<h2>ในเวลาไม่ถึงเดือน แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียหน้าใหม่ Bluesky ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนกลายมาเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ X และ Threads อย่างไรก็ตาม ผู้ที่คิดจะย้ายมาใช้งานแพลตฟอร์มนี้พึงรู้ไว้ว่า Bluesky นั้น ‘ปลอดมหาเศรษฐี (billionaire proof)’</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรียกได้ว่าสะเทือนโลกโซเชียลอย่างแท้จริง เพราะล่าสุด แพลตฟอร์ม X ที่มี Elon Musk ผู้สนับสนุน Trump เป็นเจ้าของ ต้องเจอสถานการณ์ไม่คาดคิด เมื่อผู้ใช้งานจำนวนกว่า 115,000 ราย ได้ยกเลิกบัญชี X ของตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 เพียง 1 วัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในอีกด้านหนึ่ง จำนวนผู้ใช้งาน Bluesky ในสหรัฐฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นมหาศาลในระยะเวลาสั้นๆ โดยแพลตฟอร์มสีฟ้าสดใสแห่งนี้มีผู้ใช้งานหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 7 ล้านรายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ส่งผลให้ปัจจุบัน Bluesky มีจำนวนผู้ใช้งานรวมมากกว่า 21 ล้านรายแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jack Dorsey อดีตซีอีโอ Twitter คือผู้ริเริ่มโปรเจ็กต์ Bluesky ในปี 2019 และได้พัฒนาควบคู่ไปกับ Twitter ต่อมาเมื่อมีการขาย Twitter ให้ Musk เขาจึงหันมาทุ่มเทให้กับ Bluesky จนกระทั่งได้ยุติการมีส่วนร่วมในเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา แต่ทีม Bluesky ยังคงดำเนินงานต่อไปโดยมี Jay Graber ดำรงตำแหน่งซีอีโอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bluesky เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแบบกระจายศูนย์ (decentralized) ซึ่งอธิบายโดยง่ายคือ ผู้ใช้งานจะเป็นเจ้าของเซิร์ฟเวอร์เก็บข้อมูลของตัวเอง แตกต่างจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแบบรวมศูนย์ (centralized) ที่มีบริษัทหรือองค์กรเป็นผู้ดูแล จึงทำให้ผู้ใช้งานมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นและสร้างสรรค์คอนเทนต์ของตัวเองได้มากกว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ แพลตฟอร์มสีฟ้าสดใสนี้ยัง ‘ปลอดมหาเศรษฐี’ ซึ่งซีอีโออย่าง Graber ขยายความว่า “การป้องกันมหาเศรษฐีเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ และหากใครสักคนซื้อ Bluesky หรือบริษัท Bluesky ล่ม ทุกคนก็ยังคงเข้าถึงได้ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับ Twitter จะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยกับเรา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เธอเสริมว่าหากผู้ใช้งานต้องการย้ายจาก Bluesky ไปยังแพลตฟอร์มอื่นก็สามารถย้ายผู้ติดตามไปด้วยได้ง่ายๆ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์แบบเดียวกับที่ผู้ใช้ Twitter หรือ X จำนวนมากที่ต้องย้ายข้ามแพลตฟอร์มกันอย่างยากลำบาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สิ่งที่ฉันเป็นห่วงเกี่ยวกับโลกอินเทอร์เน็ตคือ มันถูกควบคุมด้วยคนมีอำนาจไม่กี่คน และผู้ใช้งานบนช่องทางเหล่านั้นก็ไม่สามารถควบคุมชะตาของตัวเองได้ เราจึงอยากพัฒนาโซเชียลมีเดียที่สร้างโดยผู้คนเพื่อผู้คน” Graber กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่เพียงแค่มหาเศรษฐี แต่ Bluesky ยังไม่มีโฆษณาบนแอปในเร็วๆ นี้ ทำให้หลายคนวิตกกังวลว่าแพลตฟอร์มนี้จะดำเนินต่อไปได้อย่างไร ปัจจุบันบริษัทได้รับเงินจากการระดมทุน โดยรอบล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Bluesky ระดมทุนได้ทั้งสิ้น 36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับระยะยาว Rose Wang ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Bluesky เคยเผยว่า บริษัทกำลังจัดทำระบบค่าสมาชิกเพื่อให้ผู้ใช้งานที่จ่ายเงินเข้าถึงฟีเจอร์ระดับพรีเมียมได้ แต่โดยรวมแล้ว Bluesky จะยังสามารถใช้งานได้ฟรี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผู้ใช้งานที่จ่ายค่าสมาชิกจะไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษบนแอปแต่อย่างใด” Wang อธิบาย “เราจะไม่ขายข้อมูลของคุณ” เธอยังย้ำว่าจะไม่มีการนำข้อมูลของผู้ใช้งานไปป้อนให้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ใดๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตามแผนการของเรานั้น ยังมีงานอีกมากที่เราต้องทำ และฉันจะคอยบอกพวกคุณว่าเราจะไม่ทำอะไรเพื่อหาเงิน” Graber กล่าว “เราจะไม่สร้างอัลกอริทึมที่เอาแต่ดันโฆษณามาให้คุณ ขังพวกคุณไว้ในนั้น นั่นไม่ใช่โมเดลของเรา” แหล่งที่มา:​<a href="https://www.cnbc.com/2024/11/21/bluesky-ceo-jay-graber-says-x-rival-is-billionaire-proof.html" alt="Bluesky CEO Jay Graber says X rival is ‘billionaire proof’">Bluesky CEO Jay Graber says X rival is ‘billionaire proof’</a>​ ​<a href="https://www.npr.org/2024/11/19/g-s1-34898/bluesky-traffic-surge-after-election" alt="Traffic on Bluesky, an X competitor, is up 500% since the election.">Traffic on Bluesky, an X competitor, is up 500% since the election.</a>​ ภาพ: AFP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/it/nintendo-authorized-store-opening-at-siam-paragon" alt="เปิดแล้ววันนี้ที่สยามพารากอน! Nintendo Authorized Store แห่งแรกในไทย ใหญ่ที่สุดในอาเซียน">เปิดแล้ววันนี้ที่สยามพารากอน! Nintendo Authorized Store แห่งแรกในไทย ใหญ่ที่สุดในอาเซียน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สุดทนกับ X แล้ว! ชาวเน็ตกว่า 7 ล้านรายแห่ย้ายไป Bluesky แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ‘ปลอดมหาเศรษฐี’

