<h2>เทศกาลเฉลิมฉลองช่วงปลายปีและวันหยุดยาวกำลังใกล้เข้ามา แน่นอนว่าคนทำงานส่วนใหญ่คงไม่อยากทำงานกันจนวันสิ้นปี ผลสำรวจพบว่าชาวสหราชอาณาจักร (UK) กำลังลดความจริงจังในการทำงานลง วางแผนนำงานใหญ่ไว้จัดการหลังปีใหม่ และเตรียมพาตัวเองไปพักผ่อนกันแล้ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจคนทำงาน 2,000 คนในสหราชอาณาจักร โดย Sopro ผู้ให้บริการปรึกษาและสนับสนุนด้านการขาย พบว่า 17 ธันวาคม คือวันที่พนักงานบริษัทโดยส่วนใหญ่ตั้งใจจะเริ่ม ‘ปิตสวิตช์ (Switch Off)’ หรือผ่อนคลายการทำงานลง เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมสำครับคริสต์มาสและวันหยุดยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คนทำงาน 31.1% หลีกเลี่ยงงานใหญ่หรืองานที่มีความซับซ้อนในช่วงเวลานี้ ในขณะที่ 29% เริ่มจะมีกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานในชั่วโมงการทำงาน ส่วน 22.5% พักเที่ยงนานกว่าปกติหรือไม่ก็เลิกงานเร็วกว่าที่ผ่านมา มิลเลนเนียลเริ่มชิลก่อน ส่วนบูมเมอร์ยังรักงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล คือกลุ่มคนที่ตั้งใจปิดสวิตช์เป็นกลุ่มแรก ผลสำรวจพบว่าชาวมิลเลนเนียล 46.1% เริ่มปิดสวิตช์ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคมเป็นต้นไป และเริ่มจะมีกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานในชั่วโมงทำงาน พฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองเหนือการทำงานช่วงสิ้นปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gen Z ขอปิดสวิตช์ตามหลังชาวมิลเลนเนียล 1 วัน ผลสำรวจชี้ว่าพวกเขาตั้งใจเริ่มคลายความจริงจังกับงานลงในวันที่ 17 ธันวาคมเป็นต้นไป โดย 50% ของคนทำงาน Gen Z รู้สึกว่ากำลังแบกรับความเครียดและความกดดันอย่างมาก และ 45.1% เลือกจะหลีกเลี่ยงการรับมือกับงานที่ซับซ้อนในช่วงคริสต์มาสนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามด้วย Gen X ที่ตั้งใจปิดสวิตช์กันวันที่ 18 ธันวาคม พวกเขาอาจไม่ปฏิเสธงานสำคัญมากเท่ามิลเลนเนียลและ Gen Z แต่ชาว Gen X ถึง 33.9% ยอมรับว่าพวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหนักๆ ในช่วงเวลานี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนชาวบูมเมอร์มีแนวโน้มเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงานก่อนวันหยุดยาวน้อยที่สุด มีเพียง 15.3% ที่เลี่ยงงานสำคัญก่อนคริสต์มาส แม้วันปิดสวิตช์ของพวกเขาจะอยู่ที่ 18 ธันวาคมเหมือน Gen X แต่การอุทิศตัวตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ยังคงสูงกว่า ปิดสวิตช์ กระทบธุรกิจ สู่ December dip&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Sopro ยังพบว่า พฤติกรรมปิดสวิตช์ของคนทำงานเหล่านี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจต่างๆ ในสหราชอาณาจักร เรียกสถานการณ์นี้ว่า ‘December dip’ หรือขาลงช่วงเดือนธันวาคม โดยธุรกิจที่อาจสูญเสียรายได้มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 1 การขายส่ง (ยกเว้นยานยนต์และจักรยานยนต์) อาจสูญรายได้ 2.53 หมื่นล้านปอนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 2 การขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ อาจสูญรายได้ 5.06 พันล้านปอนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 3 การจัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การให้ทำปรึกษาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง อาจสูญรายได้ 3.32 พันล้านปอนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 4 การบริการอาหารและเครื่องดื่ม อาจสูญรายได้ 2.46 พันล้านปอนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันดับ 5 การบริการโทรคมนาคม อาจสูญรายได้ 2.25 พันล้านปอนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Steve Harlow ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายของ Sopro แนะนำแนวทางรับมือกับ December dip ว่า ควรพยายามรักษาโมเมนตัมที่แข็งแกร่งเอาไว้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่มุ่งหวัง และบางธุรกิจก็อาจถือโอกาสช่วงคริสต์มาสเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย แหล่งที่มา:​<a href="https://www.talk-business.co.uk/2024/12/16/millennials-drive-56-8b-festive-revenue-slump-by-switching-off-from-work-early/" alt="Millennials Drive £56.8B Festive Revenue Slump by Switching Off From Work Early">Millennials Drive £56.8B Festive Revenue Slump by Switching Off From Work Early</a>​ ​<a href="https://sopro.io/resources/blog/festive-switch-off/" alt="Festive switch off">Festive switch off</a>​ ภาพ: Pavel Danilyuk from <a href="https://www.pexels.com/photo/a-team-holding-sparklers-and-having-a-celebration-in-the-office-6405757/" alt="Pexels">Pexels</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/other/coffee-prices-surge-new-record-high-in-47-years" alt="ราคา ‘กาแฟ’ พุ่งทุบสถิติใหม่ สูงสุดในรอบ 47 ปี ผลจากสภาพอากาศแปรปรวน">ราคา ‘กาแฟ’ พุ่งทุบสถิติใหม่ สูงสุดในรอบ 47 ปี ผลจากสภาพอากาศแปรปรวน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ชาว UK เตรียมตัวหยุดยาว ‘ปิดสวิตช์’ เรื่องงาน แต่ภาคธุรกิจอาจกระทบ-สูญเสียรายได้

<h2>เทเลวิชั่นเซ็นเตอร์ (Television Centre) มองกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมีศักยภาพสูง ล่าสุดนำโครงการ The Ariel เฟส 2 อาคารที่พักอาศัยใจกลางแลนด์มาร์คย่านไวท์เฮาส์ใกล้สถานศึกษาชั้นนำที่คนไทยนิยมไปศึกษาต่อ ราคาเริ่มต้น 27.76 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปีเตอร์ อัลเลน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดของผู้จัดการฝ่ายพัฒนา บริษัท แสตนโฮป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เทเลวิชั่นเซ็นเตอร์ได้เดินทางมาเปิดตัว The Ariel เฟส 2 ที่ประเทศไทย เป็นแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการนี้มีทำเลที่มีศักยภาพตั้งอยู่ใจกลางแลนด์มาร์คที่เคยเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่บีบีซีในไวท์ซิตี้ทางตะวันตกของลอนดอน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The Ariel เฟส 2 เป็นอาคารสูง 23 ชั้นที่เป็นตึกเดี่ยวเพียงหนึ่งเดียวภายในเทเลวิชั่นเซ็นเตอร์ ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของลอนดอนได้อย่างทั่วถึง ตึกใหม่แห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย บริษัท ออลฟอร์ด ฮอลล์ มอนาแกน มอร์ริส กลุ่มสถาปนิกผู้ได้รับรางวัล RIBA Stirling ภายในโครงการประกอบด้วยห้องชุดและเพนต์เฮ้าส์แบบสตูดิโอ และห้องชุดขนาด 1, 2 และ 3 ห้องนอน ตกแต่งภายในโดย บริษัท เอ็มเอสเอ็มอาร์ และ ทัตยานา ฟอน สไตน์ นักออกแบบตกแต่งภายในที่เป็นที่ต้องการของวงการออกแบบที่พักอาศัยในตอนนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับทำเลไวท์ซิตี้ ถือเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากคนไทยเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้อสังหาริมทรัพย์ย่านนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนไทย เนื่องจากตั้งอยู่บนทำเลใกล้กับสถาบันการศึกษาคุณภาพสูงอย่างอิมพีเรียลคอลเลจและรอยัลคอลเลจออฟอาร์ตในระยะที่สามารถเดินถึงได้ทำให้ The Ariel เป็นสถานที่ในอุดมคติสำหรับนักศึกษา ครอบครัว และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/Pr1WnKR55bEFimdSCCTx.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="Pr1WnKR55bEFimdSCCTx.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่า มีนักเรียนไทยเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในลอนดอนเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 12% โดยจำนวนนักเรียนที่เดินทางไปต่างประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ในปี 2565 จำนวน 32,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้ 17% หรือ 5,405 คน เลือกลงทะเบียนในสหราชอาณาจักร ตามข้อมูลจากกระแสนักศึกษาทั่วโลกของยูเนสโก (UNESCO) ที่เผยแพร่ในรายงานปี 2023 โดย Acumen ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนนักเรียนระดับอุดมศึกษาขาออก 28,609 คนในปี 2564&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ บริติช เคานซิลยังรายงานในเดือนพฤศจิกายน 2565 ว่าสหราชอาณาจักรยังคงเป็นจุดหมายปลายทางการเรียนชั้นนำสำหรับนักเรียนไทย โดยมีนักเรียนมากกว่า 7,000 คน ในสถาบันอุดมศึกษาในสหราชอาณาจักร นี่จึงเป็นเหตุผลในการเลือกมาเปิดตัวในประเทศไทยเป็นแห่งแรก ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากปัจจัยบวกข้างต้นทำให้นี้คาดการณ์ว่ามูลค่าอสังหาริมทรัพย์ย่านไวท์ซิตี้จะเติบโต 17.4% ภายในปี 2029 ในส่วนของความนิยมในทำเลนี้ได้ส่งผลให้ The Ariel เฟส 1 ประสบความสำเร็จในการปิดการขายห้องชุดจำนวน 432 ยูนิต และคาดว่า The Ariel เฟส 2 ซึ่งมีประกอบด้วยห้องชุดและเพนต์เฮ้าส์ส่วนตัว 167 ห้อง จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ The Ariel ตั้งอยู่ในพื้นที่มั่งคั่งของลอนดอนตะวันตก ติดกับย่านที่มีมูลค่าสูง เช่น นอตติ้งฮิลล์ และฮอลแลนด์พาร์ค มีเครือข่ายการคมนาคมที่รวดเร็วและเข้าถึงง่ายเพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินและบนพื้นดิน พื้นที่นี้ยังอยู่ในตำแหน่งที่ดีเยี่ยมสำหรับเดินทางไปยังสนามบินฮีทโธรว์ได้อย่างง่ายดาย​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/v5jiTrhbK1TQDhd3xcVk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="v5jiTrhbK1TQDhd3xcVk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปีเตอร์ อัลเลน กล่าวว่า "The Ariel ดึงดูดผู้ซื้อจากประเทศไทยเป็นพิเศษ เนื่องจากการผสมผสานระหว่างความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำเลที่ตั้งที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และสิ่งอำนวยความสะดวกร่วมสมัย สถานะทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นของลอนดอนและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มั่นคงมอบโอกาสในการลงทุนที่ปลอดภัยในการพัฒนาสถานที่สำคัญนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงความใกล้ชิดกับสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงและแหล่งชอปปิ้งชั้นนำที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความคาดหวังของผู้ซื้อจากต่างประเทศที่มีวิสัยทัศน์ ชุมชนที่มีชีวิตชีวาและบรรยากาศที่สร้างสรรค์ที่เทเลวิชั่นเซ็นเตอร์ ยังสะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้ที่มองหาสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยที่มีชีวิตชีวาในเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประภาพร บุญขจรกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ซาวิลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “มีจำนวนกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยให้ความสนใจตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงลอนดอนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยหนุนข้างต้น ก็ส่งเสริมให้เกิดการตัดสินใจลงทุน โดยแรงจูงใจอันดับแรกในการซื้อของนักลงทุนชาวไทย ก็คือเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวที่มีบุตรหลานศึกษาต่อที่อังกฤษ อีกทั้งยังเป็นการลงทุนที่จะเป็นมรดกล้ำค่าของครอบครัว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ราคาห้องชุดของ The Ariel เริ่มต้นที่ 595,000 ปอนด์ (27,768,650 บาท) สำหรับอพาร์ทเมนต์แบบสตูดิโอ ไปจนถึงกว่า 6 ล้านปอนด์ (280 ล้านบาท) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/global/japan-dual-pricing-to-cope-with-the-surge-of-tourist" alt="สายเที่ยวญี่ปุ่นเตรียมเจอ ‘ราคาชาวต่างชาติ’ รับมือคนเที่ยวล้นหลังเยนอ่อนค่า">สายเที่ยวญี่ปุ่นเตรียมเจอ ‘ราคาชาวต่างชาติ’ รับมือคนเที่ยวล้นหลังเยนอ่อนค่า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บริษัทอสังหาฯ ลอนดอนรุกหาลูกค้าไทย ลัดฟ้ามาเปิดตัว The Ariel เฟส 2 ที่พักทำเลศักยภาพ มุ่งเป้านักเรียนนอก

