<h2>Warren Buffett แนะ 1 สิ่งสำคัญที่เหล่าบรรดาพ่อแม่ควรทำ ไม่ว่าจะมีฐานะปานกลางหรือร่ำรวยมหาศาล นั่นก็คือ การทำพินัยกรรมก่อนที่ตนเองจะเสียชีวิต </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Warren Buffett มหาเศรษฐีนักลงทุนชาวอเมริกัน ผู้มีความมั่งคั่งร่ำรวยกว่า 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และในฐานะคุณพ่อลูก 3 เขาได้แนะนำให้เหล่าบรรดา ‘พ่อแม่’ ทุกคน ป้องกันปัญหาใหญ่ที่อาจจะขึ้นได้ในอนาคต “ไม่ว่าคุณจะมีฐานะปานกลางหรือมีทรัพย์สมบัติมหาศาลเพียงใด จงเปิดโอกาสให้ลูกๆ ของคุณได้พูดคุยและอ่านรายละเอียดในพินัยกรรมก่อนที่จะทำการลงนาม เพื่อให้พวกเขาเคารพการตัดสินใจของการแบ่งสมบัติให้แต่ละคนก่อนที่คุณจะเสียชีวิต” Buffett กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Douglas Boneparth นักวางแผนทางการเงิน ผู้ก่อตั้งและประธาน Bone Fide Wealth ในนิวยอร์กซิตี้ เห็นด้วยกับคำแนะนำของ Warren โดยกล่าวว่า “แม้มันจะเป็นบทสนทนาที่ยากลำบาก แต่ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญและยังช่วยให้เกิดความเข้าใจ กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวมากขึ้นได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จินตนาการของลูกๆ อาจจะเตลิดคิดไปไกล พร้อมคาดหวังกับสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาคิดว่าตัวเองจะได้รับ ดังนั้น การพูดคุยและเปิดเผยให้เห็นรายละเอียดต่างๆ ในพินัยกรรมเพื่อสร้างความชัดเจนที่ถูกต้อง ก็น่าจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สมบัติระหว่างพี่น้องในยามที่พ่อแม่จากไปแล้วได้” Boneparth กล่าวเสริม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Buffett ยังเผยให้ฟังอีกด้วยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาได้เห็นถึงปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ในหลายๆ ครอบครัวหลังจากทำการเปิดพินัยกรรม หลายคนต้องเจอกับความรู้สึกโกรธเกรี้ยว ผิดหวัง และรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนั้น หากพ่อแม่ไม่สามารถจัดการแบ่งสรรปันส่วนของสมบัติหรือกองมรดกให้แก่ลูกหลานอย่างเท่าเทียมกันได้ ก็จำเป็นต้องมีคำอธิบายว่า ‘ทำไม’ การแบ่งมรดกถึงออกมาเป็นเช่นนี้?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Boneparth ยังบอกด้วยว่า บางครั้งลูกคนหนึ่งก็อาจจะได้รับเงินมรดกมากกว่าลูกอีกคนหนึ่ง เพราะพ่อแม่เห็นว่ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องได้รับเงินช่วยเหลือในด้านต่างๆ มากกว่า อาทิ ค่าเงินดาวน์และผ่อนบ้าน หรือค่าเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่มีราคาแพง ซึ่งลูกคนดังกล่าวอาจจะได้รับมรดกเป็นเงินรายงวดเพื่อให้บริหารจัดการได้ง่ายขึ้น เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Carolyn McClanahan ผู้ก่อตั้ง Life Planning Partners ในเมืองแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา ยังให้ความเห็นด้วยว่า เมื่อคุณต้องดำเนินการเอกสารทางพินัยกรรม บางครั้งก็ควรจะถามลูกหลานของตนเองก่อนด้วยว่าเงินหรืออสังหาริมทรัพย์ส่วนใดที่มีความจำเป็นสำหรับพวกเขา ขณะเดียวกันหากพ่อแม่บางคนมีความรู้สึกว่าลูกหลานของตนเองต้องยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือโตพอที่จะรับรู้ข้อมูล และยังรู้สึกถึงแสวงหาผลประโยชน์หรือเอาเปรียบจากทรัพย์สมบัติที่พวกเขามีอยู่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การแบ่งปันให้ลูกหลานรับรู้ข้อมูลต่างๆ ในพินัยกรรมก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะแต่ละครอบครัวมีความแตกต่างกัน ดังนั้นการเขียนพินัยกรรมแบ่งสมบัติพร้อมแจกแจงรายละเอียดว่าใครควรได้รับอะไร เพราะเหตุใด ให้ลูกได้อ่านหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้วก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกที่เหมาะสมได้เช่นกัน” McClanahan กล่าว แปลและเรียบเรียงจากบทความ:&nbsp;<a href="https://www.cnbc.com/2024/11/25/warren-buffett-one-thing-all-parents-should-do-with-their-estate-plan.html" alt="Warren Buffett suggests all parents do one thing before they die, whether they have ‘modest or staggering wealth’">Warren Buffett suggests all parents do one thing before they die, whether they have ‘modest or staggering wealth’</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/thomas-gayner-want-to-be-like-warren-buffett" alt="เมื่อ Thomas Gayner อยากเป็นอย่าง 'Warren Buffett'">เมื่อ Thomas Gayner อยากเป็นอย่าง 'Warren Buffett'</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

​Warren Buffett แนะ 'พ่อแม่' แม้จะฐานะปานกลางหรือรวยมหาศาล ควรทำ 'พินัยกรรม' ก่อนเสียชีวิต 

