<h2>แสงทองสหฟาร์ม และสงวนฟาร์ม บริษัทผู้ผลิตไข่ไก่ของไทย 2 รายแรกที่เข้าร่วมโปรแกรม 'เครดิตไข่ไก่เคจฟรี' ช่วยหนุนธุรกิจอาหารและโรงแรมในประเทศให้ประสบความสำเร็จในพันธสัญญาการใช้ไข่ไก่คุณภาพ 100% จากการเลี้ยงไก่แบบไม่ขังกรงภายในสิ้นปี 2568 </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แสงทองสหฟาร์ม (STF) และสงวนฟาร์ม&nbsp;2 ผู้ผลิตไข่ไก่ของไทย ได้ร่วมเป็นผู้นำในการช่วยอุตสาหกรรมอาหารและโรงแรมด้วยการเข้าร่วมโปรแกรม "อิมแพ็ค อินเซนทีฟ” (Impact Incentive) หรือ "เครดิตไข่ไก่เคจฟรี" ซึ่งเป็นโปรแกรมแรกของโลกที่ริเริ่มโดย โกลบอล ฟู้ด พาร์ทเนอร์ (GFP) โปรแกรมนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ แก้ไขปัญหาด้านการจัดหาไข่ไก่จากระบบการเลี้ยงไก่แบบไม่ใช้กรง (ไข่ไก่เคจฟรี)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ผู้ซื้อสามารถจัดหาไข่ไก่เคจฟรีชนิดเหลว (cage-free liquid eggs) จากผู้ผลิตทั้งสองรายนี้ในรูปแบบของ ‘เครดิตไข่ไก่เคจฟรี’ โดยผู้ซื้อสามารถชดเชยจำนวนการใช้ไข่ไก่เหลวแบบทั่วไป (จากระบบเลี้ยงในกรง) ด้วยการใช้ 'เครดิตไข่ไก่เคจฟรี' เพื่อทดแทน นอกจากจะช่วยประหยัดต้นทุนการจัดซื้อแล้ว ยังช่วยให้บริษัทบรรลุพันธสัญญาการใช้ไข่ไก่เคจฟรี และช่วยสนับสนุนเกษตรกรให้เพิ่มการผลิตไข่ไก่เคจฟรีอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นวัตกรรมนี้มีบทบาทสำคัญต่อบริษัทต่างๆ ที่พยายามทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เครดิตไข่ไก่เคจฟรี สามารถช่วยให้บริษัทก้าวข้ามอุปสรรคด้านข้อจำกัดของห่วงโซ่อุปทาน, ราคาการจัดหาที่สูง, และการจัดหาไข่ไก่เคจฟรี <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/7MYK4C51ouzhL18vT7Dz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,532px" data-align="center" data-file-name="7MYK4C51ouzhL18vT7Dz.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,532" data-origin="720px,532px" style="width: 720px; height: 532px;" data-index="0"></figure></div>​ ผู้นำด้านธุรกิจอาหารระดับโลกใช้เครดิตไข่ไก่เคจฟรี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวลาใกล้หมดลงแล้วสำหรับธุรกิจอาหารและโรงแรมในประเทศไทยในการเปลี่ยนมาใช้ไข่ไก่เคจฟรี 100% ภายในสิ้นปี 2568 โปรแกรมอิมแพ็ค อินเซนทีฟ ของ โกลบอล ฟู้ด พาร์ทเนอร์ สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ บริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Unilever, Compass Group และ Krispy Kreme ได้ประกาศแล้วว่าจะใช้เครดิตไข่ไก่เคจฟรีในที่ที่เผชิญกับข้อจำกัดในการจัดหาไข่ไก่เคจฟรี เพื่อบรรลุเป้าหมายตามนโยบายของบริษัทภายในกำหนดเวลาปี 2568 ที่กำหนดไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การบรรลุพันธสัญญาการใช้ไข่ไก่เคจฟรีในประเทศไทยภายในปี 2568 นั้นเป็นไปได้อย่างแน่นอน” จายาซิมฮา นุกเกฮัลลี, ประธานเจ้าหน้าที่โครงการ กล่าว “เราทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้นำในธุรกิจอาหารและโรงแรมเพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงไม่ว่าบริษัทจะเลือกใช้วิธีการจัดหาไข่ไก่เคจฟรีแบบรูปธรรมโดยตรง หรือ การใช้เครดิตไข่ไก่เคจฟรี หรือ การผสมผสานทั้งสองวิธีก็ตาม โปรแกรมอิมแพ็ค อินเซนทีฟ ของเราเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ช่วยประหยัดต้นทุนในการจัดหา อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนเกษตรกรในท้องถิ่น และช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร(CSR) และด้านความยั่งยืน” โปรแกรม อิมแพ็ค อินเซนทีฟ คืออะไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โปรแกรม อิมแพ็ค อินเซนทีฟ หรือ เครดิตไข่ไก่เคจฟรี เป็นกลไกที่ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายการใช้ไข่ไก่เคจฟรีได้ง่ายขึ้น โดยการซื้อเครดิตไข่ไก่เคจฟรีเพื่อทดแทนการใช้ไข่ไก่ทั่วไปจากระบบการเลี้ยงไก่แบบขังกรง หากบริษัทใดพบอุปสรรคด้านการจัดหาไข่ไก่เคจฟรี (ไข่สด ไข่เหลว หรือ ไข่แปรรูป) ก็สามารถซื้อไข่ไก่ธรรมดาจากซัพพลายเออร์เดิมได้ตามปกติและซื้อเครดิตไข่ไก่เคจฟรีเพื่อชดเชยจำนวนการใช้ไข่ไก่แบบธรรมดาเหล่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิธีนี้จะทำให้ธุรกิจสามารถบรรลุพันธสัญญาได้ 100% โดยไม่กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและสัญญาที่มีอยู่กับซัพพลายเออร์เดิม อีกทั้ง โปรแกรมอิมแพ็ค อินเซนทีฟ ได้รับการรับรองจากองค์กรสวัสดิภาพสัตว์ชั้นนำระดับโลก ทำให้มั่นใจได้ว่าเป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือ ช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุพันธสัญญาด้านความยั่งยืนได้อย่างมั่นใจ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/bgiwYAsfofMo9bsdvC4T.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="bgiwYAsfofMo9bsdvC4T.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ผลดีต่อธุรกิจอาหารและโรงแรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การใช้เครดิตไข่ไก่เคจฟรี ในธุรกิจอาหารและโรงแรม นับเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามพันธสัญญาได้ 100% โดยไม่กระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังเป็นการสนับสนุนสวัสดิภาพสัตว์และส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนให้กับผู้ผลิตไข่ไก่เคจฟรีในท้องถิ่น ส่งเสริมผู้ผลิตไข่ไก่เคจฟรีในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โปรแกรมเครดิตไข่ไก่เคจฟรี ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตไข่ไก่ในการสร้างรายได้เพิ่มเติม ซึ่งผู้ผลิตไข่ไก่เคจฟรีจะนำเงินจากการขายเครดิตนี้ไปเพิ่มการผลิตไข่ไก่เคจฟรีให้มากขึ้นและยกระดับสวัสดิภาพสัตว์อย่างยั่งยืนในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แสงทองสหฟาร์ม (STF) และสงวนฟาร์ม ถือเป็นผู้ผลิตไข่ไก่ 2 รายแรกในประเทศไทย ที่เข้าร่วมโปรแกรมอิมแพ็ค อินเซนทีฟ ของโกลบอล ฟู้ด พาร์ทเนอร์ เพื่อช่วยให้ธุรกิจอาหารและโรงแรมบรรลุเป้าหมายตามพันธสัญญานี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"โปรแกรมอิมแพ็ค อินเซนทีฟ (เครดิตไข่ไก่เคจฟรี) สร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกอย่างมากในการส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ทั่วโลก ทั้งยังเป็นการช่วยขยายการผลิตและทำให้จำนวนไข่ไก่เคจฟรีในโลกนี้มีเพิ่มมากขึ้น” ธนาวุฑ เอื้อละพันธ์ กรรมการบริหาร แสงทองสหฟาร์ม (STF) ในเครืออัครา กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/FbRUt5KgkLuinYhBe2bd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="FbRUt5KgkLuinYhBe2bd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp; &nbsp; ด้าน สาธิต เครือรัฐติกาล ผู้จัดการทั่วไป สงวนฟาร์ม กล่าวว่า “โปรแกรมเครดิตไข่ไก่เคจฟรีของโกลบอล ฟู้ด พาร์ทเนอร์ เป็นระบบที่ยอดเยี่ยมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ผลิตอย่างแท้จริง โปรแกรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราสามารถขยายการผลิตไข่ไก่เคจฟรีได้อย่างมั่นใจมากขึ้นแต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/X5r3oFiaSCQ6i4JBjuni.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="X5r3oFiaSCQ6i4JBjuni.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div>​ &nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ทางโกลบอล ฟู้ด พาร์ทเนอร์ ได้จัดการฝึกอบรมและให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติแก่ทั้งสองฟาร์ม โดยเฉพาะในด้านการดูแลไก่ในฟาร์ม การจัดการฟาร์ม และการรักษามาตรฐานของสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและตอบสนองความต้องการของตลาด เริ่มต้นการจัดหาไข่ไก่เคจฟรีได้อย่างไรบ้าง?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีหลากหลายวิธีที่ธุรกิจอาหารและโรงแรมสามารถบรรลุพันธสัญญาไข่ไก่เคจฟรีได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาไข่ไก่เคจฟรีแบบรูปธรรมโดยตรง หรือ การใช้เครดิตไข่ไก่เคจฟรีในที่ที่มีอุปสรรคด้านการจัดหา หรือใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน สิ่งสำคัญคือการเร่งดำเนินการเพื่อให้สวัสดิภาพสัตว์เป็นไปตามมาตรฐานและไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกลุ่มเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอคำปรึกษาได้ที่&nbsp;pawitra@globalfoodpartners.com พร้อมเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม อิมแพ็ค อินเซนทีฟ (เครดิตไข่ไก่เคจฟรี) ได้ที่ https://globalfoodpartners.com/incentives; https://www.youtube.com/watch?v=QUW3K5xohUs&amp;t=1s เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/eka-global-opens-new-factory-in-india" alt="‘เอกา โกลบอล’ ยึดหัวหาด ‘อินเดีย’ เปิดโรงงานปูทางเข้าตลาดหุ้นภารตะ">‘เอกา โกลบอล’ ยึดหัวหาด ‘อินเดีย’ เปิดโรงงานปูทางเข้าตลาดหุ้นภารตะ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