<h2>โซเชียลมีเดียเป็นแพลตฟอร์มที่มีบทบาทไม่น้อยไปกว่าการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2566 ผลการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ในสังคมออนไลน์โดยบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด พบว่า ติ๊กต๊อก (TikTok) เป็นสื่อที่มียอดการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงสุดบนโซเชียลมีเดียถึง 63% ตามมาด้วยเฟซบุ๊ก 18% และทวิตเตอร์ 15%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 คือบทพิสูจน์ว่า ณ วันนี้ บริบททางสังคมและการเมืองไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว เรามิอาจมองข้ามเสียงของสังคม (Social Listening) บนโลกออนไลน์ได้อีกต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้เก็บข้อมูลและวิเคราะห์จากการฟังเสียงประชาชนในสังคมออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์ม DXT360 โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 16 เมษายน-15 พฤษภาคม 2566 พบว่า มีการกล่าวถึง (Mention) และ การมีส่วนร่วม (Engagement) ในเรื่องการเลือกตั้งสูงถึง 297,603,177 ครั้ง แบ่งเป็นการกล่าวถึงและมีส่วนร่วมผ่านแพลตฟอร์ม TikTok จำนวน 63%, Facebook 18%, Twitter 15%, Instagram 3% และ YouTube 1%TikTok มาแรง เป็นช่องทางที่มียอด Engagement สูงสุด<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/cS2UHnvTRN5QG2a2GVfq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cS2UHnvTRN5QG2a2GVfq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;TikTok : มีการกล่าวถึงและการมีส่วนร่วม ( Mention &amp; Engagement) หรือ Buzz สูงสุดถึง 186,393,775 ครั้ง คิดเป็น 63% จากทั้งหมด ถึงแม้ว่าใน TikTok จะมีจำนวนการกล่าวถึง (Mention) น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่บน Tiktok สร้าง Engagement จากการมีส่วนร่วมได้สูงมาก จากการกด Like, กดแชร์คลิปวิดีโอ รวมถึงการแสดงความคิดเห็น (Comments) ต่างๆ โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า คลิปวิดีโอสั้น บน TikTok มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเป็นพื้นที่โปรโมทประชาสัมพันธ์ให้แก่พรรคการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้งในช่วงที่ผ่านมา ทั้งกระแสในด้านบวกและลบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Facebook : เป็นช่องทางที่กวาด Buzz ในลำดับรองลงมาอยู่ที่ 54,729,106 ครั้ง คิดเป็น 18% เนื่องจากการที่ผู้คนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นและกด react กันอย่างล้นหลาม และต้องการติดตามช่องทางที่เป็นแหล่งรวมสื่อสำนักข่าวต่างๆ โดยพบว่า เพจ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ และ เพจ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว’ ได้รับ Engagement รวมกันไปกว่า 8 ล้านครั้งตลอดเดือนที่ผ่านมา สำหรับประเด็นเลือกตั้งครั้งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Twitter : ได้รับ Buzz อยู่ที่ลำดับ 3 จำนวน 45,026,759 ครั้ง คิดเป็น 15% ซึ่งน้อยกว่า TikTok และ Facebook แต่ในส่วนของการกล่าวถึงช่องทาง Twitter นั้นได้รับสัดส่วนมากที่สุดจากช่องทางทั้งหมด เนื่องจากผู้ใช้งาน Twitter มักแสดงความคิดเห็นโดยการโพสต์ทวีตซึ่งสะดวกรวดเร็วกว่าช่องทางอื่นๆ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการติดตามข่าวสารและรายงานสถานการณ์สด ในประเด็นการเลือกตั้ง 66 ที่เป็นกระแสที่มีความรวดเร็วและต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Instagram : ได้รับ Buzz จำนวน 7,468,309 ครั้ง คิดเป็น 3% เนื่องจากคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจในส่วนของ การปราศรัย หรือการดีเบตผ่านเวทีต่าง ๆ ซึ่งเหมาะสมในการรับชมผ่านวิดีโอ ซึ่งไม่ค่อยตอบโจทย์สำหรับช่องทาง Instagram ที่เด่นในด้านสื่อที่เป็นรูปภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;YouTube : ในช่องทาง YouTube ที่ถือได้ว่าเป็นช่องหลักในส่วนของสื่อวิดีโอ แต่ได้รับ Buzz น้อยที่สุดอยู่ที่ 3,985,168 คิดเป็น 1% เมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ๆ เนื่องจาก Facebook และ TikTok ได้เริ่มมีการขยายตัวในด้านสื่อวิดีโอมากขึ้น เช่น Live คลิปสั้น Highlight จากการสัมภาษณ์หรือเวทีดีเบต ซึ่งเป็นสื่อวิดีโอที่มีระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น ทำให้เข้าถึงง่าย แตกต่างกับ YouTube ที่ต้องการระยะเวลาในการรับชมที่นานกว่า “ก้าวไกล” กระแสโซเชียลดีทั้งคนทั้งพรรค &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเลือกตั้ง 66 ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกระแสบนโซเชียลที่การกล่าวถึงการเลือกตั้ง 66 พรรคการเมือง นโยบาย รวมถึงแคนดิเดต สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองที่ถูกกล่าวถึงและได้รับความสนใจมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.	พรรคก้าวไกล 2.	พรรคเพื่อไทย 3.	พรรครวมไทยสร้างชาติ 4.	พรรคภูมิใจไทย 5.	พรรคพลังประชารัฐ<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/UX5LYbo79sLG23RaBG3Q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="UX5LYbo79sLG23RaBG3Q.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากพรรคการเมืองแล้ว แคนดิเดตที่จะก้าวขึ้นเป็นนายกคนที่ 30 ของประเทศไทยก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน โดยชื่อที่ถูกกล่าวถึงและได้รับความสนใจมากที่สุดบนโซเชียล ได้แก่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตามด้วย ประยุทธ์ จันทร์โอชา, เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร และ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตามลำดับ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/m3ttKDmo3gc5e4WdM97h.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="m3ttKDmo3gc5e4WdM97h.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากการรวบรวมและวิเคราะห์หา Insight ในประเด็นการเลือกตั้ง เห็นได้ว่ากระแสความตื่นตัวของประชาชนคนไทยที่มีต่อการเลือกตั้งปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงของคนส่วนใหญ่และการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนบนสังคมออนไลน์ จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจว่า เสียงบนโซเชียลที่มีต่อความนิยมชื่นชอบในตัว ‘พิธา’ และ พรรคก้าวไกล ได้แปรเปลี่ยนเป็นคะแนนเสียงจริงให้แก่พรรคก้าวไกลจนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;​<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99" alt="การเมืองกดดันเศรษฐกิจในประเทศ-หุ้นไทยปรับฐาน">การเมืองกดดันเศรษฐกิจในประเทศ-หุ้นไทยปรับฐาน</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 เลือกตั้ง 66 TikTok มาแรง ครองยอด Engagement สูงสุด 63%

Jack Dorsey หนุนแอปใหม่ Bluesky ท้าชน Twitter

<h2>เมื่อถูกแบนจากสื่อสังคมออนไลน์ Donald Trump เผยว่า จะสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ถึงเวลานี้ “Truth Social” มียอดดาวน์โหลดรวมแล้วมากกว่าล้านครั้งทั้งแบบที่ตั้งใจและพลาดกดไปบ้าง ส่งให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาพุ่งขึ้นไปอีกมากกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ</h2>
Donald Trump ปรมาจารย์แห่งการสร้างชื่อ บัดนี้มีตำแหน่งใหม่เป็นนักลงทุนด้านเทคโนโลยีซึ่งนับเป็นก้าวใหญ่สำหรับชายวัย 75 ปีคนนี้ที่ไม่แม้แต่จะใช้อีเมลและชอบจดโน้ตขยุกขยิกด้วยปากกามาร์เกอร์เสียมากกว่า แต่เขากลับไม่ลังเลที่จะลงทุนในธุรกิจซึ่งตนเองด้อยประสบการณ์ ตำแหน่งงานนี้ดูจะไปได้ดีกว่าวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขามากมาย เพราะนำรายได้เข้ากระเป๋าให้เขามีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 430 ล้านเหรียญตามการคำนวณของเรา ช่วยส่งให้ Trump มีทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้นจากเดิม 2.4 พันล้านเหรียญเมื่อปีก่อนเป็น 3 พันล้านเหรียญแล้วในตอนนี้

เมื่อถูก Twitter แบน ในเดือนตุลาคมอดีตประธานาธิบดีคนนี้ประกาศจะสร้างแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของตนเองที่ใช้ชื่อว่า Truth Social โดยอยู่ภายใต้กลุ่มบริษัท Trump Media and Technology ซึ่งใช้ Mar-a-Lago เป็นข้อมูลที่ตั้งบริษัท แอปนี้เปิดให้ใช้งานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์และมียอดดาวน์โหลดไปแล้วประมาณ 1.5 ล้านครั้ง แต่ยังมีผู้ใช้งานจ่อคิวรออยู่อีกกว่า 1.3 ล้านคน

<img class="aligncenter wp-image-66005 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/เกรียนทวิตเตอร์สู่-Truth-Social-03.jpg" alt="Donald Trump " width="720" height="513" />

Trump เองเคยโพสต์ข้อความแค่เพียงครั้งเดียวว่า “เตรียมตัวให้พร้อม ประธานาธิบดีคนโปรดของคุณจะมาที่นี่เร็วๆ นี้” แต่ดูเหมือนนักลงทุนจะไม่สนใจกลุ่มบริษัท Trump Media มีแผนจะควบรวมกิจการกับบริษัทในรูปแบบ SPAC เจ้าหนึ่งซึ่งนักลงทุนรายย่อยกำลังกว้านซื้อกันอย่างบ้าคลั่ง ส่งให้ราคาพุ่งจาก 10 เหรียญไปเป็นกว่า 70 เหรียญ ถ้าอ้างอิงจากเบาะแสซึ่งแทรกอยู่ในเอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล Trump น่าจะถือหุ้นอยู่อย่างน้อย 50% เราประเมินว่า เขาจะได้มูลค่าหุ้นเพิ่มที่หุ้นละ 10 เหรียญ แม้จะคำนวณด้วยราคาลดพิเศษที่นักลงทุนอันชาญฉลาดทั้งหลายจะยอมจ่ายเพื่อร่วมขบวนไปด้วยแล้วก็ตาม

แต่เมื่อแผนที่ว่ายังไม่ผ่านการอนุมัติ ท่านอดีตประธานาธิบดีจึงยังขายหุ้นในมือในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ในตอนนี้ แถมยังมีข้อกังขาด้วยว่าการควบรวมจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) และหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงิน (FINRA) ต่างกำลังตรวจสอบข้อตกลงนี้อยู่ สรุปแล้ว SPAC ถือเป็นข่าวดีสำหรับ Trump แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะฝากความหวังเอาไว้ในตอนนี้

&nbsp;

เรื่อง: BILLIONAIRES โดย: DAN ALEXANDER เรื่อง: TROUBLE IN PARADISE โดย: ZACH EVERSON 
เรียบเรียง: วินิจฐา จิตร์กรี ภาพ: TRUMP: JAMEL TOPPIN; JAMES: MARY ALTAFFER-AP; RIOT: SAMUEL CORUM-GETTY IMAGES

