<h2>BETAGRO Ventures ประกาศความสำเร็จในการลงทุนเชิงกลยุทธ์กับ Meatable สตาร์ทอัพผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultivated Meat) ผลิตเนื้อวัวและเนื้อหมูคุณภาพสูงได้โดยไม่ต้องเลี้ยงหรือฆ่าสัตว์ ยกระดับอาหารสู่อนาคตที่ยั่งยืน เสริมสร้างการเติบโตของทั้งสองบริษัทในตลาดเอเชีย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชยธร แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG และกรรมการผู้จัดการ Betagro Ventures กล่าวว่า “BETAGRO Ventures มุ่งเน้นสร้างธุรกิจร่วมลงทุน และการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงอาหารคุณภาพสูงของผู้บริโภค การสร้างแหล่งโปรตีนใหม่ที่ยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนาห่วงโซ่ธุรกิจอาหารของเบทาโกรให้มีความแข็งแกร่งนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน และยกระดับอุตสาหกรรมอาหารของไทยในที่สุด”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการลงทุนใน Meatable ครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเบทาโกรในการสร้างนวัตกรรมและขับเคลื่อนความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเราเชื่อมั่นในศักยภาพและวิสัยทัศน์ของ Meatable ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านอาหารชั้นนำของประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่มีเทคโนโลยีการผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultivated Meat) โดยใช้เทคโนโลยี opti-ox™ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ที่ได้รับการยอมรับจากนิตยสาร TIME ว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ดีที่สุดของปี 2024 สามารถผลิตเนื้อหมูและเนื้อวัวคุณภาพสูงที่มีรสชาติ เนื้อสัมผัส และคุณค่าทางโภชนาการเหมือนเนื้อสัตว์ที่ผลิตแบบดั้งเดิม โดยไม่ต้องเลี้ยงหรือฆ่าสัตว์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งการลดใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตอบโจทย์ความต้องการโปรตีนที่ยั่งยืนในตลาดโลกได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ การลงทุนใน Meatable ยังสอดคล้องกับจุดประสงค์ (Purpose) ในการดำเนินธุรกิจของเบทาโกร ที่มุ่งมั่นเพิ่มคุณค่าชีวิตของทุกคนด้วย “อาหารที่ดีกว่า (Better Food)” นั่นคือ การผลิตด้วยมาตรฐานและความปลอดภัยขั้นสูงสุด มาพร้อมคุณภาพและความอร่อยที่เหนือกว่า ในราคาที่เป็นธรรม และการผลิตอย่างยั่งยืนอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ เจฟฟ์ ทริพิเชียน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Meatable กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับเบทาโกร ในฐานะผู้ร่วมลงทุนรายแรกจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ดั้งเดิม ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ไม่แต่เพียงยืนยันศักยภาพของเทคโนโลยีเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงของเรา แต่ยังเป็นสัญญาณที่ดีว่าผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารอย่างเบทาโกร พร้อมที่จะสนับสนุนนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคตที่ยั่งยืน และการมีพันธมิตรที่เข้าใจตลาดเอเชียอย่างลึกซึ้ง พร้อมกับเครือข่ายที่กว้างขวางของเบทาโกร เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถขยายการนำเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงสู่ผู้บริโภคในตลาดเอเชียได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เบทาโกรเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจหลักของเบทาโกร แล้วยังเป็นการสนับสนุนสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ ด้วยการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดเอเชีย ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการขับเคลื่อนนวัตกรรมของเบทาโกรผ่านความร่วมมือจากภายนอก พร้อมทั้งยกระดับอุตสาหกรรมอาหารสู่อนาคตที่ยั่งยืนอีกด้วย” ชยธร กล่าวทิ้งท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/btg-plantible-nov-2024" alt="Betagro Ventures ร่วมลงทุน Plantible รอบ Series B พัฒนาโปรตีนจากพืช ตอบโจทย์อาหารแห่งอนาคต">Betagro Ventures ร่วมลงทุน Plantible รอบ Series B พัฒนาโปรตีนจากพืช ตอบโจทย์อาหารแห่งอนาคต</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เครือเบทาโกร ร่วมลงทุนใน ‘Meatable’ สตาร์ทอัพผลิต ‘เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง’ ยกระดับอาหารสู่อนาคตที่ยั่งยืน