2 ผู้ผลิตไข่ไก่ร่วมโปรแกรม 'เครดิตไข่ไก่เคจฟรี' หนุนธุรกิจอาหารและโรงแรมใช้ไข่คุณภาพ 100% ภายในปี 68

<h2>ปุ๋ยตรามงกุฎ ผู้นำอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมีในประเทศไทย จับมือ VML Thailand ครีเอทีฟเอเจนซี่ชั้นนำ และ Sackitem แบรนด์อัพไซเคิลชื่อดังสัญชาติไทย เปิดตัวแคมเปญ ‘AFF: ALL FOR FARMERS อุปกรณ์มหาชนคนเกษตร’ เปลี่ยนถุงปุ๋ยของเกษตรกรและถุงที่ไม่ผ่านมาตรฐาน QC เป็นคอลเล็กชันแฟชั่นสุดคูล ที่พร้อมรันวงการสตรีทแฟชั่นและชุมชนชาวเกษตรกรเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ผ่านการผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ ด้วยไอเดียที่มุ่งเน้นความยั่งยืนสร้างรายได้เสริมให้กับชุมชนพี่น้องชาวเกษตรกร</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเสริฐ เมฆวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอราโกร เฟอร์ติไลเซอร์ จำกัด กล่าวว่า “เกษตรกรไทยมีบทบาทสำคัญในภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นเสาหลักที่สำคัญของประเทศมาอย่างยาวนาน นั่นคือเหตุผลที่ปุ๋ยตรามงกุฎมุ่งมั่น ค้นคว้า ทดลอง และพัฒนา เพื่อให้ข้อมูล ความรู้ และแนวทางแก้ไขที่จะสร้างทางเลือกใหม่และแรงบันดาลใจเพื่อทำให้ชีวิตของเกษตรกรไทยดีขึ้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทอราโกร เฟอร์ติไลเซอร์ ในฐานะที่เป็นพันธมิตรที่อยู่เคียงข้างเกษตรกรไทยในทุกย่างก้าว อาทิ แคมเปญ Shelter Signboard ป้ายบังแดด ช่วยลดความร้อนได้ 3-4 องศาเซลเซียส ช่วยให้การทำงานกลางแดดมีความปลอดภัย และลดทอนความเหนื่อยล้าได้ดี นอกจากนี้ยังมีแคมเปญ Lifecover Loincloth ผ้าลุยสวน ที่ดัดแปลงผ้าขาวม้าคู่กายเกษตรกรชาวสวนยางให้เป็นคู่มือปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ช่วยเหลือชีวิตเมื่อเจองูกัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งสองโครงการได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากพี่น้องเกษตรกร และคว้ารางวัลระดับนานาชาติมาแล้วหลายเวที สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของปุ๋ยตรามงกุฎในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/f98rdPXf1sZvb5ptifEw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="f98rdPXf1sZvb5ptifEw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1181,1181" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด ปุ๋ยตรามงกุฎจับมือกับ VML Thailand ครีเอทีฟเอเจนซี่ชั้นนำระดับโลก และ Sackitem แบรนด์อัพไซเคิลสัญชาติไทยที่โด่งดังไกลถึงต่างประเทศ เปิดตัวโครงการ AFF: ALL FOR FAR MERS อุปกรณ์มหาชนคนเกษตร สะท้อนอีกก้าวย่างที่สำคัญ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการดำเนินธุรกิจในทิศทางที่เป็นมิตรและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้วยการพลิกโฉมวงการเกษตรด้วยไอเดียอัพไซเคิลสุดสร้างสรรค์ ตอบโจทย์ความต้องการพี่น้องเกษตรกรไทย ด้วยไอเท็มอเนกประสงค์ที่ตรงจุด โดนใจ เหมาะกับงานในสวนและไร่ ทนทานในทุกการใช้งานและในทุกสภาพอากาศ และยังเท่ในทุกองศา ใส่ได้ทุกคน ทุกวัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงการนี้นับเป็นการมอบชีวิตที่สองให้กับถุงปุ๋ยตรามงกุฎสูตร 18-8-8 ที่ครองใจพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ รวบรวมและคัดเลือกถุงปุ๋ยที่ใช้แล้วและยังมีคุณภาพดีทั้งจากเกษตรกร และถุงปุ๋ยที่ไม่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการผลิตในโรงงาน มาผ่านกระบวนการอัพไซเคิลที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ทุกขั้นตอน จนได้ไอเท็มที่ทั้งเท่ ทน และฟังก์ชันครบครัน พร้อมประโยชน์ใช้สอยสูงสุด ซึ่งทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน AFF ก็หวังว่าโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรไทยเสริมสร้างคุณค่าของถุงปุ๋ยที่ไม่ได้ใช้ต่อไป และที่สำคัญโครงการนี้จะช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้พี่น้องเกษตรกรไทย​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/4oKWBcDpyPM9Vvvd8X8k.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4oKWBcDpyPM9Vvvd8X8k.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1181,1181" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชัชชัย บุษบากร Executive Creative Director, VML Thailand กล่าวเสริมว่า “สำหรับโครงการ AFF: ALL FOR FARMERS อุปกรณ์มหาชนคนเกษตร นี้ VML ทำงานใกล้ชิดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางคอนเซ็ปต์ งานดีไซน์ และขั้นตอนการผลิต กับแบรนด์ผู้ผลิต Sackitem ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านอัพไซเคิลในไทย ด้วยโจทย์ที่มุ่งเน้นไปที่การมอบประโยชน์ให้แก่พี่น้องเกษตรกรเป็นสำคัญ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชัชชัยเน้นย้ำว่าทีมงานเข้าใจถึงความต้องการของเกษตรกรอย่างแท้จริงจากการลงพื้นที่จริง เรียนรู้ และทำความเข้าใจในวิถีเกษตรทั่วทุกภาค สู่การพัฒนาเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เช้าจรดค่ำ เหมาะสมกับการทำงานเกษตรกรรมในทุกรูปแบบ รวมถึงไลฟ์สไตล์ในทุกๆ โอกาส ทั้งจ่ายตลาด ไปเที่ยวงานวัด งานบุญกับครอบครัว จนกลายเป็นไอเท็มอเนกประสงค์ที่ใช้ได้ในทุกโอกาสของพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแบรนด์ ที่ต้องการสร้างชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้เกษตรกรไทยทุกคน​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/DdL4hVvP6ALFSDguJh2N.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DdL4hVvP6ALFSDguJh2N.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1680,945" style="width: 720px; height: auto;" data-index="2"></figure></div> AFF: ALL FOR FARMERS หรือ อุปกรณ์มหาชนคนเกษตร ประกอบด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระเป๋า AFF: กระเป๋าทรง Crossbody ใหญ่ เบา แต่จุ ทนทาน ฟังก์ชันเยอะ มาพร้อมกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยให้แยกของ แยกอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดได้อย่างมีระเบียบ ปลอดภัย ของไม่หาย ด้วยซิปในหลายจุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หมวก AFF: กันทั้งแดด กันทั้งฝน จะฤดูกาลไหนก็สู้ชีวิตด้วยไอเท็มนี้ในทุกสวน ทุกไร่ ระบายอากาศได้ดี แถมยังมีฟังก์ชันให้เหน็บอุปกรณ์จำเป็น พร้อมกระเป๋าจิ๋วใส่ของชิ้นเล็กได้อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เสื้อกั๊ก AFF: เสื้อกั๊กสาย Utility สีสันโดดเด่นเห็นมาแต่ปลายนา น้ำหนักเบา ทนทาน กันลม กันฝน ใช้งานได้อเนกประสงค์ หรือจะใส่เท่ๆ ก็ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผ้ากันเปื้อน AFF: ผ้ากันเปื้อนแบบปรับได้ เพื่อความกระชับในทุกสรีระ พร้อมช่องใส่ของเพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/csr-sustainability/suntory-pepsico-thailand-4-ways-to-sustainability" alt="ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เผย 4 แนวทางสู่องค์กรยั่งยืนโดย ‘ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและช่วยเหลือสังคม’">ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เผย 4 แนวทางสู่องค์กรยั่งยืนโดย ‘ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและช่วยเหลือสังคม’</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘แฟชั่นจากถุงปุ๋ย’ ไอเดียอัพไซเคิลของปุ๋ยตรามงกุฎ สร้างรายได้เสริมสู่ชุมชนเกษตรกร

