<h2>‘เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป’ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงหมื่นล้านของ ‘เครือซีพี’ ที่มีอาหารสัตว์หลายแบรนด์ด้วยกัน รวมถึงอาหารแมวแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง Me-O ที่ล่าสุดสร้างสีสันให้แบรนด์ด้วยการดึง ‘บิวกิ้น’ เป็นพรีเซนเตอร์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;‘เครือซีพี’ คืออาณาจักรธุรกิจที่ครอบคลุมไปในหลากหลายเซกเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก, ค้าส่ง, โทรคมนาคม, ภาคการเกษตร, อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ รวมไปถึงอีกหนึ่งธุรกิจอย่าง ‘อาหารสัตว์เลี้ยงด้วย’ ซึ่งอยู่ภายใต้ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด นั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2522 โดยกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) ข้อมูลจากเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป นั้นจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทเมื่อ 14 มิ.ย. 2532 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 6,873 ล้านบาท มีกรรมการบริษัท ได้แก่ พงษ์เทพ เจียรวนนท์, ประเสริฐ จารุพนิช, เบญจพร สังหิตกุล และกนกนารถ นำพาเจริญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป มีสินค้าทั้งสิ้น 20 แบรนด์ด้วยกัน ครอบคลุมทั้งอาหารสุนัข, อาหารแมว, อาหารปลาและอาหารเต่า, อาหารม้า, อาหารนก, อาหารกระต่าย, อาหารหนูและหนูแฮมสเตอร์, ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง รวมถึงอาหารประกอบการรักษาโรค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีแบรนด์ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น อาหารสุนัขแบรนด์ SmartHeart, อาหารแมวแบรนด์ Me-O เป็นต้น ที่น่าสนใจคือ เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป ในปี 2566 สามารถทำรายได้ไปถึง 18,180 ล้านบาท กำไร 1,111 ล้านบาท ซึ่งทั้งรายได้และกำไรมีการเติบโตจากปีก่อนๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการเติบโตในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตและยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าปี 2568 คาดว่ายอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 3.98 แสนตัน ขยายตัว 6% จากปีก่อน ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นโดยในปี 2568 คาดว่า สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของมีอยู่ราว 5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6%&nbsp; &nbsp; โดยคาดว่าสัดส่วนยอดขายอาหารแมวน่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมเลี้ยงแมวที่มีมากขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วงปี 2564-2567 จำนวนแมวที่เลี้ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 28% ต่อปี เทียบกับอัตราการเติบโตของสุนัขเลี้ยงที่ 19% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จันทิมา ชัยวัฒนไชย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานการตลาด บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแมว ภายใต้แบรนด์ “มีโอ” (Me-O) เปิดเผยว่า ปัจจุบันแมวได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมมากขึ้น ถือเป็นสัตว์เลี้ยงอันดับต้นๆ ที่คนนิยมเลี้ยง ไม่แพ้สุนัข และยิ่งมีคอนโดฯ หลายแบรนด์ หลายโครงการมีการพัฒนาและชูจุดขายคอนโดฯ ที่เป็น Pets Friendly เลี้ยงสัตว์ได้ ยิ่งส่งผลให้คนหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเหตุผลที่สนับสนุนให้คนหันมาเลี้ยงแมว คือ แมวเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ทำให้สามารถเลี้ยงในหอพัก คอนโดฯ หรือในบ้านที่มีพื้นที่จำกัดได้เป็นอย่างดี ทำให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับแมวมีอัตราการเติบโตไปในทิศทางเดียวกับตลาดที่มีความต้องการสูงเพิ่มขึ้นเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อีกทั้งปัจจุบันผู้เลี้ยงก็ให้การดูแลเอาใจใส่แมวเหมือนสมาชิกในครอบครัว ต้องการดูแลน้องแมวให้มีความสุขและมีสุขภาพที่ดี อาหารสำหรับแมวจึงเป็นสินค้าอันดับต้นๆ ที่ผู้เลี้ยงให้ความใส่ใจ และเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแมวของเขา ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ “มีโอ” (Me-O) นั้นสามารถตอบโจทย์กลุ่มคนรักแมว หรือทาสแมวได้เป็นอย่างดี”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/yvg25EK8MfawdExX7WhA.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="yvg25EK8MfawdExX7WhA.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>จันทิมา ชัยวัฒนไชย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานการตลาด บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จันทิมา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีโอมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของน้องแมวและเจ้าของ เพื่อให้น้องแมว “ขนสวย ตาใส แข็งแรง” โดยผลิตภัณฑ์ของมีโอมีครบเพื่อตอบสนองความต้องการของน้องแมว ไม่ว่า จะเป็นอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ด อาหารเปียก ขนมชนิดกรุบกรอบ ขนมแมวเลีย ขนมชอฟต์ ชูว์ ที่มีรสชาติถูกใจน้องเหมียว พร้อมดูแลสุภาพซึ่งลูกค้าสามารถเลือกสูตรอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัย ไม่ว่าเป็นลูกแมว แมวโต หรือแมวสูงอายุ และนอกจากอาหารหรือขนมแล้ว มีโอยังมีทรายแมวให้ลูกค้าได้เลือกใช้เพื่อดูแลสุขอนามัยที่ดีของน้องแมวอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์อาหารแมว Me-O ที่ได้รับความนิยม 5 อันดับแรก