<h2>ตลาดสินค้า Lifestyle ในไทยไม่ว่าจะของใช้ในบ้าน ไปจนถึงของใช้ส่วนตัวถือเป็นตลาดที่แข่งขันรุนแรง เพราะนอกจากจะมี SME ในประเทศแล้ว ทุกวันนี้คู่แข่งจากต่างประเทศยังรุกล้ำเข้ามาทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ข้อท้าทายสำคัญคือ เทรนด์เปลี่ยนไว หากออกสินค้ามาช้าหรือไม่ทันใจผู้บริโภคก็อาจขาดทุนหนักได้เหมือนกัน</h2> MOSHI รับมือทุนจีน-ยุโรปรุกตลาดสินค้าไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI กล่าวว่า ตลาดสินค้า Lifestyle ในไทยยังต้องเผชิญปัจจัยลบอย่างภาวะเศรษฐกิจ ไปจนถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นจากตลาดต่างประเทศ ช่วงที่ผ่านมามีทั้งบริษัทจากจีนที่พยายามรุกขยายในไทย แต่หลังจาก COVID-19 คู่แข่งก็ลดลงจาก 7-8 รายลงมาเหลือ 1-2 ราย ซึ่งทาง Moshi ยังปรับตัวอย่างต่อเนื่องทั้งการปรับสินค้าให้เข้ากับลูกค้าไทย สัดส่วนสินค้าประเภทต่างๆ ตั้งราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า รวมถึงรีโนเวทร้านอยู่เสมอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คาดว่าปี 2568 จะมีแบรนด์จากยุโรปเข้ามาในไทยอีก 1 แบรนด์ ในส่วนแบรนด์จากจีนยังมีความไม่แน่นอน เพราะยังติดเรื่องโจทย์การ Localised ดังนั้น MOSHI จึงมีการพัฒนาและออกแบบสินค้าเองกว่า 90% เพื่อให้การแข่งขันกับคู่แข่งทำได้ดียิ่งขึ้น ถ้าซื้อมาขายไปอย่างเดียวอาจไม่ยั่งยืน เพราะคู่แข่งจากจีนจะนำของแบบเดียวกันเข้ามาแล้วมาตัดราคาได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีการติดตามราคาสินค้าในตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ราคาไม่สูงเกินไป ปัจจุบันราคาสินค้าในร้าน MOSHI เริ่มต้นที่ 5 บาทไปจนถึงกลุ่ม PowerBank ที่ราคาราว 1,000 บาท/ชิ้น โดยกลุ่มราคาสินค้าที่มีมากที่สุด คือกลุ่มราคา 20-100 บาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/tEQQHvSA7qwZ8rRZwFju.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tEQQHvSA7qwZ8rRZwFju.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> เร่งออกสินค้าใหม่ทันกระแส! ขั้นต่ำ 1,000 SKU/เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สง่า เล่าว่า กลยุทธ์หลักของธุรกิจสินค้าLifestyle คือ ‘ความเร็ว’ ที่ต้องมาพร้อมกับ ‘สวย - ถูก -ดี’ เพราะถ้าขาดอะไรไปยอดขายจะตกลง ดังนั้นปี 2568 จึงตั้งเป้าหมายว่าจะออกสินค้าใหม่เดือนละ 1,000 SKU โดยจะเร่งขั้นตอนในการพัฒนาสินค้าใหม่ให้ออกมาได้ใน 3 เดือนครึ่งจากปัจจุบันที่อยู่ราว 4 เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ถ้ามีเทรนด์ใหม่ๆ ที่เราต้องเร่งออกสินค้าทุกวันนี้สามารถทำได้ภายใน 2 เดือน อย่างกระแสของหมูเด้ง เราเร่งออกแบบและผลิตสินค้ามาโดยขายในช่วงเวลาสั้น และเป็นสินค้าจำนวนจำกัดเพื่อเร่งการซื้อของผู้บริโภค” สง่า กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีลิขสิทธิ์เพื่อสร้างจุดแข็งให้กับ Moshi โดยอาจใช้เวลาในการพัฒนาสินค้ายาวขึ้น เพราะต้องมีการส่งตรวจกับเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งปีที่ผ่านมากระแส Art Toy ที่เติบโตขึ้นยังช่วยหนุนสินค้ากลุ่มนี้ลิขสิทธิ์ เพราะช่วยดึงให้คนเข้ามาใช้จ่ายในร้านและอาจเลือกซื้อสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติม ปัจจุบัน MOSHI มีสัดส่วนสินค้าลิขสิทธิ์ไม่เกิน 15% ของสินค้าทั้งหมด&nbsp;ส่วนกลุ่มสินค้าไม่มีลิขสิทธิ์ ยังสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่า ตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันปี 68 รายได้โต 15-20% ขยาย 40 สาขา เน้นตลาดนักศึกษา-วัยเริ่มทำงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2568-2569 มูลค่าตลาดสินค้า Lifestyle คาดว่าจะอยู่ที่ 7,000-9,000 ล้านบาท เติบโต 15-20% ต่อปี สอดคล้องกับ MOSHI ที่ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 68 จะเติบโต 15-20% มาจากการเติบโตของยอดขายจากร้านสาขาใหม่และสาขาเดิม โดยมีกลยุทธ์หลักคือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ขยายสาขาใหม่ 40 สาขา ในพื้นที่ชุมชนและมีฐานลูกค้านักศึกษาโดยคาดว่าสิ้นปี 2568 จะมีสาขารวม 200 สาขา แต่ยังคงสัดส่วนดังนี้ สาขาในกรุงเทพฯ 35% และสาขาในต่างจังหวัด 65% ทั้งนี้ในการลงทุนสาขาจะเป็นการเช่าพื้นที่ ดังนั้นจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ใน 3-4 เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ยอดขายในส่วนร้านค้าเดิม จะรักษาการเติบโตที่ 3-5% ใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ 3-5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ตั้งงบลงทุน 280 ล้านบาท แบ่งเป็น เปิดสาขาใหม่ และ รีโนเวทร้านเดิมมากกว่า 50 สาขา นอกจากนี้เตรียมการขยายพื้นที่โกดังอีก 3,000 ตรม. ทำให้มีพื้นที่รวมเป็น 26,000 ตรม. อีกทั้งใช้ในการพัฒนาซอฟท์แวร์ขององค์กร (ในวงเงินราว 45 ล้านบาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนแผนในอีก 3-5 ปีเตรียมขยายร้านในต่างประเทศ โดยปัจจุบัน Moshi อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร 2 ราย ที่เป็นคนในพื้นที่นั้นๆ จึงมีความเชี่ยวชาญและสามารถพูดคุยกับ Landlord ในท้องถิ่นได้ดี ภาพ: MOSHI เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/cosmed-innovation-digital-marketing-strategy-2025" alt="เศรษฐกิจไม่ดีแต่ยังต้องสวย! เปิดโอกาส ‘ครีมซอง’ โตต่อเนื่อง ด้วยราคาย่อมเยาเข้าถึงง่าย">เศรษฐกิจไม่ดีแต่ยังต้องสวย! เปิดโอกาส ‘ครีมซอง’ โตต่อเนื่อง ด้วยราคาย่อมเยาเข้าถึงง่าย</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