อ่านเพิ่มเติม:
<ul id="crumbs">
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/america/%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b8%87-e-street-%e0%b8%aa%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b8%96%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87.html">จากวง E STREET สู่ถนนทำเงินของ “BRUCE SPRINGSTEEN”</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%e0%b8%96%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99-%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%8d-luna-%e0%b8%aa%e0%b8%b0%e0%b8%97%e0%b9%89%e0%b8%ad.html">ถอดบทเรียน “เหรียญ LUNA” สะท้อนพฤติกรรมนักเก็งกำไรไทย</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/people/asean-biz/%e0%b8%8a%e0%b8%a7%e0%b8%9e%e0%b8%87%e0%b8%a9%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b8%a8%e0%b9%8c-pumpkin.html">ชวพงษ์ เชาวพัฒนวงศ์ ผงาดเครื่องมือช่าง “PUMPKIN”</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/3x7rNE6">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2565 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<a href="https://bit.ly/3x7rNE6"><img class="lazy alignnone wp-image-65278 lazy-loaded" src="https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FB109-EBOOK-RES150-1-780x1024.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FB109-EBOOK-RES150-1-780x1024.jpg 780w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FB109-EBOOK-RES150-1-229x300.jpg 229w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FB109-EBOOK-RES150-1-768x1008.jpg 768w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FB109-EBOOK-RES150-1-780x1024.jpg" data-lazy-srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FB109-EBOOK-RES150-1-780x1024.jpg 780w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FB109-EBOOK-RES150-1-229x300.jpg 229w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/FB109-EBOOK-RES150-1-768x1008.jpg 768w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" /></a>

เกรียนทวิตเตอร์สู่ Truth Social

<h2>Elon Musk มหาเศรษฐีพันล้านผู้มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และ Twitter แพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียที่เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 (หรือ 1 กันนะ) เดินหน้าปะทะยื้อแย่งหุ้นและอำนาจบริหาร</h2>
ซื้อเพิ่ม ขายทิ้ง หรือป่วนต่อไป ก้าวต่อไปของ Elon Musk ในสนามปะทะกับ Twitter เป็นคำถามในใจชาว Silicon Valley และ Wall Street ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
“นี่เป็นกระบวนการประเภทที่จะมาดิสรัปต์สุดๆ และยืดเยื้อไปเรื่อยๆ อีกด้วย” อดีตผู้บริหารระดับสูงแห่ง Twitter กล่าว โดยแอบมองดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ อย่างปิติ เขาอาจจะทำอะไรก็ได้ใน 3 ตัวเลือกข้างบนนั้น หรืออาจจะผสมผสานกันไป หรืออาจจะทำบางอย่างที่คาดไม่ถึงไปเลยก็ได้
เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางบอร์ดบริหารของ Twitter <a href="https://www.forbes.com/sites/sergeiklebnikov/2022/04/15/twitter-board-adopts-poison-pill-to-fend-off-elon-musks-takeover-bid/#:~:text=Topline,resist%20a%20potential%20hostile%20takeover.">ลงมติอนุมัติ</a>ใช้กลยุทธ์ยาพิษ (poison pill strategy) กลยุทธ์ที่บริษัทเอกชนต่างๆ ใช้มาตั้งแต่ช่วงสมัย 1980s เพื่อปกป้องตัวเองจากนักลงทุนหวังฮุบอย่าง Musk โดย Musk เสนอซื้อหุ้นของทาง Twitter ในราคาหุ้นละ 54.20 เหรียญสหรัฐฯ รวมเป็นมูลค่าราวๆ 4.3 หมื่นล้านเหรียญ และการอนุมัติใช้กลยุทธ์ยาพิษนี้ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าข้อเสนอนั้นมันดีไม่มากพอด้วยซ้ำ 
<img class="alignnone size-full wp-image-61860" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Musk_Twitter.png" alt="" width="711" height="406" />
นั่นราคาสูงกว่าหุ้น Twitter ที่ Musk ถืออยู่ราวๆ ร้อยละ 38 แต่ก็ราคาต่ำกว่าตลาดของหุ้น Twitter เมื่อเดือนกรกฎาคมถึง 1 ใน 4
จากบทสนทนากับเหล่านักวิเคราะห์ คนในจาก Twitter และผู้ที่เคยทำงาน ณ ที่นั่นมาก่อน เราได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะการันตีเมื่อเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับ Musk ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยแหย่ว่าจะโอนบริษัทตัวเองให้เป็นบริษัทเอกชน และประมูลซื้อหุ้นโดยใช้กัญชาเป็นตัวเลขอ้างอิง

<h3 class="p4">Elon Musk เดินหน้าเข้าซื้อหุ้น Twitter เพิ่ม</h3>
ในงานสัมมนา TED เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น Musk เผยว่าเขามี ‘Plan B’ และยืนกรานว่าข้อเสนอเข้าซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 54.20 เหรียญเป็นข้อเสนอ “สุดท้ายที่ดีที่สุด” ของเขา 
แน่นอนว่า บุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในโลกอย่าง Musk สามารถกดราคาลงมากกว่านี้ได้อยู่แล้ว เขาอาจจะต้องขายหุ้น Tesla หรือกู้เงินออกมาสักหน่อยเพื่อที่จะทำเช่นนั้น อีกทั้ง เขาก็ได้เคยกล่าวไว้ว่าเขาได้พา Morgan Stanley มาเป็นผู้ให้คำปรึกษาของเขาอีกด้วย ข้อเสนอของเขานั้นก็ได้รับการสนับสนุนไม่ใช่น้อยบน Twitter ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชายผู้มีชีวิตอยู่บน Twitter และอิ่มเอมไปกับความสนใจจากผู้ติดตามจำนวน 81 ล้านคนของเขา 
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ Wall Street จำนวนมากที่ติดตามหุ้น Twitter ก็มองว่านี่เป็นราคาที่ดีเลยทีเดียว “เรารู้ว่าข้อเสนอแบบจะเอาหรือไม่เอานี้ ไม่ใช่วิธีการเจรจาต่อรองที่ผู้ถือหุ้นหรือบอร์ดบริหารอยากจะเจรจาด้วยเท่าไร แต่เราอยากจะให้ทั้งสองรับขอเสนอนี้ซะ” Michael Nathanson นักวิเคราะห์และหนึ่งในผู้สังเกตการณ์ของดิจิทัลมีเดียที่หลักแหลมกล่าว

<h3 class="p4">Elon Musk ยอมแพ้</h3>
ปรากฏว่า ที่ Musk กล่าวว่านี่เป็นข้อเสนอ “สุดท้ายที่ดีที่สุด” เขาไม่ได้พูดเล่นๆ 
นี่อาจเป็นศิลปะการแสดง/การป่วนในโลกดิจิทัลราคาแพง เขาได้สนุก หุ้นก็ขึ้น และหากเขาค่อยๆ ขายอย่างระมัดระวังล่ะก็ เขาอาจจะเดินออกมาจากสงครามครั้งนี้ด้วยกำไรถึง 500 ล้านเหรียญหรือมากกว่านั้นอีก ไม่แย่เลยทีเดียว

<h3 class="p4">Elon Musk สร้างสมาคม</h3>
Musk อาจจะจับมือกับคนรวยอีกสักคนสองคน หรือกับนักลงทุนสถาบัน เช่น บริษัทไพรเวท อิควิตี้ 
การแบ่งบันภาระด้านการเงินเช่นนี้จะช่วยลดจำนวนหุ้น Tesla ที่เขาอาจต้องขาย หรือจำนวนเงินที่เขาต้องกู้ออกมาได้ นอกจากนี้ นี่ยังช่วยโต้กลับข้อวิจารณ์จาก Fred Wilson หนึ่งในผู้ลงทุนใน ​Twitter ยุคแรกๆ เกี่ยวกับการเข้าประมูลของ Musk ที่ว่า “ไม่ควรมีใครเพียงคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ Twitter” <a href="https://twitter.com/fredwilson/status/1514564762142752768">ซึ่งเขาได้เผยแพร่บน Twitter เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา</a> โดยเป็นการแย้งว่าแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในที่ที่มีบทสนาทต่างๆ หลากหลายมากที่สุดเช่นนี้ ไม่ควรถูกควบคุมโดยอำนาจใดอำนาจหนึ่ง
<img class="alignnone size-full wp-image-61859" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Musk.jpg" alt="" width="717" height="480" />
<h3 class="p4">Elon Musk มีคู่แข่ง แต่ Twitter ก็ยังไม่ยอมขาย</h3>
เป็นไปได้ว่าข้อเสนอจาก Musk ไม่ใช่ข้อเสนอตัวร้ายสุดท้ายที่ทาง Twitter จะเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ โดยทาง New York Post เผยว่า Thoma Bravo บริษัทไพรเวท อิควิตี้ของมหาเศรษฐี Orlando Bravo เองก็<a href="https://nypost.com/2022/04/14/elon-musk-could-have-competition-thoma-bravo-considers-bid-for-twitter/">กำลังเล็งๆ</a> ยื่นข้อเสนอเช่นกัน 
Twitter ตกเป็นเป้ามาสักพักแล้ว และโดยเฉพาะเป้าของ Elliott Management บริษัทลงทุนแนว Activist ที่เข้ามากุมหุ้นเมื่อปี 2019 ทางบริษัทเองก็มีประวัติศาสตร์สุดขมขื่นอันยาวนานในการตัดสินใจว่าจะขายบริษัทดีหรือไม่อันเป็นผลมาจากการมีจุดยืนในวัฒนธรรมที่ไปได้สสวยกว่าตัวเลขรายได้