คือ อาหารแมวมีโอชนิดเม็ด, อาหารแมวมีโอ ดีไลท์ (Me-O Delite) เป็นอาหารแมวชนิดเปียกแบบซอง, มีโอ ครีมมี่ ทรีต (Me-O Creamy Treats) เป็นขนมแมวเลียชนิดครีมที่มีรสชาติอร่อยถูกใจแมว, มีโอ ขนมแมวกรุบกรอบ (Me-O Cat Treats) เป็นขนมแมวชนิดเม็ดช่วยขัดฟัน และ ยัมมี่ ไบทส์ บาย มีโอ ซอฟต์ ชูว์ (Yummie Bites by Me-O Soft Chew) เป็นสินค้าน้องใหม่ล่าสุดของมีโอ ขนมแมวเนื้อนุ่ม สอดไส้ครีม ทำจากเนื้อไก่และปลาแท้แท้ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดเพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำสำหรับแมวที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนล่าสุดของอาหารแมว Me-O คือ “บิวกิ้น - พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” อย่างเป็นทางการ โดยจัดงานเปิดตัวเมื่อวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่าบิวกิ้นถือเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่โด่งดังและมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น การเลือกเป็นบิวกิ้นเป็นพรีเซนเตอร์ของสินค้าหลายแบรนด์ ก็ย่อมมาจากเหตุผลที่ว่าศิลปินจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดและสร้างยอดขายให้ได้เพิ่มขึ้นนั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ Me-O นั้น จันทิมา มองว่าหลังจากจัดงานเปิดตัวบิวกิ้นเป็นพรีเซนเตอร์ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมที่ชวนแฟนคลับมาร่วมสนุกด้วยกันนั้น จะสามารถกระตุ้นยอดขายได้ 20% และภาพรวมทั้งปีคาดว่าอาหารแมว Me-O จะมียอดขายเติบโตมากกว่า 10% อย่างแน่นอน ภาพ: Me-Oออกแบบภาพปกโดย: ธัญวดี นิรุตติศาสตร์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/pet-food-thailand-kresearch-mar-2025" alt="ทาสหมาแมวพร้อมเปย์! กสิกรฯ คาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไทยปี 68 โต 12%">ทาสหมาแมวพร้อมเปย์! กสิกรฯ คาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไทยปี 68 โต 12%</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป’ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ‘เครือซีพี’ ที่กำลังดึง ‘บิวกิ้น’ เป็นพรีเซนเตอร์ อาหารแมว Me-O

<h2>ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงกลายเป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญ ทั้งจากจำนวนสัตว์เลี้ยงในประเทศที่เพิ่มขึ้น และตลาดการส่งออกไปทั่วโลกยังขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าปี 2568 มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศโต 12% และฝั่งการส่งออกจะโต 15%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2568 คาดว่า ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 3.98 แสนตัน ขยายตัว 6% จากปีก่อน ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นโดยในปี 2568 คาดว่า สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของมีอยู่ราว 5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6% แบ่งเป็นสุนัข 3.45 ล้านตัว แมว 1.94 ล้านตัว ส่งผลให้ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 76% จะอยู่ในกลุ่มอาหารสุนัข&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ในอนาคต คาดว่าสัดส่วนยอดขายอาหารแมวน่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมเลี้ยงแมวที่มีมากขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วงปี 2564-2567 จำนวนแมวที่เลี้ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 28% ต่อปี เทียบกับอัตราการเติบโตของสุนัขเลี้ยงที่ 19% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพื้นที่ศักยภาพของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากที่สุดราว 3.1 แสนตัว คิดเป็น 6% ของจำนวนสัตว์เลี้ยงทั้งหมด และผู้เลี้ยงมีกำลังซื้อ โดยมีรายได้เฉลี่ยที่ 35,901 บาท/เดือน ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศที่ 29,030 บาท/เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจะอยู่ที่ 46,000 ล้านบาท ในปี 2568 ขยายตัว 12% จากปีก่อนและกำไรของธุรกิจคาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้น สอดคล้องไปกับยอดขายที่โตต่อเนื่อง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/W8oPV9fexSy5ypsucKvM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="W8oPV9fexSy5ypsucKvM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ในอีกด้านธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศนั้นแข่งขันรุนแรง จากจำนวนผู้เล่นในประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการนำอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามาแข่งขันมากขึ้นด้วย ในปี 2567 ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีอยู่ 317 ราย โดยมีจำนวนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 36 ราย ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังมีผู้ประกอบการนอกธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที ฯลฯ ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันกับอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามากขึ้น สะท้อนจาก อัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของมูลค่าการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2562-2567 อยู่ที่ 17% ต่อปี โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีน ที่เป็นอันดับ 1 และมีสัดส่วนราว 40%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านการการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยยังโตโดดเด่น ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อและจำนวนสัตว์เลี้ยงมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยโต มาจากพฤติกรรมนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและสภาพสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง เช่น&nbsp; &nbsp; -&nbsp;สหรัฐฯ รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรสูงราว 85,373 เหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีจำนวนสัตว์เลี้ยงในประเทศสูงถึง 144 ล้านตัว สะท้อนถึงมีกำลังซื้อที่พร้อมจะจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง&nbsp; &nbsp; - ญี่ปุ่น มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อยู่เกือบ 30% ของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังมักเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน&nbsp; &nbsp; - ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้นเพื่อเติมเต็มความสุข โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมมีบุตรช้าหรือไม่แต่งงาน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/Nr4i5Lmrn5bCyhcLJfB3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="Nr4i5Lmrn5bCyhcLJfB3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในปี 2562-2567 อัตราการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 12.7% ต่อปี โดยตลาดที่มีอัตราการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าเพิ่มและสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ส่วนใหญ่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ และอาเซียน สะท้อนถึงโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงราว 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 15% ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 28.4% คาดว่าเป็นผลมาจากความต้องการของตลาดหลัก อาทิ สหรัฐฯ อิตาลี ญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 50% โตช้าลง (รูปที่ 8) อย่างไรก็ดี ยังมีตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ เช่น อังกฤษ ที่จำนวนสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.2 ล้านตัว หลังช่วงโควิด-19 หรือนิวซีแลนด์ จากผลข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ทำให้มีการยกเว้นภาษีนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง จึงทำให้ยอดการส่งออกไปยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การแข่งขันในตลาดส่งออกยังคงมีแนวโน้มรุนแรง โดยเฉพาะกับคู่แข่งที่ได้เปรียบด้านราคาและระยะขนส่งที่ใกล้กับตลาดคู่ค้าสำคัญ ไทยเจอการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐฯ ไทยต้องเจอคู่แข่งที่สำคัญอย่าง เม็กซิโก ที่มีข้อได้เปรียบในเรื่องระยะขนส่งที่ใกล้ หรือญี่ปุ่น ที่ไทยต้องแข่งกับเกาหลีใต้ ซึ่งได้เปรียบด้านราคา สะท้อนได้จากส่วนแบ่งตลาดของเกาหลีใต้ที่ส่งไปญี่ปุ่นปี 2567 เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 2564&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไทยยังมีความเสี่ยงทั้งต้นทุนการผลิตยังคงผันผวน โดยเฉพาะวัตถุดิบ อาทิ ปลาทูน่า ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ผลผลิตลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการทางการค้าอื่นๆ ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทย ไม่ว่าจะเป็น มาตรการ Farm to Fork ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยคาร์บอน และการตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ที่อาจขยายขอบเขตมายังภาคเกษตรและอาหารในการเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือต้องเป็นไปตามแนวทางการทำธุรกิจแบบยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (อาทิ ปลาป่น กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ภาพ: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@moob?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Ayla Verschueren</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-brown-and-white-dog-sitting-next-to-a-bowl-of-food-jnq52JjkLAg?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kbank-tagthai-easy-pay-th-qr-mar-2025" alt="ช็อปง่ายขึ้น! นักท่องเที่ยวต่างชาติสแกนจ่าย Thai QR Payment ได้ทั่วไทย ผ่าน TAGTHAi EASY PAY">ช็อปง่ายขึ้น! นักท่องเที่ยวต่างชาติสแกนจ่าย Thai QR Payment ได้ทั่วไทย ผ่าน TAGTHAi EASY PAY</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทาสหมาแมวพร้อมเปย์! กสิกรฯ คาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไทยปี 68 โต 12%

<h2>กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) สำรวจตลาดสัตว์เลี้ยงในจีน พบวัยรุ่นจีนนิยมเลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้น และเลี้ยงเสมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว ยอมจ่ายค่าของกิน ของใช้ บริการในระดับพรีเมียม ส่งผลให้ตลาด ทั้งอาหารสัตว์ และบริการสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดมีบริการทั้งพาสัตว์ขึ้นเครื่องบินเที่ยว พาสัตว์พักโรงแรม รักษาอาการป่วยด้วยแพทย์แผนจีน แนะผู้ประกอบการไทย ศึกษาตลาด และวางแผนในการเจาะตลาด ทั้งขายสินค้าและการให้บริการ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รายงานล่าสุดสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ หนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงการเติบโตของตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงในจีน และโอกาสในการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์และบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของไทยเข้าสู่ตลาดจีน