<h2>สยามคูโบต้า เผยกลยุทธ์หลัก 'Sustainable Vibes' หนุนยอดขายในไทย 3 ไตรมาสแรกปี 67 โต 13% คิดเป็นมูลค่าราว 2.9 หมื่นล้านบาท มั่นใจรายได้รวมตลอดปีทั้งยอดขายในประเทศและส่งออกไปยังอาเซียนจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ราว 6 หมื่นล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด&nbsp;กล่าวว่า สยามคูโบต้าเล็งเห็นความสำคัญของการทำการตลาดที่เน้นสร้างความยั่งยืนให้ลูกค้าและสังคม โดยในปีนี้ได้เน้นทำการตลาดด้วยกลยุทธ์ 'Sustainable Vibes หรือการตลาดใหม่ที่มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ'&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อาทิ&nbsp;แคมเปญ 'No Farmer, No Us : ไม่มีเขา ไม่มีเรา'&nbsp;ที่มุ่งเน้นให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของเกษตรกร ผู้เป็นแรงสำคัญเบื้องหลังการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แคมเปญ Turn waste to Agri-Wear&nbsp;โดยร่วมมือกับ GREYHOUND ORIGINAL ต่อยอด “ฟางข้าว” เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร จุดประกายการ Upcycling เศษวัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์กลายเป็นเครื่องแต่งกายสไตล์สตรีทแฟชั่น เพื่อลดผลกระทบจากการเผา พร้อมสนับสนุนงานวิจัยและงานฝีมือช่างทอผ้าไทย และทำให้แบรนด์คูโบต้าเข้าถึงกลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมทั้งล่าสุดเองยังมีการนำเอา Music Marketing มาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการสื่อสารสินค้าแทรกเตอร์และรถเกี่ยวนวดข้าว สร้างการจดจำแก่กลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อออนไลน์อีกด้วย&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/M3hrhyfFkvfoLfAkBrse.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="M3hrhyfFkvfoLfAkBrse.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับงานอะไหล่และบริการหลังการขายสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าด้วยช่างมืออาชีพกว่า 1,800 คน จากศูนย์บริการมาตรฐาน 162 แห่งทั่วประเทศ ในขณะเดียวกันสยามคูโบต้ายังมุ่งมั่นในการขยายฐานลูกค้าผ่านประสบการณ์จริง ด้วยแคมเปญยิ่งใหญ่ส่งท้ายปีกับกิจกรรม 'คันที่ใช่ พร้อมลุยทั่วไทย'&nbsp;ตลอด 8 จุดทั่วไทย ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ทางผู้บริหารของคูโบต้ายังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภาคการเกษตรยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิต ทว่ายังได้รับปัจจัยบวกจากราคาผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาดด้านการส่งออก โดยเฉพาะตลาดข้าวและอ้อยที่มีราคาเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรมีกำลังในการซื้อสร้างแรงหนุนให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มรถเกี่ยวนวดข้าว รถขุดขนาดเล็ก และโดรนการเกษตร ส่งผลให้ช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ทางคูโบต้ายังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรในทุกกลุ่มสินค้า และเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งครองใจเกษตรกรไทย ด้วยยอดขายสินค้าในประเทศที่เพิ่มขึ้น 13%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"ยอดขายในช่วง 8 เดือนที่่ผ่านมา เราสามารถสร้างรายได้ในประเทศไทยแล้วราวๆ 29,000 ล้านบาท และมีรายได้จากการส่งออกเครื่องจักรไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในแถบเอเชียประมาณ 11,000 ล้านบาท แม้ว่าที่ผ่านมากลุ่มเกษตรกรจะต้องประสบกับปัญหาด้านภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกต่างๆ แต่ทั้งนี้ก็มั่นใจได้ว่าตลอดระยะเวลาจนถึงสิ้นปี 67 นี้ เราจะสร้างรายได้รวมทั้งในไทยและการส่งออกสินค้าเครื่องจักรต่างๆ ไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียได้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ราวๆ 60,000 ล้านบาท ถือเป็นยอดการเติบโตที่เพิ่มขึ้น 2-3% จากปีก่อนที่มีมูลค่า 58,000 ล้านบาท" พิษณุกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/zPMa8ikHsg7ysQemGkrQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zPMa8ikHsg7ysQemGkrQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ทางคูโบต้ายังได้พัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งานของเกษตรกรไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ สินค้าแทรกเตอร์ และรถเกี่ยวนวดข้าวรุ่นตู้แอร์ โดรนการเกษตรรุ่น T25 และ T50 และในปีนี้สยามคูโบต้าได้ประสบความสำเร็จจากการสร้างยอดขายเครื่องยนต์คูโบต้าได้ถึง 3.5 ล้านเครื่องนับจากตลอด ระยะเวลา 46 ปีที่ผ่านมา&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 498px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/9j58cPJtRkfa5kx3FMiM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="498px,436px" data-align="center" data-file-name="9j58cPJtRkfa5kx3FMiM.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,569" data-origin="498px,436px" style="width: 498px; height: 436px;" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปลายปีนี้ สยามคูโบต้าเตรียมวางจำหน่ายแทรกเตอร์ที่ตอบโจทย์การทำงานของเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่รายใหญ่โดยเฉพาะ เน้นประสิทธิภาพการทำงานที่มาพร้อมฟังก์ชันและห้องโดยสารที่ติดเครื่องปรับอากาศทำให้สะดวกสบายในการทำงานมากกว่าเดิมซึ่งในส่วนของโดรนการเกษตรนั้น ถือว่าประสบความสำเร็จมากด้วยเช่นกันหลังจากทำการตลาดมาได้เพียงแค่ 3 ปี&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/cQyr3ihrNgvpXS1wo8bH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cQyr3ihrNgvpXS1wo8bH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ทางสยามคูโบต้ายังพบข้อมูลที่น่าสนใจด้วยว่า&nbsp;ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าเกษตรกรไทยแล้วกว่า 570,000 รายมีสัดส่วนของลูกค้าใหม่ที่เป็นกลุ่มคน Gen Y-Z หรือมีช่วงอายุ 20-43 ปี สูงถึง 65% ถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาเปิดใจรับเทคโนโลยีการเกษตรมากขึ้น ดังนั้นนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาบริษัทจึงใช้กลยุทธ์หลักมุ่งไปที่การขยายฐานลูกค้าโดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรหน้าใหม่ การพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรให้ทันสมัยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้า IoT เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้กลับมาเข้าภาคเกษตรเพิ่มมากขึ้น &nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/crc-supersport-rev-edition" alt="หลังเครือเซ็นทรัลถือหุ้น 75% ‘เรฟ อีดิชั่น’ กางแผนลุยตลาดรองเท้าครั้งใหญ่ เล็งเปิดสาขาแรกปีหน้าที่สิงคโปร์">หลังเครือเซ็นทรัลถือหุ้น 75% ‘เรฟ อีดิชั่น’ กางแผนลุยตลาดรองเท้าครั้งใหญ่ เล็งเปิดสาขาแรกปีหน้าที่สิงคโปร์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สยามคูโบต้า มั่นใจรายได้ปี 67 แตะ 6 หมื่นล้านตามเป้า หลังยอดขาย 3 ไตรมาสโต 13% 