วิ่งช้าอาจไม่ทันกระแส! MOSHI รับมือทุนจีน-ยุโรปรุกสินค้า Lifestyle ออกสินค้าใหม่เน้น ‘เร็ว-คุ้มค่า’ ขั้นต่ำ 1,000 Sku/เดือน

<h2>Element 72 ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้า Urban Lifestyle และ Urban Outdoor พรีเมียมชั้นนำของไทย ผนึกกำลังแบรนด์ Drinkware ระดับแนวหน้าของโลกอย่าง YETI เปิด YETI Flagship Store แห่งแรกในเอเชีย ณ ศูนย์การค้า One Bangkok ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 150 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชาร์ลส์ ปิณฑานนท์ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อิลีเม้นท์ 72 จำกัด (Element 72) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองเห็นศักยภาพของไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวลำดับต้นๆ ที่ครองใจชาวต่างชาติ และเป็นเสมือน hub ที่เชื่อมโยงผู้คนจากทั่วโลก ทำให้ไทยมีความเหมาะสมสำหรับการเป็นที่ตั้ง Flagship Store สาขาแรกของ YETI ในเอเชีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปีที่ผ่านมา ยอดขาย YETI ในไทยก็มีปริมาณสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสินค้าขายดีที่สุดจะเป็นหมวด Hydration ซึ่งก็คือแก้วน้ำและกระติกน้ำรูปแบบต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชาร์ลส์ ยังมองว่า คนไทยมีความคุ้นเคยกับแบรนด์ YETI เป็นอย่างมาก พร้อมยกตัวอย่าง กรณีของสินค้าประเภทแก้วเก็บอุณหภูมิซึ่งในต่างประเทศจะเรียกกันว่า ‘ทัมเบลอร์’ (Tumbler) แต่คนไทยจำนวนมากกลับมีคำเรียกติดปากว่า ‘แก้วเยติ’ ยิ่งทำให้เขามุ่งมั่นเจรจากับทาง YETI เป็นเวลานานถึง 5 ปี ก่อนได้ฤกษ์เปิด YETI Flagship แห่งนี้ ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายจากร้านในปีแรกไว้ที่ 150 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/GEG9ZaBdAdrcjuyPF9iH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="GEG9ZaBdAdrcjuyPF9iH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> YETI Flagship Store แห่งแรกในเอเชีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;YETI Flagship Store ตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 โซน Parade ณ ศูนย์การค้า One Bangkok ภายในร้านเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากแบรนด์ YETI ครบครันทุกหมวดหมู่ เสมือนได้ไปเดินในร้านที่สหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ กระติกน้ำ ถังเก็บความเย็น กระเป๋า และอื่นๆ อีกมากมาย โดยในการเปิดร้านใหม่ครั้งนี้ยังมีไฮไลต์สำคัญ ได้แก่&nbsp; &nbsp; - Thailand Special Collection หรือคอลเล็กชั่นพิเศษอย่างแก้ว YETI Rambler Tumbler Thailand’s Edition ที่ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของไทย จำนวนจำกัดเพียง 150 ชิ้น&nbsp; &nbsp; - YETI Sticker สติกเกอร์โลโก้แบรนด์เวอร์ชั่นพิเศษลายธงชาติไทย&nbsp; &nbsp; - YETI V Series คูลเลอร์ระดับไฮเอนด์ทำจากสแตนเลสทั้งใบ แข็งแรง ทนทาน และเก็บความเย็นได้ดีเยี่ยม ซึ่งยังไม่เคยขายนอกสหรัฐฯ มาก่อน&nbsp; &nbsp; - สินค้าคอลเล็กชั่นใหม่ อาทิ แก้วสี Fire Fly Yellow และ Big Sky Blue&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เมื่อซื้อสินค้าในร้าน สามารถรับบริการ Customize ชื่อลงบนผลิตภัณฑ์ได้ฟรี สามารถรอรับได้เลย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งหมดนี้ นับได้ว่าเป็นการมอบประสบการณ์เต็มรูปแบบแก่แฟนๆ และลูกค้าแบรนด์ YETI ในเอเชีย โดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/QgCGjRncBz7NbaUmU1rn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="QgCGjRncBz7NbaUmU1rn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div>​YETI แบรนด์อเมริกันที่ได้แรงบันดาลใจจากไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แบรนด์ YETI ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 โดยสองพี่น้อง Roy และ Ryan Seiders ผู้รักกิจกรรมเอาต์ดอร์และการตกปลา ซึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือกล่องเก็บความเย็นหรือคูลเลอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถหาคูลเลอร์ที่มีคุณสมบัติตรงตามต้องการได้เลย กระทั่งได้พบกับถังน้ำแข็งจากโรงงานในไทย จึงได้เริ่มต้นนำเข้าไปยังสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ถังน้ำแข็งอาจไม่ตอบโจทย์พวกเขาเต็มร้อย ทั้งสองจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์คูลเลอร์ที่ล้ำกว่าเดิม เสริมความทนทาน ใช้นั่งแทนเก้าอี้และปีนขึ้นไปยืนเหยียบได้ สอดรับกับไลฟ์สไตล์คนรักแอดเวนเจอร์ คูลเลอร์ของพวกเขาแข็งแรงขนาดที่ว่าหมีกริซลี่ก็ทุบไม่พัง ทั้งยังเก็บความเย็นได้ดีกว่าคูลเลอร์ทั่วไป จุดประกายสู่การสร้างแบรนด์ YETI โดยคำว่า ‘เยติ’ นั้นเป็นชื่อเรียกสัตว์ประหลาดยักษ์หิมะบนเทือกเขาหิมาลัยอันหนาวเย็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้น YETI ก็พัฒนาสินค้าออกมามากมาย และมีความหลากหลายดังเช่นที่เห็นได้ในปัจจุบัน ทั้งยังครองใจผู้บริโภคด้วยความแข็งแรง ทนทาน คุณภาพระดับพรีเมี่ยม และศักยภาพในการกักเก็บความเย็นได้อย่างดีเยี่ยม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา YETI Holdings, Inc. ในสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศผลประกอบการปี 2024 ซึ่งมียอดขายทั่วโลกมูลค่ารวม 1,829.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโตขึ้นจากปี 2023 ที่ 10%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับยอดขาย YETI ในสหรัฐอยู่ที่ 1,490.5 ล้านเหรียญ เติบโต 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยอดขายนานาชาติรวม 339.4 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นถึง 30% จาก 259.8 ล้านเหรียญในปีก่อนหน้า ภาพ: Element 72ข้อมูลเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://investors.yeti.com/news/news-details/2025/YETI-Reports-Fourth-Quarter-and-Fiscal-Year-2024-Results/default.aspx" alt="YETI Reports Fourth Quarter and Fiscal Year 2024 Results">YETI Reports Fourth Quarter and Fiscal Year 2024 Results</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/trip-com-tourism-industry-2025-thailand-is-still-worth-visiting" alt="Trip.com ประเมิน ‘จีนเที่ยวไทยลดลง’ เป็นแค่สถานการณ์ระยะสั้น มองไทยมีศักยภาพ คุ้มค่าให้มาเยือน">Trip.com ประเมิน ‘จีนเที่ยวไทยลดลง’ เป็นแค่สถานการณ์ระยะสั้น มองไทยมีศักยภาพ คุ้มค่าให้มาเยือน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดแล้ว! YETI Flagship Store แห่งแรกในไทยและเอเชีย ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 150 ล้านบาท