<h2>เข้าเดือนที่สองของปี 2024 ได้ไม่นาน สหราชอาณาจักรก็ถึงคราวเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่นเดียวญี่ปุ่นที่ต้องเสียตำแหน่งประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกให้กับเยอรมนี สืบเนื่องจากตัวเลขจีดีพีของทั้งสองประเทศหดตัวลงในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2023</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี ของญี่ปุ่นและอังกฤษหดตัวลงติดต่อกัน 2 ไตรมาส ดีมานด์และกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศตกต่ำ พาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย อังกฤษเผชิญ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค”&nbsp; &nbsp;&nbsp;สำนักงานสถิติแห่งชาติประจำสหราชอาณาจักรเผยจีดีพีตลอด 3 เดือนสุดท้ายของปี 2023 ตกลง 0.3% ถือเป็นการหดตัวติดต่อกันถึง 2 ไตรมาส ซึ่งในทางเทคนิคแล้ว นับว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Technical Recession)&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้ง 3 ภาคส่วนหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร ได้แก่ การบริการ การก่อสร้าง และการผลิต ต่างก็มีผลประกอบการตกลงในไตรมาส 4/2023 สืบเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โครงสร้างตลาดแรงงานที่อ่อนแอ และอัตราการเติบโตของผลิตภาพที่ตกต่ำ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/Z1nsAcxQnQMWCZygnHxD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Z1nsAcxQnQMWCZygnHxD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>Jeremy Hunt&nbsp;รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักร</div></figcaption></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;โดย Jeremy Hunt รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักรเน้นย้ำว่าอัตราเงินเฟ้อสูงยังคง “เป็นกำแพงสูงเพียงหนึ่งเดียวที่ขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ” เพราะเป็นปัจจัยที่บีบให้ธนาคารกลางของอังกฤษจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Marc Brookes ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจาก Quilter Investors เผยว่าการถดถอยครั้งนี้ไม่ได้น่ากังวลนัก และสถานการณ์จะดีขึ้นในเร็วๆ นี้ เขาชี้ไปยังภาคบริการว่าเป็นกุญแจสำคัญ เพราะมีส่วนต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน อัตราค่าแรง ตลอดจนความต้องการของผู้บริโภคในประเทศอย่างมาก ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเอื้อให้เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรฟื้นตัวได้ ญี่ปุ่นจีดีพีหดตัว ตกอันดับตามหลังเยอรมนี&nbsp; &nbsp;&nbsp;ข้ามมาฝั่งเอเชีย ยักษ์ใหญ่อย่างญี่ปุ่นก็เผชิญตัวเลขจีดีพีที่ตกลง 0.4% ใน 3 เดือนสุดท้ายของปี 2023 ต่ำกว่าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เคยคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเติบโตราว 2% ในปี 2023 ด้วยอานิสงส์จากการฟื้นฟูของภาคการท่องเที่ยว&nbsp; &nbsp;&nbsp;แม้กระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือการถดถอยของแทบทุกภาคส่วนภายในประเทศ มีเพียงการส่งออกเท่านั้นที่เป็นบวก โดยการบริโภคของภาคเอกชน (Private Comsumption) ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจญี่ปุ่นตกลง 0.9% ในไตรมาสสุดท้ายของปีเทียบกับปีก่อนหน้า สืบเนื่องจากราคาอาหาร เชื้อเพลิง และสินค้าอื่นๆ ที่มีราคาแพงขึ้น ทั้งยังต้องเผชิญกับสังคมผู้สูงอายุและอัตราการเกิดที่น้อยลง <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/7BKKFCJUzwyLGA4ezMDG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="7BKKFCJUzwyLGA4ezMDG.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1"><figcaption><div>ชิบูย่า ย่านการค้าที่สำคัญของญี่ปุ่น</div></figcaption></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;ค่าเงินเยนยังตกลง 6.6% เทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ เมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมา กลับกลายเป็นหนึ่งสกุลเงินที่มีศักยภาพต่ำสุดในหมู่สกุลเงินที่ถูกใช้งานในกลุ่ม 10 ประเทศอุตสาหกรรม&nbsp; &nbsp;&nbsp;ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในครั้งนี้ยังพาให้ญี่ปุ่นเสียตำแหน่งประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกแก่เยอรมนี โดยตลอดปี 2023 จีดีพีของญี่ปุ่นเติบโตเพียง 5.7% คิดเป็น 4.2 ล้านล้านเหรียญ ในขณะที่เยอรมนีจีดีพีเติบโต 6.3% แตะ 4.46 ล้านล้านเหรียญ&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Piero Cingari นักวิเคราะห์การตลาดมองว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีซึ่งมีอิทธิพลยิ่งต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวมของยุโรปยังต้องเผชิญความท้าทายอีกมากมาย&nbsp; &nbsp;&nbsp;“ตัวบ่งชี้เศรษฐกิจเยอรมันยังคงไม่แน่นอน ตัวเลขต่างๆ ในเดือนมกราคมตกต่ำอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนนับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19” พร้อมเสริมว่ากิจกรรมเศรษฐกิจช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีแนวโน้มอ่อนแอ&nbsp; &nbsp;&nbsp;สำหรับปัญหาที่เยอรมนีเผชิญตลอดปีที่ผ่านมามีทั้งการผลิตและการบริการที่ตกต่ำ ภาวะเงินเฟ้อ และการขาดแคลนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นพร้อมๆ กับอัตราการว่างงานเลยทีเดียว แหล่งที่มา:​<a href="https://www.cnbc.com/2024/02/15/uk-economy-slipped-into-technical-recession-at-the-end-of-2023.html" alt="UK economy slipped into technical recession at the end of 2023">UK economy slipped into technical recession at the end of 2023</a>​ ​<a href="https://www.cnbc.com/2024/02/15/japan-loses-spot-as-worlds-third-largest-economy-to-germany.html" alt="Japan is no longer the world’s third-largest economy as it slips into recession">Japan is no longer the world’s third-largest economy as it slips into recession</a>​ ​<a href="https://www.japantimes.co.jp/business/2023/10/10/economy/imf-japan-growth-forecast/" alt="IMF lifts Japan's 2023 growth forecast to 2% amid tourism boom">IMF lifts Japan's 2023 growth forecast to 2% amid tourism boom</a>​ ​<a href="https://edition.cnn.com/2024/02/14/economy/japan-economy-recession-hnk-intl/index.html" alt="Japan just lost its crown as the world’s third-largest economy">Japan just lost its crown as the world’s third-largest economy</a>​ ​<a href="https://www.euronews.com/business/2024/02/15/germany-now-worlds-third-largest-economy-as-japan-loses-its-spot" alt="Germany now world's third largest economy as Japan loses its spot">Germany now world's third largest economy as Japan loses its spot</a>​ ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/uob-estimates-thai-gdp-2024" alt="ยูโอบี ประเมินจีดีพีไทยปี 67 ขยายตัวได้ 3.6% จากภาคส่งออก และท่องเที่ยวฟื้นตัว">ยูโอบี ประเมินจีดีพีไทยปี 67 ขยายตัวได้ 3.6% จากภาคส่งออก และท่องเที่ยวฟื้นตัว</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เศรษฐกิจ “ญี่ปุ่น-อังกฤษ” ถดถอย “เยอรมนี” ผงาดอันดับ 3 แต่อาการยังน่าห่วง