<h2>ธ.ก.ส. เปิดตัวสินเชื่อหนุนลูกค้าเกษตรกรบินไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนและฟินแลนด์ ตั้งเป้า 5,000 ราย วงเงินรายละไม่เกิน 75,000 บาท เงื่อนไขคือ ต้องอยู่ในรายชื่อที่บริษัทจัดหางานได้รวบรวมไว้ ไปเองขอสินเชื่อไม่ได้โดยอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับชั้นลูกค้าให้สาขาพิจารณา กำหนดชำระคืนเงินกู้ 1 งวดภายใน 31 ธ.ค.67 เริ่มขอสินเชื่อวันนี้ - 31 ก.ค. 2567</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. จัดโครงการสินเชื่อเพื่อไปเก็บผลไม้ป่าในต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเก็บผลไม้ในประเทศสวีเดนและฟินแลนด์ โดยมีเป้าหมายในการป้องกันปัญหาการกู้เงินนอกระบบที่มีต้นทุนสูง และช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ในช่วงว่างเว้นจากการผลิตภาคเกษตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ กำหนดวงเงินสินเชื่อรวม 375 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. จำนวน 5,000 ราย แต่ละประเทศให้วงเงินกู้สำหรับไปทำงานเก็บผลไม้ป่าไม่เท่ากัน แบ่งเป็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ประเทศสวีเดน กู้ได้ไม่เกิน 75,000 บาท/ราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ประเทศฟินแลนด์ กู้ได้ไม่เกิน 65,000 บาท/ราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-&nbsp; อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้น (MRR) 6.975% ต่อปี ในช่วง 1 พ.ค - 1 ต.ค 67 ปรับลดเหลือ 6.725% ต่อปี ตามนโยบายของรัฐบาล (ตามประเภทลูกค้าโดยสาขาเป็นผู้พิจารณา) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กำหนดชำระคืนเงินกู้เพียง 1 งวด ภายในวันที่ 31 ธ.ค.นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ขอสินเชื่อได้ที่ สาขา ธ.ก.ส. วันนี้ - 31 ก.ค. 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นเกษตรกรลูกค้าของ ธ.ก.ส. ที่ทำการเปิดบัญชีเงินกู้ และเป็นผู้ที่มีชื่อในบัญชีรายชื่อลูกค้าที่บริษัทจัดหางานได้รวบรวม และนำมาเสนอธนาคาร เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำหนังสือกู้ยืม และเงื่อนไขในการชำระหนี้ตามโครงการฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ธนาคารให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสวัสดิภาพการเดินทางไปทำงานดังกล่าว ที่ต้องถูกกฎหมาย รวมถึงการการันตีรายได้ที่เหมาะสมจึงไม่อนุญาตให้ลูกค้ากู้เงินเพื่อเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในต่างประเทศด้วยตนเองโดยไม่ผ่านบริษัท Photo by <a href="https://unsplash.com/@milanseitler?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Milan Seitler</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/woman-picking-fruits-during-daytime-zdriLVSA88A?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/thaibev-ssc-july-2024" alt="​ไทยเบฟเตรียมดึง 'เสริมสุข' ผู้ผลิตเอส ชาเขียวโออิชิ ออกจากตลาดหุ้นไทย">​ไทยเบฟเตรียมดึง 'เสริมสุข' ผู้ผลิตเอส ชาเขียวโออิชิ ออกจากตลาดหุ้นไทย</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไปเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดน - ฟินแลนด์ กู้ได้! ธ.ก.ส. เปิดให้เกษตรกรขอสินเชื่อวงเงินสูงสุด 75,000 บาท

<h2>สมุนไพรไทยมีศักยภาพสูงในตลาดโลกเพราะมีความหลากหลายของสายพันธุ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เข้มแข็ง จากข้อมูลตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลกมีมูลค่า 6.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยอยู่ในภูมิภาคเอเชียถึง 57.6% อเมริกา 22.1% ยุโรป 22.1% ยุโรป 18% ตะวันออกกลาง 1.5% ออสเตรเลีย 0.9% ซึ่งประเทศไทยมีการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรติดอันดับ 7 ของของโลก ส่วนภูมิภาคเอเชียประเทศไทยมีขนาดตลาดสมุนไพรเป็นอันดับ 4 รองจากประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)&nbsp;เล่าว่า ประเทศไทยยังเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ยังไม่ติด 1 ใน 10 ตลาดโลก เนื่องจากข้อจำกัดด้านมาตรฐานการผลิต อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกสมุนไพรในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับมูลค่าการนำเข้าสมุนไพรที่มีแนวโน้มลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับประเภทของสมุนไพรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุด ได้แก่ พรรณไม้และส่วนของพรรณไม้ ประเภทของสมุนไพรที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงที่สุด ได้แก่ สารสกัด จากคาดการณ์ตลาดสมุนไพรในประเทศปี 2570 มีมูลค่า 1 แสนล้านบาท รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริมสุขภาพ เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม สมุนไพรที่ได้รับความนิยม ขมิ้นชัน กระชาย-ขาว ตะไคร้หอม บัวบก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น ตลาดสมุนไพรโลกยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยมูลค่าคาดการณ์ในปี 2573 ทะลุ 2.7 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สุขภาพ ยา เครื่องสำอาง สมุนไพรที่นิยมคือ ขิง กระเทียม โสม และคาโมมายล์<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/3YQg29z8oKegyqHiCNcf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3YQg29z8oKegyqHiCNcf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> ขับเคลื่อน Economy Sharing&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากแนวโน้มการเติบโตนี้เองเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันสมุนไพรไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ที่จะสร้างโอกาสให้กับทุกภาคส่วนสมุนไพร เช่น เกษตรกรผู้ปลูกร้างรายได้เพิ่ม เศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็ง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโดยรวมได้อย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์สำคัญที่วางไว้ ได้แก่ การเพิ่มการบริโภคสมุนไพรภายในประเทศ และการส่งออกผลิตภัณฑ์สมุนไพรมูลค่าสูง อาทิ สารสกัด สมุนไพรแปรรูป ยาและอาหารเสริม รวมถึงการส่งออกไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะภูมิภาคที่มีความต้องการสูงในการบริโภคสมุนไพร เช่น ตลาดอาเซียนและ CLMV ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงให้ความสำคัญกับการสื่อสารเรื่องราวและคุณค่าเพื่อดึงดูดผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการโปรโมต เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และใช้ฐานข้อมูลไว้ต่อยอดวางกลยุทธ์ได้แม่นยำมากขึ้น ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสมุนไพร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านกลยุทธ์การยกระดับสมุนไพรไทยที่จะนำมาขับเคลื่อนคือ “Economy Sharing” ผนึกความร่วมมือรัฐ-เอกชน มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงการวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษา และสร้างพันธมิตรเพื่อรวมกลุ่มเข้าถึงโรงงานการผลิตขนาดใหญ่ได้มาตรฐานสากล เนื่องจากขณะนี้การส่งออกสมุนไพรไทยยังมีข้อจำกัดจากบางประเทศที่ไม่สามารถส่งออกไปได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันภาครัฐและเอกชนไทยได้เกิดความร่วมมือระหว่างกัน เช่น ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ และเครือข่าย TOPT เพื่อพัฒนายาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงการผลิตในโรงงานที่ได้มาตรฐานด้วยการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรยังดำเนินการต่อยอดแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างต่อเนื่องในระยะยาว สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และกรอบการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ส่งผลให้สามารถรองรับพลวัตของสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีดิจิทัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันยังกำหนดเป้าหมายการเป็นผู้นำในภูมิภาค ด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพที่ได้มาตรฐานและมีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานและต่อยอดด้วยนวัตกรรมให้เป็นที่ยอมรับระดับสากล ได้แก่ การส่งเสริมสมุนไพรผ่านอาหารไทยจากครัวไทยสู่ครัวโลก และการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของ SMEs ด้วยงานวิจัยควบคู่กับนวัตกรรม พร้อมให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศและ CLMV รวมถึงยกระดับการผลิตด้วยเทคโนโลยี (SMART) พร้อมส่งเสริมให้ส่วนภูมิภาคใช้สมุนไพรเป็นกลไกการพัฒนา และส่งเสริมอุตสาหกรรมสารสกัด เพิ่มมูลค่าและความสามารถในการแข่งขัน โดยมุ่งผลักดันให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ได้รับการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสมุนไพรไทยที่เป็นช่องว่างการพัฒนาที่เกิดขึ้นหลังจากการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฉบับที่ 1 ได้แก่ วัตถุดิบสมุนไพรมีคุณภาพและมาตรฐานไม่ตอบโจทย์ความต้องการทางการตลาด ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสารสกัดจากต่างประเทศสูงในการผลิต ผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยยังต้องการการสนับสนุนด้านปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและมาตรการภาครัฐเพื่อยกระดับการผลิตและการเติบโต รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยยังมีจำนวนไม่มาก และยังต้องมีการพัฒนากระบวนการตลอดจนกฎระเบียบที่สนับสนุนการประกอบการอีกมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้รัฐบาลจะมีการกำหนดเรื่อง Herbal Champions เพื่อการพัฒนาแบบมุ่งเป้า แต่การทำงานของภาครัฐยังรวดเร็วไม่เพียงพอและยังขาดรูปธรรมในการปฏิบัติทำให้ผู้ผลิตขาดแรงจูงใจ รวมถึงการใช้งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อต่อยอดและยกระดับศักยภาพการผลิตและอุตสาหกรรมยังมีค่อนข้างน้อย การขาดข้อมูลที่เพียงพอในการสนับสนุนการกำหนดนโยบายและการดำเนินการพัฒนา การขาดความต่อเนื่องทั้งด้านนโยบายและงบประมาณในการขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวเฉลี่ย (CAGR) ของประเทศไทยในช่วงที่มีการประกาศใช้แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 (ช่วงปี 2560-2566) สูงกว่าอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในช่วงเวลาเดียวกันแล้ว ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/technology/he-xiaopeng-destination-for-the-sky" alt="He Xiaopeng จุดหมายสู่ฟากฟ้า"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/wangpromherb-open-new-factory-150-million-baht" alt="สมุนไพรไทยต้องไประดับโลก! &quot;วังพรม&quot; ทุ่มงบ 150 ล้าน เปิดโรงงานใหม่ รับเทรนด์รักสุขภาพ">สมุนไพรไทยต้องไประดับโลก! "วังพรม" ทุ่มงบ 150 ล้าน เปิดโรงงานใหม่ รับเทรนด์รักสุขภาพ</a>​ ​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/5a9d7700-b8a3-44da-8f71-dc089d9916d2" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine"></a><a target="_blank" href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/04488869-cf4a-4c6b-8dc5-5ad0491eb3cd/forbes-thailand-june-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/FNq9er2wj8uP69ZChe52.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="FNq9er2wj8uP69ZChe52.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1" origin-size="320,420"></figure></div>