<h2>Thomas Gayner ไต่เต้าจากการเป็นนายหน้าค้าหุ้นจนขึ้นมานั่งแท่นเบอร์ 1 ของ Merkel Group กิจการประกันเฉพาะทางมูลค่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน Virgina ซึ่งถนัดด้านการลงทุนในหุ้นและกิจการนอกตลาด และนี่คือเรื่องราวของชายผู้ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพพยากรณ์แห่ง Omaha (ฉายานามของ Warren Buffett) </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Thomas Gayner เป็นคนช่างเล่า เขาเล่าถึงตอนที่เรียนจบจาก University of Virginia เมื่อปี 1983 และมีแผนจะกลับบ้านที่ Salem ใน New Jersey เพื่อรับช่วงกิจการบริษัทบัญชีต่อจาก Jack พ่อของเขา&nbsp; แต่ปรากฏว่าพ่อของเขาเสียชีวิตกะทันหันเขาจึงเบนเข็มไปทำงานที่ Davenport &amp; Co. ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าค้าหุ้นใน Richmond แทน หลังจากเข้าไปทำงานได้ไม่นาน Gayner ได้อ่านบทความเกี่ยวกับนักลงทุนจาก Omaha ซึ่งทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจอย่างมากจนต้องเก็บเอาไปเล่าให้หัวหน้าของเขาฟัง “นี่แน่ะ Joe” Gayner เรียกหัวหน้าของเขา “คุณเคยได้ยินชื่อชายคนนี้ไหม Warren Buf-fay?” “เขาชื่อ Buffett ต่างหากเจ้าโง่” Joe ตอบและไล่ Gayner ให้ออกไปจากห้องทำงานของเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;40 ปีผ่านไป Gayner ในวัย 62 ปี ไต่เต้าขึ้นมาจนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างน่าประทับใจโดยมี Buffett เป็นบุคคลต้นแบบที่เขาเลื่อมใสศรัทธา ถึงแม้ Gayner จะมองว่าตัวเองโง่ที่ไม่ได้ซื้อหุ้น Berkshire Hathaway เมื่อปี 1984 ตอนที่ราคาหุ้นอยู่ที่ 1,275 เหรียญ (ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 612,500 เหรียญ) แต่จากการศึกษาเรื่องราวของ Buffett ทำให้เมื่อปี 1986 Gayner ได้เข้าไปลงทุนใน Markel บริษัทประกันวินาศภัย และ อสังหาริมทรัพย์เอกชนซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวที่แทบไม่มีใครรู้จัก Gayner วาดฝันไว้ว่า Markel จะสร้างชื่อเสียงให้กับ Richmond เป็นเหมือนกับที่ Berkshire สร้างชื่อให้กับ Omaha&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Davenport ทำหน้าที่รับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ Merkel Group มูลค่า 30 ล้านเหรียญเมื่อปี 1986 ซึ่งงานนั้นทำให้ Gayner กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับ Steve Markel หลานของผู้ก่อตั้งบริษัท และปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริษัทซึ่งมีวิธีคิดแหวกแนวด้วยการนำกำไรของบริษัทไปลงทุนในหุ้น ทั้งของบริษัทจดทะเบียนในตลาดและของบริษัทนอกตลาดซึ่งแตกต่างจากบริษัทประกันส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งมักจะเน้นลงทุนแบบไม่เสี่ยงและหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนแน่นอนอย่างเช่นพันธบัตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 1990 Gayner ลาออกจาก Davenport เพื่อมาดูแลพอร์ตการลงทุนของ Markel โดยหุ้นตัวแรกที่เขาซื้อคือ Berkshire Hathaway ที่ราคา 5,750 เหรียญ ซึ่งหลังจากเวลาผ่านไป 34 ปี Gayner ซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่มอีกเป็นจำนวนมากทำให้เครือ Markel มีกำไรที่ยังไม่รับรู้จากมูลค่าหุ้นของ Berkshire Hathaway เพียงตัวเดียวถึงกว่า 1 พันล้านเหรียญจากกำไรที่ยังไม่รับรู้ทั้งหมด 7 พันล้านเหรียญในพอร์ตหุ้นของ Markel ทั้งนี้ในปี 2023 มูลค่าสินทรัพย์ของ Markel อยู่ที่ 5.7 หมื่นล้านเหรียญ ในขณะที่รายได้อยู่ที่ 1.58 หมื่นล้านเหรียญ โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในปัจจุบันอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นมหาศาลจากแค่ 60 ล้านเหรียญตอนที่ Gayner เพิ่งเข้ามาทำงานเต็มเวลาที่บริษัทแห่งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ราคาหุ้น Markel พุ่งทะยานในปี 2005 เมื่อ Gayner ได้ทำดีลซื้อกิจการบริษัท AMF Systems ซึ่งเป็นบริษัทใน Richmond ที่ผลิตอุปกรณ์เบเกอรี่ หลังจากที่ Gayner ทำงานที่ Markel มาได้ 15 ปี “โดยมีโมเดลของ Berkshire อยู่ในใจตลอดเวลา” และ Ken Newsome ซึ่งเป็นซีอีโอของ AMF และเป็นเพื่อนที่ไปโบสถ์เดียวกันเข้ามาคุยกับเขาเพราะผู้ถือหุ้นนอกตลาดของ AMF อยากจะขายหุ้นออกแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Newsome บอกว่า “(คนที่ลงทุนใน) หุ้นนอกตลาดไม่สนใจแก่นแท้ของธุรกิจหรอก” Gayner ได้ทำการศึกษาบัญชีของบริษัทและได้ข้อสรุปว่ามันเป็น “บริษัทที่ดีแต่เสียที่งบดุลแย่” ดังนั้น Markel จึงได้เข้าไปซื้อหุ้น AMF โดยในช่วงแรกเข้าไปซื้อหุ้น 80% ที่ราคาประมาณ 14 ล้านเหรียญ พร้อมทั้งช่วยชำระหนี้ให้บางส่วน และให้สัญญาว่าจะเก็บบริษัทแห่งนี้เอาไว้ “ตลอดไป” Newsome บอกว่า นับจากนั้นเป็นต้นมารายได้ของ AMF ก็เพิ่มขึ้นมาถึง 8 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gayner บอกว่า Markel Group ในวันนี้มี “เครื่องยนต์ 3 ตัว” ซึ่งได้แก่ การรับประกันภัย การลงทุนในหุ้น และการเข้าซื้อบริษัทนอกตลาดในระดับที่มีอำนาจควบคุมกิจการได้ โดยดำเนินการผ่าน Markel Ventures นอกจากนี้ Markel ยังทำตามอย่าง Warren ด้วยการจัดพิมพ์และส่งจดหมายถึงผู้ถือหุ้นแบบตรงไปตรงมาและไม่เป็นทางการเป็นประจำทุกปีด้วย หลังจากที่ผลประกอบการบริษัทออกมาดีเมื่อปี 2021 จดหมายถึงผู้ถือหุ้นในปีนั้นเขียนออกมาในท่วงทำนองเดียวกับเนื้อเพลง “Something So Right” ของ Paul Simon ทั้งนี้ผลตอบแทนรายปีสะสมของ Berkshire Hathaway ในช่วง 58 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่19.8% ในขณะที่ผลตอบแทนรายปีของ Markel ในช่วง 38 ปีที่บริษัทได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนแล้วอยู่ที่ 15%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระแสเงินสดซึ่งรวมถึงเม็ดเงิน 3 หมื่นล้านเหรียญจากเครื่องยนต์ของ Markel ทำให้ Gayner สามารถบริหารสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นเงินทุนถาวรได้ “ผมเล่นเกมที่ต่างไปจากคนส่วนใหญ่ในโลกการลงทุน” เขาบอก “การที่สามารถลงทุนยาวๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลกับสภาพคล่องรายวันถือเป็นความได้เปรียบ”&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;AMF ตอบโจทย์ครบตามเกณฑ์การลงทุนทั้ง 4 ข้อของ Markel ซึ่งได้แก่ การมีทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและซื่อสัตย์, มีทางเลือกให้นำกำไรกลับไปลงทุนต่อได้, มีผลตอบแทนจากเงินลงทุนที่ไม่ได้มาจากการก่อหนี้ และราคาสมเหตุสมผล “อย่าไปเอาเปรียบใครถึงแม้คุณจะมีโอกาสทำได้ก็ตาม” Gayner บอก “มันถือเป็นการทำกรรมดีและยังเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้ได้รับการแนะนำต่อในทางที่ดีในอนาคตอีกด้วย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา Markel Ventures ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 3.7 พันล้านเหรียญในการซื้อกิจการต่างๆ&nbsp; โดยในปีที่แล้วรายได้เพิ่มขึ้น 5% เป็น 5 พันล้านเหรียญ และกระแสเงินสด (Ebitda) เพิ่มขึ้น 24% เป็น 628 ล้านเหรียญ Markel Ventures ถือหุ้นในธุรกิจ 19 แห่ง เช่น Brahmin ดีไซเนอร์กระเป๋าถือแบรนด์หรูจาก Boston, Buckner Heavy Lift Cranes ในรัฐ North Carolina และ Costa Farms ซึ่งเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงไม้ประดับ กิจการล่าสุดที่ Gayner ซื้อเข้ามาเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2024 ที่ราคา 274 ล้านเหรียญคือหุ้น 51% ของ Metromont ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปที่ใช้สร้างโรงจอดรถและอาคารประเภทอื่นๆ ทั้งนี้กิจการทุกแห่งที่บริษัทเข้าไปซื้อล้วนแต่แข็งแกร่งแบบที่ Warren น่าจะเห็นชอบด้วย (อันที่จริงเมื่อไม่นานมานี้ Berkshire ก็เข้ามาถือหุ้น Markel ด้วย)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gayner บ่นว่า นักลงทุนตีมูลค่ากิจการของ Markel ต่ำเกินไปเพราะแนวทางการดำเนินงานแตกต่างไปจากบริษัทประกันภัยแบบดั้งเดิม โดยในปัจจุบันธุรกิจประกันภัยเป็นเครื่องยนต์ที่อ่อนแอที่สุดของบริษัท Brett Horn นักวิเคราะห์จาก Morning Star บอกว่า Markel ไม่ได้รุกหนักพอ แต่ก็ชื่นชมการคัดหุ้นของ Gayner ซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นในพอร์ตปรับตัวดีกว่าดัชนี S&amp;P 500 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากหุ้น Berkshire แล้วในพอร์ตของ Markel ยังมีหุ้นใหญ่ๆ อีก เช่น Alphabet, Amazon และ Deere &amp; Co. โดยมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นของ Markel ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาโตเฉลี่ย 11% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกเรื่องที่ Gayner เป็นเหมือนกับเทพพยากรณ์แห่ง Omaha นั่นก็คือ เขาชอบซื้อหุ้นคืน โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Markel ใช้เงินไป 700 ล้านเหรียญเพื่อซื้อหุ้นคืน และอนุมัติงบสำหรับซื้อหุ้นคืนในปี 2024 อีก 750 ล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ถ้าเราเดินหน้าซื้อหุ้นคืนในอัตราเท่านี้ไปเรื่อยๆ ในอีก 15 ปี เราจะซื้อหุ้นคืนได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่มีอยู่และภายใน 30 ปี เราจะซื้อหุ้นคืนได้ทั้งหมด” Gayner กล่าว โดยในปัจจุบัน หุ้น Markel ที่เขาถืออยู่คิดเป็นมูลค่า 89 ล้านเหรียญ “และในอีก 30 ปีข้างหน้าผมจะยังหนุ่มกว่า Buffett ตอนนี้เสียอีก” &nbsp; ​เรื่อง: Bob Ivry เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/world/america/secretive-billionaire-terry-ragon-thinks-he-can-cure-hiv" alt="Terry Ragon เศรษฐีพันล้านกับยาปราบ HIV ในฝัน">Terry Ragon เศรษฐีพันล้านกับยาปราบ HIV ในฝัน</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="300,394" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></a></figure></div>

เมื่อ Thomas Gayner อยากเป็นอย่าง 'Warren Buffett'