<h2>บริติช เคานซิล รีวิวเทรนด์โลกปี 2024 ผ่าน 5 มุมมอง Alumni UK แนะเตรียมรับ Big Change ครั้งใหญ่ เมื่อ AI เข้ามาใกล้ชิดผู้คน พลิกโฉมโลกยุคใหม่ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล เจ้าของหนังสือ “อัจฉริยะการตลาด” ชู 3 เลนใหม่นักการตลาด กับเทรนด์ 3R เพื่ออยู่รอด</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริติช เคานซิล ประเทศไทย ได้เปิดตัวโครงการ Alumni UK แพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลกที่เชื่อมโยงศิษย์เก่าสหราชอาณาจักรจากทั่วโลก เพื่อยกระดับความรู้ และความสามารถพร้อมรับกับโลกสมัยใหม่ และล่าสุดได้จัดงาน Alumni UK Special Talk and Networking โดยเชิญศิษย์เก่า 5 คน เป็นตัวแทนความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ได้แก่ จันทิมา ฮิรากะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย พม่าและกัมพูชา บริษัท เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น จำกัด, ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและสร้างแบรนด์ เจ้าของหนังสือ “อัจฉริยะการตลาด”, ดร.ชิดชนก เทพสุนทร กูรูด้าน AI และเทคโนโลยี,&nbsp;ดร.ร่มเย็น โกไศยกานนท์ ผู้บริหารองค์กรด้านการศึกษาระดับภูมิภาค และดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้มีประสบการณ์ในแวดวงสือและบริษัทชั้นนำ ร่วมแบ่งปันข้อมูล “รีวิวเทรนด์โลกพร้อมก้าวสู่ปี 2024” AI – ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนโลกปี 2023&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.ชิดชนก กล่าวว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา สิ่งที่เป็น Big Change คือการเข้ามาของ Generative AI ที่ทำให้เทคโนโลยี AI เข้าใกล้ชิดคนมากขึ้น ด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ อย่างที่เราไม่เคยคิดว่า AI จะสามารถทำได้ ทั้งในเรื่องธุรกิจ การศึกษา และเทคโนโลยี เป็นสัญญาณเตือนให้คนต้องปรับตัวและพัฒนาตัวเองรู้เท่าทัน AI มากขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/5C6ng8a2UpA8WpLB3hTD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5C6ng8a2UpA8WpLB3hTD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="4320,2880" style="width: 100%;" data-index="0"><figcaption><div>ดร.ชิดชนก เทพสุนทร</div></figcaption></figure></div>​​​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สอดคล้องกับ ดร.เอกก์ ที่ระบุเช่นเดียวกันว่าการใช้ AI ทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ใช้ในระดับปฏิบัติการ แต่ AI กลายเป็น ทั้ง Boss และ Bitch ที่ทั้งสั่งงาน ติดตามการทำงาน และมีอำนาจในการต่อรอง และในด้านการตลาดจึงต้องเปลี่ยนตาม พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป การตลาดยุคใหม่ไม่ใช่เป็น Segment Of One หรือการจัดกลุ่มเป้าหมายแบบ 1 ต่อ 1 แต่เป็น Segment Of Point One ที่เจาะลึกลงไปอีกขั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ในด้านการศึกษา ดร.ร่มเย็น มองว่า สถาบักนการศึกษาควรใช้ AI ในการชี้นำอนาคตให้กับโลกการศึกษา ซึ่งนอกจากเรื่อง AI แล้ว ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน ความเท่าเทียมทางเพศ และสิ่งที่เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในปี 2566 นี้ คือความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลกระทบทางการเมืองหลายประเทศทั่วโลก และในปี 2024 ต้องติดตามสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ นอกจากจะมีการเลือกตั้งสำคัญ ๆ ในสหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ยูเครน และอินเดียแล้ว ยังมีการเลือกตั้งทั่วไปใน 70 ประเทศทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.วิทย์ กล่าวว่า ระเบียบโลกในปัจจุบันเปลี่ยนโฉมไปอย่างมาก อินเดีย ขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อันดับ 5 ของโลกแทนที่สหราชอาณาจักร ถนนทุกสายตอนนี้มุ่งสู่ภูมิภาคอาเซียน และไทยในฐานที่เป็นมิตรกับทุกประเทศ กลายเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญของโลกยุคใหม่ เห็นได้จากการย้ายฐานผลิตของบริษัทระดับโลกมายังประเทศไทย รวมถึงการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไทยยังเป็นฐานผลิตที่สำคัญของทั้งรถสันดาปและรถยนต์ไฟฟ้าด้วย​​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/Cos2QNtzHMPVcbrsu64f.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Cos2QNtzHMPVcbrsu64f.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="1"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div>ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จันทิมา กล่าวว่า เทคโนโลยี AI จะทำให้เกิดการ Transform ใหม่หมดภายในปี 2030 แต่ปี 2024 จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากในอดีต เช่น คนเลือกบริษัท ไม่ใช่บริษัทเลือกคน การศึกษาต้องเร่งวางกรอบใหม่ในการพัฒนาทักษะการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการมี Employability skills หมายถึง ความสามารถของบุคคลหนึ่ง ในการทำงานได้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน และมีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองอยู่เสมอเพื่อให้มีทักษะที่เป็นที่ต้องการตลอดเวลา 3 เลนการตลาด 3R เพื่ออยู่รอด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.เอกก์ กล่าวว่า สำหรับปี 2024 ถือเป็นอีกปีที่ลำบาก สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่าจีดีพีในปี 2567 จะขยายตัวเพียง 1.33% และผลสำรวจนักการตลาดระดับผู้บริหาร มากกว่า 50% จะไม่เพิ่มงบการตลาดในปีหน้า เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่ดี อัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น ของแพงขึ้น แต่คนจนลง สำหรับนักการตลาดมี 3 เทรนด์ หรือ 3 เลนให้เลือก <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="width: 50%; margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/iWT43CkQ65zz9GTs7Q5v.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="iWT43CkQ65zz9GTs7Q5v.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%,auto" data-rotate="" data-percentage="50%,auto" origin-size="4320,2880" style="width: 100%; height: auto;" data-index="2"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div>ดร.เอกก์ ภทรธนกุล</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ของจริงหรือของปลอม ของปลอมหรือของจริง ยกตัวอย่างการเกิดขึ้นของ Gucci Vault Land โลกเสมือนที่มีการใช้จ่ายจริงเพื่อซื้อ Gucci ให้กับอวตาร์ในโลกเสมือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ของที่ไม่จะเหมาะ ของที่เหมาะจะไม่ ยกตัวอย่างแม่ค้าออนไลน์ที่ฉีกกฎการตลาดในการขายของทุกอย่าง แต่สามารถทำยอดขายได้สูงสุดถึง 10 ล้านชิ้น/วัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ของที่ถูกจะผิด ของที่ผิดจะถูก ยกตัวอย่างกรณีแคมเปญโฆษณาที่นำแม่ที่ตายไปแล้วกลับมา ซึ่งมีคำถามว่าผิดหรือไม่ ทั้งในเชิงจริยธรรม รวมไปถึงสัจธรรมหรือไม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่จะอยู่รอดได้ ต้องเป็นปีแห่งปลาหมึกยักษ์ (Octopus) ที่สามารถปรับตัวได้ทุกสภาพแวดล้อม ปรับเปลี่ยนทักษะได้ตามที่ตลาดต้องการ โดยต้องมี 3R ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. Resilience ความสามารถในการปรับตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. Relationship การสร้างสัมพันธ์ ทักษะด้านคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และ 3. Responsibility ความรับผิดชอบต่อสังคม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ดร.ชิดชนก กล่าวว่า ทักษะที่ควรมีเพิ่มเติมในปี 2024 คือ Digital Awareness การใช้เทคโนโลยีอย่างระมัดระวัง ทุกการใช้งานต้องคำนึงด้วยว่าละเมิดสิทธิผู้อื่นหรือไม่ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/executive-interview/kongpob-kiki-beauty-space" alt="ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์ จากเด็กสถาปัตย์ จุฬาฯ สู่ ‘นับเงิน กรุ๊ป’ เจ้าของ KIKI ลักชัวรี ซาลอน">ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์ จากเด็กสถาปัตย์ จุฬาฯ สู่ ‘นับเงิน กรุ๊ป’ เจ้าของ KIKI ลักชัวรี ซาลอน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สรุปเทรนด์ปี 2024 ผ่านมุมมอง Alumni UK

<h2>งานวิจัยเผย เด็กและเยาวชนหันมาใส่ใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น กับคำถามที่ว่าครอบครัวของพวกเขามีเงินเพียงพอหรือไม่ สูงกว่าความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและอาชญากรรมเสียอีก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในสิบของเยาวชนอายุระหว่าง 10-17 ปีต่างเป็นทุกข์กับชีวิต อ้างอิงจากรายงานผลการศึกษาโดยองค์กร Children,s Society&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการประมาณในรายงาน พบว่าเด็กและเยาวชนกว่า 2 ล้านคนในสหราชอาณาจักรต่างวิตกกังวลกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเหนือปัญหาสิ่งแวดล้อ โดยเกือบ 3 ล้านคนปราศจากความรู้สึกเชิงบวกต่ออนาคตของประเทศหรือกระทั่งของโลกก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความมั่นคงทางการเงินในอนาคตคือปัญหากวนใจเยาวชนรุ่นใหม่กันมากที่สุด กว่าหนึ่งในสามของเยาวชนกังวลว่าจะมีเงินพอใช้สำหรับภายภาคหน้าหรือเปล่า สี่ในห้าของพ่อแม่หรือผู้ปกครองเองก็คิดมากเรื่องผลกระทบของค่าครองชีพที่มีต่อครอบครัวเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานดังกล่าวยังเปิดว่าเด็กผู้หญิงมีความสุขน้อยกว่าเด็กผู้ชายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ยกเว้นงานที่โรงเรียน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ชีวิตยากเกินไปสำหรับเด็กหลายคน” Mark Russell ซีอีโอของ Children,s Society กล่าว “กลายเป็นเรื่องฉาวระดับชาติเมื่อความสุขของเด็กๆ ถดถอยลงเรื่อยๆ น่าตกใจจริงๆ ที่เกือบครึ่งของเยาวชนรู้สึกเศร้ากับสถานการณ์โลกทุกวันนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราต้องการผู้นำแท้จริงจากรัฐบาลเพื่อแก้ไข” เขาเสริม “ความจำเป็นในการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีต้องเด็กๆ เร่งด่วนมาก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nil Gzelgun ผู้จัดการนโยบายและแคมเปญจากองค์กรด้านสุขภาพจิตเผยว่า “เยาวชนกำลังแบกรับผลกระทบจากวิกฤตค่าครองชีพอันเลวร้ายยิ่งในรุ่นนี้ เกือบหนึ่งในสามของเด็กๆ ชาวอังกฤษต้องเผชิญความยากจน จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจที่น่าเศร้าเหลือเกินเมื่อเด็กหลายคนกำลังรับรู้ถึงผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกรายงานผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวันเดียวกันโดยองค์กรการกุศล Trussell Trust พบว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานครัวเรือนที่มีชื่อในประกันสังคมที่เรียกว่า Universal Credit ต่างขาดแคลนอาหารในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และไม่สามารถหาซื้อเพิ่มได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Universal Credit คือสิทธิประโยชน์หลักของชาวสหราชอาณาจักรสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือตกงาน มีประชาชนมาขอเบิกเงิน 6 ล้านคน อัตราปกติคืออย่างน้อย 140 ปอนด์ต่อเดือนซึ่งต่ำกว่าค่าอาหาร พลังงาน และปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการศึกษาซึ่งคาดคะเนว่าผู้ได้รับสิทธิประโยชน์จาก Universal Credit ราว 700,000 คนต้องหันไปพึ่งพาอาหารจากการกุศลในเดือนสิงหาคม ทั้งยังพบว่าหลายครอบครัวต้องดิ้นรนประหยัดพลังงาน พวกเขามีแนวโน้มจะอดอาหารบางมื้อและไม่อาบน้ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Russell กล่าวว่าในกรณีนี้มีความน่าประหลาดใจอยู่นิดหน่อยตรงที่งานวิจัยของ Children,s Society ชี้ว่าความสุขโดยรวมของเยาวชนตกลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่มีการสำรวจครั้งแรกเมื่อ 12 ปีก่อน โดยคนรุ่นใหม่มีความทุกข์เกี่ยวกับปัจจัยหลักทุกอย่างของชีวิตกว่าแต่ก่อน ยกเว้นแค่ครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jonathan Townsend ซีอีโอแห่งองค์กรการกุศล Prince,s Trust กล่าวว่าผลการศึกษาเหล่านี้เป็นดั่ง “แจ้งเตือนอันชัดเจนว่าค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นส่งผลลบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเยาวชนและความหวังในอนาคตของพวกเขา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ก่อนหน้านี้ เราเผยแพร่ผลวิจัยซึ่งแสดงให้เห็นว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและแรงกดดันทางการเงินที่มีมาอย่างต่อเนื่องนั้น กัดกินความทะเยอทะยานด้านการงานอาชีพและเป้าหมายในชีวิตของเยาวชน โดยส่วนใหญ่รู้สึกหวั่นวิตก ขาดความมั่นใจ และสิ้นหวังเกี่ยวกับแผนการในอนาคต” Townsend อธิบาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Barry Fletcher ซีอีโอแห่งมูลนิธิ Youth Futures Foundation เผยว่าเยาวชนจำนวนมากกว่า 790,000 คนไม่มีงานทำและไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาหรือฝึกฝนใดๆ คิดเป็น 23% เพิ่มขึ้นตลอดสองปที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราจำเป็นต้องหาทางออกระยะยาวซึ่งสนับสนุนเยาวชน ช่วยให้พวกเขาได้ทำงานที่มีคุณภาพ และมีอนาคตที่สดใส” Fletcher กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทาง Children,s Society กำลังเรียกร้องให้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับเด็ก ต้องมีตำแหน่งรัฐมนตรีระดับสูงรับผิดชอบเรื่องของเยาวชนทั้งในรัฐบาลสหราชอาณาจักรและเวลส์ เพื่อให้ทางรัฐบาลสามารถตรวจสอบความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรมประจำทุกปี โดยเฉพาะสำหรับเด็กผู้หญิง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Children worry more about rising prices than environment or crime, study finds ซึ่งเผยแพร่บน theguardian.com &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71364" alt="หรือเปียโนจะสูญสิ้น? เมื่อออสเตรเลียขาดแคลนช่างจูนเสียง">หรือเปียโนจะสูญสิ้น? เมื่อออสเตรเลียขาดแคลนช่างจูนเสียง</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เยาวชนสหราชอาณาจักรหวั่น ค่าครองชีพพุ่งสูง กระทบความมั่งคงทางการเงิน