ไทยมีโอกาสแค่ไหนในตลาดสมุนไพรโลกที่ปี 2573 อาจสูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท

<h2>ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดฤดูทุเรียนไทยปี 67 นี้ ผลผลิตรวมอาจลดลง 18%YoY สาเหตุเพราะความร้อนแล้งจากเอลนีโญ ซึ่งนับเป็นผลผลิตทุเรียนที่ลดลงมากที่สุดในรอบ 15 ปี แต่รายได้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในฤดูปี 2567 อาจเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% แม้ราคาจะพุ่งสูงถึง 22%YoY</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฤดูทุเรียนของไทยมักจะอยู่ในช่วงเดือน เม.ย.-ส.ค. ในช่วงเวลานี้จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดในสัดส่วนสูงกว่า 86% ของผลผลิตทุเรียนทั้งปี และหากเจาะลึกว่าทุเรียนมาจากไหนพบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกและภาคใต้รวมกว่า 95% ของผลผลิตทุเรียนทั้งประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ฤดูทุเรียนอยู่ใน เม.ย.-ส.ค. 2567 นี้คาดว่ามีผลผลิตรวมลดลง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สาเหตุเพราะต้นทุเรียนทั้งภาคตะวันออก และภาคใต้ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำฝนที่น้อยลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ภาคตะวันออก ที่มักจะมีผลผลิตทุเรียนออกมาในเดือน เม.ย แต่ในช่วงราว 4 เดือนแรกของปีนี้ต้องเผชิญเอลนีโญซึ่งก่อให้เกิดความร้อนแล้ง จึงทำให้ทุเรียนติดดอกออกผลน้อยลง และผลทุเรียนมีน้ำหนักเบา แม้เดือน พ.ค. กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าปริมาณฝนมากขึ้น แต่ภาพรวมทั้งปีคาดว่าจะภาคตะวันออกจะมีผลผลิตทุเรียน 0.65 ล้านตัน ลดลง 14%YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ภาคใต้ ที่ทุเรียนจะออกสู่ตลาดตั้งแต่ มิ.ย. ยังมีแนวโน้มว่าผลผลิตจะเสียหายมากขึ้นอีก จากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากต้องเผชิญปริมาณฝนที่ลดลงจากปีก่อนตลอดช่วงการเจริญเติบโตของทุเรียนตั้งแต่ระยะติดดอกออกผล และยังถูกซ้ำเติมด้วยฝนทิ้งช่วงใน ก.ค.ตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งเป็นระยะเก็บเกี่ยว ทำให้โดยรวมแล้วทั้งฤดูทุเรียนภาคใต้ปี 2567 อาจมีผลผลิตลดลงแรงถึง 25%YoY หรือมีผลผลิตออกสู่ตลาดราว 0.31 ล้านตัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ในภาพรวมผลผลิตทุเรียนรวมในฤดูปี 2567 (ทั้ง 2 ภาค) อาจลดลง 18%YoY หรือมีผลผลิตออกสู่ตลาดรวมราว 0.96 ล้านตัน นับเป็นผลผลิตทุเรียนที่ลดลงมากที่สุดในรอบ 15 ปี<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/dswyNhKEqAc4S8fJNCVz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dswyNhKEqAc4S8fJNCVz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,238" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ขณะที่ราคาเฉลี่ยทุเรียนปีนี้อาจปรับสูงขึ้น 22%YoY แภาพรวมรายได้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในฤดูปี 2567 อาจเพิ่มขึ้นได้เพียง 0.3% จากผลผลิตรวมที่ลดลง 18%YoY&nbsp; &nbsp; - รายได้เกษตรกรภาคตะวันออกเพิ่มขึ้น 4%YoY&nbsp; &nbsp; - รายได้เกษตรกรภาคใต้ลดลง 8%YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เป็นรายได้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนที่ยังไม่หักต้นทุนการผลิต โดยมีต้นทุนการผลิตที่สำคัญในการจัดหาน้ำช่วงเอลนีโญ เช่น ต้นทุนการซื้อน้ำมารดต้นทุเรียน เครื่องปั๊มน้ำ/เครื่องสูบน้ำ/สปริงเกอร์ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ซึ่งหากนับรวมต้นทุนการผลิตด้วย ก็จะทำให้รายได้เกษตรกรสุทธิของผู้ปลูกทุเรียนเผชิญแรงกดดันมากยิ่งขึ้น Photo by <a href="https://unsplash.com/@hsbkrn_?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Hasbi Kurnia</a>,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@alexeydemidov?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Alexey Demidov</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-person-cutting-a-durian-fruit-on-a-cutting-board-JLWiBG0J2ZQ?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/nestle-extreme-x-after-you" alt="จับเมนูฮิตมาเป็นไอศกรีม! เนสท์เล่ X อาฟเตอร์ ยู ออกรสชาติใหม่ ‘ชิบูย่า ฮันนี่โทสต์ โคน’"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bot-uob-fix-problem" alt="แบงก์ชาติสั่ง UOB เร่งแก้ปัญหา กรณีประชาชนเจอผลกระทบหลังถ่ายโอนข้อมูลจากซิตี้แบงก์"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/uob-citi-thailand-news-update-june-2024" alt="กรณีศึกษา UOB แก้ปัญหาผลกระทบการโอนย้ายจากซิตี้แบงก์ เพิ่ม Call Center - เคลียร์ค่าปรับ เพียงพอ?">กรณีศึกษา UOB แก้ปัญหาผลกระทบการโอนย้ายจากซิตี้แบงก์ เพิ่ม Call Center - เคลียร์ค่าปรับ เพียงพอ?</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กสิกรฯ ชี้ฤดูทุเรียนไทยปี 67 ผลผลิตอาจลดลง 18% แม้ราคาพุ่ง 22% แต่รายได้คนปลูกเพิ่มแค่ 0.3%

