<h2>อลิอันซ์ เปิดเผยรายงาน Allianz Global Pension Report 2568 แนะปฏิรูประบบบำนาญทั่วโลก แม้แต่ญี่ปุ่นที่ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของคนอายุ 65-70 ยังต้องทำงาน ส่วนไทยอยู่ในภาวะเร่งด่วนกว่า เพราะในปี 25 ปีข้างหน้าคาดว่าอัตราการพึ่งพิงของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% จาก 22% ในปัจจุบัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อลิอันซ์เปิดรายงาน Global Pension Report ฉบับที่ 3 วิเคราะห์ระบบบำนาญ 71 ระบบทั่วโลกโดยใช้ดัชนี Allianz Pension Index (API) ที่พัฒนาขึ้นเอง ดัชนีนี้ประกอบด้วยสามส่วนหลัก ได้แก่ การวิเคราะห์สถานการณ์ด้านประชากรศาสตร์และการคลัง การประเมินความยั่งยืน เช่น การเงินและระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบ และความเพียงพอของระบบบำนาญ เช่น ความครอบคลุมและระดับบำนาญ มีการนำตัวชี้วัดทั้งหมด 40 ตัวชี้วัดมาพิจารณา โดยให้คะแนนตั้งแต่ 1 คือ กลุ่มไม่จำเป็นต้องปฏิรูป ถึง 7 กลุ่มที่จำเป็นต้องปฏิรูปอย่างเร่งด่วน ผลรวมถ่วงน้ำหนักของตัวชี้วัดทั้งหมดสะท้อนถึงความจำเป็นในการปฏิรูประบบบำนาญนั้นๆระบบบำนาญทั่วโลกต้องเร่งปฏิรูป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันที่สูงต่อการปฏิรูป เมื่อเทียบกับรายงานครั้งล่าสุดของอลิอันซ์&nbsp;ในปี 2566 กลุ่มประเทศเล็กๆ เช่น เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน ซึ่งมีคะแนนรวมต่ำกว่า 3 อย่างชัดเจน แต่มีระบบบำนาญที่ถือว่าดีเพราะวางแนวทางสู่ความยั่งยืนได้ทันเวลาด้วยการนำระบบการสมทบเงินมาใช้ และเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่ญี่ปุ่นอยู่ในรายชื่อนี้ด้วย เนื่องจากญี่ปุ่นใช้ระบบบำนาญที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ นั่นคือ อายุการทำงานที่นานขึ้น แม้แต่ทุกวันนี้ หนึ่งในสามของผู้ที่มีอายุระหว่าง 65-70 ปีในญี่ปุ่นยังคงทำงานอยู่ และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คาดว่าอายุเกษียณที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นเป็น 70 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศที่มีคะแนนรวมต่ำกว่า 4 มีจำนวนมากกว่ามาก และเป็นประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปเพื่อไม่ให้ระบบบำนาญได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากร กลุ่มในกลุ่มนี้มีประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย โคลอมเบีย และไนจีเรีย ปัญหาของกลุ่มนี้มักจะไม่ได้เกิดจากการออกแบบระบบบำนาญ แต่มาจากสัดส่วนของพนักงานนอกระบบที่ไม่ได้รับความคุ้มครองซึ่งมักจะมีจำนวนสูงกว่า 50%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นจำเป็นต้องมีการปฏิรูปตลาดแรงงานอย่างกว้างขวางก่อนเพื่อสร้างพื้นฐานสำหรับระบบบำนาญที่ครอบคลุม มิเช่นนั้น ระบบบำนาญจะกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ส่วนกลุ่มที่สามของระบบบำนาญมีประเทศในยุโรปหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ซึ่งระบบบำนาญเปลี่ยนไปสู่การออมเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยระบบ Pay As You Go ยังคงเป็นระบบหลัก ทำให้เกิดแรงกดดันในการปฏิรูปสูงท่ามกลางการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วลดช่องว่างของเงินออมบำนาญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการคำนวณ ช่องว่างในการออมเงินบำนาญสำหรับคนรุ่นใหม่ในยุโรปอยู่ที่ประมาณ 3.50 แสนล้านยูโรต่อปีโดยเฉลี่ย ฟังดูเหมือนจำนวนมาก แต่เราสามารถปิดช่องว่างนี้ได้หากเพิ่มอัตราการออมขึ้น 1 ใน 4&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลูโดวิค เซอร์บราน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ของกลุ่มอลิอันซ์ กล่าวว่า คน Generation X จำเป็นต้องออมเงินให้มากขึ้นเพื่อให้มีมาตรฐานการครองชีพตามที่ต้องการในวัยชรา แต่เราต้องไม่มองสมการเพียงด้านเดียว ซึ่งก็คือการออมของครัวเรือน เราต้องคิดเกี่ยวกับความมั่นคงด้านบำนาญและการพัฒนาตลาดทุนไปพร้อมกัน