<h2>เงินสดกลับมาเป็นที่แพร่หลายอีกครั้งในสหราชอาณาจักร ข้อมูลเผยการใช้จ่ายด้วยธนบัตรและเหรียญเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี&nbsp;</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากมองในระยะยาว การใช้เงินสดอาจลดลง แต่ทางสมาคม UK Finance เผยว่าวิกฤตค่าครองชีพส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากหันกลับมาใช้เงินสด “ที่จับต้องได้” ซึ่งช่วยในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อปีที่ผ่านมายังเกิด “ความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง” ในบันทึกตัวเลขโดยรวมของการทำธุรกรรมผ่านวิธีการทั้งหมด ได้ชี้ว่าประชนเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตถี่ขึ้นและใช้จ่ายโดยให้ความสำคัญกับมูลค่ามากกว่าซื้อเยอะๆ ในคราวเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานประจำปีว่าด้วยตลาดการใช้จ่ายของสหราชอาณาจักร ภาคธนาคารกล่าวว่าบัตรสำหรับใช้จ่ายเงินยังคงมีบทบาทสำคัญในปี 2022 นับเป็นครั้งแรกที่กว่าครึ่งของการใช้จ่ายในสหราชอาณาจักรเป็นไปผ่านบัตรเดบิต ขณะที่การทำธุรกรรมโดยปราศจากการสัมผัสพุ่งสูงขึ้น 30% แตะ 17 พันล้านปอนด์ภายในปีเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวเลขการทำธุรกรรมผ่านวิธีการทั้งหมดเพิ่มขึ้นสู่ 4.57 หมื่นล้านปอนด์ จาก 4.04 หมื่นล้านปอนด์ในปี 2021 และ 3.56 ล้านปอนด์ในปี 2020&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทาง UK Finance ยังกล่าวว่านี่เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเชื่อมโยงกับการทำงานแบบไฮบริด ตอนนี้ผู้คนจำนวนมากหันมาใช้จ่ายสำหรับการเดินทางแต่ละเที่ยว แทนที่จะซื้อตั๋วสำหรับตลอดฤดูกาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การหวนคืนมาที่ไม่หวือหวาของธนบัตรและเหรียญกลับเป็นสิ่งสะดุดตาที่สุด การใช้จ่ายด้วยเงินสดเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีในปีที่ผ่านมา โดยคิดเป็น 7% เทียบเท่าการใช้จ่าย 6.4 พันล้านปอนด์ แม้ข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ว่าหลายธุรกิจหันมาใช้บัตรกันหมดแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวเลขบรรดาผู้ที่ใช้ชีวิต “โดยปราศจากเงินสดเสียส่วนใหญ่” อันเป็นนิยามของกลุ่มคนที่ไม่ใช้ธนบัตรกับหรียญเลย หรือไม่ก็นานๆ ใช้สักครั้งหนึ่ง เพิ่มขึ้นทุกปีมาสักระยะแล้ว โดยแตะ 23.1 ล้านคนในปี 2021 แต่ในปี 2022 แนวโน้มกลับสวนทางโดยชาวไร้เงินสดกลับลดลงเหลือเพียง 21.6 ล้านคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความกลัวภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้หลายคนเลือกใช้เงินสด เพื่อเป็นวิธหนึ่งในการบริหารค่าใช้จ่าย” โฆษกแห่ง UK Finance เผย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานยังเสริมว่า “เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงและความมั่นใจในเศรษฐกิจของผู้บริโภคฟื้นคืนมา เราคาดหวังว่ากระแสการใช้เงินสดในระยะยาวจะลดลง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ภาคธนาคารกลับเปลี่ยนผลคาดการณ์ว่าด้วยการใช้เงินสด เมื่อปีที่แล้วพวกเขาคาดว่าจะมีการทำธุรกรรมด้วยเงินสดน้อยกว่า 3 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักรก่อนปี 2031 คิดเป็น 6% ของการทำธุรกรรมทั้งหมด ทว่าตอนนี้พวกเขากลับคาดการณ์ว่าในปี 2032 จะมีการทำธุรกรรมด้วยเงินสดราว 3.3 พันล้านปอนด์ ซึ่งคิดเป็น 7% ของทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลยังชี้ว่าการเติบโตของโมเดลธุรกิจแบบเครดิตซื้อก่อนจ่ายทีหลังในสหราชอาณาจักรยังอาจชะลอตัว การซื้อก่อนจ่ายทีหลังทำให้ผู้ซื้อลังเลที่จะใช้เงินไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรือสิ่งของจำเป็นก็ตาม และมีเพียงหนึ่งในแปดของผู้คนในสหราชอาณาจักร (12%) ที่ซื้อของด้วยวิธีนี้ในปี 2022 ซึ่งเป็นสัดส่วนเดียวกับเมื่อปี 2021&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม 8% ของผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเลือกที่จะซื้อก่อนจ่ายทีหลังเพิ่มขึ้นจาก 4% ในปี 2021&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Cash payments rise in UK as people seek ways to manage budgets ซึ่งเผยแพร่บน theguardian.com &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71331" alt="Alessandro Rosano ถอดธุรกิจ HeyDude รองเท้าพันล้าน">Alessandro Rosano ถอดธุรกิจ HeyDude รองเท้าพันล้าน</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เงินสดหวนผงาด เมื่อชาวสหราชอาณาจักรพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย

<h2>เมล็ดกาแฟที่ประชากรหลายล้านคนในสหราชอาณาจักรบริโภคอาจปลูกได้ยากขึ้นเป็นอย่างมากเมื่ออุณหภูมิในเขตร้อนเพิ่มสูงขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานใหม่ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จะทำให้พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเพาะปลูกกาแฟลดลงถึง 54% ก่อนปี 2100 แม้ว่าอุณหภูมิของโลกจะทรงตัวอยู่ตรงจุดที่นานาชาติเคยได้หารือกันไว้ก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ปลูกกาแฟตั้งแต่ในประเทศฮอนดูรัสไปจนประเทศเอธิโอเปียต่างก็ออกมาพูดว่าพวกเขากำลังประสบปัญหาอันเป็นผลมาจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และองค์กรการกุศล Christian Aid ก็เรียกร้องให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรออกมาช่วยเหลือโดยการยกเลิกหนี้ต่างๆ ในอดีต และหันมาระดมเงินเพื่อจ่ายให้กับความสูญเสียและความเสียหายจากสภาพภูมิอากาศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Christian Aid คำนวณว่าอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดจนปัจจัยอันยากจะคาดเดาอื่นๆ จะส่งผลให้พื้นที่ต่างๆ ในโลกที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกกาแฟลดลงถึง 54.4% แม้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะหยุดอยู่ที่ 1.5-2 องศาเซลเซียสเหนือระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม (pre-industrial level) ซึ่งช่วงอุณหภูมิดังกล่าวเป็นขอบเขตที่ทางคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เคยให้ข้อมูลว่าหากอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นมากเกินกว่านี้ อาจนำมาซึ่งหายนะร้ายแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่สหราชอาณาจักรมีผู้ดื่มกาแฟรวมกันราว 98 ล้านถ้วยในแต่ละวัน ซึ่งเป็นการสนับสนุนอาชีพให้กับผู้คนในประเทศมากกว่า 210,000 ราย อ้างอิงจากตัวเลขในปี 2017 ของทางสมาคมกาแฟแห่งอังกฤษ (British Coffee Association)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เกินครึ่งของกาแฟที่ดื่มกันในสหราชอาณาจักรมาจากประเทศบราซิลและประเทศเวียดนาม โดยทั้งสองประเทศนี้ต่างก็เสี่ยงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากเป็นพิเศษ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศเวียดนามบันทึกสถิติอุณหภูมิสูงสุดได้เมื่อวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 44.1 องศาเซลเซียส ส่วนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย ลาว เมียนมา ต่างก็ประสบกับความร้อนระอุอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น รวมถึงฝนที่ไม่ตกตามฤดูกาล โรคภัย ความแห้งแล้ง และดินถล่ม อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศซึ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ทั้งหมดนี้เป็นภัยและมีผลต่อการหดตัวของอุตสาหกรรมกาแฟ ตลอดจนทำให้ผู้ผลิตกาแฟขาดรายได้อย่างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Yadira Lemus เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟชาวฮอนดูรัสกล่าวว่า “ในฐานะผู้ผลิตกาแฟ มันยากขึ้นและยากขึ้นเรื่อยๆ และใช่ ชัดเจนเลยว่ามันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะก่อนหน้านี้เราแค่ปลูกกาแฟ แล้วผลผลิตก็แทบจะงอกเงยขึ้นมาเอง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แต่เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราต่างก็เห็นว่าอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น การพยากรณ์อากาศเป็นเรื่องยากขึ้น เราเคยบอกได้ว่าตอนไหนคือหน้าหนาว ตอนไหนคือหน้าร้อน และตอนไหนที่เราควรจะปลูกพืช แต่ไม่อีกแล้ว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราไม่สามารถบอกได้ว่ามันเปลี่ยนจากหนึ่งปีเป็นเท่าไหร่ และการพยากรณ์ก็ไม่ง่าย ใครบอกได้บ้างว่าเราจะเผชิญกับพายุและเฮอร์ริเคนที่เจอเมื่อปีที่แล้ว?”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตอนนี้คุณจะเห็นว่าฝนแล้ง เราต่างก็เดือดร้อนจากความเปลี่ยนแปลงพวกนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Christian Aid ได้เผยแพร่คำเตือนอย่างจริงจังผ่านรายงานฉบับใหม่ “Wake up and smell the coffee: The climate crisis and your coffee” ซึ่งเรียกร้องให้มีการยกเลิกหนี้ต่างๆ ที่ “ไม่เป็นธรรม” และต้องการกำลังสนับสนุนด้านการเงินแก่เหล่าเกษตรกรในการหารายได้ประทังชีพจากหลายๆ ทาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Yitna Tekaligne ผู้จัดการ Christian Aid สาขาประเทศเอธิโอเปียกล่าวว่า “ชาวแอฟริกันเป็นประชากร 17% ของโลก แต่พวกเราปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศเพียง 4% เท่านั้น แต่กลับเป็นพวกเราอีกนั่นแหละที่ต้องทุกข์ทนกับส่วนที่ร้ายแรงที่สุดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อุตสาหกรรมกาแฟของพวกเราเป็นผลผลิตส่งออกที่สำคัญที่สุดของประเทศเอธิโอเปีย และยังสร้างอาชีพให้กับผู้คนจำนวนมาก แต่ตอนนี้กำลังถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการผลิตกาแฟนั้นเห็นได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่นใบกาแฟที่เป็นโรคราสนิมอย่างหนัก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“รัฐบาลสหราชอาณาจักรสามารถลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย เริ่มจากการใช้อำนาจในมือทำให้เจ้าหนี้ภาคเอกชนจากตะวันตกยกเลิกหนี้ที่มีกับบรรดาประเทศที่ได้ชื่อว่ายากจนที่สุดในโลกเสีย และผลักดันการขับเคลื่อนด้านการเงินที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ซึ่งพวกเราจำเป็นต้องบอกว่าประเทศของเราต้องเผชิญความสูญเสียและผลกระทบอะไรบ้างจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Christian Aid ยังมีผลสำรวจผู้ใหญ่ชาวสหราชอาณาจักร 2,181 คนเกี่ยวกับกาแฟและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประกอบรายงาน ซึ่งพบว่า 57% ของผู้ทำแบบสำรวจมีความกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะกระทบราคา รสชาติ และปริมาณสินค้ากาแฟในสหราชอาณาจักรอย่างไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานยังเผยว่า 69% เห็นด้วยว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรควรลงมือให้มากกว่านี้เพื่อลดผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนด้านอาหารของประเทศ เช่น การสนับสนุนให้เกษตรกรมีรายได้ทางอื่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Davis Taylor ผู้จัดการด้านนโยบายอาวุโสจากองค์กร Fairtrade Foundation กล่าวว่า “รายงานของ Christian Aid ซึ่งมาได้ถูกเวลาช่วยตอกย้ำสิ่งที่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟของ Fairtrade ได้บอกกับเรามาสักระยะหนึ่งแล้ว เช่น ผลพวงอันร้ายแรงของหายนะด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Breakdown) ไม่ได้เพียงเป็นภัยต่อการดำรงชีวิตของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอนาคตของกาแฟอีกด้วย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ชุมชนเกษตรกรมีบทบาทที่สำคัญในการชี้ชัดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และมีความชำนาญในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อย่างไรก็ตาม มีเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟรายย่อยจำนวนมาก หลายๆ รายไม่มีแรงมากพอที่จะช่วยแก้ไขวิกฤต เพราะราคาผลิตผลของพวกเขาต่ำมากและยังไม่ได้รับความคุ้มด้านราคาจาก Fairtrade ซึ่งไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”​ แปลและเรียบเรียงจากบทความ Climate change will cut land available for coffee by more than half, says report ซึ่งเผยแพร่บน independent.co.uk อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/subway-ธุรกิจ-แฟรนไชส์-พันล้าน-กับเบื้องหลัง-ความมั่งคั่ง-ที่ซ่อนเร้น" alt="Subway ธุรกิจแฟรนไชส์พันล้าน กับเบื้องหลังความมั่งคั่งที่ซ่อนเร้น">Subway ธุรกิจแฟรนไชส์พันล้าน กับเบื้องหลังความมั่งคั่งที่ซ่อนเร้น</a> <a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/259ea8b5-e863-4fe9-afd6-8640148d07e2/june-2023" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/6o3wqXtGVmYsHmadpeZL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="6o3wqXtGVmYsHmadpeZL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="179px,235px" data-rotate="" style="width: 179px; height: 235px;" data-index="0"></figure></div>