<h3 class="p4">Twitter ตามหาอัศวินขี่ม้าขาว</h3>
กลยุทธ์ยาพิษเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการใช้เป็นเกราะป้องกันนักลงทุนที่เข้ามาโจมตี แต่อีกอย่างที่อาจเกิดขึ้นคือ บริษัทที่ถูกล้อมไว้ด้วยศัตรูพบกับผู้เข้าซื้อที่พวกเขาชื่นชอบมากกว่า ผู้ที่จะคงสภาพการบริหารและวิถีปัจจุบันของบริษัทไว้  โดยนี่อาจเกิดขึ้นหาก Musk ยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ และกดดัน Twitter อยู่เรื่อยๆ และก็อาจจะเกิดขึ้นได้หาก Musk โบกมือลาและมีผู้ซื้อมือไวอีกคนโผล่เข้ามา
ดูเหมือนว่าทาง Twitter คิดว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ โดยหลังจากว่าจ้าง Goldman Sachs มาเป็นที่ปรึกษา <a href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-04-15/twitter-brings-on-jpmorgan-as-adviser-alongside-goldman">ก็มีรายงานว่า</a>ทาง Twitter ได้ว่าจ้าง JP Morgan มาเป็นธนาคารที่สอง และคุณคงไม่หานายธนาคารมาเพิ่มหากคุณไม่คิดว่าคุณต้องมีนายธนาคารเพิ่มหรอก 

<h3 class="p4">เลียนแบบ Trump</h3>
เขาเหนื่อยที่จะมาเล่นกับทาง Twitter แล้ว แต่ก็ยังคงมุ่งที่จะเดินหน้าตามวิสัยทัศน์แห่งเสรีภาพในการพูด (เขาแย้งว่า Twitter และแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียอื่นๆ กีดกันการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ได้รับข้อวิจารณ์ที่คล้ายเคียงกันจากเหล่าหัวโบราณ) เขานำทุนก้อนโตของเขามาทุ่มสร้างแพลตฟอร์มโซเซียมีเดียเอง ซึ่งแพลตฟอร์มนั้นก็อาจจะกลายเป็นคู่แข่งของ Truth Social ของ Donald Trump แต่การที่ Truth Social <a href="https://www.forbes.com/sites/madelinehalpert/2022/04/14/trumps-truth-social-spac-dwac-down-more-than-four-percent-at-market-open/?sh=4969d90d6cb1">ตะเกียกตะกายกว่าจะเปิดตัวได้</a>ก็ทำให้เห็นชัดว่าการที่จะสร้างคู่แข่ง ​Twitter จากศูนย์เลยนั้นเป็นเรื่องยากไม่น้อย
แต่ Ali Mogharabi นักวิเคราะห์จาก Morningstar ชี้ว่า “หากเขาสามารถระดมเงินทุนได้ 4.3 หมื่นล้านเหรียญเพื่อเข้าซื้อบริษัทได้จริงล่ะก็ ก็เป็นไปได้ว่าถ้าเขาโดนปฏิเสธ เขาก็อาจจะยังคงสามารถระดมทุนเพื่อที่จะสร้างแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียที่คล้ายกันขึ้นมาได้”
บทความแปลและเรียบเรียงจากบทความ Twitter’s Poison Pill, Elon Musk’s ‘Plan B’: 6 Possible Scenarios Of What Happens Next เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%8a%e0%b8%b5-%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%b5.html">เปิดบัญชี "เศรษฐีรัสเซีย" : เจ้าพ่อผู้โดนคว่ำบาตร</a>


<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ฉากต่อไปในสงครามระหะว่าง Elon Musk และ Twitter

<h2>ทวีตเกี่ยวกับ K-Pop แตะ 6.1 พันล้านข้อความทั่วโลกในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และไทยครองแชมป์ทวีตข้อความ K-Pop มากที่สุดในโลก</h2>
ทวิตเตอร์เผยข้อมูล #KpopTwitter World Map รวบรวมข้อมูลทวิตเตอร์และ K-Pop ซึ่งเติบโตด้วยกันมากว่า 10 ปี โดย #KpopTwitter นับเป็นบทสนทนาระดับโลกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนทวิตเตอร์และแม้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ก็ไม่ได้ส่งผลให้บทสนทนาเหล่านี้ลดน้อยลงได้เลย

ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมามีจำนวนทวีตเกี่ยวกับ K-Pop กว่า 6.1 พันล้านข้อความทั่วโลก และมีจำนวนหัวข้อ (Topics) กว่า 300 หัวข้อแยกตามชื่อศิลปิน โดยแฟน K-Pop ทั่วโลกสามารถเห็นทวีตที่ดีที่สุด ตลอดจนร่วมวงสนทนาเกี่ยวกับศิลปินสุดโปรดได้อย่างง่ายดาย และเพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จ 10 ปีของ #KpopTwitter

ทวิตเตอร์ จึงได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ K-Pop Radar เผยข้อมูลเชิงลึกของ K-Pop ใน 20 ประเทศทั่วโลก เพื่อแสดงพลังของแฟน K-Pop ทั่วโลกที่แสดงออกถึงความรักและเชื่อมโยงกับกับศิลปินคนโปรดของพวกเขาได้อย่างมากมายบนทวิตเตอร์

<img class="alignnone size-full wp-image-34850" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/09/thumbnail_1_Global-growth-of-KpopTwitter-conversations-THA_h.jpg" alt="" width="720" height="480" />

คิม ยอนจอง หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรวงการ K-Pop ระดับโลก ทวิตเตอร์ กล่าวว่า “เราขอขอบคุณผู้ใช้ทวิตเตอร์เป็นอย่างยิ่งที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของ K-Pop มายาวนานกว่า 10 ปี ทวิตเตอร์นับเป็นช่องทางสำคัญที่ศิลปิน K-Pop สามารถเชื่อมโยงกับแฟนๆ ทั่วโลก ที่ต้องการเป็นคนแรกๆ ในการอัปเดตข่าวสารและพูดคุยถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับศิลปินคนโปรด โดยเหล่าบรรดาแฟนคลับ K-Pop รุ่นใหม่จากทั่วทุกมุมโลกยังเข้าร่วมพูดคุยผ่าน #KpopTwitter เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน K-Pop ระดับโลกได้อีกด้วย”

<img class="alignnone size-full wp-image-34851" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/09/thumbnail_3_KpopTwitter-conversation-growth-curve-THA_h.jpg" alt="" width="720" height="480" />

#KpopTwitter เป็นชุมชนระดับโลกอย่างแท้จริงเนื่องจากมีประเทศต่างๆ ทั่วโลกถึง 20 ประเทศที่มีความโดดเด่นในบทสนทนาที่เกี่ยวกับ K-Pop ติดอันดับมากที่สุด ครอบคลุมในทุกทวีปทั่วโลก (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 - วันที่ 30 มิถุนายน 2563) กระแสความนิยมของ K-Pop ภายในประเทศไทย ส่งผลให้ไทยจัดอยู่ใน 10 อันดับประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้งานทวิตเตอร์ที่พูดถึง K-Pop มากที่สุดในโลก และยังครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศที่มีการทวีตข้อความเกี่ยวกับ K-Pop มากที่สุดในโลกอีกด้วย

<img class="alignnone size-full wp-image-34852" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/09/20-markets-by-unique-voices-on-Twitter-THA_h.jpg" alt="" width="720" height="480" />

<img class="alignnone size-full wp-image-34853" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/09/Top-20-markets.jpg" alt="" width="720" height="480" />

วง BTS เป็นศิลปินที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในทุกตลาดทั่วโลก (ยกเว้นประเทศไทยที่วง GOT7 อยู่ในอันดับ 1) 

ส่วนอีก 10 อันดับของศิลปินที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดนั้นแตกต่างกันไปตามตลาดของแต่ละประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในบรรดากลุ่มแฟนคลับ K-Pop บนทวิตเตอร์ทั่วโลก
(ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 - วันที่ 30 มิถุนายน 2563)

<img class="alignnone size-full wp-image-34854" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/09/thumbnail_6_Most-mentioned-K-Pop-artists-by-market-THA_h.jpg" alt="" width="720" height="480" />

และนับว่าเป็นครั้งแรกที่ ทวิตเตอร์จับมือกับ K-pop Radar ร่วมกันเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกของ K-Pop ใน 20 ประเทศทั่วโลก โดยมีการ จัดอันดับศิลปินที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และ เพลงที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด (โดยวัดจากจำนวนทวีต) รวมถึงศิลปินดาวรุ่ง (วัดจากการเติบโตของจำนวนทวีตที่สูงที่สุด)
บนทวิตเตอร์ในประเทศไทย (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 - วันที่ 30 มิถุนายน 2563)

