ (บวกหนี้อีก 10 ล้านเหรียญ) เมื่อปี 2010
<img class="alignnone wp-image-4395" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/errr.jpg" alt="" width="402" height="407" />

&nbsp;
LEN BLAVATNIK
นักลงทุน
90 ล้านเหรียญ (จากรายงานข่าว)
สิ่งที่ซื้อ: ทาวน์เฮ้าส์เก่าแก่สุดหรู 5 ชั้น เลขที่ 19 ถนน East 64th Street ในย่าน Upper East Side ใน Manhattan โดยบ้านหลังนี้เพิ่งถูกเปลี่ยนมือในราคา 79.5 ล้านเหรียญเมื่อ 10 เดือนก่อน
<img class=" wp-image-4391" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/c-1024x688.jpg" alt="" width="651" height="438" />

&nbsp;
ERIC LEFKOFSKY
ผู้ร่วมก่อตั้ง GROUPON
31 ล้านเหรียญ (จากรายงานข่าว)
สิ่งที่ซื้อ: ห้องเพนท์เฮ้าส์สุดหรูของโครงการ Four Seasons Residences ที่ Surf Club รัฐ Miami ราคาอาจสูงลิบลิ่ว แต่ห้องตกแต่งอย่างครบครันพร้อมเข้าอยู่
<img class="alignnone size-large wp-image-4393" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/31-real-1024x424.jpg" alt="" width="640" height="265" />

&nbsp;
JAMES IRSAY
เจ้าของทีม INDIANAPOLIS coLTS ในลีก NFL
2.4 ล้านเหรียญ
สิ่งที่ซื้อ: ต้นฉบับหนังสือ Alcoholics Anonymous หรือ ที่เรียกกันว่า “Big Book” ปี 1939 ซึ่งประกอบด้วยบันทึกข้อความที่เขียนด้วยลายมือของ Bill Wilson ผู้ร่วมก่อตั้ง AA (Irsay กำาลังเข้ารับการบำาบัดรักษาโรคติดสุรา)
<img class="alignnone wp-image-4394" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/photo-794x1024.jpg" alt="" width="448" height="606" />

&nbsp;
เรื่อง: ANGEL AU-YEUNG เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา
ภาพ: Grant Halverson/Getty ImaGes; BrIan Zak/ny Post/newscom; cHamPIonlamBBuyers
&nbsp;

<a href="http://bit.ly/ForbesTHJan2019">คลิกอ่านเรื่องราวน่าสนใจทั่วทุกมุมโลก ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/ForbesTHJan2019"><img class="alignnone wp-image-4278" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/Forbes-Thailand-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2562-Bill-Heinecke.jpg" alt="" width="250" height="328" /></a>

เกาะติดตลาดผู้ซื้อ : มหาเศรษฐีจากทำเนียบ Forbes 400 ควักเงินก้อนโตซื้อของอะไรบ้าง ?

<h2>มหาเศรษฐีสหรัฐฯ ในปีนี้มีเศรษฐีพันล้านชาวอเมริกัน 204 คนที่ยังรวยไม่พอจะเจาะเข้ามาในกลุ่ม Forbes 400 ได้</h2>
มหาเศรษฐีที่ไม่ผ่านเกณฑ์ 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ กลุ่มนี้มีทั้งตำนานแห่งวงการกีฬา (Michael Jordan, 1.7 พันล้านเหรียญ) ยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนในหุ้น นอกตลาดซึ่งเคยเป็นขาประจำอยู่ในรายชื่อ 400 คน (Bruce Karsh และ Howard Marks แห่ง Oaktree Capital, คนละ 2 พันล้านเหรียญ) และมหาเศรษฐีหน้าใหม่คนอื่นๆ (เช่น Chad Richison ซึ่งเป็นซีอีโอของ Paycom Software, 1.3 พันล้านเหรียญ) สำหรับรายชื่อฉบับเต็มสามารถอ่านได้ที่ Forbes.com/forbes-400-didnt-make-cut

<img class="alignnone size-full wp-image-3745" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/CHRIS-WANSTRATH.jpg" alt="" width="300" height="300" />
CHRIS WANSTRATH
1.4 พันล้านเหรียญ
GITHUB

Wanstrath ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มพัฒนาซอฟต์แวร์ GitHub ขึ้นในปี 2007 และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Microsoft ประกาศว่าจะซื้อกิจการ GitHub ด้วยมูลค่าหุ้น 7.5 พันล้านเหรียญ โดยส่วนหนึ่งของข้อตกลงครั้งนี้คือการให้ Wanstrath ลงจากตำแหน่งซีอีโอและมาเป็น “ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคนิค” ที่ Microsoft แทน Wanstrath วัย 33 ปี ผู้ดรอปเอาต์จาก University of Cincinnati เมื่อปี 2005 และเขาเป็นผู้ถือหุ้นประเภทบุคคลธรรมดารายใหญ่ที่สุดของ GitHub

<img class="alignnone size-full wp-image-3747" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/JIM-KAVANAUGH.jpg" alt="" width="300" height="300" />
JIM KAVANAUGH
2 พันล้านเหรียญ
บริการด้านไอที