<h2>เนื่องในวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือ UN ได้ประกาศให้เป็น ‘วันมันฝรั่งสากล’ ครั้งแรกของโลก บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด (เป๊ปซี่โค ประเทศไทย) ได้ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกพืชดังกล่าวให้มีรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าภายในปี 2573 เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 15% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติให้ วันที่ 30 พฤษภาคมของทุกปีเป็น 'วันมันฝรั่งสากล' โดยในปี 2567 นี้จะเป็นปีแรกของการประกาศ เพื่อสร้างความตระหนักในคุณค่าทางโภชนาการ พลังงาน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ หรือ The United Nations* ระบุว่า มันฝรั่งซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของพืชอาหารหลักที่บริโภคในโลก โดยประชากร 2 ใน 3 ของโลกบริโภคมันฝรั่ง และมีการปลูกอยู่ใน 159 ประเทศทั่วโลก และภายในปี 2573 คาดว่าปริมาณผลผลิตทั่วโลกจะมีมากถึง 750 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 112%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/nErMYfJQNKBBGJs5ZEKe.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,479px" data-align="center" data-index="2" data-file-name="nErMYfJQNKBBGJs5ZEKe.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,479" data-origin="720px,479px" style="width: 720px; height: 479px;"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน เป๊ปซี่โคประเทศไทย ผู้ผลิตเลย์ มันฝรั่งทอดกรอบได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรผู้ปลูกมันฝรั่งมานานถึง 28 ปี โดยส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยในแต่ละปี “เลย์” ใช้มันฝรั่งประมาณ 1 แสนตันต่อปี ในการผลิตมันฝรั่งทอดกรอบที่จำหน่ายในไทย&nbsp; ถือเป็นผลผลิตในประเทศ 70% สร้างรายได้ให้เกษตรกรมากถึง 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ภายในปี 2573 เป๊ปซี่โคประเทศไทย ตั้งเป้าส่งเสริมผลผลิตในประเทศให้ได้ 85% และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอีก 15%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ณ ปัจจุบัน เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งเพื่อใช้ในการผลิตเลย์ ใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน ตาก เพชรบูรณ์ สกลนคร และนครพนม บนเนื้อที่กว่า 38,000 ไร่ โดยส่งเสริมเกษตรกรไทยมากกว่า 5,800 คน ผ่านการจัดทำฟาร์มต้นแบบ (model farm) จำนวน 19 แห่ง และได้ร่วมมือกับพันธมิตรและภาครัฐในการส่งเสริมเกษตรกร​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/nnmKiaepTAL3dwnSdq2X.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="nnmKiaepTAL3dwnSdq2X.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/thai-watsadu-invests-500-million-baht-branch-81-aranyaprathet" alt="ไทวัสดุ ทุ่มงบ 500 ล้าน ปักหมุดสาขาที่ 81 ‘อรัญประเทศ’ รุกตลาดการค้าชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน">ไทวัสดุ ทุ่มงบ 500 ล้าน ปักหมุดสาขาที่ 81 ‘อรัญประเทศ’ รุกตลาดการค้าชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

PepsiCo ตั้งเป้าหนุนรายได้เกษตรกรไทยโตเพิ่ม 15% ในปี 73 หลัง UN ประกาศ '30 พ.ค. 67' วันมันฝรั่งสากล ครั้งแรกของโลก 

<h2>จากคาดการณ์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยว่า แนวโน้มผลผลิตทางการเกษตรในช่วงครึ่งปีหลังอาจได้รับผลกระทบจากภาวะแห้งแล้งเนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ส่งผลให้พืชเกษตรสำคัญของไทยที่ปกติจะมีผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงปลายปีเกิดความเสียหาย รวมถึงสินค้าปศุสัตว์และประมงซึ่งอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นและผู้ประกอบการอาจต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม็คโคร พร้อมยืนหยัดสร้างความเชื่อมั่น ตอกย้ำความเป็นศูนย์รวมอาหารสดและวัตถุดิบเพื่อผู้ประกอบการและลูกค้าทุกกลุ่ม ได้วางแผนร่วมกับพาณิชย์จังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น และทีมงานฝ่ายจัดซื้อส่วนภูมิภาคของแม็คโครที่อยู่ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เข้าสนับสนุนและวางแผนการรับซื้อจากเกษตรกรอย่างใกล้ชิด อีกทั้งวางแผนบริหารจัดการปริมาณผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงดูแลราคาให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกรผู้ผลิตและลูกค้าทุกกลุ่ม โดยครึ่งปีหลังตั้งเป้ารับซื้อสินค้ากลุ่มผัก ผลไม้ไทยสูงขึ้นกว่าปี 2565 ถึง 23% <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 100%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 100%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/vgt31hGv9hAJg9QTPCA1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vgt31hGv9hAJg9QTPCA1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="100%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="100," origin-size="654,344" style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)&nbsp; กล่าวว่า “แม็คโคร ยืนหยัดช่วยเหลือเกษตรกรไทยเพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์ เอลนีโญ พร้อมเชื่อมโยงภาคการผลิตสู่การบริโภค เป็นช่องทางกระจายสินค้าเกษตรจำนวนมากในแต่ละปี ซึ่งทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะมีสินค้าจำหน่ายได้อย่างเพียงพอต่อทุกความต้องการ ในราคาที่เหมาะสม และทำให้การดำเนินธุรกิจเดินหน้าอย่างราบรื่น พร้อมสร้างโอกาสการเติบโตให้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/laureato-chronograph-42-mm-%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-girard-perregaux-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-laureato" alt="Laureato Chronograph 42 mm อีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกจาก Girard-Perregaux ที่ยังคงสืบสานดีเอ็นเอในแบบฉบับของ Laureato">Laureato Chronograph 42 mm อีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกจาก Girard-Perregaux ที่ยังคงสืบสานดีเอ็นเอในแบบฉบับของ Laureato</a>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แม็คโคร สนับสนุนและวางแผนการรับซื้อจากเกษตรกรทุกภูมิภาค