เงินออมเพื่อการเกษียณต้องได้รับการลงทุนอย่างมีกำไรในการเติบโตและนวัตกรรมในอนาคต นี่เป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร (รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ) ยุโรปยังคงมีข้อบกพร่องอยู่มากในด้านนี้เอเชียกำลังเข้าสังคมวัยชราอย่างรวดเร็ว แต่ต้องแก้ไขด้วยวิธีที่ต่างกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาด 15 แห่งในเอเชีย ที่นำมาวิเคราะห์ในรายงานนี้มีเรื่องที่เหมือนกันคือ เอเชียเป็นสังคมที่กำลังเข้าสู่วัยชราอย่างรวดเร็ว อัตราการพึ่งพิงของผู้สูงอายุโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจาก 19% เป็น 43% ในอีก 25 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในระดับสมบูรณ์ตั้งแต่ 14% ในลาวไปจนถึง 95% ในฮ่องกงในปี 2593 อัตราส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าสองเท่าภายในหนึ่งรุ่นของประชากรในทุกประเทศ (ยกเว้นญี่ปุ่นที่เป็นสังคมสูงวัยอยู่แล้ว)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากสถานการณ์นี้ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำให้ระบบบำนาญของเอเชียพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากร คะแนนรวมเฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 3.9 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นในการปฏิรูปแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ในตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือเกาหลีใต้ การเสริมสร้างความยั่งยืนในระยะยาวของระบบบำนาญมีความสำคัญมากขึ้น&nbsp;&nbsp; &nbsp; - ในตลาดเกิดใหม่ที่ยังมีประชากรค่อนข้างหนุ่มสาว เช่น กัมพูชา อินโดนีเซีย หรือลาว ผู้กำหนดนโยบายเผชิญกับความท้าทายในการปรับปรุงความเพียงพอของระบบบำนาญ ซึ่งจะต้องมีการแนะนำและขยายระบบบำนาญที่มีการสะสมเงินเต็มจำนวนทั้งจากการทำงาน และส่วนบุคคล ความท้าทายที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการทำให้ตลาดแรงงานเข้าสู่ระบบ เนื่องจากประชากรวัยทำงานส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านี้ยังคงทำงานนอกระบบโดยไม่ได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันสังคม&nbsp;&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ปัญหาที่เกือบทุกประเทศมีเหมือนกันคือ อายุเกษียณภาคบังคับหรืออายุเกษียณขั้นต่ำที่ค่อนข้างต่ำซึ่งไม่สะท้อนการเพิ่มขึ้นของอายุขัยเฉลี่ยไทยจำเป็นต้องปฏิรูปเร่งด่วน&nbsp; &nbsp; ประเทศไทยมีคะแนนรวม 4.1 ทำให้ระบบบำนาญของไทยจึงอยู่ในอันดับท้ายๆ ของการจัดอันดับ และถือว่ามีความจำเป็นในการปฏิรูปอย่างเร่งด้วย เพราะความครอบคลุมของระบบบำนาญในระดับต่ำ และอายุเกษียณที่ควรเชื่อมโยงกับอายุขัยเฉลี่ย&nbsp;&nbsp; &nbsp; โดยควรมาตรการเพิ่มเติม ได้แก่ การจูงใจให้มีการออมเพื่อการเกษียณ โดยเฉพาะสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย เพื่อแก้ปัญหาภาวะหนี้สินสูงของครัวเรือน ในปัจจุบัน ประเทศไทยไม่มีความได้เปรียบด้านประชากรอีกต่อไป เนื่องจากกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าอัตราการพึ่งพิงของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นจาก 22% เป็น 50% ในอีก 25 ปีข้างหน้า ภาพ:&nbsp;กลุ่มอลิอันซ์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/deloitte-thai-propety-2024" alt="Deloitte เผยทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยของไทยยังเหนื่อย เพราะเศรษฐกิจฟื้นไม่ทั่ว-หนี้สูง-สังคมสูงวัย"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C" alt="&quot;เศรษฐกิจสีเงิน&quot; กับการเปลี่ยนผ่านสู่ &quot;สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์&quot;">"เศรษฐกิจสีเงิน" กับการเปลี่ยนผ่านสู่ "สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์"</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine"></a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