Kavanaugh เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพที่เคยติดทีมชาติสหรัฐฯ ชุดโอลิมปิกเมื่อปี 1984 หกปีต่อมาเมื่ออายุ 27 ปี เขาร่วมก่อตั้งบริษัท World Wide Technology ขึ้นที่เมือง St. Louis ครั้งหนึ่งเขาเคยต้องเช่ารถบรรทุกแล้วขับรถ 6 ชั่วโมงไปถึงเมือง Omaha เพื่อไปส่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล 500 เครื่องให้ลูกค้าด้วยตัวเอง แต่วันนี้ Kavanaugh วัย 56 ปี เป็นซีอีโอของบริษัทที่มียอดขาย 1.04 หมื่นล้านเหรียญ โดยถือหุ้น 38% และยังร่วมเป็นเจ้าของทีมฮอกกี้ St. Louis Blues อีกด้วย

<img class="alignnone size-full wp-image-3744" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/ANASTASIA-SOARE.jpg" alt="" width="300" height="300" />
ANASTASIA SOARE
1 พันล้านเหรียญ
เครื่องสำอาง

Soare ซึ่งย้ายถิ่นฐานมาจากโรมาเนียในปี 1989 ขยายกิจการจากร้านทำคิ้วของเธอในเมือง L.A. ที่มีลูกค้าอย่าง Kim Kardashian และ Cindy Crawford จนกลายเป็นปรากฏการณ์ด้านการแต่งหน้าในระดับนานาชาติ แบรนด์ Anastasia Beverly Hills มีร้านมากกว่า 1,500 ร้าน และทำยอดขาย 200 ล้านเหรียญในปีที่แล้ว เคล็ดลับน่ะหรือ สื่อโซเชียลไงล่ะ ผู้ติดตามเกือบ 18 ล้านคนใน Instagram และเหล่าเซเลบที่ชื่นชอบสินค้าของเธอช่วยให้ Soare วัย 60 ปี สร้างเครื่องจักรการตลาดที่มีต้นทุนต่ำได้

<img class="alignnone size-full wp-image-3746" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/JIMMY-JOHN-LIAUTAUD.jpg" alt="" width="300" height="300" />
JIMMY JOHN LIAUTAUD
1.7 พันล้านเหรียญ
ร้าน JIMMY JOHN’S

Liautaud วัย 54 ปี ก่อตั้งร้านซับแซนด์วิชชื่อเดียวกับตัวเองในปี 1983 เมื่อเขาอายุ 19 ปี แม้เขาจะขายหุ้นส่วนน้อยให้แก่นักลงทุนในหุ้นนอกตลาดอย่าง Weston Presidio เมื่อกว่า 1 ทศวรรษมาแล้วและ Roark Capital ก็ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ไปเมื่อปี 2017 แต่ Liautaud ก็ยังคงถือหุ้นบริษัทอยู่ประมาณ 35% และเป็นประธานบริษัทเอง Liautaud เรียนไม่เก่งและจบมัธยมปลายด้วยคะแนนเกือบที่โหล่ของห้อง เขาเริ่มทำธุรกิจด้วยเงิน 25,000 เหรียญที่พ่อของเขาซึ่งเป็นทหารผ่านศึกจากกองทัพบกให้กู้มา จนกระทั่งทุกวันนี้ Jimmy John’s มีร้านเกือบ 3,000 สาขา

<img class="alignnone size-full wp-image-3743" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/TIM-SWEENEY.jpg" alt="" width="416" height="416" />
TIM SWEENEY
1.8 พันล้านเหรียญ
FORTNITE

วิดีโอเกมสุดฮิตอย่าง Fortnite Battle Royale ทำเงินมหาศาลให้บริษัทผู้พัฒนาเกมจากรัฐ North Carolina อย่าง Epic Games และ Sweeney วัย 47 ปีซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งได้อย่างเกินคาด หลังจากเปิดตัวมาได้ 1 ปี Fortnite ก็ดึงผู้เล่นเข้ามาได้อย่างน้อย 125 ล้านคน และขายของในเกมได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญ (เกมนี้ให้เล่นฟรี แต่ผู้เล่นสามารถซื้อของพิเศษในเกมเพิ่มได้หลายอย่าง) Sweeney ถือหุ้นประมาณ 16% ในบริษัทแห่งนี้ ซึ่งเขาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1991 ขณะเรียนวิศวกรรมเครื่องกลอยู่ที่ University of Maryland

คลิกอ่านเพิ่มเติม:
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard/global-leaderboard/5-%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99-%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b9%82%e0%b8%9c.html">ร่วงลงหรือลาลับ: 5 “เศรษฐีอเมริกัน” ผู้หลุดจากทำเนียบคนรวยที่สุดในสหรัฐฯ ปี 2018</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard/%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b9%88%e0%b8%87-forbes-4.html">มหาเศรษฐีหน้าใหม่แห่ง “Forbes 400” กลุ่มคนรวยที่สุดของอเมริกา</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="http://www.aisbookstore.com/Shop/Magazine/FORBES/f1065cc2-5b2a-4811-aa7b-20793e378f6b">ติดตามอ่านบทความทางด้านธุรกิจ ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2561</a>

<img class="alignnone wp-image-3346" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/COVER-DECEMBER-67--780x1024.jpg" alt="สังคมสูงวัย" width="311" height="563" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events