<h2>กลายเป็นประเด็นฮือฮาในแถบอเมริกาเหนือ เมื่อ Starbucks ในอเมริกาเหนือออกนโยบายใหม่ว่าผู้มาใช้บริการที่ร้าน ‘จำเป็น’ ต้องซื้อสินค้าบางอย่าง ซึ่งนี่เรียกได้ว่าเป็นการกลับลำนโยบายที่ให้ทุกคนใช้ห้องน้ำของ Starbucks ได้ แม้ว่จะไม่ได้ซื้อสินค้าก็ตาม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อสัปดาห์นี้ Starbucks ได้เผยแพร่จรรยาบรรณทางธุรกิจ (Code of Conduct) ฉบับใหม่ ซึ่งจะนำไปแสดงไว้ในร้านค้าทุกแห่งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยระบุว่า “พื้นที่ของ Starbucks มีไว้สำหรับให้พาร์ทเนอร์และลูกค้าของเราใช้ ซึ่งรวมถึงร้านกาแฟ ลานกลางแจ้ง และห้องน้ำของเราด้วย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กฎใหม่นี้เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามครั้งใหญ่ที่จะปรับปรุงประสบการณ์การนั่งดื่มกาแฟของ Starbucks และป้องกันคนไร้บ้านและลูกค้าที่ไม่จ่ายเงินที่มาใช้บริการ Starbucks เพียงเพื่อหลบภัยและเข้าห้องน้ำ เรียกได้ว่าสตาร์บัคส์ได้ยกเลิกนโยบายที่นำมาใช้ หลังจากเกิดหายนะด้านประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของบริษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จรรยาบรรณทางธุรกิจฉบับใหม่ซึ่งประกาศให้ร้านค้าทราบเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เป็นกลยุทธ์ส่วนหนึ่งของ Brian Niccol ซีอีโอคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายน 2024 กับความพยายามที่จะพลิกฟื้นผลประกอบการ หลังรายงานยอดขายและกำไรทั่วโลกที่ลดลงในเดือนตุลาคม โดยเขายังสัญญาว่าจะลด "เมนูที่ซับซ้อนเกินไป" เพื่อพยายามดึงดูดลูกค้าให้กลับมาด้วยเครื่องดื่มที่ราคาไม่แพง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับนโยบายใหม่ที่เพิ่งประกาศนี้จะนำไปใช้กับทุกสาขาในอเมริกาเหนือ และจะติดไว้ที่ประตูร้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นขั้นตอนเชิงปฏิบัติที่ช่วยให้เราให้ความสำคัญกับลูกค้าที่จ่ายเงิน ซึ่งต้องการนั่งและเพลิดเพลินกับร้านกาแฟของเราหรือต้องการใช้ห้องน้ำระหว่างที่มาเยือน” โฆษกของ Starbucks กล่าวในแถลงการณ์ “การกำหนดความคาดหวังที่ชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมและการใช้พื้นที่ของเรา ช่วยให้เราสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ได้แก่ การห้ามขอทาน การเลือกปฏิบัติ การดื่มแอลกอฮอล์จากภายนอก และการสูบบุหรี่ไฟฟ้า และพนักงานจะได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับนโยบายใหม่นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Starbucks ยังพยายามจูงใจให้ลูกค้าอยู่ในร้านกาแฟแทนที่จะสั่งอาหารกลับบ้าน โดยให้สิทธิพิเศษสำหรับการสั่งซื้อในร้าน เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม ซึ่งลูกค้าทุกคนสามารถรับกาแฟร้อนหรือเย็นเติมฟรี 1 แก้วในแก้วเซรามิกหรือแก้วที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยก่อนหน้านี้ สิทธิพิเศษนี้ใช้ได้กับเฉพาะสมาชิกโปรแกรมสะสมคะแนนของ Starbucks เท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยพนักงานจะได้รับการฝึกอบรมสามชั่วโมงก่อนที่นโยบายจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคมเป็นต้นไปที่ร้านค้ามากกว่า 11,000 แห่งในอเมริกาเหนือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของ Starbucks ถือเป็นการพลิกกลับนโยบายที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าห้องน้ำได้ โดยปัญหาหนึ่งในแถบอเมริกาเหนือคือเขตเมืองและชานเมืองหลายแห่งในสหรัฐฯ ยังไม่มีห้องน้ำสาธารณะให้บริการอย่างเพียงพอ ทำให้บริษัทเอกชน เช่น สตาร์บัคส์ แมคโดนัลด์ และเครือร้านอื่นๆ ต้องเข้ามาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งการเปิดห้องน้ำและร้านกาแฟให้คนทั่วไปได้ช่วยให้ Starbucks สร้างแบรนด์ให้กับตัวเองในฐานะ “สถานที่ที่สาม” ระหว่างที่ทำงานและที่บ้าน และดึงดูดคนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าให้เข้ามาที่ร้าน อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวกลับสร้างความท้าทายให้กับทั้งพนักงานและลูกค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นโยบาย open-door ของ Starbucks เริ่มต้นขึ้นในปี 2018 แต่หลังจากชายผิวสีสองคนถูกจับกุมที่สาขาในฟิลาเดลเฟียในขณะที่กำลังรอเพื่อน ชายคนหนึ่งบอกว่าเขาขอใช้ห้องน้ำไม่นานหลังจากเดินเข้าไป แต่พนักงานบอกว่าห้องน้ำนี้มีไว้สำหรับลูกค้าที่จ่ายเงินเท่านั้น เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกได้ด้วยกล้องและกลายเป็นหายนะด้านประชาสัมพันธ์ของสตาร์บัคส์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้น Starbucks ถูกนายกเทศมนตรีของเมืองกล่าวหาว่ากระทำการที่ดูเหมือนจะ “เป็นตัวอย่างของการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในปี 2018” จากนั้นบริษัทได้ปิดร้านทั้งหมดชั่วคราวเพื่อจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับความอ่อนไหวทางเชื้อชาติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2022 อดีตซีอีโอของ Starbucks อย่าง Howard Schultz กล่าวว่าอาจไม่สามารถเปิดห้องน้ำได้อีกต่อไป โดยโทษว่าปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มมากขึ้นเป็นภัยคุกคามต่อพนักงานและลูกค้า ในปีเดียวกันนั้น Starbucks ได้ปิดสาขาไปมากกว่า 12 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจุดใจกลางเมือง โดยอ้างถึงปัญหาความปลอดภัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความซับซ้อนที่เกิดจากการขาดห้องน้ำสาธารณะในสหรัฐอเมริกา และ Starbucks กำลังเปลี่ยนแนวทาง โดยบางครั้งได้รับประโยชน์จากการขาดโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ แต่ก็กลับได้รับผลกระทบจากสิ่งเดียวกัน” Bryant Simon นักประวัติศาสตร์จาก Temple University ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ Starbucks และกำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับห้องน้ำสาธารณะในสหรัฐอเมริกาอยู่ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การเปลี่ยนใจของ Starbucks เกี่ยวกับการเข้าใช้ห้องน้ำฟรีสำหรับผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้า อาจถือเป็นการโจมตีผู้พิการและบุคคลอื่นๆ เช่น หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งมักต้องพึ่งพาห้องน้ำที่ธุรกิจเอกชนให้บริการเมื่อต้องจับจ่ายซื้อของ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ในเดือนตุลาคม Brian Niccol กล่าวว่า เขาต้องการสร้าง “ประสบการณ์ของคอมมูนิตี้ที่เหมือนบ้าน Starbucks จะเป็นที่ที่ผู้คนอยากจะนั่งอยู่และใช้เวลาด้วย” ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเติบโตในธุรกิจนั่นเอง ที่มา:&nbsp; &nbsp; -&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.theguardian.com/business/2025/jan/14/starbucks-coffee-shops-buy-something-policy-north-america" alt="Starbucks says people using its coffee shops must buy something">Starbucks says people using its coffee shops must buy something</a>​ &nbsp; &nbsp; -&nbsp;<a target="_blank" href="https://edition.cnn.com/2025/01/14/food/starbucks-restroom-policy/index.html" alt="Starbucks ends its ‘open-door’ policies">Starbucks ends its ‘open-door’ policies</a> Photo by <a href="https://unsplash.com/@gemasaputera?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Gema Saputera</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/white-and-brown-starbucks-cup-7Gm1Jwt1uYA?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/global/elliott-hill-new-nike-ceo-try-to-fix-3-mistakes" alt="กลยุทธ์ผิดพาหลงทิศ-รายได้ตก ซีอีโอใหม่ Nike เผย 3 แนวทาง คืนชีพบริษัทสู่แบรนด์กีฬาพรีเมียม">กลยุทธ์ผิดพาหลงทิศ-รายได้ตก ซีอีโอใหม่ Nike เผย 3 แนวทาง คืนชีพบริษัทสู่แบรนด์กีฬาพรีเมียม</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