อลิอันซ์ เผยระบบบำนาญทั่วโลกต้องปฎิรูปจริงจังแม้แต่ญี่ปุ่น ส่วนไทยอยู่ในขั้นต้องแก้แบบเร่งด่วน!

<h2>รับเทรนด์สังคมสูงวัย Oji Holdings บริษัทผลิตผ้าอ้อมในญี่ปุ่น ประกาศเลิกผลิตผ้าอ้อมเด็กในเดือนกันยายนนี้ หันผลิตผ้าอ้อมผู้ใหญ่แทน หลังดีมานด์ลดลงฮวบ สะท้อนถึงการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วของประเทศญี่ปุ่น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Oji Holdings บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์กระดาษและผ้าอ้อม กล่าวว่าจะหยุดผลิตผ้าอ้อมเด็กในเดือนกันยายน ท่ามกลางความต้องการที่ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทมียอดขายลดลงจากจุดสูงสุดประมาณ 700 ล้านในปี 2544 เหลือเพียง 400 ล้านในปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ยอดขายผ้าอ้อมผู้ใหญ่ในญี่ปุ่นนั้นแซงหน้าผ้าอ้อมเด็กมานานกว่าทศวรรษ และสถิติประชากรล่าสุดบ่งชี้ว่าแนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จำนวนเด็กเกิดใหม่ในญี่ปุ่นลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 758,631 คนในปี 2566 เทียบกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่อยู่ที่ 1,590,503 คน โดยเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 12% ของประชากรทั้งหมดในปี 2565 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 30% ของประชากร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีการประเมินว่าประชากรญี่ปุ่นจะลดลงเหลือเพียง 88 ล้านคนในปี พ.ศ. 2608 จากปัจจุบันอยู่ที่ 125 ล้านคน ซึ่งเป็นการลดลง 30% ในรอบ 45 ปีเลยทีเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า อัตราการเกิดที่ต่ำอย่างต่อนื่องนั้นเป็น “วิกฤตที่เกิดขึ้นและยังคงดำรงอยู่” เขายังให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ครอบครัวชาวญี่ปุ่น เพื่อให้เข้าถึงการดูแลเด็กได้ง่ายขึ้น และสามารถลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ของรัฐบาลทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีครอบครัวใหญ่ขึ้นนั้นแทบจะไม่เกิดผล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผู้หญิงญี่ปุ่นคาดว่าตนเองจะสามารถมีลูกโดยเฉลี่ย 1.3 คนตลอดช่วงชีวิต ซึ่งต่ำกว่าระดับที่จำเป็นในการรักษาขนาดประชากรในปัจจุบัน ที่ผู้หญิงญี่ปุ่นจะต้องมีลูกเฉลี่ย 2.1 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โฆษกของ Oji Holdings กล่าวว่าบริษัทจะส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์สุขอนามัยสำหรับผู้สูงอายุ โดยเสริมว่าพวกเขาคาดหวังว่าโปรดักต์เหล่านี้จะใช้ในบ้านพักคนชราและสถานที่สาธารณะอื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความต้องการผ้าอ้อมเด็กลดลงเนื่องจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงอัตราการเกิดที่ลดลง” โฆษกกล่าว และว่า บริษัทจะยังคงจำหน่ายผ้าอ้อมในประเทศต่อไปจนกว่าสินค้าจะหมด และวางแผนที่จะขยายการผลิตในประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งคาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้น ที่มา:&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.theguardian.com/world/2024/mar/27/oji-holdings-japan-switch-adult-nappies-ageing-society" alt="Sign of the times in Japan as nappy company switches production to adult nappies">Sign of the times in Japan as nappy company switches production to adult nappies</a>​ Photo by <a href="https://unsplash.com/@onice?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Joey Huang</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/man-and-woman-standing-in-front-of-pedestrian-line-aTmKzf8P-Ms?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/global/education-reflects-economic-growth-vietnamese-study-abroad-in-southeast-asia" alt="การศึกษาสะท้อนการเติบโตเศรษฐกิจ 'เด็กเวียดนาม' เรียนต่อนอกมากสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้">การศึกษาสะท้อนการเติบโตเศรษฐกิจ 'เด็กเวียดนาม' เรียนต่อนอกมากสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บริษัทญี่ปุ่นประกาศเลิกผลิตผ้าอ้อมเด็ก หันผลิตผ้าอ้อมผู้ใหญ่แทน หลังเด็กเกิดน้อยลง แต่ประชากรสูงวัยพุ่งพรวด

คนไทยเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก! The Aspen Tree จับมือสองศูนย์วิจัย นำผลวิจัยมาใช้ดูแลลูกบ้าน เพื่อสุขภาวะสมองที่ดี

ณุศาศิริฯ จับมือ บางกอกเฮลท์เเคร์ เซอร์วิส (BHS) พลิกโฉม PARC EXO ย่านเกษตร-นวมินทร์ จำนวน 1 อาคาร เป็นคอนโดฯ เพื่อผู้สูงวัยครบวงจร ชูจุดขาย หลักประกันที่มั่นคงของชีวิตหลังวัยทำงาน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ สู่วัยเกษียณ-สำราญ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามความร่วมมือกับ พว.นิตยา ชไนศวรรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กลุ่มบริษัท บางกอกเฮลท์เเคร์ เซอร์วิส จำกัด (BHS Group) และ AgyHero ถือว่าเป็น Nursing Home Expert Solutions สำหรับบริหารจัดการ Nursing Home ที่สมบูรณ์เเบบและครบวงจรที่สุดในประเทศไทย ในการปรับเปลี่ยนคอนโดมิเนียม PARC EXO ย่านเกษตร-นวมินทร์ จำนวน 1 อาคาร มาเป็นคอนโดฯ ที่รองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงวัยโดยเฉพาะ โดยใช้ชื่อว่า PARC EXO Care​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/vi8E1GwWDCMeFeWoYjkE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="vi8E1GwWDCMeFeWoYjkE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp; &nbsp; ผู้บริหารณุศาศิริ กล่าวว่า ประเทศไทยถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged Society) เนื่องจากอัตราการเกิดของคนไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนการเกิดเพียงประมาณ 6 แสนคนต่อปี ไทยกำลังขยับขึ้นเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอด (Hyper Aged Society) ซึ่งมีสัดส่วนประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีถึงร้อยละ 20&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และหลังจากนี้อีกไม่นาน ไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาในประวัติศาสตร์ และจะเริ่มก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” ดังนั้นการวางแผนเกษียณจึงเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่เนิ่นๆ และหนึ่งสิ่งที่ต้องวางแผนสำหรับการเกษียณก็คือ “ที่อยู่อาศัย”&nbsp; &nbsp; และหนึ่งในเมกะเทรนด์ของธุรกิจที่น่าจับตามองคือเรื่องของ บริการสุขภาพ (Healthcare) ณุศาศิริ จึงได้ปรับโมเดลธุรกิจอสังหาฯ ให้มาร่วมกับธุรกิจสุขภาพ ในการนำคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วมาปรับโฉมใหม่เพื่อสนองตอบความต้องการของสังคมผู้สูงวัย เพราะมองเห็นว่า ผู้สูงอายุจำนวนมากที่ไม่มีลูกหลาน บางคนไม่มีสวัสดิการหลังเกษียณ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เหล่านี้ยังขาดหลักประกันที่จะใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายที่มั่นคง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/f9kvA1vprCWkK3QujiVc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="f9kvA1vprCWkK3QujiVc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความร่วมมือดังกล่าวกับ BHS Group และ AgyHero ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจดูเเลผู้สูงอายุกว่า 20 ปี และได้รับรางวัลระดับ Best Practice รวมถึงการรับรองมาตรฐานจากหลายหน่วยงานจากภาครัฐเเละเอกชน ทำให้มั่นใจได้ว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะทำให้ PARC EXO Care เป็นที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ ที่มีความพร้อมระดับมืออาชีพดูเเลอย่างครบวงจรเพื่อกลุ่มผู้สูงอายุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมกันนี้ยังได้ รพ.พานาซี ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัยและมีองค์ความรู้เฉพาะในเรื่องของการใช้สเต็มเซลล์ในการบำบัด โรคเบาหวาน หลอดเลือด และมะเร็ง และใน Senior Complex ยังมี DNA PLUS มาดูแลลูกค้าของโครงการ โดย DNA PLUS ยึดแนวทางในการดูแลรักษาด้วยการแพทย์แบบผสมผสานทั้งการบำบัดเซลล์ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทำคีเลชั่น การล้างพิษ การทำทรีทเม้นท์ รวมทั้งการตรวจภูมิแพ้อาหารอันก่อให้เกิดการเจ็บป่วยต่างๆ ด้วยการให้อาหารเสริมและวิตามิน เพื่อเสริมสร้างการรักษาและสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/PfBb3L4PY8ccLWymJY1c.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="PfBb3L4PY8ccLWymJY1c.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div style="text-align: center;">บริเวณห้องกายภาพ</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงนำองค์ความรู้ของด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน และกายภาพบำบัด มาช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด พร้อมเป็นศูนย์การแพทย์สำหรับผู้ที่ต้องการสุขภาพดีและชะลอวัย ซึ่ง DNA PLUS ยังมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ป่วยติดเตียง นอกจากการฟื้นฟูและการดูแลสุขภาพโดยทั่วไปแล้ว ยังออกแบบมาเพื่อดูแลสูงวัยในระยะยาว โดยดูแลสุขภาพแบบบูรณาการ (Integrated Healthcare) เพื่อผู้สูงวัยโดยเฉพาะ และหากเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือมีโรคประจำตัวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ก็มีบุคลากรทางการแพทย์คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด โดย DNA PLUS จะตั้งอยู่บนพื้นที่ชั้น 2 ของ SENIOR CLUB บริเวณด้านหน้าโครงการ PARC EXO Care&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากความร่วมมือของพาร์ทเนอร์ทั้ง 3 ฝ่าย NUSA – BHS – PNC จึงเกิดเป็นโครงการ PARC EXO Care ที่จะเข้ามาร่วมดูแลสุขภาพให้กับผู้อาศัยในโครงการ โครงการนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างจากโครงการทั่วไปในเรื่องของรูปแบบการลงทุนที่สร้างความมั่นคงหลังวัยทำงาน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของวัยเกษียณ ทั้งยังเป็นการวางแผนการเงินให้กับคนที่ต้องการมีช่วงเวลาเกษียณสำราญ และมีชีวิตที่ออกแบบได้เองในช่วงบั้นปลายของชีวิต​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/xYAThUM9Avw2zq1qydtA.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="xYAThUM9Avw2zq1qydtA.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“PARC EXO Care” คอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน ที่นำร่องโครงการโดยใช้อาคารพักอาศัย 1 อาคาร ภายในโครงการ PARC EXO ย่านเกษตร-นวมินทร์ โดยปรับฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมาะกับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึงการปรับรูปแบบของห้องชุดให้มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ และผู้อยู่อาศัยในทุกช่วงวัยด้วย โดยขณะนี้มียูนิตพร้อมขายจำกัดอยู่ประมาณ 200 ยูนิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“PARC EXO Care” ยังมาพร้อมสภาพแวดล้อมที่สงบร่มรื่น เหมาะกับผู้สูงวัย มีพื้นที่ส่วนกลางครบครัน ทั้งสวนกลางแจ้ง สระว่ายน้ำ อีกทั้งยังมี Senior Complex อยู่บริเวณด้านหน้าโครงการ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งร้านอาหาร ร้านทำผม คลินิกกายภาพบำบัด คลินิกแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีนและคลินิกเวชศาสตร์ชะลอวัย ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ อีกทั้งยังมี Senior Club พื้นที่กิจกรรมสันทนาการที่เหมาะกับลูกบ้านในทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงานหรือผู้สูงอายุ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อยู่อาศัยทุกท่าน สำหรับราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.49 ล้านบาท เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/property/central-pattana-launches-escent-nakhon-sawan-condominium" alt="ยอดจองพุ่ง 80% ใน 5 วัน! ‘เอสเซ็นท์ นครสวรรค์’ จาก CPN คอนโด 19 ชั้น สูงที่สุดใจกลางเมือง">ยอดจองพุ่ง 80% ใน 5 วัน! ‘เอสเซ็นท์ นครสวรรค์’ จาก CPN คอนโด 19 ชั้น สูงที่สุดใจกลางเมือง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ณุศาศิริ จับมือ BHS พลิกโฉม PARC EXO เป็นคอนโดเพื่อ ‘สูงวัย’