เพื่อรองรับการเติบโตของการเลี้ยงสัตว์ในจีน มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันกลุ่มวัยรุ่นจีนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เลี้ยงเสมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว ยินยอมจ่ายของกิน ของใช้ และบริการในระดับพรีเมียม ส่งผลให้ตลาดบริโภคสัตว์เลี้ยงเติบโตเพิ่มขึ้น โดยปี 2566 มีมูลค่า 2.793 แสนล้านหยวน (ราว&nbsp;1.32 ล้านล้านบาท ) เพิ่มขึ้น 7.5% คาดว่าถึงปี 2569 มูลค่าตลาดจะสูงถึง 3.6 แสนล้านหยวน (ราว 1.70 ล้านล้านบาท) และมีจำนวนสัตว์เลี้ยง ในปี 2566 จำนวน 120 ล้านตัว เป็นสุนัข 51.75 ล้านตัว เพิ่ม 11% แมว 69.8 ล้านตัว เพิ่ม 6.8% มีครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์ 105.65 ล้านครอบครัว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/qYDQ5Pxyb6xbTpyw7gh8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="qYDQ5Pxyb6xbTpyw7gh8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากความต้องการเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจอาหารและผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเปียก อุปกรณ์อัจฉริยะสำหรับสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม รวมไปถึงธุรกิจบริการที่เปิดให้บริการสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น สวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงแรม รถไฟความเร็วสูง และเครื่องบิน เป็นต้น เพื่อดึงดูดให้ผู้เลี้ยงสัตว์มาใช้บริการ ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพใหม่ในจีนยกตัวอย่างเช่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เครื่องบินเช่าเหมาลำ สายการบิน Hainan Airlines ได้ขนสัตว์เลี้ยง 20 ตัว และเจ้าของ เดินทางจากจีนมาไทย เพื่อท่องเที่ยวจำนวน 9 วัน ซึ่งถือเป็นเที่ยวบินแรกที่ให้บริการแบบนี้&nbsp;&nbsp; &nbsp; - แพลตฟอร์ม Dianping.com ได้ร่วมมือกับ Royal Canin จัดกิจกรรม “Pet Sleep Officer” คัดเลือกและเชิญชวนสัตว์เลี้ยงไปทดลองพักที่โรงแรม ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และยังมีแผนท่องเที่ยว ที่ครอบคลุมสถานที่ให้บริการสัตว์เลี้ยงกว่า 900 แห่ง ร้านสัตว์เลี้ยงและโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยง 150 แห่งจาก 6 เมืองของจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น เฉิงตู หนานจิง และซูโจว เพื่อให้คำแนะนำกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงในเมื่อพาสัตว์เลี้ยงไปท่องเที่ยว&nbsp; &nbsp; - การพาสัตว์เลี้ยงไปรับบริการรักษาพยาบาลแพทย์แผนจีน ที่กำลังเป็นกระแสที่นิยมในตลาดจีน โดยแพทย์แผนจีนจะให้บริการการจับชีพจร (แมะ) เพื่อวิเคราะห์อาการ และมีการรักษาด้วยวิธีการฝังเข็ม นวดประคบ ให้ยาสมุนไพร และเมนูอาหารเพื่อบําบัด เป็นต้น โดยอุปกรณ์และการรักษาจะเหมือนกับการให้บริการกับคนไข้ทั่วไป ซึ่งได้เห็นผลการรักษาที่ดีต่อสัตว์เลี้ยงทำให้เป็นทางเลือกให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยง ส่งผลให้ตลาดการรักษาพยาบาลสัตว์เลี้ยงมีมูลค่าสูงถึง 6,126 ล้านหยวน (ราว 29,026 ล้านล้านบาท) และคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 13,600 ล้านหยวน (ราว 64,439 ล้านล้านบาท) ในปี 2569<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/yApVhdPe4WFMKQ7HE9om.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="yApVhdPe4WFMKQ7HE9om.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-index="2" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน ในเมืองชั้นนำหลายเมือง ได้มีการเพิ่มธุรกิจบริการที่น่าสนใจอีกหลายรูปแบบ เช่น โรงเรียนสัตว์เลี้ยง การรับพาสัตว์เลี้ยงออกไปเดินเล่น รับถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง งานศพสัตว์เลี้ยง ธุรกิจกีฬาและบันเทิงของสัตว์เลี้ยง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดดังกล่าวยังมีโอกาสเติบโตและขยายขอบเขตธุรกิจได้อย่างมหาศาลในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“กระแสการเลี้ยงสัตว์ที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว ทำให้ตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโต โดยเฉพาะในตลาดจีนที่ได้นำสาขาธุรกิจสัตว์เลี้ยงเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มูลค่าตลาดมีการเติบโตอย่างมหาศาลต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสที่มีศักยภาพของผลิตภัณฑ์และบริการของไทยที่จะไปทดลองในตลาดจีน โดยผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่ประสงค์มาบุกตลาดจีน ควรติดตามกระแสการบริโภคของจีนอย่างใกล้ชิด ตลอดจนพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการของสัตว์เลี้ยงที่สอดคล้องกับความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้มีโอกาสในการเจาะตลาดเพิ่มมากขึ้น” นางสาวสุนันทากล่าว ภาพ:&nbsp;กระทรวงพาณิชย์, อัตราแลกเปลี่ยนที่ 4.74 บาทต่อหยวน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/neo-expands-product-portfolio-premium-mass-set-goal-2026-sales-will-increase-from-5-to-10-percent" alt="NEO รุกขยายพอร์ตสินค้า 'พรีเมียมแมส' ตั้งเป้าภายในปี 69 ยอดขายเพิ่มเป็น 10%"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/tisco-esu-dec-2024" alt="TISCO ESU คาดปี 68 เศรษฐกิจไทยโต 3% แนะลงทุนเน้นหุ้นสหรัฐฯ เพราะหุ้นไทยน่าสนใจน้อยลง"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/pet-parents-booms-in-thailand" alt="Pet Parent บูม! เจ้าของเปย์หนัก ดันตลาดสัตว์เลี้ยงพุ่ง">Pet Parent บูม! เจ้าของเปย์หนัก ดันตลาดสัตว์เลี้ยงพุ่ง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'พาณิชย์' แนะธุรกิจไทยลุยตลาดอาหารสัตว์-บริการสัตว์เลี้ยงในจีน คาดตลาดฯ ปี 69 โต 13,600 ล้านหยวน