<h2>สำหรับบางคนเมื่ออายุมากขึ้นก็อาจจะอยากเกษียณจากอาชีพหรืองานที่ทำอยู่ และไปใช้เวลาทำอย่างอื่น แต่สำหรับ Bill Gates มหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของโลกแล้วดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น เขายังอยากสุขภาพแข็งแรงต่อไปอีกนานเพื่อทำงานยิ่งใหญ่อย่างเรื่องของ ‘สังคม’</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gates ในวัย 68 ปีกล่าวว่า เขาหวังว่าจะเดินตามรอยเพื่อนเก่าแก่อย่าง Warren Buffett ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอของ Berkshire Hathaway ในวัย 94 ปี Buffett ดูเหมือนจะยังไม่มีแผนเกษียณอายุในเร็วๆ นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Warren Buffett เพื่อนของผมยังคงเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละหกวัน” Gates บอกกับ CNBC Make It “ดังนั้น ผมหวังว่าสุขภาพของผมจะช่วยให้ผมเป็นเหมือน Warren ได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft รายนี้ยังคงมีหลายสิ่งที่เขาต้องการทำ เขาบอกว่าเขายังคงเป็น “ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี” ของ Microsoft และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการใช้ทรัพย์สินสุทธิของเขาซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 106,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามการประมาณการของ Forbes เพื่อระดมทุนสำหรับแก้ไขปัญหาระดับโลกที่เขามองว่าเร่งด่วนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการศึกษา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัญหาระดับโลกเหล่านี้เป็นจุดสนใจของโปรเจ็กต์ล่าสุดของ Gates อย่างสารคดีชุด “What's Next?” ของ Netflix ซึ่งมีทั้งหมด 5 ตอน และเริ่มฉายตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“มูลนิธิ [Bill &amp; Melinda Gates] จะฉลองครบรอบ 25 ปีในปีหน้า เรายังไม่ได้แก้ไขปัญหาโรคโปลิโอและมาลาเรีย ซึ่งผมทุ่มเทให้กับสิ่งเหล่านี้มาก” Gates กล่าวและบอกอีกว่า “เราต้องการลดจำนวนการเสียชีวิตของเด็กๆ ลงอีกครึ่งหนึ่ง จาก 5 ล้านคน เหลือ 2.5 ล้านคน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ Gates ต้องการอยู่ต่อไปอีกให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อทำงานในบทบาทตรงนี้ ซึ่งในความคิดของเขา นั่นหมายความว่า “อย่างน้อย 10 ปี ถ้าสุขภาพของผมเอื้ออำนวย สำหรับการทำงานในระดับนี้” เขากล่าวเสริมว่า “หวังว่าจะมากกว่า 20 หรือ 30 ปี” หลายปีกว่า Bill Gates จะมีบทเรียนในเรื่อง ‘งาน’&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ระดับงานในปัจจุบันของ Gates แตกต่างอย่างมากถ้าเทียบกับสมัยช่วงปลุกปั้นไมโครซอฟต์ในยุคแรกๆ ที่เขาทำงานหนักมาก เข้มข้นสุดๆ เพื่อทำให้ไมโครซอฟต์เติบโตและกลายเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตอนนี้ผมไม่ทำงานหนักเท่าเดิมแล้ว” Gates กล่าว “ตอนอายุ 20 ต้นๆ ผมไม่เชื่อในวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดพักร้อน ดังนั้น ผมจึงพยายามผลักดันตัวเองอย่างเต็มที่” เขาคาดหวังให้พนักงานแสดงทัศนคติที่คล้ายคลึงกัน ถึงขั้นที่ว่าเขาจำหมายเลขทะเบียนรถของพนักงานไว้ด้วย เพื่อที่เขาจะได้ “รู้ว่าพนักงานเข้ามาทำงานเมื่อไหร่ [และ] ออกจากงานเมื่อไหร่” เขากล่าวกับ BBC ในปี 2016&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Buffett เป็นคนโน้มน้าว Gates ให้ผ่อนปรนกับพนักงานและตัวเขาเอง มหาเศรษฐีนักลงทุนรายนี้บอก Gates ว่าเขาไม่จำเป็นต้อง “ทุ่มเวลาทุกนาทีในตารางงาน” เพื่อที่จะเป็นนักธุรกิจที่จริงจัง และสิ่งที่สำคัญกว่าคือการควบคุมเวลาของตัวเอง Gates บอกกับนักข่าว Charlie Rose ในบทสัมภาษณ์ร่วมกับ Buffett ในปี 2017&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยพื้นฐานแล้ว ผมสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่ผมต้องการ แต่ผมซื้อเวลาไม่ได้” Buffett กล่าวเสริมในบทสัมภาษณ์เดียวกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gates กล่าวว่าหลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนวิธีคิดและการใช้ชีวิตของตัวเอง โดยบอกกับนักศึกษาในพิธีรับปริญญาของ Northern Arizona University เมื่อปีที่แล้วว่า เขาหวังว่าจะมีคนบอกเขาเร็วกว่านี้ว่า “ให้พักเมื่อจำเป็น” ปัจจุบัน เขาสนุกกับเวลาว่างจริงๆ เขาเล่นเทนนิสเพื่อความสนุกสนาน และใช้เวลาพักร้อนอย่างแท้จริง อ่านหนังสือมากถึงสามชั่วโมงต่อวันในช่วงเวลาว่าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีหัวข้อที่น่าสนใจอีกมากมายที่ Gates ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เมื่อวานผมใช้เวลาอยู่กับโรคอัลไซเมอร์” เขากล่าว และเสริมว่า “ในแง่ของสติปัญญา การติดตามข้อมูลให้ทันสมัย แม้จะแค่เกี่ยวกับ [ปัญญาประดิษฐ์] เพียงอย่างเดียว ก็ใช้เวลานานมาก แต่ก็ยังทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างเหลือเชื่อ” แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.cnbc.com/2024/09/07/bill-gates-retirement-sounds-awful-ill-work-like-warren-buffett.html" alt="Bill Gates says he wants to work another 20 to 30 years: ‘Warren Buffett still comes into the office six days a week’">Bill Gates says he wants to work another 20 to 30 years: ‘Warren Buffett still comes into the office six days a week’</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/america/world/bill-gates-would-set-62-percent-tax-for-billionaires" alt="Bill Gates เผยมหาเศรษฐีควร ‘ตอบแทนสังคม’ และ ‘จ่ายภาษี’ แนะควรเก็บภาษีคนรวยที่อัตรา 62%">Bill Gates เผยมหาเศรษฐีควร ‘ตอบแทนสังคม’ และ ‘จ่ายภาษี’ แนะควรเก็บภาษีคนรวยที่อัตรา 62%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Bill Gates บอกอยากทำงานไปอีก 20-30 ปี เน้นเรื่องมูลนิธิแก้ปัญหาโลก และขนาด Buffett ยังทำงาน 6 วัน/สัปดาห์

<h2>เข้าสู่ปีที่ 43 กับการจัดอันดับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกาบนทำเนียบ Forbes 400 ที่รวบรวมรายชื่อและข้อมูลน่าสนใจของเหล่าผู้มั่งคั่ง 400 คนในดินแดนแห่งเสรีภาพ โดยในปีนี้ Elon Musk เจ้าพ่อ Tesla และ SpaceX ยังคงครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่สาม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes ได้รวบรวมข้อมูลจากหลายช่องทางเพื่อจัดทำเนียบ Forbes 400 ประจำปีนี้ ไม่ว่าจะสัมภาษณ์มหาเศรษฐีแต่ละคนตัวต่อตัวหรือออนไลน์ พูดคุยกับพนักงาน ผู้จัดการส่วนตัว ผู้จัดการทรัพย์สิน ที่ปรึกษาทางการเงิน คู่แข่ง เพื่อน และทนายของพวกเขา ตลอดจนศึกษาเอกสารของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ คำสั่งศาล บันทึกพินัยกรรม และข่าวสารต่างๆ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินทุกประเภท โดยข้อมูลมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของมหาเศรษฐีบนทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2024 แล้วเสร็จ ณ วันที่ 1 กันยายน 2024&nbsp; &nbsp;&nbsp;มหาเศรษฐีบนทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2024 นี้มีมูลค่าความมั่งคั่งรวมกัน 5.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ทว่าลำพังเพียง 25 อันดับแรกบนทำเนียบก็มีมูลค่าความมั่งคั่งรวมกันถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญแล้ว และสำหรับ 10 อันดับแรกก็ยังคงร่ำรวยจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมเสียส่วนใหญ่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ 10 อันดับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในอเมริกาแห่งทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2024 ได้แก่ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/43RLmb5S9mrdVCEdGWxw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="43RLmb5S9mrdVCEdGWxw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="0"></figure></div>อันดับ 1Elon Muskอายุ: 53 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 2.44 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Tesla และ SpaceX​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/KXBoXB8hwHDMtAsJ27BB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KXBoXB8hwHDMtAsJ27BB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="1"></figure></div>อันดับ 2 Jeff Bezosอายุ: 60 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.97 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Amazon​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/3JbYVrB8H9SRATDUe8Nq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3JbYVrB8H9SRATDUe8Nq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="2"></figure></div>อันดับ 3 Mark Zuckerbergอายุ: 40 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.81 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Facebook​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/WEU6G6cWvemqCGM6XCx5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="WEU6G6cWvemqCGM6XCx5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="3"></figure></div>อันดับ 4 Larry Ellisonอายุ: 80 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.75 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Oracle​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/tKoFWDsM3XRxeJErnwb6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tKoFWDsM3XRxeJErnwb6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="4"></figure></div>อันดับ 5 Warren Buffettอายุ: 94 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.50 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Berkshire Hathaway​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/qziQJmSLJe8VNsBoBEYM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="qziQJmSLJe8VNsBoBEYM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="5"></figure></div>อันดับ 6 Larry Pageอายุ: 51 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.36 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Google <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/DCpZdih8KRaHN1U1ExWv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DCpZdih8KRaHN1U1ExWv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="6"></figure></div>อันดับ 7Sergey Brinอายุ: 51 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.30 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Google​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/4HX8tZyjw6gCFpVpcYo5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4HX8tZyjw6gCFpVpcYo5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="7"></figure></div>อันดับ 8 Steve Ballmerอายุ: 68 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.23 แสนล้านเหรียญแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Microsoft​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/5mY2bRe7FLoXBSNbywtw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5mY2bRe7FLoXBSNbywtw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="8"></figure></div>อันดับ 9 Bill Gatesอายุ: 68 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.07 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Microsoft​ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/Lvy2sdfMmb4aJ6jBX1yw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Lvy2sdfMmb4aJ6jBX1yw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,300" style="" data-index="9"></figure></div>อันดับ 10 Michael Bloombergอายุ: 82 ปีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.05 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯแหล่งที่มาความมั่งคั่ง: Bloomberg LP แหล่งที่มา:&nbsp;<a href="https://www.forbes.com/sites/chasewithorn/2024/10/01/the-2024-forbes-400-the-25-wealthiest-people-in-america/" alt="The 2024 Forbes 400: The 25 Wealthiest People In America">The 2024 Forbes 400: The 25 Wealthiest People In America</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/fawn-weaver-uncle-nearest-black-history" alt="Fawn Weaver สานต่อเรื่องราวแห่งชาติพันธุ์ ชวนระลึกรสสุราปี 1856">Fawn Weaver สานต่อเรื่องราวแห่งชาติพันธุ์ ชวนระลึกรสสุราปี 1856</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

10 อันดับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในอเมริกาแห่งทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2024