สรุปพฤติกรรม คนวัยเกษียณ ทำการตลาดเจาะกลุ่มสูงวัย ต้องรู้อะไรบ้าง

<h2>จากรายงานของเจเนอเรชัน และ OECD พบว่า แรงงานที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่ความยั่งยืน แต่กลับเป็นแรงงานที่ถูกมองข้ามเพราะอคติของนายจ้าง ย้อนแย้งกับการจ้างงานในสหรัฐและยุโรปที่มองว่าแรงงานกลุ่มนี้รับมือกับเทคโนโลยีได้ดีเทียบเท่าคนรุ่นใหม่</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจเนอเรชัน (Generation) เครือข่ายไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลกที่มุ่งส่งเสริมการจ้างงาน และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีข้อเสนอแนะว่า นายจ้างจำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับผู้สมัครงานในช่วงกลางของอาชีพ (midcareer) และผู้สมัครงานสูงวัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากรายงานในหัวข้อ "โอกาสในช่วงกลางของอาชีพ รับมือกับความท้าทายของแรงงานสูงวัย" (Midcareer Opportunity: Meeting the challenges of an ageing workforce) ได้สรุปข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลโดย OECD และจากการสำรวจนายจ้าง ผู้สมัครงาน และลูกจ้างหลายพันคนใน 8 ประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-64 ปี คิดเป็นสัดส่วน 40% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศสมาชิก OECD ณ ปี 2563 เทียบกับเพียง 28% ในปี 2533 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบุคลากรมากความสามารถในช่วงอายุดังกล่าวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/VL8MG4VdqcQfaH6dUQ5t.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="VL8MG4VdqcQfaH6dUQ5t.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"แรงงานสูงวัยถือเป็นทรัพยากรที่มีค่า เมื่อพิจารณาจากทักษะ ประสบการณ์ และความมุ่งมั่นตั้งใจของแรงงานกลุ่มนี้" สเตฟาโน สการ์เปตตา (Stefano Scarpetta) ผู้อำนวยการฝ่ายการจ้างงาน แรงงาน และกิจการสังคมของ OECD กล่าวและว่า การรักษาคนกลุ่มนี้ไว้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรักษามาตรฐานการครองชีพระดับสูงในประเทศสมาชิกของเรา ปัจจุบันธุรกิจต่างๆ กำลังประสบความยากลำบากในการสรรหาบุคลากร จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องพยายามมากขึ้นเพื่อทำให้พนักงานทุกคนมีอาชีพการงานที่ประสบความสำเร็จและยืนยาว โดยไม่มีอคติเรื่องอายุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่อย่างไรก็ตาม รายงานแสดงให้เห็นด้วยว่านายจ้างไม่คว้าโอกาสนี้ โดยนายจ้างเกือบ 40% ต้องการจ้างคนอายุ 20-29 ปี และเกือบครึ่งหนึ่ง (47%) ต้องการจ้างคนอายุ 30-44 ปี ขณะที่มีเพียงหนึ่งในสาม (35%) ที่ต้องการจ้างคนอายุ 45-54 ปี และมีเพียง 13% ที่ต้องการจ้างคนอายุ 55-65 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีอายุ 45-64 ปี จึงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มผู้ว่างงานระยะยาว โดยในประเทศที่สำรวจ ได้แก่ สาธารณรัฐเช็ก ฝรั่งเศส เยอรมนี โรมาเนีย สเปน สวีเดน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา คนช่วงวัยดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 44% ของผู้ว่างงานระยะยาวในปี 2563 เพิ่มขึ้นจาก 36% ในปี 2543 นายจ้างมองสูงวัยทำงานได้ดีเท่าพนักงานอายุน้อย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่านายจ้างจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ แต่ข้อได้เปรียบนี้ก็ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยในการสำรวจ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลมีแนวโน้มที่จะสัมภาษณ์ผู้ที่มีประสบการณ์ 5 ปี พอๆ กับผู้ที่มีประสบการณ์ 25 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สาเหตุสำคัญ คือความกังวลว่าผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ โดยนายจ้างมากกว่าครึ่ง (52%) มองว่าคนอายุ 30-44 ปีมีทักษะด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน แต่มีเพียง 30% ที่มีมุมมองเช่นนี้ต่อคนอายุ 45 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ นายจ้างยังเชื่อว่าผู้สมัครงานในช่วงกลางของอาชีพและผู้สมัครงานสูงวัยมีแนวโน้มน้อยกว่าคนอายุน้อยในการลองเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 75%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/R4azPejp8vyE8jJAypwc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="R4azPejp8vyE8jJAypwc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดี ยังคงมีความย้อนแย้งเกี่ยวกับอายุของพนักงาน โดยพบว่านายจ้างให้ความสำคัญมากกับพนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไปที่มีอยู่แล้วในองค์กร โดยนายจ้าง 89% มองว่าพนักงานในช่วงกลางของอาชีพและพนักงานสูงวัยที่อยู่ในองค์กรอยู่แล้ว สามารถทำงานได้ดีพอ ๆ กันหรือดีกว่าพนักงานอายุน้อย และเรียนรู้ได้เร็วพอ ๆ กัน (83%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"นายจ้างกำลังมองข้ามผู้สมัครงานมากความสามารถที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป" โมนา มัวร์เชด (Mona Mourshed) ซีอีโอระดับโลกของเจเนอเรชัน กล่าวว่า มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าพนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไป สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ โดยนายจ้างสามารถเติมเต็มตำแหน่งงานที่จำเป็นและเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรได้ด้วยการเปลี่ยนแนวปฏิบัติในการจ้างงานเพื่อรองรับผู้สมัครงานทุกวัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้สมัครงานในช่วงกลางของอาชีพและผู้สมัครงานสูงวัยรู้สึกถึงอคติด้านอายุอย่างชัดเจน โดยไม่คำนึงถึงระดับการศึกษา ผู้สมัครงานมากกว่าครึ่งหนึ่ง (53-54%) รู้สึกว่าการหางานทำได้ยาก โดยอายุคืออุปสรรคที่พบบ่อยที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการวิจัยยังตอกย้ำถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งที่นายจ้างให้ความสำคัญมากที่สุดกับการวางตัวในที่ทำงานของพนักงานที่อยู่ในช่วงกลางของอาชีพและพนักงานสูงวัย โดยนายจ้างให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการฝึกอบรมและยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง แต่พนักงานที่อยู่ในช่วงกลางของอาชีพและพนักงานสูงวัยมักเชื่อว่าประสบการณ์การทำงานเพียงอย่างเดียวเป็นข้อพิสูจน์ถึงความพร้อมในการทำงาน โดยมีไม่ถึง 1 ใน 4 ที่เข้าร่วมการฝึกอบรมในช่วงสามปีที่ผ่านมา และพบว่าการเข้าร่วมการฝึกอบรมลดลงตามอายุ ไม่ว่าพนักงานจะมีการศึกษาระดับใดก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อุปสรรคอย่างหนึ่งอาจเป็นเพราะการเข้าถึงโอกาสเหล่านี้ เพราะมีนายจ้างเพียงครึ่งหนึ่ง (53%) ที่เสนอการฝึกอบรมให้แก่พนักงาน ส่งผลให้พนักงานต้องค้นหาทางเลือกอื่น ๆ ด้วยตัวเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ พนักงานอายุ 45 ปีขึ้นไปไม่ได้สมัครงานในที่ที่เหมาะสม โดยนายจ้างมักหาพนักงานผ่านบริษัทจัดหางาน ผ่านการแนะนำ และผ่านลิงด์อิน (LinkedIn) แต่ในขณะที่นายจ้าง 50% ใช้ลิงด์อิน กลับมีพนักงานสูงวัยเพียง 24% ที่นิยมใช้ลิงด์อินเป็นช่องทางสมัครงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับประเทศไทย ตัวเลขจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ผู้ว่างงานในไตรมาสสอง ปี 2566 มีจำนวน 4.3 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.06 ลดลงจากไตรมาสสอง ปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.37 โดยผู้ว่างงานส่วนใหญ่จะอยู่ในอายุ 15 – 19 ปี ว่างงานร้อยละ 7.8 ขณะที่อายุ 20 – 24 ปี ว่างงานร้อยละ 6.41 อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/world/america/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2-%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A-forbes-400-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2023" alt="10 อันดับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในอเมริกาแห่งทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2023">10 อันดับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในอเมริกาแห่งทำเนียบ Forbes 400 ประจำปี 2023</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แรงงานสูงวัย กองหนุนองค์กรสู่ความยั่งยืน