หมดยุคนั่งเล่น-เข้าห้องน้ำฟรี! Starbucks ออกนโยบายใหม่ ใช้บริการที่ร้าน ต้องซื้ออะไรสักอย่าง

<h2>เดอะ คอฟฟี่ คลับ เผยปีนี้กำไรต่อเป็นปีที่สองแล้ว ล่าสุดเปิด Grab &amp; Go cafe ขนาดใหญ่ คอนเซ็ปต์ใหม่ทั้ง Mood &amp; Tone ณ อาคารหอสมุด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชูกรีนคอนเซ็ปต์ พร้อมเสิร์ฟเมนูเครื่องดื่ม และอาหารราคาถูกกว่าเดอะ คอฟฟี่ คลับ ทุกสาขา 20-50%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) ในเครือไมเนอร์ฟู้ดส์ เดินหน้าการเป็นผู้นำร้านออลเดย์ไดนิ่งสัญชาติออสเตรเลีย ด้วยการลงทุน 6 ล้านบาท เปิดตัว “เดอะ คอฟฟี่ คลับ สาขา MDCU” เป็นสาขาที่ 42 จากสาขาทั้งหมด มีพื้นที่ 140 ตารางเมตร ที่นั่ง 60 ที่นั่ง เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคมเป็นต้นมา มีลูกค้าหมุนเวียน 400-500 คนต่อวัน&nbsp; &nbsp; นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เอ็มเอฟ คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรองต์ จำกัด กล่าวว่า เดอะ คอฟฟี่ คลับ สาขา MDCU ถูกดีไซน์ด้วยโทนสีใหม่คือมอคค่าโทน ลดการใช้สีดำกับขาว เพิ่มสีส้มกับสีเขียวภายในร้าน เพื่อให้ร้านมีความสว่างสดใสกว่าเดิมพร้อมกับกราฟฟิกลายใหม่​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/krFNnTqEsxTbAi5dEfFE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="krFNnTqEsxTbAi5dEfFE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมาในบรรยากาศที่มีความผ่อนคลาย แต่ให้ความรู้สึกทันสมัยและผสานการออกแบบที่สะท้อนแนวคิดความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลและอัพไซคลิง (Upcycling) เช่น โต๊ะและที่นั่งภายในร้านที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือฟิล์มพลาสติกและฟอยล์จากบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่ผ่านการใช้งาน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/pgFMPsHS7cWgtmYPZYvq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="pgFMPsHS7cWgtmYPZYvq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงผลิตจากฝุ่นไม้เหลือทิ้งจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์ เก้าอี้ที่ทำจากแผ่นไวนิลเก่าที่ถูกนำมาแปรรูปใหม่ ตลอดจนเคาน์เตอร์ชงกาแฟอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำขึ้นจากเยื่อกาแฟเหลือจากกระบวนการคั่วสำหรับชงเอสเปรสโซ่กว่า 1,200 แก้ว ผสมกับพลาสติกรีไซเคิลจำนวน 90 กิโลกรัม เป็นต้น จึงช่วยลดขยะจากการผลิตอย่างเห็นผล​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/8U7uu8x9VB7y1poUX2Wa.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="8U7uu8x9VB7y1poUX2Wa.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร้านเดอะ คอฟฟี่ คลับ สาขา MDCU แห่งนี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับลูกค้าเมื่อเข้ามาใช้บริการเท่านั้นแต่ยังนำเสนอเมนูเครื่องดื่มให้เลือกกว่า 40 รายการ รวมทั้งนำเสนอเมล็ดกาแฟซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุด ที่ผสมผสานเอกลักษณ์จาก 3 แหล่งปลูกกาแฟชั้นนำระดับโลก ได้แก่ บราซิล โคลอมเบีย และอินเดีย เหมาะสำหรับการชงในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟดำ หรือกาแฟนม ตอบโจทย์คอกาแฟ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/vnLadaXosyyNyoqtnskn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vnLadaXosyyNyoqtnskn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งยังมีเมนูอาหารที่เลือกทานได้ตลอดทั้งวัน เพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในพื้นที่โรงพยาบาลที่มีความต้องการเฉพาะทั้งนักศึกษา บุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องการอาหารและเครื่องดื่มที่รวดเร็วตลอดจนผู้มาใช้บริการในโรงพยาบาล สำหรับราคาเครื่องดื่มและอาหารเริ่มต้นที่ 60 บาท และสูงสุดที่ 120 บาท ซึ่งถูกกว่าราคาเครื่องดื่มจากเดอะ คอฟฟี่ คลับ สาขาอื่นๆ ประมาณ 20-50%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราตั้งใจนำเสนอราคาเครื่องดื่มและอาหารที่ถูกกว่าสาขาอื่นๆ เพราะต้องการขยายแบรนด์ เดอะ คอฟฟี่ คลับ เป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น และลด barrier ในการทดลองของลูกค้าใหม่” นงชนกกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/e5sGoDBUTq8QZKztnT3P.