<h2>สร้างความฮือฮาให้แก่เหล่าบรรดานักลงทุน หลังบริษัท Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ได้เทขายหุ้นล็อตใหญ่ของ Apple ออกมาอีกระลอกเป็นจำนวน 49.4% ส่งผลให้บริษัทนี้ทุบสถิติใหม่ในการถือครองเงินสดราวๆ 2.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวน่จะเป็นผลมาจากสไตล์การลงทุนของ Buffet ที่ไม่ต้องการให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีสัดส่วนในพอร์ตใหญ่มากเกินไป </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คลิปโฆษณา “The Underdogs: OOO (Out Of Office)⁣ ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง Apple ต้องเจอกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องความเหมาะสมในการนำเสนอมุมมองที่ผิดเพี้ยนต่อประเทศไทยซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำโฆษณาดังกล่าว&nbsp; ส่งผลให้ 2 สิงหาคม 2567 บริษัท Apple ได้ตัดสินใจลบคลิปวิดีโอพร้อมแถลงการณ์ขอโทษจากประเด็นดราม่าที่ร้อนแรงดังกล่าวในทันที​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/ASm5ZJXoW64525tpFFcE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="ASm5ZJXoW64525tpFFcE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งวันถัดมา 3 สิงหาคม 2567 ก็มีกระแสข่าว่าบริษัท Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett (วอร์เรน บัฟเฟตต์) นักลงทุนมือฉมังระดับตำนานวัย 93 ปี ได้ตัดสินใจขายหุ้น Apple ทิ้งเกือบครึ่งหนึ่งที่มีอยู่ในพอร์ตถึง 49.4% จึงทำให้เหล่าบรรดานักลงทุนต่างจับตาว่าการตัดสินใจขายหุ้นครั้งนี้จะมีผลต่อหุ้น Apple หรือไม่ และเหล่าบรรดาชาวโซเชียลในไทยเองต่างก็สงสัยว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้จะมีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า ซึ่งโดยปกติแล้ว Warren Buffett จะเน้นบริหารการเงินในรูปแบบการลงทุนระยะยาวและไม่ต้องการให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีสัดส่วนในพอร์ตใหญ่มากเกินไป โดยหลังจากขายหุ้น Apple ล่าสุดในล็อตนี้ไป บริษัทของเชามีกระแสเงินสดอยู่ในมือสูงถึง 2.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำนักข่าว CNBC ยังรายงานข้อมูลด้วยว่า Berkshire Hathaway คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ Apple Inc. โดยถือหุ้น Apple มูลค่า 8.42 หมื่นล้านเหรียญ และได้ขายหุ้น Apple ออกไปในไตรมาสแรกจำนวน 13% โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องของภาษีหลังจากนั้นจึงได้เทขายหุ้นล็อตใหญ่ล่าสุดอีกครั้งในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเป็นจำนวน 49.4% ถือเป็นการทุบสถิติใหม่ของเงินสดสำรองที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.77 แสนล้านเหรียญ ตามที่กล่าวมาในข้างต้น และถึงแม้ว่าจะเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม Berkshire Hathaway ก็ยังมีสัดส่วนหุ้น Apple อยู่ในพอร์ตมากที่สุดอยู่ดี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/iboz2xMBzjzrU6WwjEFu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="iboz2xMBzjzrU6WwjEFu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่า การเทขายหุ้น Apple ในปีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นของ Berkshire ในระยะยาว หากรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการเพิ่มภาษีจากกำไรจากการขายหุ้นในอนาคต เพื่ออุดช่องว่างงบประมาณที่ขาดดุล แต่เมื่อดูสัดส่วนของการขายครั้งนี้ก็อาจบ่งชี้ว่าได้ว่าน่าจะเป็นมากกว่าแค่เรื่องภาษีจริงๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ความเคลื่อนไหวด้านราคาหุ้นของ Apple นั้น ความกังวลว่าบริษัทจะล้าหลังในด้านนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงในไตรมาสแรก หลังจากนั้นจึงพุ่งขึ้นในไตรมาสที่ 2 โดยเพิ่มขึ้น 23% สู่ระดับที่ทุบสถิติใหม่ เนื่องจากผู้ลงทุนได้รับข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของ AI&nbsp; แปลและเรียบเรียงจากบทความ: <a href="https://www.cnbc.com/2024/08/03/warren-buffetts-berkshire-hathaway-sold-nearly-half-its-stake-in-apple.html" alt="Warren Buffett’s Berkshire Hathaway sold nearly half its stake in Apple">Warren Buffett’s Berkshire Hathaway sold nearly half its stake in Apple</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/fti-herbs-factories-are-under-standard" alt="อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยวิกฤต! ส.อ.ท. เผยโรงงาน 500 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน เสี่ยงถูกปิดตัว"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/motoring/scbeic-ev-motor-thailand-2024" alt="SCB EIC เผยตลาดรถยนต์ไทยแข่ง ‘หั่นราคา’ แม้ EV ใช้แล้วราคาร่วงแรง แต่ค่าใช้จ่ายรวมฯ ยังถูกกว่า">SCB EIC เผยตลาดรถยนต์ไทยแข่ง ‘หั่นราคา’ แม้ EV ใช้แล้วราคาร่วงแรง แต่ค่าใช้จ่ายรวมฯ ยังถูกกว่า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บริษัท Berkshire ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุบสถิติใหม่ถือเงินสด 2.77 แสนล้านเหรียญ หลังเทขายหุ้น Apple 49% 

<h2>มหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง Warren Buffett ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จตลอดกาล แต่ไม่ใช่แค่ความมั่งคั่งเท่านั้น เขายังเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาในการบรรลุความสำเร็จอันน่าทึ่งอีกด้วย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บทเรียนและหลักการอันเหนือกาลเวลาของ Buffett เกี่ยวกับความสำเร็จนั้นโดนใจผู้คนในทุกสาขาอาชีพ คำแนะนำของเขาหลายๆ ครั้ง สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมาย รวมถึงคำแนะนำ 3 ข้อนี้ ที่น่าจะเหมาะกับทุกคนที่แสวงหาเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ 1.พาตัวเองไปอยู่ที่ที่รายล้อมไปด้วยคนที่ดีกว่าคุณ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Buffett กล่าวถึงการให้คำปรึกษาในการพัฒนาในเส้นทางอาชีพของคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งรวมถึงตัวเขาเองด้วย เขาบอกว่าตัวเองโชคดีที่มี Benjamin Graham เป็นครูและที่ปรึกษาในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในคำนำของหนังสือ Security Analysis นั้น Buffett เขียนถึง Graham ว่า “เขาเปลี่ยนชีวิตผม”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากนั้น Buffett ยังแนะนำเสมอว่าความสำเร็จต้องอาศัยการอยู่ร่วมกับคนที่เหมาะสม เขาบอกว่า “เลือกเพื่อนร่วมงานที่มีพฤติกรรมดีกว่าคุณ แล้วตัวคุณจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางนั้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรียกได้ว่านี่เป็นบทเรียนชีวิตที่ดีบทหนึ่งก็ว่าได้ เพราะการพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่รายล้อมไปด้วยคนที่ประสบความสำเร็จ นอกจากเราจะมีเครือข่ายความสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น เราจะได้รับคุณลักษณะบางอย่างของผู้คนเหล่านั้นมาด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังสุภาษิตที่ว่า “เราคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้เวลาด้วยมากที่สุด” ดังนั้น อย่าลืมพาตัวเองให้ไปเชื่อมโยงกับผู้คนที่สามารถช่วยให้คุณได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เติบโต และพัฒนาในอาชีพ 2.ไม่หยุดเรียนรู้ พัฒนาสิ่งที่คุณทำให้ดีขึ้นต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ย้อนไปในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของ Berkshire Hathaway ในปี 2022 Buffett กล่าวว่าคุณสามารถป้องกันตัวเองจากผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ด้วยปรัชญาที่คุ้นเคยและมีมายาวนานนี้ คือ “สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ คือการเก่งในบางสิ่งบางอย่างเป็นพิเศษ ผู้คนจะมอบสิ่งที่พวกเขาผลิตให้กับคุณ เพื่อแลกกับสิ่งที่คุณมอบให้” หรือหมายถึงถ้าเราอยากได้รับสิ่งที่ดี เราก็ต้องมอบสิ่งที่ดีได้ด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การจะเก่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องอาศัยการได้รับความรู้ Buffett เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเพิ่มพูนความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตมานานหลายทศวรรษ ความหิวโหยในการเรียนรู้จะทำให้คุณมีเครื่องมือในการปรับตัว สร้างสรรค์ และคว้าโอกาสตามที่เกิดขึ้น Buffett เองก็เป็นนักอ่านตัวยง เขาอุทิศส่วนสำคัญในแต่ละวันของเขาด้วยการอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ และรายงานประจำปี สะท้อนคำพูดอย่างชัดเจนของเขาที่บอกว่า “อย่าหยุดเรียนรู้และเติบโต” 3.อย่าเป็นคนรวยที่ไม่มีคนรัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในหนังสือชีวประวัติของ Buffett เรื่อง The Snowball: Warren Buffett and the Business of Life ผู้เขียน Alice Schroeder เล่าถึงช่วงเวลาที่ Buffett ขึ้นกล่าวที่มหาวิทยาลัยจอร์เจีย โดยในระหว่างอีเวนต์นั้น นักศึกษาได้สอบถามเกี่ยวกับคำจำกัดความของความสำเร็จของเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Buffett ตอบกลับโดยกล่าวว่า เมื่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต ตัวชี้วัดความสำเร็จเพียงอย่างเดียวควรอยู่ที่จำนวนบุคคลที่รักคุณอย่างแท้จริง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ฉันรู้จักคนที่มีเงินจำนวนมาก บางคนได้รับเชิญไปดินเนอร์ในงานสำคัญ บางคนได้รับเกียรตินำชื่อไปตั้งเป็นชื่อโรงพยาบาล แต่ความจริงคือไม่มีใครในโลกนี้รักพวกเขา” Buffett กล่าว และว่า&nbsp;“ถ้าคุณอายุเท่าผม และไม่มีใครคิดดีกับคุณ ผมไม่สนว่าในบัญชีธนาคารของคุณจะมีเงินเยอะแค่ไหน แต่บอกได้เลยว่าชีวิตของคุณคือหายนะ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แท้จริงแล้ว มหาเศรษฐีที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองเชื่อว่าระดับความรักที่คนคนหนึ่งได้รับ ทำหน้าที่เป็นมาตรวัดความสำเร็จสูงสุดในชีวิต แทนที่จะเป็นความมั่งคั่งหรือความสำเร็จ Buffett บอกนักศึกษาว่า “วิธีเดียวที่จะได้รับความรักคือการทำตัวให้น่ารัก ถ้าคุณมีเงินมาก คุณอาจคิดว่าคุณจะเขียนเช็คเพื่อขอซื้อความรักมูลค่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ แต่ความรักไม่ใช่แบบนั้น ความรักคือสิ่งที่ยิ่งให้ออกไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“วิธีเดียวที่จะได้รับความรักคือการให้ความรัก” นี่คือเครื่องเตือนใจอันทรงพลังถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างการกระทำ ทัศนคติ และความรักที่เราได้รับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความรักและความสัมพันธ์ที่มีความหมาย โดยรวบรวมคุณสมบัติที่น่ารัก ไม่ว่าจะเป็น ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตา ความเคารพ ความจริงใจ และแรงซัพพอร์ต ซึ่งนั่นจะทำให้เราสามารถยกระดับชีวิตของตัวเองและชีวิตของคนรอบข้างได้ การมุ่งมั่นที่จะเป็นที่รักและทำให้ความรักเบ่งบานจึงเป็นอีกสูตรสำเร็จหนึ่งนั่นเอง แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.inc.com/marcel-schwantes/warren-buffett-says-living-a-successful-life-really-boils-down-to-3-things.html" alt="Warren Buffett Says Living a Successful Life Really Boils Down to 3 Things">Warren Buffett Says Living a Successful Life Really Boils Down to 3 Things</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/sleep-habits-and-success-of-world-billionaires" alt="เปิดห้องนอนมหาเศรษฐี เบื้องหลังความสำเร็จคือการพักผ่อนให้เพียงพอ">เปิดห้องนอนมหาเศรษฐี เบื้องหลังความสำเร็จคือการพักผ่อนให้เพียงพอ</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