<img class="alignnone size-full wp-image-34855" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/09/10-most-mentioned-K-Pop-artists-in-Thailand.jpg" alt="" width="720" height="480" />

<img class="alignnone size-full wp-image-34856" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/09/10-most-mentioned-K-Pop-songs-in-Thailand-THA_h.jpg" alt="" width="720" height="480" />

<img class="alignnone size-full wp-image-34857" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/09/10-fastest-rising-K-Pop-artists-in-Thailand-THA_h.jpg" alt="" width="720" height="480" />

คิม ยอนจอง กล่าวเสริมว่า “แม้ว่าในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้คอนเสิร์ต การออกทัวร์ทั่วโลก อีเวนต์ต่างๆ และการพบปะกับแฟนๆ ถูกยกเลิกไป แต่เรากลับพบว่าปริมาณการทวีตข้อความที่เกี่ยวกับ #KpopTwitter ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย แฟนๆ K-Pop ยังคงต้องการที่จะเชื่อมโยงถึงกันและแสดงความรู้สึกของพวกเขากับศิลปินผ่านทวิตเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเชียร์เพลงใหม่ของศิลปินคนโปรดหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวต่างๆ เรารู้สึกตื่นเต้นมากว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าของวงการ K-Pop และทวิตเตอร์ทั่วโลกจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง”

&nbsp;

<article id="post-34018" class="post-34018 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-891 tag-11994 tag-11992 tag-1970 tag-11993">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">
<div>

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003366;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine </a>
และ <a style="color: #33cccc;" href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

</div>
</div>
</article>&nbsp;

ไทยครองแชมป์ทวีตข้อความ K-Pop มากที่สุดในโลก พร้อมร่วมฉลองครบรอบ 10 ปี #KpopTwitter

<h2>ไวซ์ไซท์เปิดเทรนด์โซเชียลมีเดียไตรมาสแรกปี 2562 แบรนด์รุมทำตลาดบนโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น เจาะลึกช่องทาง Facebook-Instagram จำนวนโพสต์เพิ่มแต่ engagement ต่ำลง ขณะที่ Twitter-YouTube โตสวนทาง ด้านการใช้ Influencers ทำการตลาดแบรนด์ แนะเพิ่มน้ำหนักเลือกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ</h2>
กล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย เปิดเผยเทรนด์สำคัญการตลาดดิจิทัลช่วง 4 เดือนแรกปี 2562 พบว่า แบรนด์มากกว่า 1,000 แบรนด์เข้ามาทำตลาดบนโซเชียลมีเดียมากขึ้น โดยมีจำนวนโพสต์กว่า 195,000 โพสต์ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่มี engagement 130 ล้านครั้ง ซึ่งต่ำลง -18% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

เมื่อเจาะลึกในช่องทางโซเชียลมีเดีย 4 ช่องทางหลัก พบว่าช่องทางทำตลาดของแบรนด์กับแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคมีส่วนร่วมหรือ engagement สูงนั้นสวนทางกัน โดยแบรนด์เน้นทำตลาดใน Facebook กับ Instagram สูงขึ้น มีจำนวนโพสต์ในช่องทางดังกล่าวเพิ่มขึ้น 22% และ 93% ตามลำดับ แต่ engagement ใน Facebook กลับต่ำลง -14% และใน Instagram ต่ำลง -47%

ขณะที่ช่องทาง Twitter แบรนด์มีการโพสต์ลดลง -11% แต่ผู้บริโภคมี engagement สูงขึ้นถึง 52% ปิดท้ายที่ช่องทาง YouTube แบรนด์มีการโพสต์เพิ่มขึ้นเพียง 3% แต่ผู้บริโภคมี engagement สูงขึ้น 38% จะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มที่แบรนด์ใช้มากขึ้น กับแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคใช้งานและมีส่วนร่วมนั้นแตกต่างกัน

<figure><img class="wp-image-8179 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/โซเชียลมีเดีย-เทรนด์-1Q2019.jpg" alt="" width="800" height="316" /><figcaption> ข้อมูลจำนวนโพสต์และ engagement ของแบรนด์ที่ทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย ช่วง 4 เดือนแรกปี 2562 วิเคราะห์โดย ไวซ์ไซท์</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>Facebook-Instagram จำนวนผู้ใช้ลด อัลกอริธึมลดการมองเห็น</h2>
กล้าวิเคราะห์ว่า เหตุผลที่ Facebook และ Instagram มี engagement ที่ตกลงน่าจะมาจากหลายปัจจัย ส่วนแรก มาจากจำนวนผู้ใช้ของสองแพลตฟอร์มนี้แม้จะมีมาก (Facebook มีผู้ใช้ 53 ล้านคน และ Instagram 13 ล้านคน) แต่การเติบโตเริ่มชะลอลง ในขณะที่แบรนด์เข้ามาทำตลาดสูงขึ้น

“เป็นไปตามหลักดีมานด์ซัพพลายเลย คือซัพพลายเพิ่มแต่ดีมานด์ไม่เพิ่ม แพลตฟอร์มย่อมต้องเกลี่ยการเข้าถึงโพสต์นั้นๆ ลดลง” กล้ากล่าว

ส่วนที่สอง คือการปรับอัลกอริธึมของ Facebook ที่เน้นน้ำหนักให้กับโพสต์ของเพื่อนมากกว่าโพสต์จากหน้าเพจหรือแบรนด์ ส่วนสุดท้าย คือปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่าผู้ใช้มี engagement เป็นการกดไลก์มากที่สุด รองลงมาเป็นการแชร์ และแสดงความคิดเห็นน้อยที่สุด ต่างจากยุคก่อนที่จะมีการแสดงความคิดเห็นมากกว่าการแชร์ อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แบรนด์ปรับคอนเทนต์มาตอบสนองพฤติกรรมไม่ทันท่วงทีและได้ engagement น้อยลง

<figure><img class="wp-image-8180 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/WISESIGHT-BASE33-401-e1559044568353.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> กล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

“มองว่าตอนนี้แบรนด์เริ่มตระหนักแล้วว่า engagement มีปัญหาและกำลังพยายามปรับแก้กันอยู่ ตอนนี้คอนเทนต์ที่ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น organic หรือไม่ ต้องเป็นคอนเทนต์ที่คนอยากเห็น”

&nbsp;
<h2>Twitter ยังฝุ่นตลบ ค้นหาสูตรสำเร็จการใช้งาน</h2>
ขณะที่ Twitter ดูจะเป็นดินแดนสนธยาสำหรับแบรนด์ต่างๆ ในการใช้เป็นช่องทางทำตลาด เพราะแม้ว่าจำนวนผู้ใช้จะเพิ่มขึ้นเป็น 9.5 ล้านคน (Twitter เองประกาศว่าแพลตฟอร์มนี้โต 35-55% ในช่วงปี 2560-61) แต่เห็นได้ว่าแบรนด์ยังไม่บุกช่องทางนี้อย่างเต็มตัว
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/it/twitter-%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95.html">Twitter ไทยโตเร็วที่สุดในอาเซียน! รุกหนักจีบพันธมิตรสื่อเปิดช่องลงโฆษณา</a></li>
</ul>
“Twitter เป็นช่องทางที่ต่างจาก Facebook กลุ่มผู้ใช้ยังแคบกว่า และมีความซับซ้อนน้อยกว่าเพราะบัญชีส่วนใหญ่ตั้งค่าเป็นสาธารณะ หน้า timeline ก็ไหลขึ้นมาตามเวลา ลักษณะการตอบโต้ไม่ใช่การ comment แต่เป็นการใช้ hashtag เพื่อคุยในหัวข้อเดียวกัน ทั้งเอเจนซี่โฆษณาและแบรนด์อาจจะยังหาทางสร้างคอนเทนต์ให้เหมาะสมอยู่ ถือเป็นแพลตฟอร์มที่เพิ่งเติบโตขึ้นมาก็ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้”

กล้ากล่าวพร้อมเสริมว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี ยังไม่มีแบรนด์ไหนที่สร้าง engagement สูงสุดได้ติดต่อกันเกิน 1 เดือนบนแพลตฟอร์มนี้ ทุกแบรนด์ยังมีโอกาสแข่งขันในการทำตลาด

&nbsp;
<h2>แนะแบรนด์ทำงานละเอียดก่อนจ้าง Influencers</h2>
สำหรับ Influencers ในโซเชียลมีเดียที่ไวซ์ไซท์มีการติดตามและประเมินประสิทธิภาพอยู่มากกว่า 1,000 ราย พบว่ายังเป็นช่องทางทำตลาดที่มีประสิทธิภาพ โดย Influencers เหล่านี้มีการโพสต์รวมกัน 449,000 โพสต์ และมี engagement ถึง 1.321 พันล้านครั้ง เห็นได้ว่า Influencers มีจำนวนโพสต์ที่มากกว่าแบรนด์เป็นเท่าตัวและมี engagement มากกว่าถึงสิบเท่า

อย่างไรก็ตาม ไวซ์ไซท์ได้วิเคราะห์และวัดประสิทธิภาพของ Influencers โดยให้มูลค่ากับการ engagement และอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภคด้วย ทำให้พบว่า Influencers ที่มีจำนวนผู้ติดตามมากหรือจำนวนโพสต์มาก ไม่ได้หมายถึงการ engagement ที่มากตามไปด้วย