อนาคตที่ไร้กาเฟอีน เมื่อโลกร้อนกระทบแหล่งเพาะปลูกกาแฟ

<h2 class="p1">Deliveroo แอปพลิเคชันส่งอาหารรายใหญ่ของอังกฤษ เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน โดยคาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ราว 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากมูลค่ากิจการที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 1.2 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการล็อกดาวน์ในวิกฤตโควิด-19</h2>
<figure><img class="wp-image-43350" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/methode-sundaytimes-prod-web-bin-f8e87cb8-0e7d-11e8-b553-b6f31437c43b.jpg" alt="Deliveroo" width="543" height="543" /><figcaption> William Shu ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง Deliveroo</figcaption></figure>
Deliveroo อาจก้าวขึ้นเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษในรอบ 7 ปี ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ราคาประมาณ 5.37-6.33 เหรียญต่อหุ้น อ้างอิงจากเอกสารไฟลิ่งที่ยื่นต่อ<a style="color: #008000;" href="https://www.facebook.com/forbesasia">ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน</a>เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
โดยบริษัทซึ่งมีนักลงทุนรายใหญ่อย่าง Amazon มียอดการคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้นกว่าร้อยละ 121 ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ท่ามกลางการปิดตัวลงของร้านอาหารในสหราชอาณาจักรและยุโรป
“เรารู้สึกภูมิใจที่จะเข้าจดทะเบียนในลอนดอน ซึ่งเป็นสถานที่ที่แพลตฟอร์มของเราเริ่มก่อตั้งขึ้น” <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/parmyolson/2016/02/17/deliveroo-army-5000-drivers-3-years/?sh=7a4bd9d520bd">William Shu </a>ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งกล่าวในแถลงการณ์ พร้อมเสริมว่า “การเข้าเป็นบริษัทมหาชนจะมีส่วนช่วยให้เราสามารถลงทุนพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายร้านอาหาร ร้านค้า ไรเดอร์ และผู้บริโภคเข้าด้วยกัน”
ทั้งนี้ บริษัทจะเข้าจดทะเบียนในรูปแบบ “หุ้น 2 ชั้น” ที่เพิ่งเปิดตัวโดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เพื่อช่วยให้ผู้ก่อตั้งสามารถวางแผนกลยุทธ์และควบคุมธุรกิจของตนได้มากขึ้นเมื่อทำการตัดสินใจต่างๆ อาทิเช่น การควบรวมหรือการเข้าซื้อกิจการ เป็นต้น
ด้วยเหตุเช่นนี้จึงส่งผลให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นของ Shu มีสิทธิในการออกเสียงมากกว่านักลงทุนรายอื่นๆ อยู่ 20 เท่า เป็นระยะเวลา 3 ปี และในขณะเดียวกันบริษัทก็จะอยู่นอกเหนือการคำนวณของดัชนี FTSE 100 Index ที่ประเมินราคาและมูลค่าของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน
แม้ว่าจะเปิดให้บริการในสหราชอาณาจักร ยุโรป และตะวันออกกลาง แต่ปัจจุบันธุรกิจยังไม่สามารถคืนผลกำไรได้มากนัก เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันจาก Uber Eats, Just Eat และธุรกิจคู่แข่งรายอื่นๆ ในท้องถิ่น
นอกจากนี้ ในเดือนเมษายน 2020 ที่ผ่านมา Shu อดีตนายธนาคารชาวอเมริกันและผู้ก่อตั้ง ได้ออกมาประกาศว่าธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงเสี่ยงที่จะปิดตัวจากการที่<a href="https://www.theguardian.com/business/2021/jan/17/deliveroo-secures-180m-in-funding-amazon-takeaway-as-it-prepares-for-ipo"> “รายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” </a>จากการที่ร้านอาหารปิดในช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรก ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน Amazon ก็ได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัทอีกราวร้อยละ 16 เป็นมูลค่า 575 ล้านเหรียญ
โดยส่วนหนึ่งของแผนการทำ IPO นี้ บริษัทได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเดินหน้าใช้งบประมาณ 68,797,750 เหรียญจัดตั้ง “กองทุนชุมชน” เพื่อแก้ปัญหาในประเด็นที่เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมร้านค้า พร้อมขยายครัวผี ร้านขายของชำ การขยายบริการสมัครสมาชิก Plus และบริการร้านอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารส่งผ่านเว็บไซต์ของร้านอาหารเองได้
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Deliveroo IPO Values British Delivery Startup At $12 Billion เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/didi-chuxing-แพลตฟอร์มเรียกรถรายใ.html">Didi Chuxing แพลตฟอร์มเรียกรถรายใหญ่ในจีน เตรียมเข้าทำ IPO ไตรมาสที่ 2 ของปี</a>

Deliveroo อาจก้าวขึ้นเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษในรอบ 7 ปี

โอกาสท่ามกลางวิกฤต ไนท์แฟรงค์ชี้ "อสังหาฯ London" ถึงจุดต่ำสุดท่ามกลางสถานการณ์ Brexit

<h2 class="p1">ภาพรวมการลงทุน "อสังหาฯ ต่างประเทศ" ยังไม่สดใสนักจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวน ฝ่ายวิจัยและพัฒนากลยุทธ์ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จึงรวบรวมข้อมูลสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ของเมืองหลักในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร มาวิเคราะห์ศักยภาพ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนการลงทุนอสังหาริมทรัพย์</h2>
สหรัฐอเมริกา
 คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ประเมินทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาไว้ว่ามีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นในอัตราที่ชะลอลง จากการประกาศนโยบายเศรษฐกิจกับประเทศจีนของ Donald Trump ซึ่งได้บานปลายไปเป็นสงครามทางการค้าผ่านการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า นอกจากนี้ยังมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธันวาคม 2561 ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อตลาดที่อยู่อาศัย และคาดว่าจะปรับขึ้นเป็น 3% ในปี 2562
 ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มชะลอตัวลงบ้าง หลังการเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ช่วงปลายไตรมาส 3 ของปี 2561 ยอดขายของบ้านสร้างใหม่สำหรับครอบครัวเดี่ยวลดลง 12% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ในขณะที่ยอดขายของบ้านเหลือขายสะสมลดลง 5.1% จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ลดลง 6% อีกทั้งการเริ่มก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ลดลง 2.9% อีกด้วย แต่เป็นเพียงการชะลอตัวเท่านั้น ยังไม่มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะเกิดวิกฤตเหมือนช่วงปี 2551
 อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกายังคงเป็นไปในทิศทางบวก จากปัจจัยหลายด้าน เช่น อัตราการขายที่ช้าลงจะช่วยสร้างสมดุลให้กับสต็อกสินค้าที่ทยอยปรับขึ้น ราคาบ้านที่ชะลอตัวลงจะช่วยสร้างสมดุลให้กับรายได้ของผู้บริโภคและเชื่อว่าจะมีความต้องการเข้ามาตอบรับสินค้าในตลาดมากขึ้นในอนาคต
<img class="alignnone wp-image-9163 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/อสังหาฯ-ต่างประเทศ-สหรัฐ-​อังกฤษ.jpg" alt="อสังหาฯ ต่างประเทศ" width="800" height="582" />