<h2>MOSHI เผยปี 67 มีรายได้ 3,127.90 ล้านบาท มีกำไรสุทธิพุ่ง 27.5% จากปีก่อน เตรียมจ่ายปันผล 0.80 บาทต่อหุ้น ตั้งเป้าขยายต่อปี 68 รายได้โต 15-20% พร้อมขยาย 40 สาขาทั่วประเทศ วางงบลงทุนกว่า 280 ล้านบาท เดินหน้าออกสินค้าใหม่กว่า 10,000 รายการรวมถึงการออกสินค้าคาแรคเตอร์ใหม่ๆ ตลอดทั้งปี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวศุภรดา โรจน์วัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI เปิดเผย ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,051.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 793.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 205.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 153.99 ล้านบาท ขณะที่ อัตราการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.4% นับเป็นผลการเติบโตที่โดดเด่นทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แม้จะมีการรับรู้ผลขาดทุนจากการร่วมทุน (JV) ในการจัด Exhibition ก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตมาจากกลุ่มสินค้าเทศกาลรวมถึงการทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องในสินค้าที่มีความหลากหลายทั้งรูปแบบและดีไซน์ ทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการช็อปมากขึ้น รวมถึงเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลากหลายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการสร้าง Branding “โมชิ โมชิ” มาตลอดปี อีกทั้ง การมีสินค้าลิขสิทธิ์มากมายหลากหลายคอลเลกชันใหญ่อย่างเช่น Snoopy, Sanrio Characters, Disney รวมถึงการคอลแลปส์ออกคาแรคเตอร์ศิลปิน K-POP และคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนต่างๆ อีกมากมาย ส่งผลให้มีลูกค้าเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 3,127.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 2,543.25 ล้านบาท และสามารถทำกำไรสุทธิได้ 520.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 408.23 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิทำได้ 16.6% ซึ่งเป็นปีที่บริษัทฯ สามารถสร้างผลงานเติบโตได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (New High)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกครั้ง สำหรับสัดส่วนรายได้จากการขายในปี 2567 แบ่งเป็น ธุรกิจค้าปลีกอยู่ที่ 82.2% ธุรกิจค้าส่งอยู่ที่ 15.6% และช่องทาง Online ช่องทางอื่นๆ อยู่ที่ 1.8% และ JV 0.4% โดยสินค้าหลักที่เติบโตได้อย่างโดดเด่น ได้แก่กลุ่ม Home Furnishing, Beauty, Fashion, กล่องสุ่ม และ Toys เป็นต้น ผลักดันให้อัตราการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.85% ประกอบกับในปี 2567 บริษัทฯ ได้เปิดสาขาร้าน Moshi Moshi ใหม่ทั้งสิ้น 34 สาขา ซึ่งในจำนวนนี้มีสาขา Standalone ใกล้มหาวิทยาลัย จำนวน 5 สาขาอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากผลการดำเนินงานงวดปี 2567 ที่แข็งแกร่ง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติเสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานในปี 2567 ในอัตรา 0.80 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record date) วันที่ 2 พฤษภาคมนี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOSHI กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับธุรกิจค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ในปี 2568 คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะกลับมาใกล้เคียงระดับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ประมาณ 39 ล้านคน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายของห้างสรรพสินค้าในเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี โดยในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% ด้วยปัจจัยการเติบโต ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) การขยายสาขาใหม่ จำนวน 40 สาขาในปี 2568&nbsp;โดยแบ่งรูปแบบการขยายสาขาในรูปแบบที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งห้างสรรพสินค้า, คอมมูนิตี้มอลล์, Hyper Market และสาขา Standalone 2 รูปแบบ คือ สาขาใกล้มหาวิทยาลัย และ Pilot Project สาขาขนาดใหญ่พื้นที่ 300 ตารางเมตรขึ้นไปในเขตชุมชน มุ่งขยายสาขาในพื้นที่ที่มีศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) การออกสินค้าใหม่กว่า 1,000 รายการต่อเดือน ผลักดันทั้งกลุ่มสินค้า License และ Non-License พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ผ่านกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันที่โดดเด่นด้วยการออกแบบสวยงาม ในราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) รักษาอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) ให้เท่ากับปี 2567 ที่ 3-5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีสาขาค้าปลีกและค้าส่งที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 164 สาขา แบ่งเป็น ร้านค้าปลีกแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 152 สาขา โดยเป็น รูปแบบ Standalone จำนวน 5 สาขา, ร้านค้าส่งแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 2 สาขา, ร้าน Garlic 3 สาขา, ร้านค้าส่ง Giant 1 สาขา และร้านค้าส่ง The OK Station 1 สาขา โดยในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ ได้เดินหน้าเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมแล้ว 3 สาขา ในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น Robinson จ.ร้อยเอ็ด Lotus จ.ราชบุรี และ ตลาดโอชอ วัดเทียนดัด จ.นครปฐม โดยสาขาที่ตลาดโอชอ ถือเป็นสาขาต้นแบบของ Standalone ในรูปแบบ Big Size ซึ่งได้เปิดให้บริการแล้วเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายสาขาในรูปแบบดังกล่าวเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและรองรับการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ภาพ:&nbsp;MOSHI เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/mtc-2024-feb-2025" alt="เมืองไทย แคปปิตอล ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปี 68 เติบโต 15% เจาะกลุ่มคนค้าขาย-ผู้มีรายได้น้อย">เมืองไทย แคปปิตอล ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปี 68 เติบโต 15% เจาะกลุ่มคนค้าขาย-ผู้มีรายได้น้อย</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คนไทยช็อปสินค้าไลฟ์สไตล์พุ่ง! MOSHI เปิดรายได้ปี 67 ทะลุ 3,127 ล้าน ปีนี้เตรียมออกสินค้าใหม่ 1,000 รายการ/เดือน