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="e5sGoDBUTq8QZKztnT3P.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4" origin-size="720,480"><figcaption><div>นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน เดอะ คอฟฟี่ คลับ มีสาขาทั้งหมด 42 แห่ง อยู่ในต่างจังหวัด 19 แห่ง และที่เหลืออยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดบริการในโรงพยาบาล 2 แห่ง ที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ และโรงพยาบาลจุฬาฯ ซึ่งจะเป็นต้นแบบของร้าน Grab &amp; Go cafe ที่จะเปิดมากขึ้นในโรงพยาบาลของรัฐในอนาคต​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/mvBiUe4DPWLGbi59Q3rh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mvBiUe4DPWLGbi59Q3rh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="5" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นงชนก กล่าวอีกว่า บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 4-5 สาขาในปีหน้า ขนาดพื้นที่ 80 ตารางเมตร ในกรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ใช้เงินลงทุน 8 ล้านบาท และปรับโฉมสาขาเดิมอีก 5 สาขา ใช้เงินลงทุน 4-5 ล้านบาท ส่วนต่างประเทศจะมีการเปิดเดอะ คอฟฟี่ คลับ สาขาแรกที่เวียงจันทน์ในปีหน้าภายใต้ระบบแฟรนไชส์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2567 บริษัทเปิดเดอะ คอฟฟี่ คลับ สาขาใหม่ไปทั้งหมด 4 สาขา ที่หาดกะรน จังหวัดภูเก็ต, เซ็นทรัลฯพัทยา, เอไอเอ ถนนสุรวงศ์ และสาขาล่าสุดที่อาคารหอสมุด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทคาดว่ารายได้รวมของเดอะ คอฟฟี่ คลับ ปีนี้จะเติบโตกว่า 9% จากปีที่ผ่านมา ด้วยการมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าที่ผ่านมา พร้อมการขยายสาขารูปแบบใหม่รองรับความต้องการลูกค้า เช่น สาขาปาร์ค สีลม ที่มาในคอนเซปต์ Souperlicious เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าคนทำงานพื้นที่โดยรอบ ตลอดจนเน้นการสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าสมาชิกด้วยแคมเปญทางการตลาด รวมถึงมอบโปรโมชันสุดพิเศษเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกอยู่ที่ 240,000 ราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของเดอะ คอฟฟี่ คลับ เราทำกำไรได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 และเพิ่มมากกว่าปีก่อน 20 เท่า เพราะตัดร้านที่ขาดทุนในช่วงโควิดทิ้งจนเหลือ 30 แห่ง และเริ่มกลับมาทะยอยเปิดใหม่ และทำราคาให้เหมาะสม เพิ่มโอกาสในการทดลองและเข้าถึง และขยายฐานคนไทยมากขึ้นเป็นสัดส่วน 40% จาก 20% ก่อนโควิด คาดว่าปีหน้าบริษัทจะเติบโตรายได้อีก 9-10%” นงชนกกล่าวทิ้งท้าย เครดิตภาพ: เดอะ คอฟฟี่ คลับ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/chang-unpasgerized" alt="‘เบียร์ช้าง’ แบรนด์แชร์ขึ้นเบอร์ 1 อีกครั้ง เร่งขยายพอร์ตเบียร์พรีเมียม ส่ง ‘ช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์’ บุกตลาด">‘เบียร์ช้าง’ แบรนด์แชร์ขึ้นเบอร์ 1 อีกครั้ง เร่งขยายพอร์ตเบียร์พรีเมียม ส่ง ‘ช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์’ บุกตลาด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เดอะ คอฟฟี่ คลับ’ กำไรต่อเป็นปีที่สอง เปิดสาขาใหม่ที่ คณะแพทย์ จุฬาฯ ชูจุดเด่นเครื่องดื่ม-อาหาร ถูกกว่าสาขาอื่น 20-50%