<h2>ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงกลายเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ลักชัวรีต่างๆ ขยับเข้ามาทำตลาดมากขึ้น ส่วนหนึ่งด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่พร้อมจ่ายเม็ดเงินเพื่อ ‘ลูกๆ’ ของพวกเขา ล่าสุด Dolce &amp; Gabbana ออกมาสร้างเสียงฮือฮาด้วยการเปิดตัว ‘น้ำหอมสุนัข’</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด Dolce &amp; Gabbana แบรนด์แฟชั่นลักชัวรีสัญชาติอิตาลีเปิดตัว Fefe ผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างสเปรย์น้ำหอมสำหรับสุนัขในขวดแก้วสีเขียวสดใส ขนาด 100 มิลลิลิตร โดดเด่นด้วยฝาสีแดง บนขวดยังประดับด้วยแผ่นทองคำ 24 กะรัตรูปอุ้งเท้าสุนัข ซึ่งมาพร้อมกับปลอกคอและจี้ห้อย ผลิตภัณฑ์ชุดนี้เสนอขายในราคา 99 ยูโร (ราว 108 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 3,800 บาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุคนธกรผู้ปรุงน้ำหอมกลิ่นใหม่นี้คือ Emilie Coppermann โดยได้รับแรงบันดาลใจจากความรักที่ปราศจากเงื่อนไขของ Domenico Dolce แฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดังผู้ร่วมก่อตั้ง Dolce &amp; Gabbana ที่มีต่อ Fefe สุนัขของเขา กลิ่นใหม่นี้เกิดจากการผสมผสานของกระดังงาและมัสก์ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นละเอียดอ่อน เติมความหอมนุ่มนวลของไม้จันทน์&nbsp;ทั้งยังปราศจากส่วนผสมของแอลกอฮอล์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับวิธีการใช้ Fefe นั้นสามารถฉีดน้ำหอมบริเวณลำตัวของสุนัขได้โดยตรง แต่หลีกเลี่ยงบริเวณจมูก และมีเทคนิคสำหรับสุนัขที่ซุกซนอยู่ไม่ค่อยนิ่ง แนะนำให้ฉีดน้ำหอมใส่มือแล้วลูบไปบนขนของสุนัขบริเวณกลางลำตัวไปจนถึงหาง หรือจะฉีดน้ำหอมใส่แปรงแล้วแปรงขนสุนัขก็ได้&nbsp; &nbsp;&nbsp;“เรากำลังส่ง Fefe ไปทั่วยุโรป สหรัฐอเมริกา และจากนั้นก็จะค่อยๆ ขยายออกไปอีก ตอนนี้ก็มีวางจำหน่ายออนไลน์แล้ว” Stefano Gabbana อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์เผยผ่านสำนักข่าว Corriere della Sera ของอิตาลี “เสียงตอบรับจากตลาดก็ดีครับ ทุกคนตื่นเต้นหลังเราประกาศออกไป” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/QdVnyNXLsPN5cqGp9BDC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="QdVnyNXLsPN5cqGp9BDC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0"></figure></div>​&nbsp; &nbsp; แน่นอนว่ามีผู้ที่เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งเว็บไซต์ของ Dolce &amp; Gabbana ระบุว่าน้ำหอม Fefe มีใบอนุญาตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับสัตว์เลี้ยง ได้รับการรับรองโดยสัตวแพทย์ ผ่านการทดสอบความปลอดภัย เป็นที่ชื่นชอบของสุนัข มีความอ่อนโยนและติดทนนานทั้งวัน นอกจากนี้ในวิดีโอแนะนำ Fefe บนแพลตฟอร์ม X ทางแบรนด์ยังระบุว่าไม่มีสัตว์ได้รับอันตรายจากแคมเปญนี้ &nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม ประเด็นอาจไม่ได้อยู่ที่ส่วนผสมที่ปลอดภัยและผ่านมาตรฐานเพียงอย่างเดียว ราชสมาคมเพื่อป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ (RSPCA) ของสหราชอาณาจักรเตือนว่าไม่ควรใช้น้ำหอมกับสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัขที่ไวต่อการรับกลิ่นมากเป็นพิเศษ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Alice Potter เจ้าหน้าที่ด้านวิทยาศาสตร์อาวุโสของ RSPCA กล่าวว่า “สุนัขต้องพึ่งพาประสาทการรับกลิ่นเพื่อการสื่อสาร และใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรวมถึงมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ดังนั้นเราจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นแรงอย่างน้ำหอมหรือสเปรย์ ยิ่งกลิ่นบางกลิ่นอาจสร้างความรำคาญให้กับสุนัขด้วย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สุนัขมีเซลล์รับกลิ่นมากถึง 300 ล้านเซลล์ ในขณะที่มนุษย์มีเพียง 6 ล้านเซลล์ ดังนั้นคุณอาจนึกภาพได้ว่าการฉีดน้ำหอมให้สุนัขจะรบกวนประสาทการรับกลิ่นของมัน” Katie Gwilt ผู้เชี่ยวชาญด้านสุคนธบำบัดและพฤติกรรมสัตว์เลี้ยงบอกกับ The Daily Mail “พวกมันอาจสับสนว่ากลิ่นตัวเปลี่ยน อาจถึงขั้นตกใจว่ามีสิ่งผิดปกติ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;น้ำหอมสำหรับสุนัขไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ Dolce &amp; Gabbana นับเป็นแบรนด์ระดับลักชัวรีรายแรกที่ทำผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ แบรนด์ลักชัวรีอื่นๆ ที่หันมาจับตลาดสัตว์เลี้ยงมักมุ่งไปที่ตลาดเครื่องประดับ อุปกรณ์เสริม และกระเป๋ามากกว่า เช่น Christian Louboutin มีทั้งสายรัดอกและสายจูงสุนัขผลิตจากหนังลูกวัวโดยช่างฝีมือในอิตาลี, ส่วน Prada มีกระเป๋าใส่อุปกรณ์สัตว์เลี้ยงโดย, แบรนด์ Hermes มีที่นอนสุนัขจากไม้โอ๊ก เบาะหนังแกะ และผ้าระบายอากาศ ฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานของ Bloomberg เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมาคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงทั่วโลกที่รวมทั้งสุขภาพ อาหาร และเภสัชภัณฑ์จะเติบโตมีมูลค่าแตะ 5 แสนล้านเหรียญจาก 3.2 แสนล้านเหรียญในปีนั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Diana Rosero-Pena นักวิเคราะห์จาก Bloomberg กล่าวว่า “เราเห็นตัวเลขที่ผู้บริโภคใช้จ่ายไปกับสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างมาก