<h2>บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TAN ผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นในประเทศไทย ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ ได้รับสิทธิ์นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ MM6 ไลน์แบรนด์ย่อยของ Maison Margiela (เมซง มาร์เจียลา) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของงานอย่างไร้ขีดจำกัด เผยแนวคิดการออกแบบแฟชั่นสไตล์อวองต์-การ์ด (avant-garde) เข้ากับฟังก์ชั่นการสวมใส่ Ready-to-wear ไปพร้อมกัน เตรียมมอบประสบการณ์ ระหว่างความหรูหราและดีไซน์อย่างสร้างสรรค์ เปิดร้าน Mono Store แรกในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</h2> &nbsp; &nbsp; ณัฐกมนรักษ์ ไวยวุฒิกมลกร ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาด้านการค้าและบริหารสินค้า บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การนำ MM6 Maison Margiela มาสู่ประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเราในการขยายพอร์ตโฟลิโอแบรนด์แฟชั่นระดับโลก และตอบสนองความต้องการของแฟชั่นนิสต้าและกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ที่ชื่นชอบสไตล์อวองค์-การ์ด และการออกแบบแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์และแนวคิดที่แตกต่าง MM6 Maison Margiela เป็นแบรนด์ที่อยู่ในเซ็กเมนต์ของ contemporary luxury ซึ่งผสมผสานงานดีไซน์และความลักชัวรี ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มองหาสไตล์แฟชั่นที่โดดเด่น ไม่ซ้ำใคร โดยแบรนด์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มช่องว่างในกลุ่มแฟชั่นระดับพรีเมียม แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์ของธนจิราในการเป็นผู้นำด้าน Fashion Retail ที่นำเสนอทางเลือกที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์ให้กับลูกค้าของเรา”​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/dmXZv3LcwdtkKQZRf2NH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dmXZv3LcwdtkKQZRf2NH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="980,600" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปิดตัว MM6 Maison Margiela ในครั้งนี้ มุ่งเน้นการเจาะกลุ่มคนที่มีสไตล์โดดเด่นและชื่นชอบแฟชั่นที่สะท้อนตัวตนอย่างชัดเจน ธนจิราวางแผนเปิดร้านแห่งแรกช่วงไตรมาสที่ 1 นำเสนอสินค้าในคอลเล็กชั่น Spring-Summer 2025 รวมทั้งสินค้า Limited Edition และ Collaborate Brand ชั้นนำต่างๆ พร้อมทั้งใช้กลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น การเลือกใช้ KOLs, Fashion Influencers และ Cultural Icons ที่สะท้อนตัวตนของ MM6 เพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์ และไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเข้ามาของ MM6 Maison Margiela สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของธนจิราในการคัดสรรแบรนด์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงตัวตนผ่านแฟชั่น และให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยแบรนด์มีแนวคิดและการปฎิบัติที่ให้ความสำคัญกับการใช้วัสดุการออกแบบที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของธนจิรา”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/bBpZ6dyr7qDcoWmQEAnk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="bBpZ6dyr7qDcoWmQEAnk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="980,600" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร้าน MM6 Maison Margiela Mono Store สาขาแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเปิดให้บริการช่วงเดือนมีนาคม 2568 ณ สยามดิสคัฟเวอรี่ โดยมีสินค้าหลากหลายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้า รวมถึง Tabi shoes ซึ่งเป็นไอคอนิกของแบรนด์ MM6 Maison Margiela ภาพ: ธนจิรา และ MM6 Maison Margiela เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/central-bangrak-traffic-increased-15-percent-in-first-2-months" alt="‘เซ็นทรัลบางรัก’ คึกคัก! เพียง 2 เดือน ทราฟฟิกโต 15% จากลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ">‘เซ็นทรัลบางรัก’ คึกคัก! เพียง 2 เดือน ทราฟฟิกโต 15% จากลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ธนจิรา’ ขยายพอร์ตแบรนด์แฟชั่น คว้า MM6 Maison Margiela เตรียมเปิด Mono Store แรกในไทยและอาเซียน