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซีพี แอ็กซ์ตร้าฯ เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดสาขาใหม่ “แม็คโคร สมุทรสงคราม” ศูนย์รวมวัตถุดิบคุณภาพเพื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านการสร้างงานสร้างอาชีพคนในท้องถิ่น หนุนเกษตรกรและเอสเอ็มอี เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/qUVoqyCnTmPydZqCJe2L.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="qUVoqyCnTmPydZqCJe2L.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="1186,720"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT เปิดเผยว่า การเปิดแม็คโคร สาขาสมุทรสงคราม ถือเป็นสาขาที่ 154 โดยทุกสาขาของแม็คโคร มุ่งเน้นความครบครันของสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารสดจากทั่วทุกมุมโลก ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย ผู้ประกอบการร้านอาหาร กลุ่มธุรกิจโฮเรก้า และผู้บริโภคทั่วไปที่ต้องการสินค้าคุณภาพ ในราคาขายส่ง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/AEJpgD2pkb8Wi6ffMkur.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="AEJpgD2pkb8Wi6ffMkur.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1477,1108" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากนี้ในทุกการเปิดสาขา เรายังมีนโยบายสนับสนุนการสร้างงานสร้างอาชีพในท้องถิ่น โดย 80% ของพนักงานสาขาสมุทรสงครามเป็นลูกหลานของชาวสมุทรสงคราม และเรายังสนับสนุนสินค้าเกษตร สินค้าเอสเอ็มอีประจำท้องถิ่น เพื่อสร้างรายได้และอาชีพมั่นคง สร้างแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในจังหวัดให้เติบโต ตอกย้ำพันธกิจในการเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่งที่เคียงข้างสังคมไทยของแม็คโคร”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/XEVY17HXpR6cHVS9XAja.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="XEVY17HXpR6cHVS9XAja.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="1567,1045"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมุทรสงคราม นับเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ โดยที่ผ่านมา สำนักงานคลังจังหวัด คาดการณ์ว่า ในปี พ.ศ. 2566 เศรษฐกิจจังหวัดสมุทรสงคราม จะมีการขยายตัวร้อยละ 8.1 ต่อปี ซึ่งมาจากการขยายตัวของภาคเกษตรกรรม ภาคบริการ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน โดยภาคเกษตรกรรมมีผลผลิตประจำท้องถิ่นที่สำคัญคือ ลิ้นจี่ มะพร้าว ส้มโอ กุ้งขาว อาหารทะเล ซึ่งทำให้เกิดรายได้หมุนเวียนในจังหวัด​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/N6rwWWohVaU93Es1YA6H.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="N6rwWWohVaU93Es1YA6H.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3" origin-size="1475,954"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สาขาสมุทรสงครามนี้ มีขนาดพื้นที่ขาย 4,000 ตารางเมตร และมีสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ รวมถึงสินค้าชื่อดังของท้องถิ่นอย่าง ปลาทู ปลากะพง กุ้งขาว ส้มโอขาวใหญ่(GI) ใบชะครามฯ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเปิดพื้นที่สำหรับจำหน่ายสินค้าเอสเอ็มอีด้วย ซึ่งเรามุ่งหวังให้การขยายสาขาของแม็คโคร สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของจังหวัด เพื่อช่วยสร้างการเติบโตให้เศรษฐกิจในท้องถิ่น สนับสนุนเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนในจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดใกล้เคียง ให้พัฒนาศักยภาพ พร้อมมีช่องทางจำหน่ายที่มั่นคง สร้างรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” เสาวลักษณ์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน แม็คโครมีสาขาให้บริการรวม 154 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีสาขาในต่างประเทศรวม 10 สาขา ใน 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา 1 สาขา กัมพูชา 3 สาขา อินเดีย 4 สาขา และจีน 2 สาขา ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/ktRzigN58xncx85hop7N.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="ktRzigN58xncx85hop7N.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4" origin-size="1416,942"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70600" alt="อุตสาหกรรมกระดาษฝ่ากระแสคลื่นดิจิทัล จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค ASEAN Paper Bangkok ดึงผู้ประกอบการทั่วโลกร่วมงาน โชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมกระดาษไทย">อุตสาหกรรมกระดาษฝ่ากระแสคลื่นดิจิทัล จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จัดงานใหญ่ระดับภูมิภาค ASEAN Paper Bangkok ดึงผู้ประกอบการทั่วโลกร่วมงาน โชว์ศักยภาพอุตสาหกรรมกระดาษไทย</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

ซีพี แอ็กซ์ตร้า เดินหน้าขยายธุรกิจ เปิดสาขา "แม็คโคร สมุทรสงคราม" หนุนเกษตรกรและเอสเอ็มอี เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ประเทศไทย ที่ประกอบไปด้วย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด และบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับกลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง และสถาบันคีนันแห่งเอเซีย ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม

หลังจากเปิดตัวโครงการฯ เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจเจ้าของร้านค้าปลีกหญิงทั่วประเทศ เมื่อปีพ.ศ. 2557 โดยล่าสุด โคคา-โคลา ลงทุน 4 ล้านบาทในโครงการนำร่องเพิ่มศักยภาพเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อย 600 คน ในอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ และอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ด้วยการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารจัดการการเงินและทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ภายใน 1 ปี (สิงหาคม พ.ศ. 2559 – กรกฎาคม พ.ศ. 2560)  ในสองหัวข้อหลัก คือ การบริหารการเงินส่วนบุคคล และการทำการเกษตรอย่างยั่งยืน และมีเป้าหมายเพื่อขยายผลการดำเนินโครงการฯ นำร่องไปสู่เกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อยและกลุ่มพันธมิตรผู้ผลิตวัตถุดิบน้ำตาล ทรายอื่นในระยะต่อไป

“ในฐานะผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ โคคา-โคลาฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาสังคม กล่าวคือการสร้างธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน จากการเปิดตัวโครงการในระยะแรกในปี 2557 ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายคือเจ้าของร้านค้าปลีกหญิง จนถึงขณะนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ แล้วกว่า 10,000 คนทั่วประเทศ” พรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าว

ด้านกลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง เข้าร่วมโครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลาซึ่งเป็นไปตามพันธกิจที่ตั้งไว้ ของกลุ่มบริษัท เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวไร่อ้อยและได้ดำเนินโครงการส่งเสริมเกษตรยั่งยืน ให้ความรู้การบำรุงดินด้วยหลักวิชาการเพื่อเพิ่มอินทรีย์และปรับปรุงคุณภาพ ในดิน การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มน้ำต้นทุน ไปจนกระทั่งการส่งเสริมการลดการเผาอ้อยในฤดูเก็บเกี่ยว ตลอดจนมีการให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการปลูกอ้อยและการทำอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายมาอย่างต่อเนื่อง

“ปีนี้บริษัทฯ ได้คัดเลือกเกษตรกรสตรีกลุ่มเป้าหมายรวม 600 คน ที่มีศักยภาพในการต่อยอดองค์ความรู้ให้เครือข่ายเกษตรกร เข้าร่วมโครงการฯ และมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ 30 คน เข้ารับการอบรมเพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงกับกลุ่มเกษตรกรให้คำแนะนำและ ติดตามผลตลอดโครงการฯ โดยคาดว่าหลังจากนี้ 1 ปี เกษตรกรสตรีที่เข้าร่วมโครงการจะมีผลการทดสอบระดับความรู้เรื่องการทำเกษตร อย่างยั่งยืน เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20”  ณัฐพล อัษฎาธร กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง กล่าวเสริม

ในเชิงวิชาการและภาครัฐบาล โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา ได้ร่วมกับ สถาบันคีนันแห่งเอเชีย และ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็น 2 พันธมิตรสำคัญในการผลักดันการเติบโตอย่างเป็นระบบ สถาบันคีนันแห่งเอเชียเป็นองค์กรซึ่งทำงาน ด้านให้องค์ความรู้และสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคมมายาวนาน

“เราเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับโครงการฯ โดยเริ่มจากการสำรวจความต้องการของเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อยกลุ่มเป้าหมาย และนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาหลักสูตรการบริหารจัดการการเงิน ที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้น ซึ่งเบื้องต้นได้เริ่มทำการอบรมไปแล้วกว่า 200 คน  และตลอดการดำเนินโครงการฯ จะมีการติดตามและประเมินผลเกษตรกรที่เข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการหรือปัจจัยต่างๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ คาดว่า ภายหลังเข้ารับการอบรม เกษตรกรสตรีจะมีผลการทดสอบระดับความรู้เรื่องการบริหารจัดการการเงิน เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 และมีระดับความตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการการเงินเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 30” ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานอำนวยการและรองประธานกรรมการ สถาบันคีนันแห่งเอเซีย กล่าว

สอดคล้องกับ สมศักดิ์ จันทรรวงทอง เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม ที่กล่าวถึงบทสำคัญของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายต่อการพัฒนาประเทศและ เศรษฐกิจไทย ที่มีการสร้างงานให้เกษตรกรกว่า 600,000 คน และสร้างรายได้ให้ประเทศจากการบริโภคในประเทศและส่งออกถึงปีละ 150,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.6 % ของจีดีพี โดยไทยส่งออกน้ำตาลเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากบราซิล และอันดับ 1 ในเอเชีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยให้เกษตรกรปรับตัวต่อสภาวะแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา เป็นส่วนใน โครงการ 5by20 พันธกิจระดับโลกของโคคา-โคลา เพิ่มศักยภาพด้านการดำเนินธุรกิจให้กับผู้หญิงในห่วงโซ่คุณค่าของโคคา-โคลา จำนวน 5 ล้านคนภายในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) ผู้หญิงทั่วโลกล้วนมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจและห่วงโซ่คุณค่าของโคคา-โคลา โดยโครงการนี้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เรียนรู้ทักษะในการดำเนินธุรกิจ การวางแผนด้านการเงิน และมีโอกาสทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมอาชีพหรือผู้ให้คำปรึกษา รวมถึงมอบความมั่นใจในการทำธุรกิจอย่างประสบความสำเร็จแก่พวกเขา