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC&nbsp;หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ผู้พัฒนาโครงการ "ดิ แอสเพน ทรี" ที่อยู่อาศัยสำหรับคนวัย 50+ ที่มาพร้อมแนวคิดการดูแลตลอดชีวิตหรือ Lifetime Care ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 398 ไร่ของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนถนนบางนาตราด ก.ม.7 โครงการเมืองที่มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพที่ดี และมีความสุข เดินหน้าทุกมิติ พร้อมๆ กับการตอกย้ำความมั่นใจในการส่งมอบที่อยู่และบริการ ให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ชีวิตในวัย 50+ ได้อย่างมีความสุข ตามไลฟ์สไตล์ที่ตัวเองต้องการ โดยปราศจากความกังวล <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/atWQHBscQKJMyxcccYBf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="atWQHBscQKJMyxcccYBf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="1639,1092"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฮ จูน พาร์ค ประธานผู้อำนวยการโครงการ ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียส์ กล่าวว่า “การพัฒนาโครงการ The Aspen Tree ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ เพื่อคนวัย 50+ มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย มีความสุขตามไลฟ์สไตล์ที่ตัวเองต้องการ โดยปราศจากความกังวลในเรื่องต่างๆ นั่นคือที่มาของการมอบบริการและการดูแลที่ครบวงจร ภายใต้แนวคิดดูแลตลอดชีวิตหรือ Lifetime Care ซึ่งโครงการ ดิ แอสเพน ทรี ได้จับมือเป็นพันธมิตร ทำงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงวัยระดับโลก เป็น Global Expert อย่างแท้จริง ซึ่งเรามั่นใจว่า Baycrest คือ One of the global leader ทางด้านนี้ และที่สำคัญมีวิสัยทัศน์ และการทำงานที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับ ดิ แอสเพน ทรี ทำให้ผู้อยู่อาศัยมั่นใจได้ว่าการใช้ชีวิตที่นี่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี มาตรฐานระดับโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวอย่างของการดูแลตลอดชีวิต สำหรับคนวัย 50+ อาทิ การออกแบบที่อยู่อาศัยที่มุ่งเน้นความปลอดภัยในทุกรายละเอียด บริการอาหารเช้า ตามหลักโภชนาการที่เหมาะสมทุกวัน บริการแม่บ้านทำความสะอาดทุกสัปดาห์ บริการช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง และมากไปกว่านั้น คือการออกแบบกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสมอง สุขภาพกายและใจ ให้ผู้อยู่อาศัยได้เลือกทำ และการออกแบบการใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ทั้งครอบครัวของตัวเอง เพื่อน และผู้คนอื่นๆ จากหลากหลายเจเนอเรชั่น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของผู้สูงวัย สอดคล้องกับข้อมูลจากการวิจัยที่พบว่า ผู้สูงวัยไม่ว่าจะเป็นในประเทศฝั่งตะวันตกหรือตะวันออกส่วนใหญ่ต้องการสังคม ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สังคมไทยและรวมถึงในเอเชีย มีมุมมองเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยที่เปลี่ยนไป เมื่อพูดถึงที่อยู่อาศัยสำหรับคนวัยเกษียณ คนเริ่มมองเห็นภาพ Happy Living Place ที่จะส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสุข สำหรับช่วงวัยที่อิสระและสวยงามได้ ไม่ใช่สถานที่ที่น่าหดหู่อีกต่อไป” เฮ จูน พาร์ค กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.วิลเลี่ยม ไรซ์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานผู้อำนวยการ เบย์เครส (Baycrest) องค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงวัยที่มีประสบการณ์กว่า 100 ปี และได้รับการยอมรับในระดับโลก ซึ่งเป็นพันธมิตรกับโครงการ The Aspen Tree The Forestias กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของ Baycrest คือการทำให้เกิด Aging Successfully คือให้คนที่ก้าวเข้าสู่ช่วงอายุที่เรียกว่าสูงวัย ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและมีจุดมุ่งหมาย และใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ที่ตัวเองชื่นชอบ แทนที่จะอยู่แบบรอวันเจ็บป่วย หรือรอวันรักษาตัว&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/rMJWQNz9xSgHs5fy7fmX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="rMJWQNz9xSgHs5fy7fmX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="1920,1066"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเหตุผลหลักที่ Baycrest ตัดสินใจร่วมทำงานกับ The Aspen Tree เพราะวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกัน มุ่งเน้นสร้างสรรค์สิ่งที่จะส่งผลกระทบในเชิงบวกกับสังคม ส่งเสริมให้สังคมดีขึ้น และส่งผลดีกับโลก สิ่งที่เราคิดเหมือนกันคือ เราไม่ได้ต้องการแค่ดูแลสังคมในประเทศของเราเอง แต่เราอยากทำสิ่งที่จะเป็นต้นแบบให้ที่อื่นๆ ในโลก ได้เห็นว่าที่อยู่อาศัย หรือการใช้ชีวิตของคนสูงวัย สามารถเป็น Happy Living Community ได้ และคนสูงวัยสามารถใช้ชีวิตอย่าง Aging Beautifully ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งที่ทำให้ The Aspen Tree The Forestias แตกต่างจากโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยที่อื่นๆ คือ แนวคิดการดูแลตลอดชีวิต ที่ดูแลตั้งแต่วันแรกที่เข้าอยู่ ไม่ใช่รอดูแลเฉพาะแค่ในวันที่เจ็บป่วย การดูแลและกิจกรรมต่างๆ ที่จัดไว้ให้จึงมุ่งเน้นในเชิงป้องกันเป็นสำคัญ นอกจากนั้น การตั้งอยู่ในโครงการ The Forestias ซึ่งเป็นชุมชนของผู้คนจากหลากหลายเจเนอเรชั่น ประกอบไปด้วยหลากหลายโครงการ รวมถึงพื้นที่ไลฟ์สไตล์และกิจกรรมต่างๆ มากมาย เป็นโมเดลคุณภาพที่น่าสนใจ และสามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้กับที่อื่นๆ ทั่วโลกได้ เนื่องจากการได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากช่วงวัยอื่นๆ รวมทั้งการได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ถือว่ามีความสำคัญมากและส่งผลดีกับผู้สูงวัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/G4ae36Z18o3rtDiyGEPH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="G4ae36Z18o3rtDiyGEPH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="1920,1020"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“บทบาทสำคัญอย่างหนึ่งของ Baycrest ที่ The Aspen Tree The Forestias คือการนำเอาประสบการณ์กว่า 100 ปี มาใช้ในการออกแบบกิจกรรมต่างๆ สำหรับลูกบ้าน โดยจะมีการปรับกิจกรรมต่างๆ ให้เข้ากับบริบทสังคมไทย ตลอดจนเข้ากับความชื่นชอบและส่งผลดีต่อสุขภาพของแต่ละคนด้วย นอกจากนั้น Baycrest ยังรับหน้าที่ในการออกแบบหลักสูตรอบรมเจ้าหน้าที่ Care Taker ที่จะมาทำหน้าที่ดูแลลูกบ้านด้วย” ดร.วิลเลี่ยม ไรซ์แมน กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดิ แอสเพน ทรี ประกอบด้วยที่พักอาศัยจำนวน 290 ยูนิต ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 83 ตารางเมตรไปจนถึง 253 ตารางเมตร ทุกยูนิตถูกออกแบบด้วยความพิถีพิถัน เพื่อส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัย สามารถอยู่ในบ้าน สังคม ได้อย่างปลอดภัย ใกล้ชิดธรรมชาติของผืนป่าเดอะ ฟอเรสเทียส์ขนาด 30 ไร่ และใกล้ชิดคนที่รัก โดยล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ออกแพ็กเกจทดลองอยู่แบบ 1 ปี และ 5 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้ชีวิตในแบบ The Aspen Tree ด้วยตนเอง ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับโครงการ ได้ที่ Call Center โทร 1265 หรือเว็บไซต์ theaspentree.com &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70595" alt="Subway ธุรกิจแฟรนไชส์พันล้าน กับเบื้องหลังความมั่งคั่งที่่ซ่อนเร้น">Subway ธุรกิจแฟรนไชส์พันล้าน กับเบื้องหลังความมั่งคั่งที่่ซ่อนเร้น</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