<h2>JisuLife ขึ้นแท่นผู้นำตลาดพัดลมพกพาในประเทศไทย ประกาศรายได้ปี 2567 โตทะลุ 140 ล้านบาทครองแชมป์ขายดีอันดับ 1 ในหมวดพัดลมพกพาบน Shopee และ Lazada</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;JisuLife แบรนด์พัดลมพกพาที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน และให้บริการลูกค้ามากกว่า 10 ล้านรายทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายทางออนไลน์และออฟไลน์ซึ่งเข้าถึงกว่า 40 ประเทศ อีกทั้งยังเป็นผู้นำยอดขายปลีกบนแพลตฟอร์มต่างๆ โดยติดอันดับ 3 พัดลมพกพาขายดีอย่างต่อเนื่องบน Amazon และเป็นแบรนด์ขายดีอันดับ 1 ในหมวดพัดลมพกพาบนแพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดแข็งของ JisuLife คือการวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นแบรนด์ที่ยึดมั่นในปรัชญา โดยมุ่งเน้นไปที่ ‘ความสะดวก, สบาย, นวัตกรรม, การทำโปรเจ็คพิเศษ และการใส่ใจ’ (Convenience, Comfort, Innovation, Collaboration, and Care) มาอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แบรนด์ได้มุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับพัดลมพกพาอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยเป้าหมายในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีพัดลมพกพาชั้นนำของโลก เพื่อการระบายอากาศและสร้างความเย็นสบาย ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์แห่งความสบายในการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่พกพาสะดวกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบสนองความต้องการด้านคุณภาพ การออกแบบ และความยั่งยืน พร้อมมีเทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรมากกว่า 670 รายการ อีกทั้งยังได้รับรางวัล iF Design Awards ถึง 4 รางวัลจากเยอรมนี​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 500px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/YcRzD3C48jS8wuChccxq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="YcRzD3C48jS8wuChccxq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="500px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="700,875" style="width: 500px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับไฮไลต์ความสำเร็จของปี 2567 ในประเทศไทยนั้น JisuLife ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้สนับสนุนหลักในงาน Y-series Entertainment Awards 2024 งานประกาศรางวัลอีเวนต์บันเทิงระดับแนวหน้าของประเทศไทย โดยการเข้าร่วมครั้งนี้ช่วยเสริมสร้างการรับรู้แบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ทั้งในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการประกาศเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมเปิดตัว ‘JisuLife x Billkin Gift Box’ ซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีจากคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก และทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น&nbsp; &nbsp; ในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้ แบรนด์ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เรือธงรุ่น ‘Life9’ พัดลมมือถือที่สร้างกระแสไวรัลบน TikTok โดยได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้บริโภคกลุ่มวัยรุ่น และในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แบรนด์ได้ครองตลาดพัดลมพกพาด้วยยอดขายที่พุ่งสูงในทุกช่องทางและสินค้าขายหมดอย่างรวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ JisuLife ยังได้ร่วมมือกับแบรนด์ไทย Maltese เปิดตัวพัดลมคอลเลกชั่นพิเศษ Pro1, Life9 และ Life7 ซึ่งประสบความสำเร็จในการขายผ่าน Lazada และ Shopee เป็นอย่างมาก แบรนด์ยังได้ร่วมสปอนเซอร์งาน TPOP Music Festival และสร้างความใกล้ชิดกับผู้บริโภคกลุ่มวัยรุ่นผ่านกิจกรรม GMMTV School Tour 2024​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 500px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/72ttpPMx2R5aAii3BYBJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="72ttpPMx2R5aAii3BYBJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="500px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="725,906" style="width: 500px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลีโอ เฉิน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวถึงกลยุทธ์การตลาดในประเทศไทยว่า “เราเน้นการสื่อสารไปที่กลุ่มผู้บริโภคกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน (Young Generation) ที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชนชั้นกลางและกลุ่มผู้มีรายได้สูงในเขตเมืองใหญ่อย่าง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือภูเก็ต ด้วยปรัชญาที่ให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง มุ่งหวังที่จะนำเสนอไลฟ์สไตล์ที่ทั้งสะดวกสบายและทันสมัย สามารถพกพาพัดลมไปด้วยได้ทุกที่”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เฉินยังกล่าวเสริมในด้านของสิ่งแวดล้อมว่า “เราให้ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อระบบนิเวศ และควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้วยมาตรฐานที่เข้มงวดที่สุด เพื่อสร้างสรรค์สินค้าที่ดีทั้งต่อผู้บริโภคและโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกลยุทธ์ด้านช่องทางการจำหน่ายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ JisuLife เน้นการจัดแคมเปญโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง อาทิ Double 11 หรือ Black Friday เป็นต้น โดยใช้ส่วนลด คูปอง และของแถมเพื่อดึงดูดผู้บริโภค รวมถึงช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ที่ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อได้อย่างสะดวกสบาย ตลอดจนการทำคอนเทนต์แนะนำและรีวิวผลิตภัณฑ์ในรูปแบบวิดีโอสั้นโดยอินฟลูเอนเซอร์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคและเพิ่มการรับรู้แบรนด์​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 500px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/v9nMk8auPL7ErfDEGiyZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="v9nMk8auPL7ErfDEGiyZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="500px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="2000,1296" style="width: 500px; height: auto;" data-index="2"></figure></div>​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 500px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/mhVjDsTwYfESRmHMW8Db.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mhVjDsTwYfESRmHMW8Db.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="500px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="2000,1296" style="width: 500px; height: auto;" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของช่องทางออฟไลน์ JisuLife ได้ร่วมมือกับกลุ่มค้าปลีกชั้นนำในประเทศไทยมากมายเพื่อวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในแผนกอิเล็กทรอนิกส์และของใช้ในบ้านตามห้างสรรพสินค้า รวมถึงการจัด Pop-up Store เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภคและกระตุ้นยอดขายภายในร้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฉิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราเชื่อมั่นว่าการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยและเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค จะช่วยผลักดันให้ JisuLife เป็นแบรนด์ที่ครองใจคนไทยได้ในระยะยาว และในอนาคตเราวางแผนที่จะขยายตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป โดยมุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะยังคงให้ความสำคัญกับการออกแบบ คุณภาพ และประสบการณ์การใช้งานที่เหนือระดับ” ภาพ: JisuLife เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/bangkok-number-1-christmas-destination-on-agoda" alt="‘กรุงเทพฯ’ แซงโตเกียว เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับหนึ่งในช่วงคริสต์มาสบนอโกด้า">‘กรุงเทพฯ’ แซงโตเกียว เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับหนึ่งในช่วงคริสต์มาสบนอโกด้า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

JisuLife แบรนด์พัดลมพกพาสุดฮิต ประกาศรายได้ปี 67 ทะลุ 140 ล้านบาท ครองแชมป์ขายดีทั้งบน Shopee และ Lazada

<h2>Euro Creations ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายในธุรกิจ Luxurious &amp; High Quality Living ได้รับการแต่งตั้งจาก Bang &amp; Olufsen (B&amp;O) ผู้ผลิตเครื่องเสียงลักชัวรี่ระดับโลกจากประเทศเดนมาร์ก ให้เป็นผู้จัดจำหน่าย B&amp;O ในรูปแบบร้านโมโนแบรนด์ (Mono-brand Stores) อย่างเป็นทางการเพียงเจ้าเดียวในประเทศไทย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เควิน กัมบีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้สานต่อกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการต่อยอดทางธุรกิจ ผ่านการขยายหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์และแบรนด์ระดับโลกใหม่ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทฯ ซึ่งล่าสุดได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับ B&amp;O ผู้ผลิตเครื่องเสียงลักชัวรี่ระดับโลกจากประเทศเดนมาร์ก ให้เป็นตัวแทนผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในรูปแบบร้านโมโนแบรนด์อย่างเป็นทางการเพียงเจ้าเดียวในประเทศไทย​​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/LgjrHxWvLqT8745wfuav.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="LgjrHxWvLqT8745wfuav.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="900,471" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเป็นพาร์ทเนอร์กับ B&amp;O ในครั้งนี้ จะช่วยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และมอบประสบการณ์ทางดนตรีให้แก่ลูกค้าพร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ Euro Creations นำไปสู่การเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดมากยิ่งขึ้นต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ยูโร ครีเอชั่นส์ ยึดมั่นในการมอบประสบการณ์อย่างมีระดับให้แก่ลูกค้าคนสำคัญ เราเชื่อมั่นในแนวคิด ‘Life is better in a beautiful space’ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ B&amp;O ที่ให้ความสำคัญกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงไฮเอนด์ที่โดดเด่นด้วย Design, Sound และ Craftmanship อันเป็นเอกลักษณ์ ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นการผสานความเชี่ยวชาญของ ยูโร ครีเอชั่นส์ ในฐานะผู้นำด้าน Luxury Living และสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับโลก เข้ากับนวัตกรรมเครื่องเสียงชั้นเลิศจาก B&amp;O เพื่อส่งมอบประสบการณ์อันสมบูรณ์แบบในทุกมิติให้แก่ลูกค้า” เควินกล่าวเพิ่มเติม​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/itMgky97o5sAnpEEgLD7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="itMgky97o5sAnpEEgLD7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="900,506" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div>​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/Cfu2zvUq3eowWWbfya1i.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Cfu2zvUq3eowWWbfya1i.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="900,505" style="width: 720px; height: auto;" data-index="2"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เตรียมพบกับโชว์รูม B&amp;O สาขาแรกที่ Euro Creations ทองหล่อ ชั้น 2 ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Beo Home’ ตามด้วยอีกสาขาที่ Central Embassy ชั้น 4 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่หลอมรวมความงามและความสมบูรณ์แบบไว้อย่างลงตัว พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ภาพ: Euro Creations เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/kahoot-is-available-in-thai-language" alt="Kahoot! เปิดตัวภาษาไทยแล้ว ทั้งบนเว็บไซต์ iOS และ Android พร้อมช่วยคนไทยสนุกกับการเรียนรู้">Kahoot! เปิดตัวภาษาไทยแล้ว ทั้งบนเว็บไซต์ iOS และ Android พร้อมช่วยคนไทยสนุกกับการเรียนรู้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Euro Creations ขึ้นแท่นผู้จำหน่าย B&O อย่างเป็นทางการในไทย เตรียมเปิดโชว์รูม 2 แห่งในไตรมาส 2 ปี 68