พาตัวเองไปอยู่กับคนเก่ง ไม่หยุดเรียนรู้ และเป็นที่รัก 3 คำแนะนำสู่ความสำเร็จจาก Warren Buffett

<h2>BYD เปิดเกมรุกในตลาดรถหรูด้วยการเปิดตัว YangWang U9 รถยนต์ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ในราคา 1.68 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินไทยราว 8.39 ล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง BYD ที่กลายมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลกแซงหน้า Tesla แบรนด์ดังจากฝั่งอเมริกาไปแบบขาดลอย ล่าสุดเตรียมรุกตลาดรถหรู ด้วยการเปิดตัว&nbsp;YangWang U9 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2024 ที่ผ่านมา โดยรถยนต์รถซูเปอร์คาร์ดังกล่าวเป็นระบบไฟฟ้า (EV) ที่มีสมรรถนะสูง ประเดิมขายในจีนก่อนเป็นหลักที่แรก ในราคา 1.68 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินไทยราว 8.39 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 หยวน เท่ากับ 4.9 บาท) เพื่อชิงส่วนแบ่งจากเจ้าตลาดเดิมอย่าง Ferrari และ Lamborghini&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้&nbsp;YangWang ถือเป็นแบรนด์รถหรูใหม่ล่าสุดที่ทาง BYD ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นปี 2023 จากการนำเสนอรถรุ่น U8 ซึ่งเป็น SUV Off-Road แบบปลั๊กอินไฮบริด และ U9 ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าสุดล้ำ แต่ ณ ขณะนั้นยังไม่มีการประกาศราคาหรือวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งทางสำนักข่าว Nikkei Asia เองยังได้อ้างอิงแหล่งข่าวพร้อมระบุว่า รุ่นต่างๆ ภายใต้แบรนด์ YangWang จะมีราคาขายอยู่ระหว่าง 8 แสน-1.5 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินไทยราว 3.9-7.3 ล้านบาท และจะเปิดตัวในจีนช่วงปี 2024 นี้ โดยจะมีโชว์รูมหรูใน 6 เมืองใหญ่ของจีนอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ด้วย <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/BkWbY5JNVWDEVoB1m9KG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="BkWbY5JNVWDEVoB1m9KG.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งแนวทางการแตกไลน์แบรนด์รถหรูออกมา เป็นผลจากการที่ BYD มองเห็นโอกาสของตลาดรถหรูระดับพรีเมียมยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่าจะสร้างผลกำไรเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และถึงแม้จะเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่จะต้องเจอกับความท้าทายเป็นอย่างมากจากเหล่าบรรดาแบรนด์ดังที่ครองส่วนแบ่งเป็นเจ้าตลาดเดิม แต่หากมองย้อนกลับไปดูความสำเร็จของ BYD ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วจนผงาดขึ้นมายืนอยู่ในแถวหน้าของตลาดรถยนต์ EV ประกอบกับแรงสนับสนุนจากมหาเศรษฐีนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffett ผ่านบริษัท&nbsp;Berkshire Hathaway ก็ถือได้ว่าเป็นที่น่าจับตามองและเป็นอีกหนึ่งคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับค่ายรถซูเปอร์คาร์จากยุโรปในอนาคต <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/gX8QbNAWBvkxdGbmxyPv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gX8QbNAWBvkxdGbmxyPv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/5xVyLSHFBkFogwttmtbZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5xVyLSHFBkFogwttmtbZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/vBvRxJtyEFG4NfJvy7uq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vBvRxJtyEFG4NfJvy7uq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสมรรถนะของรถซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า&nbsp;YangWang รุ่น Ultimated 9 หรือ U9 ตัวนี้ มีพลัง 1,287 แรงม้า&nbsp;มีอัตราเร่งอยู่ที่&nbsp;0-100&nbsp;กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 2.36 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 309.19 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจุดที่น่าสนใจก็คือ รถคันนี้ไม่ได้ใช้แบตเตอรี่ NMC เหมือนรถไฟฟ้าหรูคันอื่นๆ แต่เลือกที่จะใช้แบตเตอรี่เอกสิทธิเฉพาะอย่างแบตเตอรี่ LFP ของ BYD เท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ YangWang U9 ยังถือเป็นรถ 1 ใน 3 รุ่น ภายใต้แบรนด์รถระดับพรีเมียมของทาง BYD โดยรถรุ่นแรกได้แก่ YangWang U8 เอสยูวีสายลุยทรงหรู ที่เคยถูกนำมาโชว์ตัวในเมืองไทยในงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา และอีกรุุ่นคือ Yangwang U7 ซีดานไฟฟ้าที่คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2024 นี้ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/rever-automotive-launches-new-byd-atto-3" alt="มาแล้ว! New BYD ATTO 3 ราคาเริ่มต้น 899,900 บาท">มาแล้ว! New BYD ATTO 3 ราคาเริ่มต้น 899,900 บาท</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

BYD ส่ง YangWang U9 ชิงส่วนแบ่งตลาดรถหรูในจีนด้วยราคา 8.39 ล้านบาท

<h2>Warren Buffett บริจาคหุ้น Berkshire Hathaway กว่า 870 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แก่สี่มูลนิธิครอบครัวก่อนวันขอบคุณพระเจ้า สร้างความมั่นใจแก่บรรดานักลงทุนทางจดหมายซึ่งกล่าวว่าบริษัทนี้ “ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ดำรงอยู่อย่างยาวนาน”</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักลงทุนระดับตำนานวัย 93 ปีบริจาคหุ้น Class B ของบริษัทในความครอบครองของตนจำนวน 1.5 ล้านหุ้นแก่มูลนิธิ Susan Thompson Buffett Foundation ซึ่งตั้งชื่อตามภรรยาคนแรกของเขา นอกจากนี้ยังบริจาคหุ้น Class B ให้อีกสามมูลนิธิที่ลูกๆ ของเขาดูแล ได้แก่ Sherwood Foundation, Howard G. Buffett Foundation และ NoVo Foundation แห่งละ 300,000 หุ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทั้งหมดนี้เป็นการทำตามสัจจะที่ผมให้ไว้เมื่อปี 2006 ที่จะดำเนินต่อไปจนผมหมดลมหายใจ (ตอนนี้ผมอายุ 93 ปี ผมรู้สึกดี แต่ก็รู้อยู่เต็มอกว่ากำลังอยู่ในช่วงต่อเวลาพิเศษ)” Buffett เผยในแถลงการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาได้ทำการบริจาคแบบเดียวกันก่อนวันขอบคุณพระเจ้าในปี 2022 ที่ผ่านมา โดยในปี 2006 เจ้าของฉายานักพยากรณ์แห่งโอมาฮา (The Oracle of Omaha) ผู้นี้สัญญาว่าจะบริจาคความมั่งคั่งที่เขาได้จากการบริหาร Berkshire ที่เขาเข้ามาดูแลตั้งแต่ปี 1965 เป็นประจำทุกปีจนกว่าจะลาจากโลกนี้ไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Berkshire มีส่วนเป็นเจ้าของธุรกิจที่แข็งแกร่งมากมายในหลากหลายสาขา ตั้งแต่บริษัทประกัน Geico Insurance ไปจนบริษัทรถไฟ BNSF Railway หรือแม้กระทั่งถือหุ้น Apple ราว 6%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หุ้นของ Berkshire มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 17% ในปีนี้หลังทุบสถิติสูงสุดในเดือนกันยายน Berkshire ยังคงยืนหยัดท้าทาย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในจดหมาย Warren Buffett ให้ความมั่นใจเหล่าผู้ถือหุ้นทั้งหลายว่า บริษัทที่เขาบรรจงสร้างมากว่า 6 ทศวรรษจะยืนหยัดท้าทายกาลเวลา แม้ไม่มีเขาอยู่แล้วก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในระยะสั้น คุณลักษณะเฉพาะและพฤติกรรมของ Berkshire จะได้รับการสนับสนุนจากบรรดาผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานนัก Berkshire จะได้รับชื่อเสียงอันเหมาะควร” Buffett กล่าว “การล่มสลายสามารถเกิดขึ้นได้กับสถาบันใหญ่ทุกประเภท จะรัฐบาล การกุศล หรือแสวงหาผลกำไร แต่ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อได้เปรียบของ Berkshire คือการที่มันถูกสร้างมาเพื่อให้ดำรงอยู่อย่างยาวนาน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Greg Abel รองประธานฝ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับประกันของ Berkshire ถูกยกให้เป็นผู้สืบทอดของ Buffett โดยนักลงทุนระดับตำนานได้ชื่นชม Abel ชี้ว่าเขาคอยดูแลรับผิดชอบภาระส่วนใหญ่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลูกทั้งสามของ Buffett จะเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของเขา และเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของทรัสต์การกุศลด้วยเช่นกัน โดยจะได้สืบทอดความมั่งคั่งเกือบทั้งหมดของ Buffett&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ลูกๆ ของผม รวมถึงพ่อของเขาด้วย มีความคิดเช่นเดียวกันว่าการส่งต่อความมั่งคั่งทางสายเลือด ไม่ใช่สิ่งอันพึงปรารถนา แม้ว่าจะถูกต้องตามกฎหมายและใครๆ ก็ทำกันทั้งโลกรวมถึงในสหรัฐฯ” Buffett เผย “ยิ่งไปกว่านั้น เรามีโอกาสได้เห็นหลายครั้งว่าการเป็นคนรวยไม่ได้ช่วยให้คุณเป็นคนดีหรือคนเลวแต่อย่างใด” แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.cnbc.com/2023/11/21/warren-buffett-makes-big-donation-before-thanksgiving-says-berkshire-is-built-to-last.html" alt="Warren Buffett makes big donation before Thanksgiving, assures shareholders Berkshire is built to last">Warren Buffett makes big donation before Thanksgiving, assures shareholders Berkshire is built to last</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/5-warren-buffett-recommended-books-spotify" alt="5 หนังสือลงทุนที่ Warren Buffett แนะนำ พร้อมให้ฟังแล้วบน Spotify">5 หนังสือลงทุนที่ Warren Buffett แนะนำ พร้อมให้ฟังแล้วบน Spotify</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เศรษฐีใจบุญ! Warren Buffet ทำตามคำมั่น บริจาคหุ้น 870 ล้านเหรียญให้มูลนิธิ