และคาดว่าจะเป็นอย่างนี้ไปจนปี 2030 ผู้บริโภคต่างเต็มใจจะจ่ายเงินซื้อของสำหรับสุนัขมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ” แหล่งที่มา:​<a href="https://www.dolcegabbana.com/en-ro/beauty/dog-perfume-fefe/" alt="DOLCE&amp;GABBANA FEFÉ">DOLCE&amp;GABBANA FEFE</a>​ ​<a href="https://www.theguardian.com/uk-news/article/2024/aug/05/delicate-authentic-charismatic-dolce-gabbana-launch-perfume-for-dogs" alt="‘Delicate, authentic, charismatic’: Dolce &amp; Gabbana launches €99 dog perfume">‘Delicate, authentic, charismatic’: Dolce &amp; Gabbana launches €99 dog perfume</a>​ ​<a href="https://www.firstpost.com/explainers/why-dolce-gabbanas-rs-9000-dog-perfume-is-raising-a-stink-13801597.html" alt="Why Dolce &amp; Gabbana’s Rs 9,000 dog perfume is raising a stink">Why Dolce &amp; Gabbana’s Rs 9,000 dog perfume is raising a stink</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/global/loreal-group-first-half-of-2024-performance" alt="ลอรีอัล กรุ๊ป อวดยอดขายครึ่งปีแรกโต 7.3% อานิสงส์ตลาดเกิดใหม่ขยายตัวทดแทนตลาดจีนที่ซบเซา">ลอรีอัล กรุ๊ป อวดยอดขายครึ่งปีแรกโต 7.3% อานิสงส์ตลาดเกิดใหม่ขยายตัวทดแทนตลาดจีนที่ซบเซา</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Dolce & Gabbana เปิดตัว ‘น้ำหอมสุนัข’ ผลตอบรับดี แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำ

<h2>กรุงเทพประกันภัย เจาะเทรนด์ Pet Humanization เพิ่มความคุ้มครองสัตว์เลี้ยงให้ลูกค้าประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าต่ออายุกรมธรรม์ เริ่ม 15 ก.ค. 67 นี้ โดยจะคุ้มครองการบาดเจ็บและเสียชีวิตที่เกิดจากอุบัติเหตุรถชน วงเงินสูงสุด 10,000 บาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บมจ. กรุงเทพประกันภัย หรือ BKI เปิดเผยว่า จากเทรนด์ Pet Humanization ผู้คนให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยง และออกเดินทางร่วมกันมากขึ้น บริษัทฯ จึงเพิ่มความคุ้มครองการเสียชีวิตและค่ารักษาพยาบาลของสัตว์เลี้ยง (แมวและสุนัข) ที่อยู่ภายในรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชน ให้แก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ทุกแผนประกันภัย ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าต่ออายุประกันภัย ตั้งแต่ 15 ก.ค. 2567 เป็นต้นไป โดยไม่ต้องเสียค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติม มีรายละเอียดดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- คุ้มครองการเสียชีวิตของสัตว์เลี้ยงที่อยู่ภายในรถยนต์ อันเนื่องมาจากรถยนต์เกิดอุบัติเหตุจากการชน วงเงินความคุ้มครอง 10,000 บาทต่อตัว ตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย (คุ้มครองสูงสุด จำนวน 2 ตัว)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการบาดเจ็บของสัตว์เลี้ยงที่อยู่ภายในรถยนต์ อันเนื่องมาจากรถยนต์เกิดอุบัติเหตุจากการชน จ่ายตามจริง สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อตัว ตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย (คุ้มครองสูงสุด จำนวน 2 ตัว)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แมวและสุนัขที่ได้รับการคุ้มครองจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 3 เดือนบริบูรณ์ ณ วันที่กรมธรรม์ประกันภัยเริ่มมีผลคุ้มครอง ซึ่งโดยสารอยู่ในรถยนต์คันที่เอาประกันภัย และจะต้องเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้เอาประกันภัยโดยตรงเท่านั้น ไม่รวมถึงสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงไว้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการค้าหรืออยู่ภายใต้การดูแลในฐานะผู้รับฝากทรัพย์ ภาพ: บมจ. กรุงเทพประกันภัย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/fti-thailand-motor-industry-july-2024" alt="สภาอุตฯ หั่นเป้าผลิตรถยนต์ปี 67 เหลือ 1.7 ล้านคัน คาดผลิตขายในประเทศลดลง"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/soft-loan-thailand-boots-economy-2024" alt="รัฐหนุน SME ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 3.5% ต่อปี วงเงิน 1 แสนล้าน ผ่านออมสินและ 16 ธนาคาร กู้ได้ถึงสิ้นปี 68"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/mof-thailand-economy-forecast-july-2024" alt="คลังเชื่อเศรษฐกิจไทยปีนี้ดีขึ้น! ปรับเป้า GDP ปี 67 เพิ่มเป็น 2.7% ย้ำยังไม่รวมผล Digital wallet"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/american-express-high-earning-thai-plan-for-travel-2024" alt="‘คนไทยรายได้สูง’ กว่า 55% วางแผนเที่ยว 3-4 ครั้งในปี 67 ส่วนใหญ่อยากไปเชียงใหม่-ภูเก็ต"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/mof-thailand-economy-forecast-july-2024" alt="คลังเชื่อเศรษฐกิจไทยปีนี้ดีขึ้น! ปรับเป้า GDP ปี 67 เพิ่มเป็น 2.7% ย้ำยังไม่รวมผล Digital Wallet"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/mtl-shieldlife-july-2024" alt="เมืองไทยประกันชีวิต ชูแคมเปญ ShieldLife เจาะกลุ่มลูกค้าบริหารมรดก - วางแผนชีวิต">เมืองไทยประกันชีวิต ชูแคมเปญ ShieldLife เจาะกลุ่มลูกค้าบริหารมรดก - วางแผนชีวิต</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงเทพประกันภัย เพิ่มฟรีความคุ้มครอง ‘หมา-แมว’ ให้ลูกค้าประกันรถยนต์ ชั้น 1 เริ่ม 15 ก.ค. นี้

‘เครือสหพัฒน์’ ร่วมวงธุรกิจสัตว์เลี้ยง ส่งสินค้าตัวเอง-แบรนด์นำเข้า ลุยตลาดปีนี้

‘วีเอสที อีซีเอส’ ได้อานิสงส์ตลาดสัตว์เลี้ยงรุ่ง หนุนสินค้าไอทีโตคาดรายได้แตะ 4 หมื่นล้าน