<h2>ธนจิรา กรุ๊ป ปักหมุด HARNN จีน เฟสแรก เปิดจุดขายแล้วมากกว่า 170 แห่ง ภายใน 3 เดือนแรก ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก คุณภาพสินค้าไทย ช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง และ บุคลากรมืออาชีพ มุ่งสู่กลุ่มบริษัทไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับภูมิภาค</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;HARNN Greater China Co., Ltd บริษัทย่อยภายใต้การดำเนินงานของ บมจ. ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ TAN เดินหน้าตามแผนขยายธุรกิจแบรนด์ HARNN ในประเทศจีนอย่างเต็มกำลัง เผย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ คุณภาพสินค้าไทย ช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญงานอย่างมืออาชีพ โดยสามารถกระจายสินค้าไปยังร้านค้ามัลติแบรนด์ความงาม (Cosmetics Chain Store) ชั้นนำ เช่น AFIONA และ LADY TODAY เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;HARNN มีการกระจายการขายสู่ร้านค้าในสนามบินหลักทั่วประเทศจีน และวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์สปาภายใต้แบรนด์ SCape by HARNN สาขาแรกภายในไตรมาส 1 ของปี 2568 เพื่อต่อยอดประสบการณ์แบรนด์ HARNN ให้ผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างครบวงจร พร้อมเดินหน้ามุ่งสู่การเป็นกลุ่มบริษัทไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับภูมิภาค​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/sq4G9UAXNz9y4bVYRcw3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="sq4G9UAXNz9y4bVYRcw3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของ HARNN ในตลาดจีนว่า “หนึ่งในกลยุทธ์หลักของ HARNN คือ การขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดสำคัญ โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเราได้จัดงาน HARNN China Strategy &amp; Brand Conference เพื่อพบปะเครือข่ายผู้กระจายสินค้าในแต่ละมณฑลของจีน ทำให้เราได้มีโอกาสเจรจาต่อยอดในธุรกิจใหม่ๆ เช่น การขยายธุรกิจแฟรนไชส์สปา และการกระจายสินค้าผ่านร้านมัลติแบรนด์ความงาม (Cosmetics Chain Stores) ในเมืองต่างๆ อีกด้วย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปัจจุบัน HARNN มีสินค้าจำหน่ายกว่า 170 แห่งทั่วประเทศจีน ผ่านร้านค้าชั้นนำในเมืองต่างๆ เช่น LADY TODAY และ AFIONA และ 5 ร้านค้าใน 3 สนามบิน ได้แก่ Wenzhou Longwan International Airport, Tianjin Binhai International Airport และ Hangzhou Xiaoshan International Airport รวมถึงการจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยมของจีนในขณะนี้ เช่น Tmall, Xiao Hong Shu, Douyin และ JD.COM ซึ่งช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ด้วยกลยุทธ์การขยายธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์นี้ เรามั่นใจว่า HARNN จะเติบโตในตลาดจีนอย่างมีรากฐานที่แข็งแกร่งและสร้างชื่อเสียงระดับสากลได้ในอนาคต สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ Body Oil Spray, Hand Cream และ Aromatic Charm สะท้อนถึงการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวจีน” ธนพงษ์ กล่าว​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/upASKGrQViEji2hHWac3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="upASKGrQViEji2hHWac3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากการจัดจำหน่ายในช่องทางต่างๆ แล้วสินค้า HARNN ยังมุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์ของการสร้างแบรนด์ ผ่านการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์สปาภายใต้แบรนด์ Scape by HARNN ที่มีแผนจะเปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2568 ณ เมืองหูโจว มณฑลเจ้อเจียง โดยแฟรนไชส์สปานี้จะมอบประสบการณ์ผ่านผลิตภัณฑ์ของ HARNN ผสานกับศิลปะการนวดไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน HARNN Greater China ได้จัดตั้งสำนักงานใหม่ ณ เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง พร้อมบุคลากรทีมงานผู้เชี่ยวชาญกว่า 20 คน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการขยายธุรกิจในจีนครั้งนี้ของ บมจ. ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การขยายธุรกิจในประเทศจีนถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของแบรนด์ HARNN ภายใต้การขับเคลื่อนของ ธนจิรา กรุ๊ป ซึ่งเป็นโอกาสได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ไทยสู่ระดับสากล สะท้อนถึงความตั้งใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในตลาดที่มีศักยภาพและความท้าทายสูงอย่างจีน ด้วยกลยุทธ์การขยายธุรกิจที่มีเป้าหมายชัดเจนและการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน เราเชื่อมั่นว่า HARNN จะสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนได้ในระยะยาว” ธนพงษ์ กล่าวสรุป เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/motoring/news/global/byd-q-3-2024-revenue-beat-tesla" alt="รายได้ BYD แซง Tesla แล้ว! Q3 นำหน้ากว่า 3 พันล้านเหรียญ">รายได้ BYD แซง Tesla แล้ว! Q3 นำหน้ากว่า 3 พันล้านเหรียญ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ธนจิราพา HARNN ลุยจีน เปิดจุดขาย 170 แห่งใน 3 เดือน เตรียมเปิดแฟรนไชส์สปาไตรมาสแรกปี 68

กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หรือ DITP ตอกย้ำ  และสานต่อความสำเร็จ การจัดงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ยิ่งใหญ่ และครบครันที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ตลอด 3 ปี แถลงข่าวการจัดงานแสดงสินค้า “STYLE Bangkok เดือนตุลาคม 2562” ระหว่างวันที่    17-21 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา บนพื้นที่ 41,000 ตารางเมตร รวม 1,800 บูธ คาดมีผู้เข้าชมงานไม่น้อยกว่า 50,000 ราย จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก สร้างมูลค่าการสั่งซื้อ  ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ช่วยเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย ให้เป็นจุดหมายปลายทางของสินค้า      ไลฟ์สไตล์ระดับนานาชาติ พร้อมหนุนเศรษฐกิจให้เติบโตมั่นคงเข้มแข็งยั่งยืน เชื่อมั่น งานนี้จะหนุน      การส่งออกปีนี้ให้ขยายตัวไปถึงร้อยละ 3 ตามเป้า

<figure><img class="wp-image-20967 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/11.jpg" alt="" width="321" height="481" /><figcaption> นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์</figcaption></figure>

นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายในการแถลงข่าวว่า “กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มีบทบาทอันสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย โดยมีภารกิจหลักในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าและบริการของไทย ให้ออกไป    สู่ตลาดต่างประเทศมากที่สุด พร้อมมุ่งเน้นสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการ SME หน้าใหม่ และเดินหน้า  สานต่อนโยบายหลักของกรมฯ ในการรักษาตลาดเดิม ฟื้นฟูตลาดเก่า และขยายตลาดใหม่

“เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2560 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ริเริ่มจัดงาน “STYLE” ขึ้นเป็นครั้งแรก  ถือเป็นงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ โดยผนวกงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี อยู่แล้ว ได้แก่ งาน BIFF&amp;BIL , BIG+BIH และ TIFF รวมเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเชิงรุก และรองรับแนวโน้มความต้องการใหม่ๆ ของตลาดโลก ซึ่งช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากสถิติพบว่า สินค้าไลฟสไตล์เป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศไทย เช่น      ปี 2561 ที่ผ่านมา เรามีมูลค่าการส่งออกราว 12,310 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ เกือบ 400,000 ล้านบาท
คิดเป็น 4.8% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด”

<img class="alignnone size-full wp-image-20968" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/2.jpg" alt="" width="720" height="480" />

“การจัดงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการส่งเสริมสินค้าเพื่อการส่งออก และสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ และเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเราได้จัดงาน STYLE Bangkok ขึ้น ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ทั้งจำนวนผู้ประกอบการ นักธุรกิจ ผู้นำเข้าและส่งออก นักออกแบบ ทั้งชาวไทย  และต่างชาติ เข้าชมงาน กว่า 45,000 ราย เกิดยอดสั่งซื้อกว่า 2,230 ล้านบาท”

“กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จ โดยจัดงานแสดงสินค้า STYLE Bangkok เดือนตุลาคม 2562 ขึ้น ระหว่างวันที่ 17 – 21 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา” โดยรวบรวมสินค้าไลฟ์สไตล์ครอบคลุมทุกประเภท ทั้งสินค้าแฟชั่น เคหะสิ่งทอ      เครื่องหนัง ของขวัญของใช้ เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้าน ตลอดจนสินค้าเฉพาะกลุ่ม อาทิ สินค้าสำหรับแม่และเด็ก สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง และสินค้าสำหรับผู้สูงอายุ (60+) เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งบุคคลทั่วไป สถาปนิก มัณฑนากร นักออกแบบ และในรูปแบบองค์กร หรือโปรเจคพิเศษต่างๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร แกลลอรี่ เป็นต้น ที่มีแนวโน้มความต้องการสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้    เพื่อแสดงศักยภาพผู้ประกอบการไทย ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการตลาดโลกได้ทั้งด้านวัตถุดิบ    การผลิต งานออกแบบสร้างสรรค์ โดยภายในงานพบกับสินค้าจากผู้ผลิตตัวจริง มีแบรนด์สินค้าชั้นนำ    กว่า 800 ราย ร่วมจัดแสดงกว่า 1,800 คูหา”

กรมฯ มั่นใจว่า งานนี้จะได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ นักธุรกิจ ผู้นำเข้าและส่งออก นักออกแบบ  ทั้งชาวไทย และต่างชาติ เข้าชมงานจำนวนมาก ซึ่งนอกจากรูปแบบการจัดงานและ สินค้าที่นำเสนอจะมีความน่าสนใจแล้ว ยังมีปัจจัยที่ดึงดูดให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ประกอบการที่มีความสนใจเดินทางมาเจรจาการค้า  ในงาน ไม่ว่าจะเป็นที่พักราคาประหยัด อาหารหลากหลายทั้งถูกและดี การให้บริการ การอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ การเดินทาง และการดูแลด้านความปลอดภัย

“เราคาดว่างานนี้ จะมีผู้เข้าชมงาน ไม่น้อยกว่า 50,000 ราย จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก และสร้างมูลค่าการสั่งซื้อไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่า จะประสบความสำเร็จทั้งในด้านภาพลักษณ์ ของประเทศไทย ที่เป็นจุดหมายปลายทางของสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับนานาชาติ และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโต มั่นคง เข้มแข็ง ยั่งยืน และเราเชื่อมั่นว่า งานนี้จะช่วยหนุนเสริมให้การส่งออกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 3 ตามเป้าที่รัฐบาลวางไว้” อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-20969" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/9.jpg" alt="" width="720" height="480" />

พร้อมกันนี้ ภายในงานแถลงข่าว ยังจัดให้มี Mini Talk Show : โอกาสทางการค้าและช่องทางการขยายตลาดใหม่สินค้าไลฟ์สไตล์ โดยได้รับเกียรติจาก นางวรรณภรณ์ เกตุทัต (รองอธิบดีกรมส่งสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์) ร่วมด้วย นายศักดิ์ดา แสงกัณหา กรรมการผู้จัดการ บริษัท มะลิกู๊ด จำกัด และอาจารย์เป็นหนึ่ง วงษ์ภูดร ซินแสชื่อดัง ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง

ภายในงาน “STYLE Bangkok เดือนตุลาคม 2562” ครั้งนี้ ผู้มาชมงานจะพบกับสินค้าไลฟ์สไตล์      จากแบรนด์และแบรนด์ไทยดีไซเนอร์ชั้นนำ ที่น่าสนใจหลากหลาย อาทิ แบรนด์ Korakot โดย        กรกต อารมย์ดี นำเสนอสินค้าตกแต่งบ้าน โรงแรม แบรนด์ Pichita โดย พิจิตรา บุณยรัตพันธ์ ไทยดีไซเนอร์ ที่มีชื่อเสียงระดับสากล นำเสนอสินค้า เสื้อผ้า แฟชั่น ผ้าพันคอ และ Home Décor แบรนด์ ลาบราดอร์ โดย อเนก กุลทวีทรัพย์ นำเสนอ กระเป๋า เครื่องเขียน (Eco Lifestyle Design Products) แบรนด์ Puri ผลิตภัณฑ์ skincare ชื่อดัง เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้มาชมงานจะพบกับนิทรรศการพิเศษเพื่อตอบรับกระแสสินค้ารักษ์โลก (ECO) สินค้าที่ตอบโจทย์ความเชื่อโชคลาง (Spiritual Power) สินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่ได้รับการพัฒนาจากผู้เชี่ยวชาญ อาทิ สินค้าแฟชั่นจากโครงการ Qurated Fashion Incubation สินค้าวัตถุดิบจากโครงการ Material Solution ทั้งนี้ เพื่อแสดงศักยภาพผู้ประกอบการไทย ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการตลาดโลกได้ทั้งด้านวัตถุดิบ การผลิต งานออกแบบสร้างสรรค์ ตลอดจนสินค้ากลุ่มผู้สูงอายุ (60+) สินค้าสำหรับแม่และเด็ก สินค้ากลุ่มสัตว์เลี้ยง และอื่นๆ กล่าวได้ว่า ผู้มาชมงานจะพบกับสินค้าไลฟ์สไตล์ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการ

“STYLE Bangkok เดือนตุลาคม 2562” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชีย จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 - 21 ตุลาคม 2562 (สำหรับวันเจรจาธุรกิจ วันที่ 17 - 19  ต.ค. 62 เวลา 10.00-18.00 น.) เปิดให้บุคคลทั่วไปเช้าชมงาน วันที่ 20-21 ต.ค. 62 เวลา 10.00 –21.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ 

&nbsp;

ติดตามความเคลื่อนไหว และดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ <a href="http://www.stylebangkokfair.com">www.stylebangkokfair.com</a>  facebook.com/stylebkkfair หรือ สายตรง โทร. 1169

“DITP” ประกาศพร้อมจัดงาน “STYLE Bangkok เดือนตุลาคม 2562” ตอกย้ำและสานต่อความสำเร็จปีที่ 3 งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ใหญ่สุด ครบสุด ในภูมิภาคเอเชีย เชื่อมั่นช่วยหนุนยอดส่งออกโต 3%

<h2>รับมือยักษ์ออนไลน์โลก Amazon-Alibaba บุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   WhatsNew Groupผนึกเว็บอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นสู้ ล่าสุดซื้อกิจการเว็บค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ MOXY</h2>
<div>Ardent Capital ผู้ก่อตั้งบริษัท WhatsNew Group เจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซสินค้าไลฟ์สไตล์ ตกลงเข้าซื้อกิจการเว็บไซต์ MOXY หนึ่งในผู้ให้บริการสินค้าออนไลน์ด้านไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งก่อตั้งโดย "แชนนอน (ชาริณี) กัลยาณมิตร" ผู้วางรากฐานให้แบรนด์ MOXY แข็งแกร่งในเวลาอันรวดเร็ว</div>
<div></div>
<div>และเธอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริหาร WhatsNew Group ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด (Group Chief Marketing Officer) โดยเชื่อมั่นว่าประสบการณ์ของเธอจาก PricewaterhouseCoopers, Lehman Brothers และ Rocket Internet จะช่วยทำให้ WhatsNew Group เข้มแข็งมากขึ้น</div>
<div></div>
<div>CMO คนใหม่ของ WhatsNew เปิดเผยว่า สาเหตุที่หลายแบรนด์ยังไม่ก้าวสู่ธุรกิจออนไลน์ เพราะยังเชื่อที่ว่าจะฉุดภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ต่ำลง เหมือนกับว่าเป็นของราคาถูก แต่สำหรับ MOXY และ WhatsNew ไม่คิดเช่นนั้น เราจึงตัดสินใจร่วมมือกันเพื่อพัฒนาตลาดอีคอมเมิร์ซให้เติบโตได้เร็วกว่าเดิม</div>
<div></div>
<div><a href="http://www.moxyst.com/">MOXY</a> เป็นเว็บไซต์น้องใหม่ที่เน้นสินค้าไลฟ์สไตล์ ที่เข้าเสริมทัพเว็บค้าปลีกออนไลน์ <a href="http://www.petloft.com/">Petloft</a>, <a href="http://www.venbi.com/">Venbi</a>, <a href="http://www.sanoga.com/">Sanoga</a> และ <a href="http://www.lafema.com/">Lafema</a> ภายใต้การบริหารของบริษัท <a href="http://www.whatsnew.asia/">WhatsNew Group</a></div>
<div></div>
<div>บริษัท WhatsNew ก่อตั้งในปี 2556 ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย บริหารงานโดย Adrian Vanzyl และพอล ศรีวรกุล เจ้าของบริษัท Ardent Capital จำกัด และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง aCommerce และ Ensogo  ในปัจจุบัน WhatsNew ดำเนินกิจการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซรวมทั้งหมด 5 เว็บไซต์ ได้แก่  Petloft, Venbi, Sanoga, Lafema และล่าสุด MOXY</div>
<div></div>
<div>WhatsNew จัดจำหน่ายสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่อาหารสัตว์ อุปกรณ์สำหรับเด็กเล็ก สินค้าสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ความงาม และสินค้าไลฟ์สไตล์ต่างๆ รวมทั้งหมดประมาณ 1,000 แบรนด์ 20,000 กว่ารายการ มุ่งเป้าหมายครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเชื่อมโยงเว็บไซต์ทั้งห้าเข้าด้วยกัน ผู้บริโภคสามารถล็อกอินเข้าสู่ระบบเพียงครั้งเดียว การดำเนินธุรกิจที่ผ่านมาเพียง 1 ปี ยอดสั่งซื้อเติบโตถึง 1,000% มูลค่าสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 20% ต่อปี</div>
<div></div>
<div>เหตุผลที่ WhatsNew ตัดสินลงทุนในเว็บไซต์ MOXY แทนที่จะก่อตั้งเว็บไซต์ขึ้นใหม่นั้น เนื่องจากมาตรฐานการให้บริการของ MOXY นั้นอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นหลักของ MOXY ทั้ง 3 คน จะยังคงบริหารงานต่อไป</div>
<div></div>
<div>"การสร้างสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ต้องใช้เวลา ถ้าจะสร้างขึ้นเองใหม่หมดต้องใช้เวลามาก เมื่อพิจารณาจากเครือข่ายที่ MOXY ได้สร้างไว้แล้ว" ไทย คำมณีวงศ์ ซีอีโอของ WhatsNew กล่าวอีกว่า การปรับตัวไปสู่สินค้าไลฟ์สไตล์นั้นเป็นกลยุทธ์หลัก เพราะเมื่อตลาดเข้าใกล้จุดอิ่มตัวแล้ว การมีผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัวจะทำให้อยู่เหนือคู่แข่ง และช่วยขยายฐานของลูกค้า</div>
<div></div>
<div>นอกจากนี้ ซีอีโอ WhatsNew กล่าวถึงตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า กำลังอยู่ในระยะเริ่มต้น และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทระดับโลกอย่าง Amazon และ Alibaba กำลังมองหาลู่ทางเข้ามาตีตลาดในไม่ช้า เราจึงมองว่าการผนวกเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้วเข้ามาร่วมธุรกิจ จะสามารถตอบโจทย์ได้ดีที่สุด</div>
<div></div>
<div>ทั้งนี้ รูปแบบการทำธุรกิจครั้งนี้จะคล้ายกับ Quidsi บริษัทอีคอมเมิร์ซของสหรัฐอเมริกา ที่ถูก Amazonซื้อกิจการไปเมื่อ 5 ปีก่อน ด้วยมูลค่า 550 ล้านเหรียญ ในเวลานั้น Quidsi ดูแลเว็บไซต์ทั้งหมด 3 เว็บไซต์ ปัจจุบันเพิ่มเป็น 10 เว็บไซต์ เมื่อเทียบกับ WhatsNew ที่มีร้านค้าออนไลน์ทั้งหมด 5 เว็บไซต์ ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี และในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ก็จะประกาศเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่อีก</div>
<div>

<hr />

อ่านประกอบ: <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=261">พอล ศรีวรกุล: ปั้น Startups อาเซียนด้วย VC</a>

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events