<figure><img class="size-full wp-image-8181" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Influencers-เทรนด์-1Q2019.jpg" alt="" width="800" height="388" /><figcaption> เปรียบเทียบ Influencers ที่มีการโพสต์มากที่สุด กับ Influencers ที่มี engagement มากที่สุด เห็นได้ว่าอาจเป็นคนละกลุ่มกัน</figcaption></figure>

นอกจากนี้ Influencers แต่ละคนมีบุคลิกและกลุ่มผู้ติดตามที่แตกต่างกัน ซึ่งแบรนด์ควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ประกอบก่อนว่าจ้างเพื่อให้สื่อสารสินค้าไปได้ตรงกลุ่มเป้าหมายและได้ engagement ที่ดีกลับมา
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/leaderboard/thailand-leaderboard/online-influencers-%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B.html">10 สุดยอด Online Influencers ประเทศไทย ปี 2562</a></li>
</ul>
“หลายคนเลือก Influencers ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และพยายามให้ทำคอนเทนต์ที่ไม่เข้ากับบุคลิกของ Influencers ซึ่งทำให้สิ่งที่ได้กลับมาต่อการลงทุนไม่คุ้มค่า ยกตัวอย่างกลุ่มสัตว์เลี้ยง Influencers เลี้ยงแมวขนยาว กลุ่มผู้ติดตามก็เลี้ยงแมวแบบเดียวกัน แต่สินค้าที่นำเสนอเป็นผลิตภัณฑ์ของแมวขนสั้น ก็อาจจะไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ช่วยเร่งยอดขาย” กล้ากล่าว

“คิดว่าตลาด Influencers ยังโตได้อีกมาก แต่ต้องมีระบบนิเวศที่ส่งเสริมกันและกัน คนดูไม่ต้องการถูก manipulate ให้เห็นสิ่งที่ไม่ต้องการเห็นบ่อยๆ ซึ่งทั้งแบรนด์และ Influencers ต้องระมัดระวังจุดนี้”

<figure><img class="size-full wp-image-8182" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Influencers-average-engagement-เทรนด์-1Q2019.jpg" alt="" width="800" height="268" /><figcaption> ชาร์ตแสดงจำนวน engagement เฉลี่ยต่อโพสต์สำหรับแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งมีเพียง 20% ของ Influencers ระดับท็อปของเมืองไทยที่สามารถสร้าง engagement ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย</figcaption></figure>

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>ไวซ์ไซท์เพิ่งย้ายออฟฟิศใหม่มายัง BASE33 บนตึกซันทาวเวอร์ส พื้นที่ 1,200 ตารางเมตร โดยมีพนักงานราว 160 คน ส่วนออฟฟิศที่มาเลเซียก็มีการปรับปรุงใหม่ในชื่อ BASE29 มีพนักงานหลากภาษา 30-40 คนครอบคลุม 7 ประเทศอาเซียน</li>
 	<li>บริษัทยังออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือ Command Center ขายแพ็กเกจจอมอนิเตอร์ติดตามเทรนด์บนโซเชียลมีเดีย เป็นการนำข้อมูลจากเครื่องมือ Zocial Eye มาขึ้นบนจอเพื่อใช้ตกแต่งออฟฟิศ และเตรียมเปิดบ้าน อบรมการวิเคราะห์และใช้งานดาต้า ทั้งคอร์สฟรีและคอร์สมีค่าใช้จ่าย</li>
</ul>
&nbsp;

โพสต์มากขึ้นแต่ engagement ต่ำลง! ไวซ์ไซท์ชี้เทรนด์สร้างแบรนด์บน Facebook แข่งดุ

<h2>General Motors ย้ำเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า บริษัทจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจปิดโรงงานในเมือง Lordstown รัฐ Ohio แม้ว่า Donald Trump จะส่งข้อความกดดันผ่าน Twitter โดยบริษัทให้เหตุผลถึงการปิดโรงงานว่าเกิดจากปัญหารถยนต์ Chevy รุ่น Cruze ที่ผลิตในโรงงานดังกล่าวมียอดขายตกต่ำในสหรัฐฯ</h2>
แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/davidkiley5/2019/03/18/gm-shuns-trump-tweets-about-ohio-plant-closure/#2c3c317293cd">GM Tries To Fend Off Trump Tweets About Ohio Plant Closure</a> โดย David Kiley คอลัมนิสต์ด้านยานยนต์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน Forbes.com

ประธานาธิบดี Donald Trump ทวีตข้อความบน Twitter ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเคย โดย Trump โจมตีทั้ง GM, อดีตวุฒิสมาชิก John McCain, พรรคเดโมแครต, ที่ปรึกษาพิเศษ Robert Mueller ไปจนถึงสื่อมวลชนอื่นๆ ยกเว้น Fox News

ในกรณีของ General Motors (GM) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตข้อความถึง Mary Barra ซีอีโอ GM ว่าขอให้เธอ “ลงมือทำอะไรสักอย่างโดยด่วน” เพื่อกลับมาเปิดโรงงานรถยนต์ในเมือง Lordstown รัฐ Ohio หน่วยผลิตที่หยุดการทำงานไปเมื่อประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนเพื่อรอการเจรจาสัญญาใหม่ระหว่าง สหภาพแรงงานยานยนต์ (United Auto Workers : UAW) กับบริษัท

“ผมไม่พอใจเลยที่โรงงานปิดตัวในขณะที่สิ่งอื่นๆ ทุกอย่างในประเทศของเรากำลังเติบโต!!!” Trump ทวีตผ่านบัญชีของตนเอง
<blockquote class="twitter-tweet" data-lang="en">
Just spoke to Mary Barra, CEO of General Motors about the Lordstown Ohio plant. I am not happy that it is closed when everything else in our Country is BOOMING. I asked her to sell it or do something quickly. She blamed the UAW Union — I don’t care, I just want it open!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) <a href="https://twitter.com/realDonaldTrump/status/1107408129619382277?ref_src=twsrc%5Etfw">March 17, 2019</a></blockquote>
<script async src="https://platform.twitter.com/widgets.js" charset="utf-8"></script>

GM ประกาศก่อนหน้านี้ว่า บริษัทได้หยุดการผลิตรถยนต์ Chevy Cruze แล้ว ซึ่งเป็นโมเดลรถรุ่นเดียวที่ผลิตอยู่ในเมือง Lordstown เนื่องจากความนิยมในรถครอสโอเวอร์และเอสยูวีเพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ หลังจากราคาน้ำมันค่อนข้างเสถียรอยู่ระหว่าง 2.5-3.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อแกลลอนในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ดีมานด์ต่อรถยนต์รุ่น Cruze ซึ่งเป็นรถรุ่นซีดานขนาดเล็กประหยัดน้ำมันจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับรถซีดานขนาดเล็กอื่นๆ ด้วย เช่น Ford ที่หยุดผลิตรถรุ่น Focus คู่แข่งของ Cruze แล้ว
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/gm-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D.html">GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า-รถยนต์ไร้คนขับ</a></li>
</ul>
ทั้ง GM, Ford และ Chrysler ย้ายฐานการผลิตส่วนใหญ่ของรถรุ่นเล็กออกนอกสหรัฐอเมริกาหลายปีมาแล้ว เพื่อลดต้นทุนแรงงานและต้นทุนจ่ายค่าประกันสุขภาพพนักงาน ส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้เลือกย้ายฐานไปที่เม็กซิโกและอีกหลายประเทศที่มีประกันสุขภาพโดยรัฐ

ผู้ผลิตยานยนต์ส่วนใหญ่ขาดทุนหรือไม่ได้กำไรจากการผลิตรถรุ่นเล็กในสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาย้ายฐานผลิตเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดทุน เฉพาะ GM ที่เป็นข้อยกเว้น บริษัทนี้ทำข้อตกลงกับ UAW เมื่อทศวรรษก่อนเพื่อคงฐานผลิตรถรุ่น Cruze ในรัฐ Ohio ไว้ โดย UAW ยอมอ่อนข้อเงื่อนไขต่างๆ ให้กับ GM เพื่อให้ยังคงมีฐานผลิตรถรุ่นเล็กภายในสหรัฐฯ

<figure><img class="wp-image-5795 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/GM-Chevy-Cruze-e1553142866593.jpg" alt="" width="800" height="400" /><figcaption> รถ Chevy Cruze ซีดานขนาดเล็กประหยัดน้ำมันที่มียอดขายลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ GM ตัดสินใจปิดโรงงานผลิตใน Ohio</figcaption></figure>

สำหรับฐานผลิตใน Lordstown นั้นมีการผลิตมานานกว่า 50 ปี ซึ่ง GM ประเมินว่าจะมีการปลดคนงานกลุ่มจ้างงานรายชั่วโมงราว 1,700 คนในโรงงานดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม GM กับ UAW จะมีการเจรจาสัญญาฉบับใหม่ในปีนี้ แต่ขณะนี้ UAW อยู่ระหว่างฟ้องร้องบริษัท GM โดยยกข้อกำหนดในสัญญาฉบับปัจจุบันว่า GM ไม่สามารถหยุดการปฏิบัติงานในฐานผลิตได้ ซึ่งสัญญาฉบับดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายนนี้