"ดิ แอสเพน ทรี" จับมือ "เบย์เครส" ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการดูแลผู้สูงวัย ตอกย้ำแนวคิด Lifetime Care

Sea (ประเทศไทย) ผนึก ‘ดีป้า’ – ‘ยังแฮปปี้’ เปิดหลักสูตรอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้สูงอายุ

<h2>หนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลก คือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยปัจจุบันโลกเรามีผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมด สำหรับประเทศไทย มีผู้สูงอายุเกือบ 12 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 17 ของคนไทยทั้งประเทศ คาดใน 20 ปีข้างหน้า หรือปี 2583 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัย” อย่างเต็มตัว</h2>
กลุ่มผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้แตกต่างจากผู้สูงอายุในอดีต โดยบริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี ประเทศไทย ให้คำจำกัดความว่าผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป เป็น SILVER GEN (มาจากสีผมที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเงิน) ที่สำคัญ SILVER GEN เป็นวัยเกษียณที่มั่งคั่ง โดยสัดส่วน 20-30% ของคนกลุ่มนี้ มีระดับรายได้กลางถึงสูง มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเริ่มเป็นประชากร "สังคมผู้สูงวัย" กลุ่มใหญ่ในสังคมไทย

ทั้งนี้ เมื่อดูจากสถิติช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อายุของคนที่เป็นกำลังซื้อหลักเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ 45-49 ปี และกลุ่ม 55 ปีขึ้นไป โดยลักษณะสำคัญของ SILVER GEN ที่แตกต่างจากผู้สูงอายุในอดีต คือ
<ol>
 	<li> การใช้เทคโนโลยี โดยผลสำรวจของเดอะ นีลเส็น คอมปะนี พบว่า 90% ของกลุ่ม SILVER GEN มีมือถือ และมากกว่าครึ่งใช้สมาร์ทโฟน โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม SILVER GEN (อายุ 55-59 ปี) มีสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น 4 เท่า และเพิ่มขึ้น 6 เท่าในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป</li>
 	<li> พฤติกรรมการซื้อสินค้า ผู้บริโภค SILVER GEN ยินดีจะจ่ายมากขึ้นหากสินค้าและบริการตอบโจทย์เรื่องคุณภาพ เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จัก โดยให้ความสำคัญกับเรื่องราคาน้อยลง ยิ่งอายุ 60 ปีขึ้นไป ยิ่งไม่สนใจเรื่องการเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ ผู้บริโภคกลุ่มนี้ยึดติดกับแบรนด์น้อยลงเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว</li>
 	<li> การดูแลสุขภาพ กลุ่ม SILVER GEN มีความต้องการดูเด็กเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ยังรักษาสุขภาพ โดยกว่าครึ่งหนึ่งพึ่งพาอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แม้จะออกกำลังกายน้อยลง</li>
 	<li> มีอิสระทางการเงิน กลุ่มผู้สูงอายุในอดีต มักจะเก็บเงินเป็นหลัก แต่กลุ่ม SILVER GEN จะมีสมดุลในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น ไม่ได้คิดว่าเงินคือสิ่งที่วัดความสำเร็จในชีวิต กล้าที่จะเป็นหนี้มากขึ้น เชื่อว่ามีสามารถบริหารเงินได้ดี</li>
 	<li> พฤติกรรมทั่วไป หากเทียบกับ 10 ปีก่อนหน้านี้ กลุ่ม SILVER GEN ชอบที่จะออกไปนอกบ้านเพิ่มขึ้น แทนที่จะเลือกอยู่แต่ในบ้าน อย่างไรก็ตามยังคงมีความต้องการที่จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและให้ความสำคัญกับการตามทันแฟชั่นมากขึ้น โดยกลุ่มอายุ 55-59 ปี ต้องการมีความสุขในชีวิตและไม่กังวลเกี่ยวกับอนาคตมากเท่ากับ 10 ปีก่อนหน้านี้</li>
</ol>
<figure><img class="wp-image-33110 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/สังคมผู้สูงวัย-03.jpg" alt="สังคมผู้สูงวัย" width="600" height="400" /><figcaption> พันธมิตรร่วมเปิดตัวแพลตฟอร์ม "SILVERASTIC 4"</figcaption></figure>