<h2>กลุ่มดุสิตธานี โดย ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ ‘กรีนเฮาส์’ บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารจากประเทศญี่ปุ่น ที่จะเข้าลงทุนถือหุ้นใน ‘เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง’ มั่นใจผนึกความร่วมมือกันสร้างโอกาสเติบโตของธุรกิจอาหาร ขยายฐานลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งสถาบันการศึกษา สถานพยาบาล สายการบิน ครอบคลุมทั้งในไทยและต่างประเทศ สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ตอบโจทย์การลงทุนในธุรกิจอาหารของกลุ่มดุสิตธานี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด (Dusit Foods) ซึ่งบริษัทย่อยที่กลุ่มดุสิตธานีถือหุ้น 75% ได้ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท กรีนเฮาส์ จำกัด (Green House) ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ จากประเทศญี่ปุ่น และบริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด (Epicure Catering) ผู้นำในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มโรงเรียนนานาชาติ โดยกรีนเฮาส์จะร่วมกับ บริษัท ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น จัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อเข้าลงทุนถือหุ้นในเอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้หลังจากนี้โครงสร้างผู้ถือหุ้นในเอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่งจะประกอบด้วย&nbsp; &nbsp; &nbsp;- ดุสิต ฟู้ดส์ ถือหุ้นในสัดส่วน 70%&nbsp; &nbsp; &nbsp;- กรีนเฮาส์ ถือหุ้น 20%&nbsp; &nbsp; &nbsp;- กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของเอ็บเพอคิวร์ ถือหุ้น 10%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“กรีนเฮาส์ถือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารรายใหญ่รายหนึ่งในญี่ปุ่น และเคยร่วมงานกับกลุ่มดุสิตธานีมาแล้ว ตอนที่เราเปิดโรงแรมที่ญี่ปุ่น ทำให้เรามองเห็นศักยภาพของการร่วมมือกัน ที่จะเป็นการต่อยอดความร่วมมือเดิมจากธุรกิจโรงแรมสู่ธุรกิจอาหาร โดยเราวางเป้าหมายที่จะร่วมกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ด้านอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่มุ่งเน้นอาหารที่รสชาติอร่อยและดีต่อสุขภาพ รวมถึงขยายโอกาสในการทำการตลาดในสถาบันการศึกษา สถานพยาบาล และสายการบิน ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เราจะมุ่งไปในอนาคต” ศุภจี กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชิอากิ ทานุมะ ประธานและซีอีโอของบริษัท กรีนเฮาส์ จำกัด เปิดเผยว่า ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับดุสิต ฟู้ดส์ ไม่เพียงแต่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกรีนเฮาส์ ในการให้บริการอาหารคุณภาพสูง ในตลาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาคการศึกษา สาธารณสุข และกับภาคเอกชนเท่านั้น แต่ยังนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับการเติบโตเชิงกลยุทธ์ในระดับโลกของบริษัทอีกด้วย เนื่องจากเราจะร่วมกันกำหนดมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมอาหาร และนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มณิศา มิตรไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า การผนึกความร่วมมือระหว่างดุสิต ฟู้ดส์, เอ็บเพอคิวร์ และกรีนเฮาส์ จะเป็นการผสานความเชี่ยวชาญและทรัพยากรของทั้ง 3 บริษัทในการพัฒนาและขยายธุรกิจการให้บริการด้านอาหารในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการด้านอาหารในสถาบันการศึกษาและสถานพยาบาล โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ ซึ่งมั่นใจว่า จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั้งด้านการผลิต การจัดจำหน่าย และการให้บริการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน ทั้ง 3 บริษัทจะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวปฏิบัติระหว่างองค์กร ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาบุคลากรและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยจะร่วมกันส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารและบริการ ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มณิศา