&nbsp;
<h2>แรงงานยานยนต์ ฐานเสียงสำคัญของ Trump</h2>
ฟาก Trump นั้นหาเสียงกับกลุ่มผู้ใช้แรงงานมาตั้งแต่เริ่มประกาศลงสมัครเป็นประธานาธิบดีในปี 2015 ตลอดการหาเสียงของเขา Trump จะจี้ประเด็นเรื่องโรงงานผลิตที่ย้ายฐานออกไปนอกประเทศโดยเฉพาะที่เม็กซิโกและจีนอยู่เสมอ

เมื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดี Trump ได้เริ่มตั้งกำแพงภาษีเพื่อบังคับให้โรงงานผลิตในสหรัฐฯ ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งนโยบายนี้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มบริษัทยานยนต์ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าภาษีนำเข้าเหล็กทำให้ต้นทุนบริษัทเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีต่อบริษัท และโจมตีว่ากำแพงภาษีนี้มีส่วนทำให้บริษัทต้องลดจำนวนแรงงาน

หนึ่งในข้อความ Twitter ที่ Trump ทวีตออกไป ตัวอย่างเช่น “เพราะเศรษฐกิจนั้นดีมาก General Motors ต้องเปิดโรงงานผลิตที่ Lordstown, Ohio โดยเร็ว!!! อาจจะเป็นในรูปแบบอื่นหรือมีเจ้าของใหม่ก็ได้ Toyota กำลังลงทุนมูลค่า 1.35 หมื่นล้านเหรียญในสหรัฐฯ เจ้าอื่นก็เหมือนกัน GM ต้องดำเนินการโดยด่วน!!! เวลาเป็นสิ่งสำคัญ!”

<figure><img class="size-full wp-image-5796" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/063_1128941496.jpg" alt="" width="768" height="512" /><figcaption> เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2019 พนักงานโรงงานรถยนต์ในเมือง Lordstown ประท้วงเรียกร้องให้ GM เปิดโรงงานในสหรัฐฯ ต่อไป (PHOTO CREDIT: Jeff Swensen/Getty Images/AFP)</figcaption></figure>

ฝ่าย GM ออกแถลงการณ์ในห้วงเวลาที่คาดเดาได้ว่าเป็นการตอบโต้ Trump ดังนี้ “เพื่อให้กระจ่างชัด ภายใต้เงื่อนไขข้อตกลงระหว่าง UAW กับ GM อนาคตของโรงงานผลิตที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้นี้จะคลี่คลายและตกลงกันระหว่าง GM กับ UAW เรายังคงเปิดกว้างในการพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย แต่จุดมุ่งเน้นหลักของเรายังคงอยู่ที่พนักงานของบริษัท และได้ให้ข้อเสนอตำแหน่งงานในฐานผลิตอื่นของเราที่กำลังสร้างโอกาสการเติบโต"

"ขณะนี้เราได้โยกย้ายพนักงานกว่า 1,000 คนจากฐานผลิตที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ไปยังฐานผลิตอื่นๆ ของ GM แล้ว และเรามีโอกาสในการทำงานเปิดให้กับพนักงานทุกคนที่ได้รับผลกระทบ”

รัฐ Ohio นั้นมีความสำคัญทางการเมืองอย่างมากต่อการเลือกตั้งปี 2020 ที่กำลังจะมาถึง ไม่เพียงแต่รัฐนี้จะถูกพิจารณาว่าเป็นรัฐ swing vote ที่ชี้ชะตาการเลือกตั้งในปี 2016 ซึ่ง Trump ได้กำชัยชนะ แต่ยังเป็นรัฐที่มีอดีตผู้ว่าการรัฐและสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่าง John Kasich ซึ่งมักจะวิพากษ์วิจารณ์ Trump อยู่บ่อยครั้งและ ‘เสียงดัง’ พอที่จะเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงกับประธานาธิบดี Trump ในศึกการเลือกตั้งขั้นต้น (primary vote) เพื่อหาตัวแทนพรรคในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้า

มองอีกมุมหนึ่ง Lordstown นับเป็นฐานผลิตที่ล้าหลัง โดยมีการผลิตที่มุ่งเน้นรถรุ่นเดียวมานานหลายปี การที่ GM จะย้ายฐานผลิตรถประเภทครอสโอเวอร์หรือเอสยูวีมาที่ Lordstown นั้นไม่ได้อยู่เหนือความเป็นไปได้ แต่ GM อาจเลือกที่จะปิดโรงงานไปก่อนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้กับตนเองเมื่อต้องทำการเจรจาข้อตกลงฉบับใหม่กับสหภาพแรงงานฯ ในปีนี้

&nbsp;

GM โต้กลับ หลัง Trump ทวีตเดือดเหตุบริษัทปิดโรงงานใน Ohio

Twitter ไทย โตเร็วที่สุดในอาเซียน! รุกหนักจีบพันธมิตรสื่อเปิดช่องลงโฆษณา

<h2 class="p1">Colin Kroll ผู้ร่วมก่อตั้งแอปพลิเคชั่น Vine เเละซีอีโอของแอปพลิเคชั่นเกมสุดฮิตอย่าง HQ Trivia วัย 35 ปี ถูกพบเสียชีวิตในอพาร์ทเมนต์ของตัวเองในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา </h2>
สำนักงานตำรวจของนครนิวยอร์ก เปิดเผยว่า เเฟนสาวของ Kroll ได้โทรเเจ้งตำรวจให้เข้าตรวจสอบอพาร์ทเมนต์ดังกล่าว เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 15 ธันวาคม ตามเวลาท้องถิ่น เนื่องจากไม่สามารถติดต่อเขาได้  จากนั้นเมื่อตำรวจเข้าค้นห้องของ Kroll พบว่ามีอุปกรณ์การเสพยาเสพติดวางอยู่ใกล้ๆตัวและเขาได้เสียชีวิตแล้ว เจ้าหน้าที่จึงสันนิษฐานเบื้องต้นว่าสาเหตุการเสียชีวิตอาจมาจากการเสพยาเกินขนาด ซึ่งจะทำการสืบสวนต่อไป
สำหรับ Colin Kroll  ได้ร่วมกับเพื่อนอย่าง  Dom Hofmann และ Rus Yusupov ก่อตั้ง Vine แอปพลิเคชั่นเเพลตฟอร์มวิดิโอสั้นชื่อดังขึ้น จากนั้นได้ขายกิจการให้กับ Twitter ในปี 2012  ด้วยมูลค่า 30 ล้านเหรียญเเละ Kroll ได้ลาออกจาก Twitter หลังจากนั้น
ต่อมา Kroll ได้ร่วมกับเพื่ออีกหลายคนก่อตั้ง HQ Trivia ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเมื่อครั้งเปิดตัว เมื่อปี 2017 เเละเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เเต่ในปีนี้กระเเสความฮิตกลับลดลงอย่างมาก อีกทั้ง Kroll ต้องเผชิญปัญหาชีวิตในหลายด้าน รวมถึงการที่นักลงทุนเริ่มระมัดระวังการให้เงินทุน หลังจากเขาถูกเปิดเผยว่าเคยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับเพื่อนร่วมงานหญิงในช่วงที่ทำงานอยู่ที่ Vine
เเละก่อนหน้านี้ ยังมีรายงานข่าวออกมาว่า ซีอีโอ HQ Trivia มีพฤติกรรมการทำงานที่ก้าวร้าวเเละรุนเเรง เเต่ภายหลังบริษัทได้ออกมาเเถลงว่าได้ทำการสืบสวนเเล้วไม่ได้พบปัญหาดังกล่าว
ขณะที่ล่าสุดมีข่าวว่า HQ Trivia กำลังเตรียมปล่อยเเอปฯ เกมตัวใหม่ที่เกี่ยวกับการทำนายคำศัพท์ที่มีชื่อว่า HQ Word ออกมาตีตลาดด้วย จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าใครจะขึ้นมาบริหาร HQ Trivia  ต่อไป
โดยทาง HQ Trivia ได้ทวีตแสดงความอาลัยและเสียใจต่อการสูญเสียครั้งนี้ว่า
“วันนี้เราได้เรียนรู้ถึงการจากไปของ Colin Kroll เพื่อนเราและผู้ก่อตั้งของเรา เเละรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่เราต้องบอกลาเขา โดยขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัว เพื่อน และคนที่รัก ในระหว่างที่พวกเขากำลังเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้” 
https://twitter.com/hqtrivia/status/1074387943865942019?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1074387943865942019&amp;ref_url=https%3A%2F%2Ftechsauce.co%2Fnews%2Fcofounder-vine-ceo-hq-trivia-colin-kroll-has-died%2F