&nbsp;
สหราชอาณาจักร
 ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2561 เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรชะลอตัวจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ Brexit ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ทำให้อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2561 อยู่ที่ 1.4% ลดลงจากปี 2560 ที่มีเศรษฐกิจเติบโตอยู่ที่ 1.8% และตัวเลขคาดการณ์ในปี 2562 ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1.2% และ 1.5% ในปี 2563
 ทั้งนี้ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินไปในทิศทางเดียวกับประเทศที่เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจยุโรปอย่างอิตาลี
 ข้อมูลจาก PLS Resolution Foundation ระบุว่า รายได้ของครอบครัวที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักรลดลงมากที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จากที่เคยเติบโตที่ 4.9% ในปี 2558 มาอยู่ที่ -0.1% ในปี 2560 อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงมาอยู่ที่ 2% หลังจากปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 3.1% ช่วงปลายปี 2560 
จากการโหวต Brexit ให้สหราชอาณาจักรออกจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์ลดลงนำมาสู่สินค้าและบริการนำเข้ามีราคาสูงขึ้น ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงนี้ส่งผลให้ค่าครองชีพลดลง แต่ผู้บริโภคก็ยังไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจมากพอที่จะลงทุนซื้อสินค้าราคาแพงโดยเฉพาะที่อยู่อาศัย

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/commentaries/%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%84%e0%b8%a3%e0%b9%89.html">ทำไมสหราชอาณาจักรอยู่อย่างไม่ยิ่งใหญ่</a></li>
</ul>
 ธนาคาร Halifax Bank of Scotland (HBOS) ธนาคารหนึ่งของสหราชอาณาจักรที่ให้สินเชื่อจำนองอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดระบุว่า ราคาที่อยู่อาศัยรายเดือนในสหราชอาณาจักรลดลงมาอยู่ที่ 2.9% ในเดือนมกราคม 2562 ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยมาอยู่ที่ 223,691 ปอนด์ หรือ 9,405,665 บาท ลดลงมากที่สุดหลังจากการปรับลดลง 3.1% ในเดือนเมษายน 2561 และถือเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี ที่ราคาที่อยู่อาศัยลดลงในช่วงต้นปีใหม่


<figure><img class="wp-image-9165 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/ลอนดอน-UK.jpg" alt="อสังหาฯ ต่างประเทศ" width="800" height="533" /><figcaption> ราคาที่อยู่อาศัยรายเดือนในสหราชอาณาจักรลดลงมาอยู่ที่ 2.9% ในเดือนมกราคม 2562 ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยมาอยู่ที่ 223,691 ปอนด์ หรือ 9,405,665 บาท ถือเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปีที่ที่อยู่อาศัยราคาลดลง</figcaption></figure>
 ปี 2562 ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นราคาอสังหาริมทรัพย์ใน London และบางส่วนในพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ที่ปรับลดลงจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ Brexit การขาดแคลนอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะในระดับราคาที่ผู้บริโภครับได้ เพราะการจะซื้อบ้านต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งเงินดาวน์ รวมไปถึงค่า stamp duty tax ที่มีอัตราตั้งแต่ 2%-12% ตามช่วงราคาที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ราคาที่ต้องจ่ายสูงขึ้นกว่าราคาขายค่อนข้างมาก
 National House Building Council (NHBC) พบว่า จำนวนที่อยู่อาศัยจดทะเบียนสร้างใหม่ในสหราชอาณาจักรปี 2561 ลดลง 0.5% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 159,617 ยูนิต หากพิจารณาที่ London พบว่า ลดลงจากปีก่อน 10% มาอยู่ที่ 16,069 ยูนิต ลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2559 อย่างไรก็ตามบ้านใหม่ที่ Yorkshire และ Humberside เพิ่มขึ้นถึง 20% ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ 7% และไอร์แลนด์เหนือ 39% แสดงให้เห็นว่าการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นกระจุกตัวอยู่ที่ London และภาคตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b9%8c-%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%99.html">“โลจิสติกส์” ธุรกิจเด่นอสังหาฯ 2019 ขณะที่ “ออฟฟิศ-บ้านพักคนชรา” ต้องระวัง</a></li>
</ul>
 แต่ยังถือเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการเพราะรัฐบาลมีเป้าหมายให้มีบ้านสร้างใหม่ถึง 300,000 ยูนิตภายในปี 2566 หากเศรษฐกิจโดยรวมยังคงเติบโตช้าแต่ในอัตราที่เหมาะสม ตัวเลขการว่างงานและภาระหนี้สินยังทรงตัว การออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรเป็นไปอย่างราบรื่นตามข้อตกลงและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการกลับมาลงทุน และการปรับอัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับรายได้และกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นตลาดที่อยู่อาศัยในสหราชอาณาจักรยังสามารถเติบโตอย่างช้าๆ ในปี 2562
&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-9167" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/อนุกูล-รัฐพิทักษ์สันติ.jpg" alt="" width="300" height="300" />
อนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

ลายแทง “อสังหาฯ ต่างประเทศ”

<h2>บริติช เคานซิล เป็นชื่อที่คุ้นหูคนไทยเนื่องจากเป็นองค์กรที่ทำภารกิจในไทยมาตั้งแต่ปี 2495 คนไทยส่วนใหญ่มักจะรู้จักบริติช เคานซิลในฐานะสถาบันสอนภาษาอังกฤษ แต่ที่จริงแล้วบริติช เคานซิลมีภารกิจในฐานะสะพานเชื่อมทางภาษาและวัฒนธรรมระหว่างสหราชอาณาจักรกับประเทศที่ไปลงหลักปักฐานซึ่งวันนี้ขยายไปแล้ว 110 ประเทศทั่วโลก</h2>
ด้วยภารกิจภาพรวมในการประสานประเทศไทยกับอังกฤษ Andrew Glass ผู้อำนวยการ บริติช เคานซิล ประเทศไทย กล่าวถึงภารกิจขององค์กรช่วงปี 2559-2563 ว่าไม่ได้มีเฉพาะเรื่องการเรียนการสอนภาษา แต่ประกอบด้วย 3 เสาหลัก ได้แก่ ยกระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ การพัฒนาการศึกษาต่อขั้นอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นสากล และ การสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งบริติช เคานซิลให้น้ำหนักเท่าๆ กันในการทำงานเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักร ซึ่งไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้จากอังกฤษมาที่ไทย แต่ได้องค์ความรู้จากประเทศไทยไปเผยแพร่ในอังกฤษเช่นกัน

&nbsp;
<h2>สอนอังกฤษให้ครูอังกฤษ</h2>
สำหรับภารกิจการยกระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ นอกจากสถาบันสอนภาษา 6 สาขาในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่แล้ว องค์กรยังมีการทำโครงการความร่วมมือกับภาครัฐ ที่สิ้นสุดไปแล้วคือโครงการศูนย์อบรมครูภาษาอังกฤษระดับภูมิภาค โดยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ยกระดับความสามารถครูสอนภาษาอังกฤษไป 17,000 คน ในระหว่างเดือนมีนาคม 2559 - กันยายน 2561

<figure><img class="size-full wp-image-7102" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/ดร.พัชรวีร์-ตันประวัติ-แอนดรูว์-กลาส-บริติช-เคานซิล-ประเทศไทย.jpg" alt="" width="800" height="623" /><figcaption> (ซ้าย) ดร.พัชรวีร์ ตันประวัติ หัวหน้าฝ่ายศิลปะและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และ (ขวา) Andrew Glass ผู้อำนวยการ บริติช เคานซิล ประเทศไทย</figcaption></figure>

“โครงการพัฒนาคนต้องอาศัยระยะเวลายาวนานกว่าที่จะเห็นผล แต่เราเชื่อว่าแต่ละโปรแกรมจะเป็นรากฐานการพัฒนา ยกตัวอย่างโครงการบูทแคมป์ดังกล่าว จากครู 17,000 คนจะกระจายความรู้ไปสู่นักเรียนอีกมาก และภาษาอังกฤษยังเป็นสิ่งสำคัญในการศึกษา เพราะแม้ว่านักเรียนจะเก่งด้านอื่นๆ แต่ถ้าหากไม่เก่งภาษาอังกฤษ การต่อยอดการทำงานก็จะยากลำบาก” Glass กล่าว

&nbsp;
<h2>เชื่อมต่อวิทยาศาสตร์สองประเทศ</h2>
ถัดมาเป็นการพัฒนาการศึกษาต่อขั้นอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์ มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนงานวิจัยและเทคโนโลยี โดยบริติช เคานซิลเป็นศูนย์กลางเชื่อมการสร้างหลักสูตรระหว่างมหาวิทยาลัยในไทยและอังกฤษ 21 ความร่วมมือ ที่ทำให้คนไทยสามารถเลือกเรียนหลักสูตรเหล่านี้ทางออนไลน์ หรือเรียนครึ่งหนึ่งในไทยและอีกครึ่งหนึ่งของหลักสูตรในอังกฤษได้

ในแง่ของการสนับสนุนวงการวิทยาศาสตร์ Glass กล่าวถึงการสร้างโครงการเชื่อมต่อระหว่างมหาวิทยาลัยกับอุตสาหกรรม ให้งานวิจัยที่สร้างขึ้นได้สนับสนุนงานธุรกิจจริง ไปจนถึงการให้ทุนวิจัยนวัตกรรม Newton Fund ซึ่งเข้าถึงนักวิจัยในไทย 2,000 คน รวมถึงโครงการ FameLab เวทีประกวดการนำเสนอสื่อสารงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าถึงง่าย เป็นต้น

<figure><img class="size-full wp-image-7103" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/FameLab-เฌอปราง.jpg" alt="" width="533" height="800" /><figcaption> เฌอปราง อารีย์กุล หนึ่งในแอมบาสเดอร์งาน FameLab Thailand 2019 (PHOTO CREDIT: Chanat Katanyu / Bangkok Post)</figcaption></figure>

Glass กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 อันดับแรกที่ส่งนักเรียนระดับอุดมศึกษาขึ้นไปไปศึกษาต่อที่สหราชอาณาจักรมากที่สุด (ไม่นับรวมประเทศในสหภาพยุโรป) โดยปีก่อนมีจำนวนนักเรียนไทยไปศึกษาต่อที่อังกฤษ 6,500 คน จำนวนนี้เติบโตขึ้นปีละ 1-2% สวนทางกับประเทศอื่นๆ ที่ลดจำนวนลง ทั้งนี้ เขาเจาะลึกว่านักเรียนส่วนใหญ่สนใจศึกษาต่อด้านบริหารธุรกิจ แต่ถ้าหากต้องการรับทุนการศึกษา แนะนำว่าสาขาที่เปิดกว้างในอังกฤษจะเป็นกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ขั้นสูง

&nbsp;
<h2>สนับสนุนงานคราฟต์ไทย</h2>
ด้านเสาหลักเชิงวัฒนธรรมเกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ดร.พัชรวีร์ ตันประวัติ หัวหน้าฝ่ายศิลปะและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ รับไม้ต่อในการอธิบายงานของบริติช เคานซิลในส่วนนี้