<h2>ทายาทตระกูล "วัธนเวคิน" คว้าแบรนด์กาแฟสัญชาติแคนาดา "ทิม ฮอร์ตันส์"  รุกตลาดกาแฟเมืองไทย ระบุแนวโน้มเติบโตสูง ประเดิมเปิดสาขาสามย่าน มิตรทาวน์ 18 ม.ค. พร้อมตั้งเป้าลุยเปิดสาขาทั่วไทย</h2>
หลังจากบรรลุข้อตกลงกับบริษัทแม่ Restaurant Brands International (RBI) เจ้าของแบรนด์ “ทิม ฮอร์ตันส์” Tim Hortons®, Burger King® และ Popeyes® บริษัท วีอีท จำกัด (WeEat) ของทายาทตระกูล วัธนเวคิน เป็นผู้ได้สิทธิ์ในการนำแบรนด์ทิม ฮอร์ตันส์ เข้ามาขยายตลาดในเมืองไทยแต่เพียงผู้เดียว

สุพัชร วัธนเวคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีอีท จำกัด เปิดเผยแผนขยายธุรกิจด้านอาหารของตระกูลวัธนเวคินว่า บริษัทมองหาโอกาสในการเจาะตลาดค้าปลีกด้านอาหารในช่วงกลางปี 2561 ซึ่งเห็นการเติบโตของธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่องที่ 13% ต่อปีในระหว่างปี 2555-2560 (อ้างอิงจากข้อมูลของ Euromonitor) ขณะที่อุตสาหกรรมร้านอาหารบริการด่วนโดยที่มีเมนูกาแฟประกอบอยู่ด้วย เติบโตในอัตราที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น (22% ระหว่างปี 2559 ถึงปี 2561 อ้างอิงจาก Euromonitor)

<img class="alignnone size-full wp-image-25816" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/Tim-Hortons.jpg" alt="" width="720" height="480" />

“เรามองเห็นช่องว่างในการเติบโตอย่างเป็นไปได้ เนื่องจากการบริโภคกาแฟของตลาดไทยมีอัตราส่วนต่อคนอยู่ต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วทางตะวันตก และประเทศศูนย์กลางเศรษฐกิจในเอเชีย ยิ่งไปกว่านั้น ในตลาดไทยมีแบรนด์กาแฟระดับโลกเพียงไม่กี่แบรนด์เท่านั้นที่ขยายธุรกิจอยู่อย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่าทิม ฮอร์ตันส์ กาแฟยอดนิยมของแคนาดา จะไม่ทำให้ลูกค้าชาวไทยผิดหวังอย่างแน่นอน” สุพัชรกล่าว

สำหรับ TIM HORTONS® เป็นหนึ่งในธุรกิจอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1964 ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 4,850 สาขาทั่วโลก ไทยถือเป็นประเทศที่ 14 ที่มีการเปิดร้านกาแฟทิม ฮอร์ตันส์ในทั่วโลก โดยจะเปิดให้บริการสาขาแรกในวันที่ 18 ม.ค.นี้ ที่บริเวณชั้น G ศูนย์การค้าสามย่าน มิตรทาวน์ รองรับลูกค้ากว่า 118 ที่นั่ง โดยมีพื้นที่ 352 ตารางเมตร

<figure><img class="size-full wp-image-25818" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/สุพัชร-วัธเวคิน-02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> สุพัชร วัธนเวคิน</figcaption></figure>

สุพัชร กล่าวว่า บริษัทวีอีท และ RBI มั่นใจกับการเติบโตของตลาดธุรกิจกาแฟในประเทศไทยมาก โดยวางแผนเปิดร้านทิม ฮอร์ตันส์อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศไทย สำหรับปีนี้คาดว่าจะเปิด 15 สาขา ซึ่งจะมีทั้งเป็นร้าน คีออส และไดรฟ์ทรู โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละโลเคชั่นเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้มีการประเมินรายได้จากธุรกิจกาแฟทิม ฮอร์ตันแต่อย่างใด