<h2>ครั้งหนึ่ง Warren Buffett เคยกล่าวถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่คนๆ หนึ่งสามารถทำให้ตัวเองได้ ว่าคือการอ่านหนังสือวันละ 500 หน้าต่อวัน ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในคำพูดอันโด่งดังจากปากนักลงทุนระดับตำนานผู้นี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นั่นคือการทำงานของความรู้ ต้องสร้างมันขึ้น เหมือนดอกเบี้ยทบต้น” เขาบอกแก่บรรดานักศึกษาในห้องเรียนการลงทุน ณ Columbia Business School เมื่อปี 2000 พร้อมกับบุ้ยใบ้ไปทางกระดาษปึกหนา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“พวกคุณทุกคนล้วนทำได้ แต่เชื่อผมเถอะว่ามีพวกคุณแค่ไม่กี่คนที่จะทำ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;แน่นอนว่า Warren Buffett ไม่ได้กล่าวขึ้นลอยๆ เขาใช้เวลา “ห้าหรือหกชั่วโมงต่อวัน” ในการอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ต่างๆ จริงๆ&nbsp; &nbsp;&nbsp;การแบ่งเวลาหลายชั่วโมงมาอ่านหนังสืออาจฟังดูเป็นเรื่องยากสำหรับคนมีงานประจำต้องทำเกือบทั้งวัน ทว่าเทคโนโลยีทำให้การบริโภคข้อมูลข่าวสารเป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เมื่อ Spotify ประกาศว่าจะคัดเลือกหนังสือเสียงกว่า 200,000 เล่มมาปล่อยให้สมาชิกพรีเมียมได้ฟังกันแบบฟรีๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาชิกที่จ่ายเงิน 14.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน จะมีสิทธิ์ฟังหนังสือเสียงฟรี 15 ชั่วโมงในแต่ละเดือน พร้อมตัวเลือกให้จ่ายเงินซื้อชั่วโมงเพิ่มได้ในภายหลัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท่ามกลางหนังสือเสียงจำนวนมหาศาลทาง Spotify คัดเลือกมา มีหนังสือที่ Warren Buffett แนะนำให้อ่านโดยเอาประสบการณ์การลงทุนตลอดชีวิตของเขาเป็นประกันถึง 5 เรื่องด้วยกัน ดังนี้​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/CwJEbicaF5ZPEknMZiLT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CwJEbicaF5ZPEknMZiLT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>Shoe Dog ผู้เขียน Phil Knightความยาว 13 ชั่วโมง 21 นาที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรื่องราวของ Phil Knight ผู้เป็นดั่งหัวใจและจิตวิญญาณของ Nike หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนธุรกิจ เขาขอยืมเงินจากพ่อ 50 เหรียญมาก่อตั้งบริษัทด้วยเป้าหมายแสนเรียบง่ายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการนำเข้ารองเท้าวิ่งคุณภาพสูงราคาประหยัดจากญี่ปุ่น ฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามและความท้าทายนานัปการ กว่าจะมาเป็นยักษ์ใหญ่วงการรองเท้าในปัจจุบัน&nbsp; &nbsp;&nbsp;Buffett เรียกอัตชีวประวัติของผู้ร่วมก่อตั้ง Nike เล่มนี้ว่าเป็น “หนังสือดีที่สุดที่ผมเคยอ่าน” ในปี 2016​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/u7A5SCqZPxnf39HKZSho.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="u7A5SCqZPxnf39HKZSho.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div>Where Are the Customers Yachts?: or A Good Hard Look at Wall Street ผู้เขียน Fred Schwedความยาว 4 ชั่วโมง 2 นาที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนังสือที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันและความบันเทิง ที่เปิดเผยความโง่เขลาและความฉ้อฉลของวอลล์สตรีท เล่าผ่านนักท่องเที่ยวผู้หนึ่งซึ่งมาเยือนนครนิวยอร์ก เขาชื่นชมเรือยอชต์ของนายธนาคารและโบรกเกอร์ ก่อนถามซื่อๆ ว่า “แล้วไหนเรือยอชต์ของลูกค้าล่ะ?” แต่ความเป็นจริงที่ตลกร้ายคือไม่มีลูกค้าคนใดมีเงินมากพอจะซื้อเรือยอชต์ได้ แม้พวกเขาจะทำตามคำแนะนำของนายธนาคารและโบรกเกอร์อย่างเคร่งครัดก็ตาม&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในปี 2016 Buffett ชื่นชมหนังสือของ Schwed ว่าเป็น “หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนที่สนุกที่สุดที่เคยมีมา” ทั้งยังเสริมว่า “หนังสือเล่มนี้บอกเล่าใจความสำคัญต่างๆ ได้อย่างเรียบง่าย สบายๆ”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/vyRhqT3UsEmevZT3Shyg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vyRhqT3UsEmevZT3Shyg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="2"></figure></div>The Clash of the Cultures: Investment vs. Speculation ผู้เขียน John C. Bogleความยาว 13 ชั่วโมง 11 นาที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;John C. Bogle เล่าเรื่องราวการก่อตั้งกองทุนรวมดัชนี (Index Mutual Fund) กองแรกของโลก และอธิบายว่า ETF พลิกโฉมคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของการลงทุนระยะยาวอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ตลอดจนนำเสนอความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในอุตสาหกรรมกองทุนรวมผ่านมุมมองของเขาเอง&nbsp; &nbsp;&nbsp;John C. Bogle เป็นกัลยาณมิตรนักลงทุนคนหนึ่งของ Buffett โดยซีอีโอแห่ง Berkshire Hathaway บอกว่าประโยคโปรดจากหนังสือเล่มนี้สำหรับเขาคือ “เมื่อคำนึงถึงผลตอบแทน เวลาคือเพื่อน แต่เมื่อคำนึงถึงต้นทุน เวลาคือศัตรู”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/HKgU8UgpMBoaE6eGg8dW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HKgU8UgpMBoaE6eGg8dW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="3"></figure></div>The Intelligent Investor ผู้เขียน Benjamin Grahamความยาว 17 ชั่วโมง 48 นาที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The Intelligent Investor หรือในชื่อภาษาไทยว่า “คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” เขียนโดย Benjamin Graham ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า” ตำราที่นักลงทุนทุกคนไม่ควรพลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Buffett เคยยกย่องหนังสือเล่มนี้ในหลายวาระโอกาส อย่างตอนหนังสือเล่มนี้เผยแพร่ครั้งแรกในปี 1949 เขากล่าวว่าการได้อ่านมันนับเป็น “หนึ่งในความโชคดีอย่างที่สุดในชีวิตของผม”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หรือในปี 2013 เขาก็ชื่นชมอีกว่า Graham อธิบายแนวคิดต่างๆ “อย่างมีตรรกะด้วยสำนวนที่สง่างามและเข้าใจง่าย” ทั้งยังกล่าวว่า “จากประสบการณ์การลงทุนทั้งหมดของผม การซื้อหนังสือของ Ben คือการตัดสินใจที่ดีที่สุด (ถ้าไม่นับการแต่งงานของผมน่ะนะ)”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/b2aiPMdksJ2c44oywbKN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="b2aiPMdksJ2c44oywbKN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="4"></figure></div>Warren Buffetts Ground Rules: Words of Wisdom from the Partnership Letters of the Worlds Greatest Investor ผู้เขียน Jeremy C. Millerความยาว 10 ชั่วโมง 11 นาที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนังสือของ Miller วิเคราะห์จดหมายที่ Buffett เขียนถึงบรรดาพาร์ตเนอร์ตลอดระยะเวลากว่า 14 ปีนับตั้งแต่ปี 1956 ถึงปี 1970 กลั่นกรองออกมาเป็นกฎแห่งการลงทุนของ Buffett ซึ่งแน่นอนว่าได้รับการยินยอมจากเจ้าตัวเรียบร้อยแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หากคุณหลงใหลในการลงทุนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ คุณจะสนุกกับหนังสือเล่มนี้” Buffett เขียนไว้ในปี 2015 ก่อนหนังสือเล่มนี้จะได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะ แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.cnbc.com/2023/11/11/5-must-read-books-from-warren-buffet-that-are-now-free-on-spotify.html" alt="Warren Buffett recommends these 5 books – now you can listen to them free on Spotify">Warren Buffett recommends these 5 books – now you can listen to them free on Spotify</a>​ ข้อมูลเพิ่มเติมและรูปภาพหนังสือจาก Amazon, Kinokuniya Thailand และ B2S เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/it/news/google-announces-expansion-of-investment-plans-in-thailand" alt="Google ประกาศแผนขยายลงทุนในไทย พร้อมสนับสนุนเศรษฐกิจ AI">Google ประกาศแผนขยายลงทุนในไทย พร้อมสนับสนุนเศรษฐกิจ AI</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