โคคา-โคลา เดินหน้า โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลา เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อย

รวยที่สุดแห่งรัฐ Iowa
ประชากร: 3.1 ล้านคน
Gross State Product (GSP) ในปี 2014: 1.68 แสนล้านเหรียญ (เติบโต 0.4%)
GSP ต่อหัว: 53,982 เหรียญ (สูงเป็นอันดับที่ 21 ของปรเทศสหรัฐอเมริกา)
คนที่รวยที่สุด: Harry Stine 3.2 พันล้านเหรียญ (อยู่อันดับที่ 211 ในทำเนียบ Forbes 400)

จีนกำลังเป็นตลาดที่ใหญ่มหึมาสำหรับสินค้าของ Harry Stine เพราะ ถึงแม้จีนจะเป็นแหล่งผลิตข้าวโพดรายใหญ่อันดับสองของโลก แต่ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน ทำให้ข้าวโพดยังคงเป็นที่ต้องการอีกมาก ซึ่งนั่นทำให้ Stine มีโอกาสสั่งสมความมั่งคั่งได้จากการขายข้าวโพดและเมล็ดถั่วเหลืองผ่านกิจการ Stine Seed Co., ของเขาซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Adel ในรัฐ Iowa เขา เริ่มขายเมล็ดข้าวโพดที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมไปที่จีนแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่ เดือนเมษายน 2014 ซึ่งเป็นก้าวล่าสุดของเขาเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายการเพิ่มผลผลิตข้าวโพดของ โลกใบนี้ให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

เมล็ดข้าวโพดของ Stine นั้นแข็งแรงมาก เพราะมีการตัดแต่งพันธุกรรมให้สามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่ที่มีการปลูก ข้าวโพดอย่างหนาแน่น เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อเอเคอร์ที่มากขึ้น โดยเขาขายเมล็ดพันธุ์โดยใช้แบรนด์ของตัวเอง และได้รายได้จากอนุญาตให้บริษัทอย่างเช่น Monsanto และ Syngenta ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ตัดแต่งพันธุกรรมของเขาได้ ซึ่งทำให้ยอดขายของบริษัทเขาเพิ่มขึ้นถึงกว่า 1 พันล้านเหรียญและ margin มากกว่า 10%

Stine โตมาในฟาร์มของพ่อของเขาในรัฐ Iowa แม้ว่าเขาจะมีความผิดปกติในเรื่องการอ่านและเป็นเด็กพิเศษในระดับไม่รุนแรง แต่เขากลับเก่งเลขสุดๆ หลังจากที่เขาจบการศึกษาจาก McPherson College รัฐ Kansas ในปี 1963 เขาก็กลับมาที่บ้านเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ต่างๆ ของเมล็ดถั่วเหลือง จนกระทั่งในปี 1994 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศให้ความคุ้มครองข้อมูลทางพันธุกรรมของถั่วเหลือง Stine เป็นรายแรกๆ ที่ไปจดสิทธิบัตรสายพันธุ์เมล็ดถั่วเหลือง ต่อมาในปี 1997 Monsanto ได้ขึ้นทะเบียนเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองของ Stine ที่สามารถต้านทานศัตรูพืชได้ ซึ่งทำให้ทั้ง Monsanto และ Stine ทำเงินได้หลายพันล้านเหรียญเลยทีเดียว

แม้จะผ่านไปหลายสิบปีแล้วแต่เขายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจของเขาต่อไป โดย Stine ได้ขยายกิจการออกไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก เขาบอกว่า “ผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลย”
<img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%20march/art-Iowa.png" alt="" />

<hr />

<a href="http://goo.gl/5KbXgP">คลิ๊กบทความเพื่อสร้างแรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2016 ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/5KbXgP"><img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover-forbes-march2016-re.jpg" alt="" width="324" height="424" /></a>

ชายผู้ร่ำรวยที่สุดแห่งรัฐ Iowa

<h2>เส้นทางธุรกิจกว่าจะมาถึงมือเขานั้นไม่ง่ายดายเลย กิจกาจช่วงแรกเกือบจะล้มอยู่หลายรอย เลวร้ายสุดเกือบจะถูกธนาคารฟ้องล้มละลาย เจ้าหน้าบีบให้ลดทุน ต้องปลดพนักงานออก 1 ใน 4 ทั้งที่บางคนทำงานมาตั้งแต่หนุ่มจนเกือบจะเกษียณ สุดท้ายแล้วทุกคนในองค์กรพร้อมใจกันเสียสละ ลดเงินเดือนลงร้อยละ 25 เพื่อประคับประคองให้จุลไหมไทยผ่านวิกฤตไปได้</h2>
จงสฤษดิ์เล่าว่าบิดาย้ำเสมอ ธุรกิจนี้ไม่ใช่เป็นแค่ของครอบครัวคุ้นวงศ์ แต่เป็นของทุกคนที่ปรารถนาดีต่อสังคม เขาดูแลพนักงารแบบครอบครัวเดียวกัน ครอบคลุมถึงการแบ่งปันผลประโยชน์เหมือนคนในครอบครัว กำไรทุกไตรมาสจะแบ่งให้บริษัท 50 และอีก 50 ให้พนักงาน ที่จะนำไปแบ่งปันกันตามลำดับขั้น เว้นแต่พนักงานผู้ถือจะไม่ได้สิทธิในส่วนนี้

ในปีนี้จุลไหมไทยขยายกำลังการผลิตจากปีละ 170 ตัน มาเป็น 250 ตัน ภายในสามปีข้างหน้า ซึ่งถือว่าเพิ่มอีกเกือบร้อยละ 50  ซึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องเจอก็คือปริมาณรังไหมไม่พอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางแผนจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้มากขึ้น พยายามหาตลาดไหมใหม่ หาวิธีการเลี้ยงแบบใหม่ไม่ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดเหมือนแต่ก่อน ปัจจุบันหากจะลงทุนปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจะใช้เงินแรกเริ่มไม่เกิน 150,000 บาท ในที่ดินประมาณ 9 ไร่ จะมีรายได้ตกปีละ 9 หมื่นบาท

“แต่มีเกษตรกรที่สุพรรณบุรีของเราสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยปีละ 500,000 บาท”
อย่างไรก็ตามการส่งออกผลิตภัณฑ์ยังไม่มากนัก เพราะแข่งราคากับจีนไม่ไหว เพราะเขาเป็นผู้ผลิตไหมรายใหญ่ของโลกถึงร้อยละ 70 แต่ตอนนี้ผลผลิตจากจีนเริ่มออกสู่ตลาดลดลง แต่ความต้องการของตลาดยังคงเดิม จึงเป็นโอกาสให้เราขยายตลาดเพิ่ม และขายในราคาที่สูงขึ้น ภายในสามปีข้างหน้า ยอดส่งออกน่าจะเพิ่มจากร้อยละ 10 ไปที่ร้อยละ 20 ได้

นอกจากนี้ตลาดใหม่ที่ดึงดูดใจก็คือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพราะเป็นภูมิภาคนิยมใช้ไหมแต่ไม่มีการเลี้ยงตัวไหมและผลิตเส้นไหมเอง ล่าสุดจงสฤษดิ์ได้ข้ามไปเปิดสำนักงานที่ลาวและแต่งตั้งตัวแทนจัดหน่ายแล้ว พร้อมทั้งหาพันธมิตรเปิดตลาดในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ส่วนตลาดยุโรปนั้นต้องเปิดทางด้วยไหมคุณลักษณะพิเศษที่ต่างจากคู่แข่งอย่างจีน

ตัวเขาแสดงความมุ่งมั่นจะสืบสานธุรกิจของครอบครัว ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานไว้ให้ได้ แม้ว่ารุ่นต่อไปผู้นำของจุลไหมไทยจะไม่ใช่คนในตระกูลคุ้นวงศ์ก็ตาม อาจจะเป็นผู้บริหารมืออาชีพก็ได้ แต่ต้องมาตรฐานของกลุ่มจุลไหมไทย

สรุปและเรียบเรียงจาก เส้นทางจุลไหมไทย (Not) Smooth As Silk, Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2014

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events