ทั้งนี้ บริษีท วีอีท จำกัด (WeEat) เป็นบริษัทภายใต้การนำของตระกูลวัธนเวคินที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจด้านอาหาร นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายในปัจจุบัน เช่น ธนาคารเกียรตินาคิน, เครือ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป, บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b9%87%e0%b8%84-%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%9f-the-coffee-academics.html">“อิมแพ็ค” ซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟไฮเอนด์ The Coffee Academics จากฮ่องกง ต่อจิ๊กซอว์พอร์ต F&amp;B</a></li>
 	<li><header class="entry-header"><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b9%80%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%9f-%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2-%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a7.html">“เนสกาแฟ ไทย” เทิร์นอะราวด์ รายได้พุ่งที่ 1 ของโลก</a></header></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"วัธนเวคิน" คว้าสิทธิ์ "ทิม ฮอร์ตันส์" รุกธุรกิจกาแฟเมืองไทย

<h2>ทุกวันนี้ เชนร้านขายกาแฟขนาดเล็กอย่าง Dunkin Donuts กำลังได้รับความนิยมในตลาดหุ้น Wall Street ยิ่งกว่ายักษ์ใหญ่อย่าง Starbucks</h2>
ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นปีจนถึงขณะนี้ ราคาหุ้นของ Dunkin Donuts เติบโต 8.13% ในขณะที่ราคาหุ้นของ Starbucks เพิ่มขึ้นเพียง 1.12% ซึ่งน่าจะสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนๆ ของร้าน Starbucks และนักลงทุนผู้ภักดีที่มองว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ควรถือระยะยาวใน Wall Street

<img style="width: 680px; height: 356px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4c6b3edd388e3a730304462ce8f18f6f.png" alt="" />

เรื่องราวที่กลับข้างกันในตลาดหุ้น Wall Street ของหุ้นทั้งสองจะเป็นแค่ปรากฏการณ์ชั่วคราวหรืออะไรที่ต้องจับตาอย่างจริงจัง? เป็นเรื่องที่ตอบยากเหมือนกัน เพราะระยะเวลาเพียง 9 เดือนอาจยังไม่หนักแน่นพอที่จะตัดสินว่ากระแสในตลาดได้กลับข้างไปแล้วจริงๆ

แต่สิ่งที่สามารถกล่าวได้คือ Starbucks มาถึงขีดจำกัดและข้อได้เปรียบของการขยายสาขาแล้ว เพราะบริษัทมีสาขาถึง 2.7 หมื่นสาขาทั่วโลกและให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม 255 รายการ เปรียบเทียบกับ Dunkin Donuts ที่มีสาขาประมาณ 8 พันสาขาเท่านั้น และมีเมนูให้เลือกเพียง 32 รายการ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c843e8ace658fcb9687931b6ac037d73.png" alt="" />

กล่าวโดยสรุปคือ Starbucks มีขนาดใหญ่เกินไปและหลากหลายเกินกว่าจะแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในธุรกิจร้านกาแฟ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ Starbucks แทบจะเปิดอยู่ทุกหัวมุมถนน และนั่นสามารถอธิบายได้ว่าทำไมอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทถึงต่ำกว่าของ Dunkin Donuts อย่างมาก

ขณะเดียวกัน การแข่งขันจากคู่แข่งเกิดใหม่รอบโลก (ยกตัวอย่างเช่น Costa Café ในสหราชอาณาจักร หรือ Mikel Coffee ในยุโรปใต้และตะวันออกกลาง) กำลังท้าทายธุรกิจการเป็น “third place” หรือสถานที่ทางสังคมแห่งที่สามรองจากบ้านและที่ทำงาน/โรงเรียน หลักฐานที่เห็นเด่นชัดคือยอดขายที่เติบโตช้าลงของ Starbucks

<img style="width: 680px; height: 392px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b1de531d3c481abb9f35112b94f6ed32.png" alt="" />

ยักษ์ใหญ่อย่าง Starbucks กำลังเปลี่ยนจากบริษัทที่กำลังเติบโตสู่บริษัทที่ถึงจุดอิ่มตัวโดยมีช่องว่างให้เติบโตและทำกำไรเพิ่มได้น้อยนิด และนั่นน่าจะเป็นสิ่งที่รบกวน “แรงผลักดัน” ของกลุ่มคนที่เคยไล่ซื้อหุ้นของ Starbucks ในช่วงหลายปีมานี้

กลุ่มคนเหล่านั้นจะเปลี่ยนมาไล่ซื้อหุ้นของบริษัทขนาดเล็กอย่าง Dunkin Donuts หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป

เฉลย: ผมมีหุ้นใน DNKN

&nbsp;
แปลและเรียบเรียงจาก Tiny Dunkin Donuts Beats Mighty Starbucks โดย Panos Mourdoukoutas จากเว็บไซต์ Forbes.com

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events