สมวลี ลิมป์รัชตามร กรรมการผู้จัดการ เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) กล่าวว่า นิยามของกลุ่ม SILVER GEN คือ Moment of now and freedom of choice การให้ความสำคัญกับคุณค่าในชีวิตและจุดโฟกัสเปลี่ยนไป ให้ความสำคัญกับตัวเองมากขึ้น ต้องการอิสระทางความคิดและการเลือกมากขึ้น เพิ่มความสุขให้ตัวเองมากขึ้น มีความมั่งคั่งในเชิงการเงิน ความคิด ทัศนคติ และสังคม

“ในธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่ากว่า 9 แสนล้านบาทในประเทศไทย มีสินค้าสำหรับคนกลุ่มนี้ไม่ถึง 1% ถือเป็นบลู โอเชี่ยน หรือโอกาสทองของนักการตลาด โดยในช่องทางออฟไลน์ มีอัตราการเติบโตปีละ 20-30% ขณะที่ตลาดออนไลน์เติบโตมากกว่า 100% ถือเป็นโอกาสมหาศาล” สมวลีกล่าว

ปัจจุบัน เริ่มเห็นสินค้าสำหรับผู้สูงอายุในหมวดหมู่ทีเป็นนวัตกรรมมากขึ้น เช่น paper wipe สำหรับผู้สูงอายุ นอกจากนี้เทรนด์ในการพัฒนาสินค้าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ในการแก้ปัญหา (เช่น ผ้าอ้อมผู้ใหญ่) แต่เป็นการพัฒนาสินค้าเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นและการดูแล เกิดประโยชน์จากภายใน และส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าในกลุ่ม Premiumization สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้มีกำลังซื้อ

<figure><img class="wp-image-33111 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/สังคมผู้สูงวัย-04.jpg" alt="" width="600" height="400" /><figcaption> สมวลี ลิมป์รัชตามร กรรมการผู้จัดการ เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย)</figcaption></figure>

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ และผู้อำนวยการ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวว่า ในปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ คือมีประชากรวัย 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วนนร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ หรือประมาณ 13 ล้านคน ซึ่งไทยถือว่ามีผู้สูงอายุมากเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชีย รองจากญี่ปุ่น และสิงคโปร์

ขณะที่คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น จากเมื่อ 30 ปีก่อน โดยปัจจุบันชายไทยเฉลี่ยมีอายุ 78 ปี ขณะที่ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 80 ปี มีเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้นที่ไม่ป่วย ดังนั้นการวางแผนทางการเงินสำคัญมากสำหรับผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของโลกตอนนี้มุ่งไปทางป้องกันมากกว่ารักษา ทำให้อุตสาหกรรมเวลเสนเติบโตเร็วมาก ในปี 2562 อุตสาหกรรมเวลเนสโลกมีมูลค่ากว่า 4.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งหลังโควิดอุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

วรรณา สวัสดิกูล ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์และผู้เชี่ยวชาญในวงการธุรกิจการตลาด กล่าวว่า เทรนด์ SLIVER GEN มีการเติบโตแบบไม่หยุดหย่อน เป็นตลาดที่มีอนาคตไกล เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่คนสูงวัยจะครองเมือง จึงได้ก่อตั้งแพลตฟอร์มใหม่คือ SILVERASTIC 4 ที่จะนำเสนอ “TOTAL MARKETING SOLUTION FOR SILVER GEN” ภายใต้ 3 บริการหลักที่เรียกว่า “I-C-E” ที่ดีไซน์ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สูงวัย อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป

<figure><img class="wp-image-33113 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/วรรณา-สวัสดิกูล-01.jpg" alt="สังคมผู้สูงวัย" width="300" height="450" /><figcaption> วรรณา สวัสดิกูล ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์และผู้เชี่ยวชาญในวงการธุรกิจการตลาด</figcaption></figure>

สำหรับ “I-C-E” ประกอบด้วย INSIGHT คือ การเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ด้วยผลสำรวจแบบเรียลไทม์ ผ่าน MOBILE APPLICATION ทำให้สามารถเข้าใจความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้อย่างแท้จริง CONTENT การนำเสนอเนื้อหาสาระ เรื่องเล่า ประสบการณ์ ความสนุกสนาน รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมของคนกลุ่ม SLIVER GEN ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง กิน ฟิต เที่ยว ชอปปิ้ง ไอที ผ่าน 4 เพจพันธมิตร ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้สูงวัยมากกว่า 1.5 ล้านคน และ E การให้บริการ E-COMMERCE (อีคอมเมิร์ซ) ช้อปออนไลน์แห่งแรกที่รวบรวมสินค้าและบริการที่คัดสรรมาเพื่อกลุ่ม SLIVER GEN โดยเฉพาะ

“เรามองเห็นโอกาสที่ว่า “Silver is the new black” Silver หรือ ตลาด “กลุ่มผู้บริโภครุ่นใหญ่วัยมั่งคั่ง” ซึ่งในยุคนี้ เป็นกลุ่มที่สำคัญกว่าที่เคยเป็นมา ไม่ใช่แค่เพราะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น หรือ มีกำลังซื้อที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่เพราะ SLIVER GEN หรือกลุ่มอายุย่างเข้าวัย 50 ปี มีคาแร็กเตอร์และไลฟ์สไตล์ที่ต่างจากในอดีต ตัดสินใจซื้อสินค้าด้วยตัวเอง มีชั่วโมงการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์เทียบเท่ากับวัยรุ่น คนกลุ่มนี้สามารถเข้ามาหาข้อมูลในการเตรียมพร้อมเข้าสู่ SLIVER GEN อย่ามีคุณภาพ จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงมากในตลาด” วรรณากล่าว

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events