เผยว่า “ดุสิต ฟู้ดส์ และเอ็บเพอคิวร์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เราได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกรีนเฮาส์ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมอาหารของประเทศญี่ปุ่น เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหารของเอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง โดยเฉพาะประสบการณ์ของกรีนเฮาส์ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 77 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับในประเทศไทย กรีนเฮาส์เป็นผู้ก่อตั้งร้านทงคัตสึ Saboten ที่โด่งดัง ทั้งจากการคัดสรรวัตถุดิบ รวมถึงการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของดุสิต ฟู้ดส์ และเอ็บเพอคิวร์ ทำให้ดุสิต ฟู้ดส์มั่นใจว่า การขยายธุรกิจด้านอาหารจะสามารถเติบโตได้อย่างมีศักยภาพภายใต้การขับเคลื่อนร่วมกัน และจะเป็นการขยายฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น รวมถึงขยายสู่พื้นที่ที่หลากหลายขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ บริษัท กรีนเฮาส์ จำกัด เป็นบริษัทชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เขตชินจูกุ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การนำของชิอากิ ทานูมะ เป็นประธานบริษัทและซีอีโอ โดยบริษัทดำเนินธุรกิจหลากหลายในอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ ประกอบด้วย การให้บริการอาหารตามสัญญา (Contract Food Service) ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม สถานพยาบาล และสถาบันการศึกษา การบริหารจัดการร้านอาหารและร้านขายอาหารสำเร็จรูป การบริหารจัดการโรงแรม การให้บริการด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน การให้คำปรึกษาด้านการออกแบบครัวและการบริการ และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและวัตถุดิบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กรีนเฮาส์ ให้บริการอาหารมากกว่า 1 ล้านมื้อต่อวัน โดยนำเสนอเมนูที่หลากหลายกว่า 4,000 รายการ ซึ่งรวมถึงเมนูพิเศษจากโรงแรมและร้านอาหารชั้นนำ บริษัทยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารเป็นอย่างยิ่ง โดยบริหารจัดการตามแนวคิด HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Points)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด (Epicure Catering) เป็นผู้นำในการให้บริการอาหารระดับพรีเมียมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการให้บริการอาหารสำหรับสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ บริษัทมีโครงสร้างการถือหุ้นที่แข็งแกร่ง โดยบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 70% โดยเอ็บเพอคิวร์มีความมุ่งมั่นในการนำเสนอบริการอาหารที่มีคุณภาพสูง ถูกหลักโภชนาการ และตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพดีและเทคนิคการปรุงอาหารที่ทันสมัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด เป็นบริษัทย่อยที่กลุ่มดุสิตธานี จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อยอดประสบการณ์อันเชี่ยวชาญในการให้บริการด้านอาหารและเครื่องดื่มของดุสิตธานี โดยปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีถือหุ้นในสัดส่วน 75% และบมจ. ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ถือหุ้น 25% โดยดุสิต ฟู้ดส์ จะลงทุนในธุรกิจอาหารที่มีแนวโน้มในการเติบโตสูง หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านอาหาร และพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูงสำหรับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือ รวมถึงวางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/finance-and-investment/merrezca-filing-to-ipo-in-mai" alt="เจ้าของเครื่องสำอาง MERREZCA ยื่นไฟลิ่งขายหุ้น IPO แล้ว เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai">เจ้าของเครื่องสำอาง MERREZCA ยื่นไฟลิ่งขายหุ้น IPO แล้ว เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กลุ่มดุสิตธานี ดึงบริษัทญี่ปุ่น ‘กรีนเฮาส์’ พาประสบการณ์ 77 ปี ขยายธุรกิจอาหารผ่านการเข้าถือหุ้น ‘เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง’