“ไม่ใช่พาฝรั่งมาสอนคนไทยแต่เป็นการแลกเปลี่ยนกันจริงๆ” ดร.พัชรวีร์กล่าว โดยบริติช เคานซิลมี 2 โครงการใหญ่ที่เกี่ยวข้อง คือ โครงการ Crafting Futures เป็นเป้าหมายภาพใหญ่ของบริติช เคานซิลทั่วโลกที่ต้องการสนับสนุนกลุ่มหัตถกรรมที่ขับเคลื่อนโดยผู้หญิง สำหรับในไทยนั้นเริ่มมาตั้งแต่ปี 2555 มีการสนับสนุนกลุ่มช่างฝีมือและผู้ประกอบการด้านศิลปะไปแล้วกว่า 740 คน และอีกส่วนเป็นโครงการ Creative Hubs ซึ่งช่วยอบรมผู้ดูแลฮับด้านงานสร้างสรรค์ไปกว่า 60 คน

“สหราชอาณาจักรเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และบริติช เคานซิลเราเน้นไปที่ศิลปะที่เป็นอุตสาหกรรมมากกว่า fine arts โดยมีการจัดแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างช่างฝีมือชาวไทยกับ UK และเป็นสะพานเชื่อมให้สองฝั่งได้รู้จักกัน อย่างเช่นพางานของไทยไปแสดงใน Design Week หรืองานแฟร์ที่อังกฤษ อาจจะไม่ได้ทำในระดับอี-คอมเมิร์ซ แต่มีเครื่องมือที่ส่งเสริมเพราะเราช่วยอบรมเรื่องการออกแบบ การเงิน บัญชี การตลาด” ดร.พัชรวีร์กล่าว
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/travel/%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5.html">ยกระดับ "สปาไทย" สู่สากล ผลักดันผู้ประกอบการจับเอกลักษณ์พื้นถิ่นเป็นจุดขาย</a></li>
</ul>
ทั้งนี้ Forbes Thailand รายงานเกี่ยวกับการผลิตที่นำไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย ยึดตามการนิยามขององค์การความร่วมมือเพื่อการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) คือการสร้างสินค้าและบริการที่เกิดจากความคิดมนุษย์ ประกอบด้วย 15 สาขา ได้แก่ งานฝีมือ การท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ อาหารไทย แพทย์แผนไทย ศิลปะการแสดง ทัศนศิลป์ ภาพยนตร์ สิ่งพิมพ์ การกระจายเสียง เพลง งานออกแบบ แฟชั่น สถาปัตยกรรม โฆษณา และซอฟต์แวร์

<figure><img class="wp-image-7104 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/Crafting-Futures-ไทลื้อ.jpg" alt="" width="800" height="418" /><figcaption> ส่วนหนึ่งจาก Lookbook 2018 ของงานสร้างสรรค์ร่วมระหว่างนักออกแบบจากสหราชอาณาจักรกับงานผ้าทอของกลุ่มพัฒนาผ้าทอไทลื้อ จ.น่าน (PHOTO CREDIT: <a href="https://www.britishcouncil.or.th/sites/default/files/pdfresizer.com-pdf-resize_4.pdf">britishcouncil.or.th</a>)</figcaption></figure>

งานส่วนนี้ของบริติช เคานซิลส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านเครือข่ายพาร์ทเนอร์เช่น มหาวิทยาลัย เพื่อเข้าถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือ ที่ผ่านมามีการทำงานกับกลุ่มต่างๆ เช่น แบรนด์ภูคราม จ.สกลนคร, กลุ่มพัฒนาผ้าทอไทลื้อ จ.น่าน, กลุ่มวานีตา งานหัตถกรรมกลุ่มสตรี 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่ออนุรักษ์ไม่ให้องค์ความรู้ท้องถิ่นสูญหาย และต่อยอดให้งานหัตถกรรมเหล่านี้สามารถจำหน่ายได้

เธอกล่าวด้วยว่า ช่วงกลางปีนี้บริติช เคานซิลจะออกเครื่องมือออนไลน์คือ Digital Craft Tools Kit เป็นเว็บไซต์สองภาษาอังกฤษ-ไทยเพื่อสนับสนุนการสร้างธุรกิจจากหัตถกรรมตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ หลักสูตรการสอนในเว็บไซต์จะเริ่มตั้งแต่การค้นหาแรงบันดาลใจเพื่อทำงานหัตถกรรม ไปจนถึงด้านการตลาด การเงิน ซึ่งเปิดให้ใช้บริการได้ฟรี

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>Andrew Glass ให้ข้อมูลว่า บริติช เคานซิลทั้งในไทยและต่างประเทศ มีโมเดลธุรกิจกึ่งบริการสาธารณะกึ่งผู้ประกอบการ โดยเงินทุนในปัจจุบัน 15% มาจากงบประมาณรัฐบาลอังกฤษ อีก 85% มาจากค่าบริการการสอนและจัดสอบในสถาบัน สัญญาจ้างจากรัฐบาล และเงินระดมทุนจากองค์กรอื่นๆ</li>
 	<li>Glass เข้ามาร่วมงานกับบริติช เคานซิลประเทศไทยเมื่อปี 2557 ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้อำนวยการประเทศขององค์กรนี้ในคูเวตและเซอร์เบีย</li>
</ul>

บริติช เคานซิล ชูภารกิจ ‘สะพาน’ เชื่อมต่อสองประเทศ มากกว่าแค่เรื่อง ‘เรียนภาษา’

<h2>Porsche เตือนลูกค้าผู้ซื้อรถยนต์ในสหราชอาณาจักร ว่าพวกเขาอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น 10 % หลัง Brexit อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป</h2>
โดยอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น 10% ที่ Porsche ระบุดังกล่าวเป็นภาษีการนำเข้ายานยนต์ ภายใต้กฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในกรณีที่เกิด Brexit เเบบไม่มีข้อตกลง หรือ No-deal Brexit  ซึ่งกระบวนการทั้งหลายต้องเสร็จสิ้นและบรรลุข้อตกลงก่อนวันที่ 29 มีนาคมนี้

อุตสาหกรรมรถยนต์จะมีความเสี่ยงอย่างมาก หากสหราชอาณาจักรออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) แบบไร้ข้อตกลง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทจะต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูง ขณะเดียวกันบริษัทที่มีฐานการผลิตในสหราชอาณาจักรก็อาจจะต้องเผชิญกับปัญหา supply chains หากมีความล่าช้าในเขตชายเเดน
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/no-deal-brexit-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89-ford-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2.html">No-deal Brexit อาจทำให้ Ford มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านเหรียญ</a></li>
</ul>
Porsche ระบุในเเถลงการณ์ว่า การเจรจา Brexit มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะมีการเรียกเก็บภาษีสำหรับรถยนต์ที่นำเข้ามาในสหราชอาณาจักรหลังจากวันที่ 29 มีนาคม ถึง 10% ซึ่งทางบริษัทเลือกที่จะเเจ้งเตือนกับลูกค้า เพื่อให้พวกเขาได้รับรู้ถึงผลกระทบนี้ โดยจะมีการเเจ้งต่อลูกค้าอย่างครบถ้วน ณ จุดขาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจปรับเปลี่ยนการสั่งซื้อของพวกเขาได้ เเละเป็นข้อควรระวังเพื่อให้ลูกค้าได้วางเเผนล่วงหน้า

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้จะไม่ถูกนำไปใช้กับลูกค้าที่วางเงินมัดจำให้กับ Porsche ก่อนวันที่ 17 มกราคม เเละตอนนี้ยังไม่มีความเเน่ชัดว่าทางบริษัทจะนำไปใช้กับเเบรนด์อื่นๆ ในเครือ Volkswagen Group  อย่าง Volkswagen , Audi , Bentley เเละ Lamborghini หรือไม่

สำหรับเเบรนด์ Porsche ของ  Volkswagen Group ซึ่งผลิตรถยนต์ในเยอรมนีเเละสโลวาเกีย มีสหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุด ด้วยยอดขาย 12.5 หมื่นคันในปี 2018 จากยอดขายทั่วโลกที่ 2.56 เเสนคัน

ราคารถยนต์ของ Porsche รุ่น Macan sports ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหราชอาณาจักร เริ่มต้นที่ 4.6 หมื่นปอนด์ ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อใหม่ที่ได้รับรถยนต์หลัง Brexit อาจต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมถึง 4.6 พันปอนด์

ขณะที่รถสปอร์ตยอดนิยมในสหราชอาณาจักรอีกรุ่นของ Porsche อย่าง 718 Boxster Cayman นั้นมีราคาอยู่ระหว่าง 4.4 หมื่นปอนด์ถึง 6 หมื่นปอนด์ เเละรถสปอร์ต 911 รุ่น Panamera saloon และ Cayenne SUV ขนาดใหญ่บางรุ่นมีมูลค่ามากกว่า 1 เเสนปอนด์
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/porsche-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1-taycan.html">Porsche วางแผนผลิต “รถยนต์ไฟฟ้า” รุ่น Taycan เพิ่มเท่าตัว ชูจุดเด่นรถอีวีหรูแย่งลูกค้า Tesla</a></li>
</ul>
ด้านสมาคมผู้ผลิตยานยนต์และผู้ค้าขาย (SMMT) ระบุว่าการเก็บภาษีนำเข้าเพียงอย่างเดียวอาจจะเพิ่มราคารถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ที่นำเข้าระหว่างสหราชอาณาจักรเเละยุโรป โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 พันปอนด์
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/jaguar-land-rover-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-4-5-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95.html">Jaguar Land Rover ประกาศลดพนักงาน 4.5 พันตำเเหน่ง หลังยอดขายในจีนลดฮวบ-กังวล Brexit </a></li>
</ul>
ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.theguardian.com/business/2019/feb/15/porsche-asks-uk-buyers-to-commit-to-10-no-deal-brexit-surcharge">Porsche asks UK buyers to commit to 10% no-deal Brexit surcharge</a></li>
 	<li><a href="https://www.bbc.com/news/business-47270616">Porsche warns UK customers of Brexit price rise</a></li>
</ul>
&nbsp;

ภาพ : 2020 Porsche 911 Carrera 4S

Porsche เตือนผู้ซื้อรถยนต์ในสหราชอาณาจักร อาจต้องจ่ายเงินเพิ่ม 10 % หลัง Brexit

<h2 class="p2">Ford Motor ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หากสหราชอาณาจักรออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป เเบบไม่มีข้อตกลง หรือ No-deal Brexit โดยจะเป็นค่าใช้จ่ายด้านภาษีศุลกากรตามองค์การการค้าโลกเเละผลกระทบจากค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง</h2>
“ผลกระทบจาก Brexit ที่มีต่อ Ford นั้นคิดเป็นมูลค่าระหว่าง 500-1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายประการ” Ford ระบุในเเถลงการณ์
ทั้งนี้ สำนักข่าว Sky News รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า Ford อาจต้องเเบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ด้านผู้ผลิตรถยนต์หลายเเห่ง ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอื่นๆ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่อย่าง <a href="https://learningenglish.voanews.com/a/airbus-warns-it-could-leave-uk-in-event-of-no-deal-brexit/4757431.html">Airbus </a>ต่างกังวลต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหากเกิด Brexit เเบบไร้ข้อตกลงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อภาษีที่สูงขึ้น ผลกระทบด้าน Supply Chain เเละการจ้างงาน โดยซีอีโอของ Airbus ชี้ว่าอาจจำเป็นต้องโยกย้ายการลงทุนไปที่อื่นในอนาคต