<h2>มาช่วยกันดูแลเหล่ามะหมากับมะเหมียวไปกับเรื่องราวไม่เกิน 30 คำของเหล่าบรรดา Forbes 30 Under 30</h2> <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/awB7VT6T4cJ75GbN39Nz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="awB7VT6T4cJ75GbN39Nz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="416,416" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0"></figure></div>Andrew Malek อายุ 28 ปี ผู้ร่วมก่อตั้ง PAWP Malek กับ Marc Atiyeh (อายุเกิน 30 ปี) เพื่อนสมัยเรียนมัธยม นำเทคโนโลยีการแพทย์ทางไกลมาใช้ในการดูแลสัตว์ Pawp เป็นคลินิกดิจิทัลที่ให้บริการดูแลน้องหมาน้องแมวเฉพาะกับสมาชิกตลอด 24 ชั่วโมง เวลานี้ทำเงินแล้ว 27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/tTaugEXz75EBfVLmbLbr.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tTaugEXz75EBfVLmbLbr.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="650,344" style="" data-index="1"></figure></div>​​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/RdgjX9Gm5okmB4gzSd3e.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="RdgjX9Gm5okmB4gzSd3e.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="416,416" style="" data-index="2"></figure></div>Adam Reed อายุ 28 ปี ผู้ก่อตั้ง CROWN &amp; PAW ธุรกิจภาพสัตว์เลี้ยงในสหราชอาณาจักรของ Reed มีการว่าจ้างศิลปินกว่า 300 คน เพื่อสร้างสรรค์ภาพสัตว์เลี้ยงสไตล์เรอเนซองส์ สนนราคาตั้งแต่ 20-90 เหรียญ พิมพ์ลงบนผ้าใบ หมอน ผ้าห่ม ฯลฯ ซึ่งจนถึงเวลานี้จำหน่ายไปแล้ว 600,000 ชิ้น<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/9Pqd8PkdbmGwSmztVzkw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="9Pqd8PkdbmGwSmztVzkw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="650,254" style="" data-index="3"></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/iNftq7cgKTLb5tcTeg8z.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="iNftq7cgKTLb5tcTeg8z.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="416,416" style="" data-index="4"></figure></div>Connor Westby อายุ 28 ปี Adelina Zotta อายุ 29 ปีผู้ร่วมก่อตั้ง NUTRIPAW น้องหมาก็อยากมีคนดูแล! ร้านค้าออนไลน์จาก London แห่งนี้จำหน่ายอาหารเสริมสำหรับสุนัขที่มีภาวะเครียด หวาดกลัว และสุนัขสูงวัย เมื่อปี 2022 ทำรายได้เกือบ 7 ล้านเหรียญจากลูกค้า 150,000 คน<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 650px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/84ykcw4fadHfvTmfiT8c.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="650px,259px" data-align="center" data-file-name="84ykcw4fadHfvTmfiT8c.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,259" data-origin="650px,259px" style="width: 650px; height: 259px;" data-index="5"></figure></div>​ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/9bcVz2rLNx6YfDXgsbmu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="9bcVz2rLNx6YfDXgsbmu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="416,416" style="" data-index="6"></figure></div>Celine Halioua อายุ 28 ปี ผู้ก่อตั้ง LOYAL ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีชีวภาพของเธอระดมทุนได้ 58 ล้านเหรียญ และอยู่ระหว่างพัฒนายาชะลอวัยสำหรับสุนัข คาดว่าจะสามารถวางจำหน่ายได้ในปี 2025 <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/XM98EPuTfhhTsUrTVyhp.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XM98EPuTfhhTsUrTVyhp.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="650,241" style="" data-index="7"></figure></div> เรื่อง: KRISTIN STOLLER เรียบเรียง: รัน_รัน ภาพประกอบ: DIEGO PATINO; HULTON ARCHIVE/GETTY IMAGES; MEL BOUZAD/GETTY IMAGESอ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/america/world/r-zero-%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%86%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD" alt="R-Zero สตาร์ทอัพผู้สร้างอุปกรณ์ยูวีฆ่าเชื้อ">R-Zero สตาร์ทอัพผู้สร้างอุปกรณ์ยูวีฆ่าเชื้อ</a>​<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/225c14a9-ead0-4c01-98a2-b9c52ea4d990/may-2023" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/MnBrWjajVTjT23g8tb33.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="MnBrWjajVTjT23g8tb33.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="200,263" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="8"></figure></div>

Forbes 30 Under 30 : ธุรกิจเพื่อ 4 ขาที่รัก