5 หนังสือลงทุนที่ Warren Buffett แนะนำ พร้อมให้ฟังแล้วบน Spotify

10 อันดับมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2023

<h2>หนังสือที่ดีคืออาหารสมองชั้นเยี่ยมที่ช่วยพัฒนามุมมองแนวคิด และสำหรับ 5 มหาเศรษฐีระดับโลกเหล่านี้ การอ่านคือต้นทุนความคิดของพวกเขาเช่นกัน</h2>
ปี 2018 กำลังจะผ่านพ้นไป ปี 2019 ที่กำลังจะมาถึงเป็นโอกาสอันดีในการเติมอาหารสมองด้วยหนังสือแนะนำที่บุคคลมั่งคั่งระดับโลกแนะนำให้อ่านเหล่านี้

&nbsp;
<h3>Bill Gates
หนังสือแนะนำ: 21 Lessons for the 21st Century โดย Yuval Noah Harari</h3>
<img class="alignnone wp-image-3257" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/107315757-0.jpeg" alt="" width="353" height="533" />

Bill Gates บุคคลมั่งคั่งอันดับ 2 ของโลกด้วยสินทรัพย์ปีล่าสุด 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นที่ทราบกันว่า Gates เป็นหนอนหนังสือตัวยงและเขามักจะแนะนำหนังสือที่น่าสนใจให้ผู้ติดตามรับรู้เสมอ

หนังสือเรื่อง 21 Lessons for the 21st Century โดย Yuval Noah Harari เป็นหนึ่งในหนังสือ 5 เล่มที่ดีที่สุดของ Gates ประจำปีนี้ที่เขาแนะนำไว้บน<a href="https://www.gatesnotes.com/About-Bill-Gates/Best-Books-2018">เว็บไซต์ส่วนตัว</a> เขาอธิบายความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ว่า เป็นหนังสือที่ตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบของโจทย์ที่สำคัญที่สุดในทุกวันนี้ เช่น “คอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์เปลี่ยนแปลงความหมายของการเป็นมนุษย์อย่างไร” และ “เรารับมือกับการลุกลามของข่าวปลอมอย่างไร”

Gates มองว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนกับยาแก้พิษให้กับคนที่เต็มไปด้วยความกังวลต่อความเป็นไปของโลกยุคปัจจุบัน “หากปี 2018 ทำให้คุณรู้สึกเต็มไปด้วยความกังวลกับสถานการณ์โลก 21 Lessons ได้ให้กรอบความคิดที่เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจกับข่าวสารต่างๆ และวิธีคิดต่อความท้าทายที่เรากำลังเผชิญ” Gates กล่าว

&nbsp;
<h3>Warren Buffet
หนังสือแนะนำ: Business Adventures โดย John Brooks</h3>
<img class="alignnone wp-image-3258" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/81wyS0Xt02L-e1546015084589.jpg" alt="" width="353" height="538" />

อันที่จริงหนังสือเล่มนี้ได้รับการแนะนำโดย Bill Gates แต่ Warren Buffet เจ้าพ่อนักลงทุนมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก ก็เห็นด้วยเช่นกันว่าหนังสือเล่มนี้คือหนังสือธุรกิจที่ดีที่สุดที่เคยมีมา

Business Adventures เป็นหนังสือเรื่องสั้นคลาสสิก 12 เรื่องเกี่ยวกับโลกแห่ง Wall Street แม้ว่าจะเขียนขึ้นตั้งแต่ปี 1969 แต่ยังคงปรับใช้ได้กับเหตุการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากเรื่องราวเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์เป็นหลัก และไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตามย่อมต้องเกี่ยวข้องกับปัจจัยมนุษย์ แม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ ภาคการผลิตที่ยอดเยี่ยม แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการมี “คน” ที่ถูกต้องเพื่อเป็นผู้นำธุรกิจและแผนการดำเนินงาน

&nbsp;
<h3>Mark Zuckerberg
หนังสือแนะนำ: Dealing with China โดย Henry M Paulson Jr</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3259" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/dealing-with-china-2-e1546015131779.jpg" alt="" width="353" height="540" />

Mark Zuckerberg มหาเศรษฐีอันดับ 5 ของโลก ผู้ก่อตั้ง Facebook แพลตฟอร์มสื่อสังคมที่เปลี่ยนโฉมหน้าการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ Zuckerberg ก่อตั้งชมรมรักการอ่านในชื่อ A Year of Books ขึ้นเมื่อปี 2015 เป้าประสงค์เพื่อจะอ่านหนังสือให้จบ 1 เล่มทุกๆ สองสัปดาห์ และเขาได้แนะนำหนังสือทั้งหมด 23 เล่มระหว่างปีนั้น โดยเราได้คัดเลือกหนังสือเรื่อง Dealing with China จากลิสท์ของ Zuckerberg มานำเสนอ

Zuckerberg มีความสนใจเป็นพิเศษต่อประเทศและวัฒนธรรมจีนเป็นทุนเดิม เขาศึกษาภาษาจีนกลาง และมีความปรารถนาที่วันหนึ่งจะสามารถโน้มน้าวให้รัฐบาลจีนยอมให้ประชาชนจีนได้ใช้ Facebook ซึ่งหนังสือเรื่อง Dealing with China นี้เขียนขึ้นโดยอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ เจาะลึกเรื่องราวการขึ้นเป็นมหาอำนาจโลกของประเทศจีน

“35 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คนหลายร้อยล้านคนสามารถยกระดับตัวเองพ้นจากความยากจน และที่ผ่านมา ประเทศจีนเพียงประเทศเดียวได้ทำให้คนพ้นขีดความยากจนได้มากกว่าทุกประเทศบนโลกรวมกันเสียอีก” Zuckerberg เขียนถึงความสำคัญของหนังสือเล่มนี้

&nbsp;
<h3>Charles Koch
หนังสือแนะนำ: Human Action: A Treatise on Economics โดย Ludwig von Mises</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3260" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/51swJIV5R4L._SX331_BO1204203200_.jpg" alt="" width="333" height="499" />

Charles Koch มหาเศรษฐีอันดับ 8 ของโลก ทายาทรุ่น 2 ผู้สานต่อกิจการ Koch Industries บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งมีการลงทุนหลากหลายตั้งแต่ท่อส่งน้ำมัน ถ้วยกระดาษ ไปจนถึงพรมปูพื้น

Charles Koch เป็นนักธุรกิจอีกรายที่ชื่นชอบการอ่าน หนึ่งในหนังสือ 4 เล่มที่ดีที่สุดของ Koch คือ Human Action: A Treatise on Economics โดย Ludwig von Mises หนังสือความหนา 900 หน้าที่ตีพิมพ์ในปี 1949 นี้นับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของผู้เขียน ว่าด้วยบทความเจาะลึกถึงพื้นฐานมุมมองด้านเศรษฐศาสตร์สากล ตอบคำถามว่าทำไมคนเราจึงสามารถอยู่อาศัยและทำงานร่วมกันได้อย่างสงบสุข หรือทำไมคนจึงให้คุณค่ากับเงินทอง

Koch กล่าวว่า von Mises คือนักปรัชญาด้านเศรษฐศาสตร์คนสำคัญที่เขาชื่นชอบ และเขาอ่านหนังสือเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อ 50 ปีก่อนและกลายเป็นความประทับใจ เพราะเป็นหนังสือเล่มแรกที่สามารถตอบคำถามได้อย่างครอบคลุมถึงสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้มนุษย์กระทำบางสิ่งบางอย่างในเชิงเศรษฐศาสตร์

&nbsp;
<h3>Jack Ma
หนังสือแนะนำ: Tao Te Ching โดย เล่าจือ</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3261" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/516YnkEJD2L._SX331_BO1204203200_.jpg" alt="" width="333" height="499" />

Jack Ma มหาเศรษฐีอันดับ 20 ของโลก ผู้ก่อตั้ง Alibaba ยักษ์อี-คอมเมิร์ซแดนมังกร Ma มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาพกติดตัวไว้เสมอ คือ Tao Te Ching ที่เขียนขึ้นโดยนักปรัชญา “เล่าจือ” ตั้งแต่ 600 ปีก่อนคริสต์กาล

Tao Te Ching เป็นหนังสือคำสอนลัทธิเต๋าซึ่งชี้นำให้ผู้อ่านใช้ชีวิตตามแนวทางที่เหมาะสม โดยยกย่องคุณธรรมของ “ความว่างเปล่า” และ “การเปิดกว้าง”

จะเห็นได้ว่า Ma นำปรัชญาแบบลัทธิเต๋าเข้ามาใช้กับหลักการทำงานใน Alibaba ตัวอย่างเช่น หลักการทำงานหรือ core values 6 ประการที่พนักงาน Alibaba ต้องยึดถือไว้ ได้แก่ การทำงานเป็นทีม ความซื่อสัตย์ ลูกค้าต้องมาก่อน น้อมรับความเปลี่ยนแปลง ความรับผิดชอบ และความปรารถนาอย่างแรงกล้า ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เป็นคำสอนโดยตรงหรือโดยอ้อมของลัทธิเต๋า