"โปรตีนจิ้งหรีด" อาหารแห่งอนาคต โอกาสของไทยในวิกฤตอาหารโลก

โอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกของ ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม

เอส.ดับบลิว.ฟู้ดเทค ปั้นนวัตกรรมโมเลกุลไข่ ฟักรายได้สู่พันล้าน

<h2 class="p1">หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันภายใต้ดวงอาทิตย์ในดินแดนแอฟริกาใต้ ไอศกรีมสักก้อนคงช่วยเยียวยาความอ่อนล้าจากไอร้อนออกไปได้ แต่คุณจะสามารถเพลิดเพลินไปกับขนมหวานนี้อยู่ไหม เมื่อรู้ว่ามันเป็น “ไอศกรีมแมลง”</h2>
Gourmet Grubb สตาร์ทอัพจากเมือง Cape Town แอฟริกาใต้ หวังว่าจะใช้ ไอศกรีมแมลง เพื่อแนะนำสาธารณชนให้เข้าสู่โลกของการกินแมลง โดยไอศกรีมของสตาร์ทอัพรายนี้มีส่วนผสมของ EntoMilk หรือผลิตภัณฑ์นมทดแทนที่ทำมาจากหนอนของแมลงในเขตร้อนอย่างแมลงวันลาย (black soldier fly)
ทั้งนี้ สหประชาชาติ หรือ UN คาดการณ์ว่าโลกต้องเพิ่มปริมาณการผลิตอาหารขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อป้อนให้กับประชากรโลกในปี 2050 และต้องส่งเสริมการทำฟาร์มแมลงเนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนทดแทนที่ยั่งยืนกว่าการทำปศุสัตว์แบบเดิม
“เป้าหมายของเราคือการเปลี่ยนแปลงภาพจำที่ไม่ดีที่คนมีต่อแมลง ด้วยการนำมาผลิตและใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร” Leah Bessa ผู้ร่วมก่อตั้ง Gourmet Grubb กล่าว
ก่อนหน้านั้น Bessa วางเป้าให้ตัวเธอเองมีส่วนผสมของนักวิชาการ, ผู้ประกอบการด้านการเกษตร, ผู้ประกอบการทางธุรกิจ และครีเอทีฟ โดยในปี 2016 ขณะที่เธอกำลังศึกษาระดับปริญญาโทสาขาวิทยาศาสตร์อาหารที่ Stellenbosch University ในแอฟริกาใต้ เธอก็โฟกัสไปที่ “แมลง” เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนทดแทนชั้นยอด และในปี 2017 ก็ถือกำเนิดขึ้น


<figure><img class="size-full wp-image-13723" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/insect-icecream02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Leah Bessa ภาพจากเฟซบุ๊ก Gourmet Grubb</figcaption></figure>
แม้ว่าจะมีการประมาณการว่าแมลงมากกว่า 1,900 ชนิดจะเป็นอาหารของมนุษย์ทั่วโลก แต่แมลงก็ยังไม่เข้าใกล้การเป็น “อาหารกระแสหลัก” ของร้านอาหารตะวันตก
“เราเคยคิดว่าจะถูกกระแสตีกลับ แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเพราะผู้คนต่างมีจิตใจที่เปิดกว้าง ทุกคนชอบไอศกรีม” Bessa กล่าวกับ CNN
สำหรับ ไอศกรีมแมลง ของ Gourmet Grubb นั้นมีหลายรสชาติด้วยกัน เช่น ช็อกโกแลต, พีนัตบัตเตอร์ และคริสต์มาสสไปซ์ ซึ่ง Bessa ระบุว่า EntoMilk  ช่วยให้ไอศกรีมที่ได้มีเนื้อครีมเหมือนไอศกรีมอื่นๆ และไม่เพียงแต่รสชาติที่เหมือนกับไอศกรีมทั่วไปเท่านั้น แต่ไอศกรีมแมลงยังมีคุณประโยชน์สูง เนื่องจาก EntoMilk มีโปรตีนสูงกว่านมปกติถึง 5 เท่า
ขณะที่สหประชาชาติระบุว่า มีการยอมรับในวงกว้างว่าแมลงนั้นให้สารอาหารมากกว่าเนื้อหรือปลา
“แมลงหลายชนิดมีไขมัน, โปรตีน และแร่ธาตุสูง ขณะที่แมลงวันลายมีปริมาณโปรตีนและไขมันเทียบเท่ากับเนื้อวัว นอกจากนี้ยังมีสังกะสี, ธาตุเหล็ก และแคลเซียมสูงกว่าเนื้อวัวอีกด้วย” Bessa กล่าว และว่า EntoMilk ยังไม่มีแลคโตสและกลูเต็น ทั้งยังต่างจากนมทั่วไปคือไม่มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ


<figure><img class=" wp-image-13725" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/insect-icecream04.jpg" alt="" width="500" height="500" /><figcaption> ไอศกรีมแมลงทำมาจาก EntoMilk ที่ให้โปรตีนมากกว่านมปกติ 5 เท่า (ภาพจากเฟซบุ๊ก Gourmet Grubb)</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2 class="p1">เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม</h2>
“เราตัดสินใจที่จะโฟกัสในอุตสาหกรรมอาหารซึ่งแน่นอนว่ามาพร้อมกับแรงกดดันมากมายในประเด็นสวัสดิภาพสัตว์และความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม” Bessa ระบุ พร้อมว่า “แต่แมลงไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่น มันเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น ทำให้การทำฟาร์มแมลงสอดคล้องกับเงื่อนไขการทำฟาร์มที่ต้องนึกถึงสวัสดิภาพสัตว์”
“แมลงต้องการน้ำเพียงเล็กน้อย, อาหาร และพื้นที่สำหรับเจริญเติบโต นอกจากนี้ การเลี้ยงแมลงยังผลิตก๊าซเรือนกระจกน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เมื่อเปรียบเทียบกับการทำปศุสัตว์แบบเดิม” Bessa อธิบาย
เนื่องจากฟาร์มแมลงสามารถทำได้ในพื้นที่ปิดขนาดเล็ก ควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ ทำให้สามารถทำฟาร์มได้ในพื้นที่เมือง ซึ่งจะเป็นการลดผลกระทบจากการขนส่งนมเข้าสู่เมือง นอกจากนี้ยังหมายความว่า พวกเขามีความเสี่ยงน้อยมากที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศภายนอกที่มักส่งผลต่อการทำปศุสัตว์และไร่สวนแบบเดิม


<figure><img class="size-full wp-image-13724" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/insect-icecream03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ไอศกรีมของสตาร์ทอัพอาหาร Gourmet Grubb (ภาพจากเฟซบุ๊ก Gourmet Grubb)</figcaption></figure>
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มว่าการทำฟาร์มแมลงยังช่วยลดปริมาณของเสียได้อีกด้วย “แมลงบางชนิดอย่างหนอนแมลงวันลาย มีความสามารถในการกินสารอินทรีย์หลายชนิด ยกตัวอย่าง เราสามารถนำกากที่เหลือจากการต้มเบียร์มาใช้เลี้ยงหนอนพวกนี้ได้” Bessa กล่าว

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%9f.html">เปิดไอเดียสตาร์ทอัพ U.K. ผู้แก้ปัญหา “กากกาแฟ” ล้นเมือง</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h2 class="p1">อาหารแห่งอนาคต?</h2>
ปัจจุบัน ไอศกรีมของ Gourmet Grubb วางขายเฉพาะในแอฟริกาใต้เท่านั้น แต่มีการประมาณการว่าตลาดการบริโภคแมลงจะมีมูลค่าแตะ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2023
โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา Gourmet Grubb ยังเปิดตัวคอนเซปท์ป็อปอัพสโตร์ ซึ่งขายไอศกรีมพร้อมอาหารคาวจากแมลงด้วย เช่น ผงแป้งพาสต้าจากแมลง, โครเก้หนอนถั่วลูกไก่ และฮัมมูสที่ทำจากหนอน Mopani
“เราจำเป็นต้องหาทางเลือกที่จะสามารถรองรับจำนวนประชากรที่กำลังเติบโต และสร้างระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทางเดียวที่เราเห็นคือการใช้ EntoMilk เพราะสามารถสร้างความแตกต่างและลดแรงกดดันในการผลิตนมแบบดั้งเดิมได้อย่างแท้จริง หากได้รับการยอมรับและมีการบริโภคในระดับโลก” Bessa กล่าวทิ้งท้าย
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/2019/07/25/business/gourmet-grubb-insect-ice-cream-intl/index.html">This luxury ice cream is made from insects</a></li>
 	<li><a href="https://www.forbesafrica.com/woman/2019/03/11/the-businesses-of-the-future-20-new-wealth-creators-on-the-african-continent/8/?fbclid=IwAR0s5vbB9SddNYOjUUzLaVgGs6p9fS92dEGedA0vJq9CmLDPw512y3EElcQ">Businesses Of The Future: 20 New Wealth Creators On The African Continent</a></li>
</ul>
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events