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/jaguar-land-rover-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-4-5-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95.html">Jaguar Land Rover ประกาศลดพนักงาน 4.5 พันตำเเหน่ง หลังยอดขายในจีนลดฮวบ-กังวล Brexit</a></li>
</ul>
<h2 class="p2">นับถอยหลังสู่ Brexit </h2>
อังกฤษเตรียมตัวจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในอีก 63 วัน เเต่ทว่านายกรัฐมนตรี Theresa May ของอังกฤษ ยังไม่สามารถขอเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาถึงข้อตกลงในรายละเอียดของ Brexit ที่จะนำไปต่อรองกับทางสหภาพยุโรปได้ ทำให้บริษัทต่างๆ กังวลถึงความเป็นไปได้ว่าจะมี No-deal Brexit เกิดขึ้นจริง เเละคาดว่าจะเกิดความยุ่งยากตามมา
Bob Shanks ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Ford เผยว่าทางบริษัทได้เตรียมเเผนรับมือไว้เเล้ว “เราได้เริ่มดำเนินงานอย่างชัดเจนเเล้วในกรณีที่เกิด hard Brexit”
โดย Ford เคยประเมินไว้เมื่อเดือนมีนาคมปีท่ีเเล้วว่า ในกรณีที่เกิด “hard Brexit” อัตราภาษีตามองค์การการค้าโลกจะอยู่ที่ 10% สำหรับการนำเข้าเเละส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี
ทั้งนี้ Ford เป็นเเบรนด์ยานยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในสหราชอาณาจักร มีโรงงานผลิตเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ 2 แห่งที่นี่เเละมีพนักงานทั้งสิ้นกว่า 1.3 หมื่นคน เเละเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา เพิ่งประกาศปรับลดพนักงานไปหลายพันอัตราในยุโรป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเเผนการลดค่าใช้จ่ายเเละคืนกำไรในภูมิภาคนี้

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/gm-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D.html">GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/global/%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81.html">จีนเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ปีนี้ หลัง GDP ปี 2018 โตเพียง 6.6% ต่ำสุดในรอบ 28 ปี</a></li>
</ul>
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/uk-britain-eu-ford/no-deal-brexit-would-cost-ford-up-to-1-billion-idUSKCN1PI1VD">Reuters : No-deal Brexit would cost Ford up to $1 billion</a></li>
 	<li><a href="https://news.sky.com/story/hard-brexit-will-cost-ford-800m-this-year-carmaker-warns-11616204">Sky News : Hard Brexit will cost Ford £615m this year, carmaker warns</a></li>
</ul>
ภาพ AFP

No-deal Brexit อาจทำให้ Ford มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านเหรียญ

<h2>สู้มลพิษทางอากาศ รัฐบาลอังกฤษประกาศให้คำมั่นเตรียมออกกฎหมายเกี่ยวกับคุณภาพอากาศภายในปีนี้ เพื่อช่วยชีวิตประชาชนเเละลดผลกระทบทางเศรษฐกิจกว่าพันล้านปอนด์</h2>
โดยจะทำให้อังกฤษเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ประเทศเเรกที่จะนำเอาเป้าหมายคุณภาพอากาศ ตามข้อเเนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าด้วยเรื่องอนุภาคในอากาศที่ผู้คนรับเข้าสู่ร่างกายมาใช้อย่างจริงจัง

“มลพิษทางอากาศ ยังคงทำให้ชีวิตของเราสั้นลงอย่างต่อเนื่อง ทำร้ายเด็กๆ เเละบั่นทอนคุณภาพชีวิต เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงจัง”  Michael Gove รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของอังกฤษระบุในแถลงการณ์

โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม อาหารและกิจการชนบท ยังประกาศแผนที่จะลดผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจเเละสังคมลงปีละกว่า 1.7 พันล้านปอนด์ ภายในปี 2020 เเละจะเพิ่มเป็น 5.3 พันล้านปอนด์ให้ได้หลังจากปี 2030 

ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศเเผนลดการปล่อยมลพิษจากรถยนต์เเละเครื่องบิน เเละสั่งยกเลิกการใช้งานรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลทั้งหมด ภายในปี 2040 นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายไปที่การแก้ปัญหามลพิษจากบ้านเรือน การทำไร่และมลภาวะทางอุตสาหกรรมต่างๆ

ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา อัยการสูงสุดของอังกฤษเปิดทางให้มีการชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตของ Ella Kissi-Debrah ผู้ป่วยโรคหอบหืด วัย 9 ขวบซึ่งเสียชีวิตในปี 2013 หลังจากครอบครัวร้องเรียนว่า มลพิษทางอากาศ ในกรุงลอนดอนเป็นเหตุให้เธอเสียชีวิต ซึ่งหากมีหลักฐานยืนยันเเน่ชัดก็จะทำให้ครอบครัวสามารถยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลสูงได้ใหม่อีกครั้ง

เเละอาจจะเป็นผู้เสียชีวิตรายแรกในสหราชอาณาจักรที่ได้รับการตัดสินคดีว่าเชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศ โดยองค์กรการกุศลเเละกลุ่มนักเคลื่อนไหวกำลังกดดันให้รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบจากมลพิษทางอากาศที่มีผลเสียต่อสุขภาพประชาชน
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/berlin-%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A5.html">ลดมลพิษ กรุง Berlin สั่งห้าม ‘รถยนต์ดีเซล’ ขับบนถนนสายหลักในเมืองหลวง</a></li>
</ul>
“เราต้องสูญเสียหลายพันชีวิตในสหราชอาณาจักรไปทุกๆ ปี เพราะอากาศที่เราหายใจเข้าไปนั้นมีอนุภาคอันตราย” Simon Gillespie ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ British Heart Foundation กล่าว

“เราต้องการให้แนวทางเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นกฎหมายแห่งชาติอย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องหัวใจเเละสุขภาพของประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร”

สำหรับยุทธศาสตร์ อากาศสะอาด (Clean Air Strategy) ที่รัฐบาลอังกฤษเพิ่งประกาศไปเมื่อ 14 มกราคมที่ผ่านมา ระบุว่าจะกำหนดเป้าหมายใหม่ที่ชัดเจนเพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 ที่ปัจจุบันเมืองกว่า 40 แห่งในสหราชอาณาจักร มีค่า PM 2.5 ในระดับเดียวกับที่องค์การอนามัยโลก กำหนดหรือสูงกว่า

โดยรัฐบาลจะมีการเผยเเพร่รายละเอียดเกี่ยวกับเเผนดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายใหม่ภายในช่วงต้นปีนี้ เเละคณะรัฐมนตรียืนยันว่ากระบวนการ Brexit จะทำให้สหราชอาณาจักรดำเนินการเเก้ปัญหานี้ต่อไปได้มากกว่าสหภาพยุโรป เเละอังกฤษจะเป็น"แกนนำโลก" ในการควบคุม PM 2.5

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://uk.reuters.com/article/uk-britain-pollution/britain-pledges-legislation-in-2019-to-combat-deadly-air-pollution-idUKKCN1P800D">Britain pledges legislation in 2019 to combat deadly air pollution</a></li>
 	<li><a href="https://www.bbc.com/news/science-environment-46823440">Wood burners and open fires face restrictions in new clean air plan</a></li>
</ul>
ภาพ Isabel INFANTES / AFP

รัฐบาลอังกฤษ เตรียมออกกฎหมาย "มลพิษทางอากาศ"

<h2 class="p1">Jaguar Land Rover ประกาศปรับลดพนักงาน 4.5 พันตำเเหน่ง หลังประสบภาวะขาดทุน ยอดขายในจีนเเละรถยนต์ดีเซลในยุโรปลดฮวบ พร้อมกับความไม่แน่นอนของตลาดรถยนต์ในอังกฤษหลัง Brexit </h2>
Jaguar Land Rover (JLR) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์หรูของอังกฤษ ซึ่งกลุ่มบริษัท Tata ของอินเดียถือครองหุ้นใหญ่ในกิจการ ยืนยันว่าการปรับลดพนักงานครั้งนี้จะเริ่มจากในอังกฤษก่อน ซึ่งมีพนักงานอยู่ทั้งหมดราว 4.4 หมื่นคน
ตามรายงานของ BBC คาดว่าฝ่ายการตลาด การจัดการเเละฝ่ายงานบริหารจะได้รับผลกระทบจากการลดตำเเหน่งงานครั้งนี้เเละไม่กระทบต่อพนักงานสายการผลิต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายลดรายจ่าย 2.5 พันล้านปอนด์ของบริษัท
สำหรับ JLR เคยขึ้นเเท่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ในปี 2016 โดยมีการผลิตรถยนต์กว่า 1 ล้านคัน เเต่ในปี 2018 ยอดการผลิตลดลง 4.4% เเละมียอดขายตลอดปีน้อยกว่า 6 เเสนคัน ขณะที่ยอดขายในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัทก็ลดลงอย่างมากถึง 21.6% 
“การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน พร้อมกับความตึงเครียดทางการค้านั้นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง” Felix Brautigam ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ของ JLR กล่าว
ทั้งนี้ JLR ประสบภาวะขาดทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ท่ามกลางความกังวลในความไม่แน่นอนของผลกระทบจาก Brexit ที่อังกฤษจะแยกตัวจากสหภาพยุโรป (EU) รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เเละการปรับเกณฑ์ใหม่ด้านการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรป ซึ่งรถยนต์ดีเซลถือเป็น 90% ของยอดขายจากโรงงานในอังกฤษของ JLR 

<ul>
 	<li class="p5"><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/berlin-%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A5.html">ลดมลพิษ กรุง Berlin สั่งห้าม ‘รถยนต์ดีเซล’ ขับบนถนนสายหลักในเมืองหลวง</a></li>
</ul>
เเม้ว่า JLR จะมีการเตรียมความพร้อมด้านการเงินเพื่อรองรับสถานการณ์หลัง Brexit ในกรณีภาษีศุลกากรหรือการตรวจสอบศุลกากร เเต่ก็เพิ่งสูญเสียเงินกว่า 354 ล้านปอนด์ (450 ล้านเหรียญ) ระหว่างเดือนเมษายนและกันยายน ปี 2018 เเละได้ปรับลดพนักงานไปเเล้วกว่า 1 พันตำเเหน่งในสหราชอาณาจักรก่อนหน้านี้
ด้าน Ralf Speth ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JLR ระบุว่าบริษัทจะหันไปให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น รวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับการแข่งขันในตลาดรถยนต์แห่งอนาคต นับเป็นความท้าทายด้านเทคโนโลยีที่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องเผชิญ

<ul>
 	<li class="p5"><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/gm-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D.html">GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไร้คนขับ</a></li>
</ul>
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/us-jaguarlandrover-jobs/jaguar-land-rover-to-cut-thousands-of-uk-jobs-after-china-diesel-slump-source-idUSKCN1P40LJ">Reuters : Jaguar Land Rover to slash UK jobs after China, diesel drop</a></li>
 	<li><a href="https://www.bbc.com/news/business-46822706">BBC : Jaguar Land Rover confirms 4,500 job cuts</a></li>
</ul>
ภาพ AFP

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events