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.theverge.com/2018/12/16/18143212/vine-hq-co-founder-colin-kroll-died-apparent-drug-overdose">Vine and HQ Trivia co-founder Colin Kroll has died in an apparent drug overdose</a></li>
 	<li><a href="https://www.tmz.com/2018/12/16/colin-kroll-dead-drug-overdose-od-hq-trivia-twitter-vine/?vtest=100">HQ Trivia Co-Founder and CEO Colin Kroll Dead at 35 of Apparent Drug Overdose</a></li>
</ul>

Colin Kroll ผู้ร่วมก่อตั้ง Vine และแอปฯเกมชื่อดัง HQ Trivia เสียชีวิตแล้วในวัย 35 ปี

เรื่อง: SARITHA RAI เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรม 
&nbsp; 
ในอินเดียผู้คนโทรศัพท์หากันโดยปล่อยให้สายดังสักทีสองทีก่อนจะวางหูเพื่อหลีกเลี่ยงค่าโทรศัพท์ พฤติกรรม &ldquo;สายที่ไม่ได้รับ&rdquo; (missed call) อันหลักแหลมที่แทบจะกลายเป็นนิสัยติดตัวของชาวอินเดียนี้ ประหนึ่งเป็นการสื่อสารข้อความที่มีการตกลงกันไว้ก่อนแล้ว เช่น &ldquo;ฉันมาถึงแล้ว&rdquo; 
&nbsp; 
&ldquo;ฉันเริ่มสังเกตว่าผู้คนใช้โทรศัพท์แตกต่างกันไป และนั่นคือจุดกำเนิดของ ZipDial&rdquo; Velerie Wagoner 
 
เมื่อ Velerie Wagoner ตั้งใจว่าจะหาช่องทางธุรกิจจากพฤติกรรม ที่ว่านี้ให้ได้ จากการก่อตั้ง ZipDial เมื่อปี 2010 และในเดือนมกราคม ZipDial ธุรกิจเล็กๆ ของเธอใน Bangalore ก็ถูก Twitter ซื้อด้วยเงินที่ว่ากันว่ามากถึง 30 ล้านเหรียญ 
 
และแถลงการณ์ของบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จาก San Francisco ที่ออกภายหลังบรรลุข้อตกลงกับ ZipDial ระบุว่า &ldquo;ความร่วมมือระหว่าง Twitter กับ ZipDial ช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลดีๆ สะดวกขึ้นสำหรับทุกคน&rdquo; 
&nbsp; 
Wagoner บอกว่า "ในตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดียนั้น แม้ว่าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจะได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ผู้ใช้เพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้" 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="367" src="/uploads/userfiles/images/May%202015/zipdial-01.jpg" width="492" />&nbsp; 
บริษัทโตแบบฉุดไม่อยู่ จนขณะนี้มีลูกค้ากว่า 500 ราย ยิ่งผู้เล่นสำคัญๆ ในตลาด e-commerce ของอินเดียอย่าง Amazon, Flipkart หรือ Uber ต่างก็ใช้บริการของ ZipDial เป็นตัวเร่งยอดดาวน์โหลด app โดยเมื่อคาดเดารุ่นโทรศัพท์ของผู้ใช้บริการ ZipDial ได้แล้วจะส่งข้อความหาพวกเขา โดยระบุ link สู่หน้าเว็บสำหรับดาวน์โหลด (ซึ่งช่วยให้พวกเขาประหยัดค่าอินเทอร์เน็ตได้เพราะไม่ต้องเสียเวลาค้นหา) 
<hr />
<a href="http://goo.gl/6pbsXG">คลิ๊กเพื่ออ่าน "Missed Calls พันล้าน ธุรกิจใหม่ของ Twitter ในอินเดีย" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ APRIL 2015</a>

Missed Calls พันล้าน ธุรกิจใหม่ของ Twitter ในอินเดีย

<h2>Facebook มีเรื่องราวการย้อนความหลังเป็นจุดขาย Twitter ถ่ายทอดเหตุการณ์ปัจจุบัน ส่วนPinterest สามารถระบุได้ว่าคุณอาจจะทำหรือซื้ออะไรในอนาคต ด้วยข้อมูลจากการปักหมุดความต้องการและความฝันที่คุณสนใจ เครือข่ายสังคมออนไลน์ทำรูปแบบธุรกิจมูลค่า 5 พันล้านเหรียญไว้ในมือ โดยจะต้องฟันฝ่ายักษ์ใหญ่อย่าง Google</h2>
<div>แม้เพิ่งเปิดบริการมาได้เพียง 5 ปี แต่ Pinterest เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่รู้จักกันดี ที่ผู้ใช้งานสามารถแบ่งปันรูปสูตรอาหาร ทรงผม เครื่องใช้สำหรับเด็ก ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ โดยมีสัดส่วนผู้ใช้งานเป็นเพศหญิงถึง 80%</div>
<div></div>
<div>Pinterest ได้รับความนิยมมากกว่า Twitter ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ ประเมินกันว่าคนอเมริกัน</div>
<div>จะใช้บริการ Pinterest ทะลุ 40 ล้านรายในปี 2014  ขึ้นไปทาบ Twitter และ Instagram ในตลาดสหรัฐฯ และในตลาดต่างประเทศก็กำลังไล่กวดอย่างรวดเร็ว โดยได้เปิดสำนักงานใน London Paris Berlin และ Tokyo</div>
<div></div>
<div>จากการสำรวจของบริษัทวิจัยตลาด Semiocast เปิดเผยว่าสัดส่วนผู้ลงทะเบียนใช้งานใหม่เกือบ 50% เกิดนอกสหรัฐฯ และยังมีผู้ใช้งานเพศชายที่ออนไลน์เป็นประจำพุ่งขึ้นเป็น 2 เท่า</div>
<div></div>
<div>ข้อมูลล่าสุด ผู้ใช้ Pinterest ได้สร้างบอร์ดรูปภาพมากกว่า 750 ล้านบอร์ด ซึ่งเกิดจากการปักหมุดมากกว่า 3 หมื่นล้านครั้ง โดยเพิ่มขึ้นใหม่เฉลี่ยวันละ 54 ล้านครั้ง คัวเลขช่วงเทศกาลวันหยุดยาวสิ้นปี 2013 เกิดกิจกรรมส่งข้อมูลถึงกันในสังคมออนไลน์  ผ่าน Pinterest ถึง 1 ใน 4  เป็นรองแค่ Facebook ซึ่งมีฐานผู้ใช้ 1.3 พันล้านราย</div>
<div></div>
<div>หากจุดขายของ Facebook คือเหตุการณ์ในอดีต Twitter คือเรื่องราวในปัจจุบัน ฉะนั้น Pinterest เน้นเรื่องอนาคต</div>
<div></div>
<div>“มันคือเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่คุณปรารถนาและอยากจะทำในอนาคต” Ben Sibermann ซีอีโอของ Pinterest กล่าวไว้  ขณะที่ Joanne Bradford ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ กล่าวว่า “การปักหมุดแต่ละครั้งล้วนมีความหมาย มันบอกว่า ฉันกำลังมองหาโอกาสที่จะเอาสิ่งนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตของฉัน เหมือนเวลาที่คนเราฉีกหน้านิตยสารที่ชอบมาเก็บไว้”</div>
<div></div>
<div>ปัจจุบันแหล่งรายได้เดียวของ Pinterest คือโฆษณา ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ข้อมูลจากการสำรวจระบุว่าผู้ใช้ Pinterest มักจะโพสต์ลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าสินค้า และซื้อสินค้าราคาสูงมากกว่าผู้ใช้บริการสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ  หาก Pinterest ต้องการขึ้นเป็นผู้นำตลาดด้านนี้ในอนาคต จะต้องโค่นยักษ์ใหญ่อย่าง Google ซึ่งมีธุรกิจแบบเดียวกัน ที่เก็บข้อมูลความต้องการผู้บริโภค และขายให้กับนักการตลาด</div>
<div></div>
<div>Silbermann เคยทำงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ในฝ่ายโฆษณาของ Google ย่อมรู้ดีว่าเขาต้องเผชิญกับอะไร เขาบอกว่า Google เป็นเหมือน “อัลบั้มรวบรวมรายการ” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยแล้ว มันจะมีประโยชน์เมื่อผู้ใช้รู้ว่ากำลังมองหาอะไร</div>
<div></div>
<div>ขณะที่ Evan Sharp ผู้ร่วมก่อตั้ง สรุปสั้นว่า “Pinterest เปิดโลกใหม่ให้ผู้ใช้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่ามีอยู่”</div>
<div></div>
<div>

<hr />

“นวตา สันติวัฒนา” เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/jeffbercovici/2014/10/15/inside-pinterest-the-coming-ad-colossus-that-could-dwarf-twitter-and-facebook/">Inside Pinterest: The Coming Ad Colossus That Could Dwarf Twitter And Facebook</a> โดย Jeff Bercovici

</div>
<div>อ่าน “ผู้ท้าชิงรายใหม่แห่งสังคมสื่อออนไลน์” ฉบับเต็มใน Forbes Thailand ฉบับ DECEMBER 2014</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events