สำหรับคนไทยหรือคนทั่วไป ปรัชญาเต๋าน่าจะถ่ายทอดความเข้าใจได้ง่ายที่สุดผ่านนิยายกังฟู ซึ่ง Ma เองชื่นชอบนิยายกังฟูเช่นเดียวกัน จากการให้สัมภาษณ์กับ The Washington Post เขามีแม้กระทั่งฉายากังฟูของตัวเองคือ Feng Qingyang ซึ่งแปลว่าห้าวหาญและคาดเดาไม่ได้

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://www.forbesthailand.com/world-detail.php?did=2483">10 อันดับมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2018</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/world-detail.php?did=2154">สารานุกรมรวบรวมแนวคิดจาก 'ไอคอนธุรกิจ' ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบัน</a></li>
</ul>
&nbsp;

อ้างอิง
<ul>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/laurengensler/2018/12/03/here-are-bill-gates-five-favorite-books-of-2018/#5ceca4f8794e">https://www.forbes.com/sites/laurengensler/2018/12/03/here-are-bill-gates-five-favorite-books-of-2018/#5ceca4f8794e</a></li>
 	<li><a href="https://www.cnbc.com/2017/12/28/the-key-takeaway-from-bill-gates-and-warren-buffetts-favorite-book.html">https://www.cnbc.com/2017/12/28/the-key-takeaway-from-bill-gates-and-warren-buffetts-favorite-book.html</a></li>
 	<li><a href="https://www.independent.co.uk/news/people/mark-zuckerberg-facebook-twitter-social-media-books-to-read-best-novels-amazon-waterstones-a8195186.html">https://www.independent.co.uk/news/people/mark-zuckerberg-facebook-twitter-social-media-books-to-read-best-novels-amazon-waterstones-ahtml</a></li>
 	<li><a href="https://www.charleskoch.com/articles/books#books">https://www.charleskoch.com/articles/books#books</a></li>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/christophernelson/2015/07/17/the-influential-book-in-alibaba-founder-jack-mas-briefcase/#636bcc105cf6">https://www.forbes.com/sites/christophernelson/2015/07/17/the-influential-book-in-alibaba-founder-jack-mas-briefcase/#636bcc105cf6</a></li>
</ul>
&nbsp;

มหาเศรษฐีอ่านอะไร? หนังสือ 5 เล่มที่ทรงอิทธิพลต่อความคิด 5 บุคคลมั่งคั่งของโลก

<h2>10 อันดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2018 มีการปรับเปลี่ยนของอันดับของมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก โดย JEFF BEZOS ขึ้นสู่อันดับที่ 1 อย่างสง่างามด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิหลักแสนล้านเหรียญคนแรกของเรา</h2>
สำหรับผู้ที่มีอันดับพุ่งทะยานสูงสุดและติดอยู่ในห้าอันดับแรก คือ BERNARD ARNAULT มหาเศรษฐีจากอาณาจักรสินค้าหรูหราของเขาอย่าง LVMH ในขณะที่ AMANCIO ORTEGA เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าดัง Zara เจอมรสุมหุ้นบริษัทลดฮวบฉุดสินทรัพย์สุทธิของเขาลง 1.3 พันล้านเหรียญ แต่ยังคงติดใน 10 อันดับแรกของเรา

10 อันดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2018

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/f4664bd47ff65eda94053d1c6eb8c44f.png" alt="" />
อันดับที่1 JEFF BEZOS
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 1.12 แสนล้านเหรียญ
สัญชาติ: สหรัฐฯ

นี่คือบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลก ประธานของ Amazon ผู้นี้คือมหาเศรษฐีหลักแสนล้านคนแรกบนยอดสูงสุดในการจัดอันดับของเรา หุ้นของยักษ์อี-คอมเมิร์ซของเขา ปรับขึ้น 59% ในช่วง 12 เดือนซึ่งช่วยหนุนให้ทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นมา 3.92 หมื่นล้านเหรียญ ปรับขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปีจากที่เคยบันทึกมา (ทรัพย์สินของเขาที่เพิ่มขึ้น 2.76 หมื่นล้านเหรียญในปี 2017 รั้งอันดับ 3) Bezos ยังเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Washington Post และบริษัทยานอวกาศ Blue Origin ด้วย

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/9d88c3c8cafba3ee652e793034ccdd01.png" alt="" />
อันดับที่2 BILL GATES
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 9 หมื่นล้านเหรียญ
สัญชาติ: สหรัฐฯ

เขายึดครองอันดับสูงสุดได้เพียง 6 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1995 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ผู้นี้เพิ่มขึ้น 4 พันล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังคงเทียบไม่ได้กับการปรับขึ้นระดับตำนานของ Bezos

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/ed2d7da7ef85e0a4399f2c7de47c267c.png" alt="" />
อันดับที่3 WARREN BUFFETT
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 8.4 หมื่นล้านเหรียญ
สัญชาติ: สหรัฐฯ

ในเดือนมกราคม ชายอายุกว่า 80 ปีผู้นี้เลื่อนตำแหน่งผู้บริหาร 2 คนของบริษัท Berkshire Hathaway ขึ้นเป็นรองประธานบริษัท ซึ่งเป็นก้าวต่อไปสู่แผนการสืบทอดตำแหน่งที่มีการคาดหมายกันไว้ Buffett ผู้บอกว่าตัวเองยัง “มีสุขภาพดีอย่างยอดเยี่ยม” ยังคงบริหาร Berkshire ซึ่งหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้น 16% เมื่อปีที่แล้ว

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/168bf8a1ff781c86198b96dc86ae0cf9.png" alt="" />
อันดับที่4 BERNARD ARNAULT
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 7.2 หมื่นล้านเหรียญ
สัญชาติ: สหรัฐฯ

ผลประกอบการในอาณาจักรสินค้าหรูหราของเขาอย่าง LVMH และข้อตกลงซื้อ Christian Dior เกือบทั้งหมดช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของ Arnault ขึ้นมา 3.05 หมื่นล้านเหรียญ

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/0ecf4126315cf0f63cb12c293d2dde92.png" alt="" />
อันดับที่5 MARK ZUCKERBERG
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 7.1 หมื่นล้านเหรียญ
สัญชาติ: สหรัฐฯ

ซีอีโอ Facebook เผชิญแรงกดดันกรณีบทบาทของสื่อโซเชียลยักษ์ของเขาที่มีต่อการแทรกแซงการเลือกตั้งจากรัสเซียแต่หุ้นของบริษัทยังคงพุ่งขึ้น 32% ในช่วงปีที่ผ่านมา เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของเขาขึ้นอีก 1.5 หมื่นล้านเหรียญ

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/ccd5595d0be4ae054897211b6d4fb235.png" alt="" />
อันดับที่6 AMANCIO ORTEGA
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 7 หมื่นล้านเหรียญ
สัญชาติ: สเปน

ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาผูกติดอยู่กับ Inditex หรือที่รู้จักกันดีในชื่อเครือข่ายร้านแฟชั่น Zara หุ้นบริษัทลดฮวบ ฉุดสินทรัพย์สุทธิของเขาลง 1.3 พันล้านเหรียญ

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/eb44c9a2284dbee7393a924156258523.png" alt="" />
อันดับที่7 CARLOS SLIM HELU
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 6.71 หมื่นล้านเหรียญ
สัญชาติ: เม็กซิโก

Slim มั่งคั่งเพิ่มขึ้นกว่า 1.26 หมื่นล้านเหรียญจากปีที่แล้วซึ่งส่วนใหญ่มาจากการพุ่งขึ้น 39% ของหุ้น América Móvil บริษัทโทรคมนาคมของเขา

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/4da79a4e5924ae291ee8772aca1b1e1d.png" alt="" />
อันดับที่8 CHARLES KOCH (ครองอันดับร่วม)
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 6 หมื่นล้านเหรียญ
สัญชาติ: สหรัฐฯ

ในเดือนพฤศจิกายน Koch Industries (ยอดขาย) 1 แสนล้านเหรียญของเขาเปิดตัวบริษัทร่วมลงทุน Koch Disruptive Technologies ซึ่งบริหารโดย Chase ลูกชายของเขา นำการลงทุน 150 ล้านเหรียญในสตาร์ทอัพด้านอุปกรณ์การแพทย์ของอิสราเอล

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/fb11a047aab06ca1e57012d3324af812.png" alt="" />
อันดับที่8 DAVID KOCH (ครองอันดับร่วม)
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 6 หมื่นล้านเหรียญ
สัญชาติ: สหรัฐฯ

รองประธานบริหาร Koch Industries ผู้นี้ และ Charles พี่ชาย เป็นข่าวในเดือนพฤศจิกายนเมื่อบริษัทการลงทุนของพวกเขาลงเงิน 650 ล้านเหรียญให้กับ Meredith Corp ในการซื้อ Time Inc. ธุรกิจนิตยสารที่กำลังลำบากมูลค่า 2.8 พันล้านเหรียญ

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b01781840d5701412baa3f5d44042ac7.png" alt="" />
อันดับที่10 LARRY ELLISON
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ: 5.85 หมื่นล้านเหรียญ
สัญชาติ: สหรัฐฯ

แม้ว่า Oracle เผชิญการแข่งขันจาก Salesforce และ Amazon ในตลาดธุรกิจคลาวด์ แต่หุ้นปรับขึ้น 13% Ellison ซึ่งครอบครองหุ้นบริษัทราว 25% ร่ำรวยขึ้น 6.3 พันล้านเหรียญ

<hr />

<a href="http://bit.ly/2HaFurN">คลิกอ่านฉบับเต็มของ "การจัดอันดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2018" ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ เมษายน 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="http://bit.ly/2HaFurN"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/97891240d6b165e726b23c91d5985a6d.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events