<h2>เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จับมือ ไอ-เทล ผุดโปรเจกต์โรงหนัง PET Friendly แห่งแรกในไทย โดยเริ่มต้นนำร่องใน 3 สาขา มั่นใจรายได้ปี 2567 จะฟื้นกลับมา 100% พร้อมคาดตั๋วหนังสำหรับสัตว์เลี้ยงจะขายได้ 3 ล้านใบต่อปี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมเจอร์ฯ เตรียมขยายโรงหนังในปี 2566 เพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 50-60 จอ และมั่นใจว่าในปีหน้าสถานการณ์รายได้จะกลับมา 100% เทียบเท่าก่อนโควิด-19 ที่ทำรายได้รวมขณะนั้นประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งล่าสุดเดือนพฤษภาคมนี้สามารถทำรายได้กลับคืนมาแล้ว 85% หรือช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมาปีนี้ทำได้เฉลี่ย 70% แล้วจากปีก่อนโควิด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะทำรายได้ตามเป้าได้อย่างแน่นอน เนื่องจากในปีนี้มีหนังฟอร์มใหญ่ไม่ต่ำกว่า 200-300 ล้านบาท เป็นจำนวนมากที่จะเข้าฉายในโรงซึ่งมากกว่าปีที่แล้วเกือบ 30% อีกทั้ืงผู้บริโภคได้เริ่มกลับมาดูหนังในโรงหนังมากขึ้นนีบจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลายลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประกอบกับการจัดกิจกรรมการตลาดและการเปิดตัวนวัตกรรมต่อเนื่องในวงการภาพยนตร์ของเมเจอร์ฯ โดยล่าสุดได้ร่วมกับ ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ITC ผู้นำการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก เปิดตัว “i-Tail PET CINEMA” โรงภาพยนตร์สำหรับคนรักสุนัขและแมว หรือ PET Friendly แห่งแรกในประเทศไทยที่พร้อมต้อนรับเจ้าของและน้องหมา น้องแมว เข้ามาร่วมดูหนังด้วยกัน&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 489px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/XmfxnLUMC3TfAefkJaZZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="489px,326px" data-align="center" data-index="2" data-file-name="XmfxnLUMC3TfAefkJaZZ.jpg" data-file-size="0" origin-size="550,367" data-origin="489px,326px" style="width: 489px; height: 326px;"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมเปิดให้บริการตั้งแต่วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป เฉพาะ 3 สาขา ที่ โรงภาพยนตร์เมกา ซีนีเพล็กซ์, อิสต์วิลล์ ซีนีเพล็กซ์ และ เมเจอร์ ซีนีม่า โรบินสันราชพฤกษ์ เนื่องจากทั้่งสามศูนย์การค้านี้เป็น PET Friendly เช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับราคาบัตร จะเป็นราคาปกติสำหรับคน ส่วนสัตว์เลี้ยงคิดราคา 90 บาทต่อรอบ คาดว่าจะทำยอดขายตั๋วได้ 3 ล้านใบต่อปี ใกล้เคียงกับโรงหนังเด็กคิดส์ซีนีม่าที่เปิดาแล้ว 12 โรง จากปัจจุบันเมเจอร์ฯ มีโรงหนังในไทย 172 สาขา จำนวน 800 จอ และในต่างประเทศ จำนวน 9 สาขา จำนวน 46 จอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ พิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดรวมอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยมีมากกว่า 50,000 ล้านบาท เติบโต 10-12% ต่อปี ซึ่งมากกว่าอัตราการเติบโตของตลาดโลกที่มีเพียง 7% ต่อปีเท่านั้น&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 489px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/AVxyfFtT3uprVQ9VUnBm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="489px,326px" data-align="center" data-index="3" data-file-name="AVxyfFtT3uprVQ9VUnBm.jpg" data-file-size="0" origin-size="550,367" data-origin="489px,326px" style="width: 489px; height: 326px;"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดสัตว์เลี้ยงที่โตทะลุหมื่นล้านบาทและมูลค่ายอดใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยต่อคนที่สูงถึง 10,000 - 20,000 บาทต่อปี ส่งผลทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเติบโตไปด้วย ซึ่งไอ-เทลเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่สามารถตอบรับกับเทรนด์ Pet Humanization ได้เป็นอย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่จึงเป็นที่มาของโปรเจกต์ “i-Tail Pet Cinema” ที่ถือว่าเป็นโปรเจกต์แรกที่ ไอ-เทล ต่อยอดจากธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ร่วมจับมือกับพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งอย่าง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ผ่านโรงภาพยนตร์ที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ตอกย้ำจุดยืนของบริษัทที่เอาความต้องการของสัตว์เลี้ยงเป็นสำคัญ (Pet Centric) และเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของพ่อแม่หมาแมวยุคใหม่ที่ต้องการใช้เวลาร่วมกันกับสัตว์เลี้ยงแสนรัก อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/thaifex-anuga-asia-2023-%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%94-1-2-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-66-1-5-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97" alt="“THAIFEX-ANUGA ASIA 2023” เงินสะพัด 1.2 แสนล้านบาท หนุนส่งออกอาหารไทยปี 66 แตะ 1.5 ล้านล้านบาท">“THAIFEX-ANUGA ASIA 2023” เงินสะพัด 1.2 แสนล้านบาท หนุนส่งออกอาหารไทยปี 66 แตะ 1.5 ล้านล้านบาท</a> <hr class="__se__solid"><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เมเจอร์ฯ จับมือ ไอ-เทล ผุดโรงหนัง PET Friendly แห่งแรกในไทย คาดขายตั๋วสำหรับสัตว์เลี้ยง 3 ล้านใบต่อปี

น.สพ.ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ “BIS” พลังเพื่อน Synergy

<h2>โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อเผยอุตสาหกรรมสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าเปิดตัวสินค้าเฮาส์แบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “Dr.Choice” ชูจุดเด่น เป็นสินค้านวัตกรรม ผลิตจากธรรมชาติ 100% ปลอดภัยต่อทั้งสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-51390" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ_0903.jpg" alt="" width="600" height="400" />

สัตวแพทย์หญิง นวพร ชวนปรีชา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตประมาณ 10-15% ทุกปี โดยปัจจัยที่ส่งเสริมให้ตลาดสินค้าและบริการสัตว์เลี้ยงเพิ่มสูงขึ้น มาจากเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่นิยมเลี้ยงเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว ให้การดูแลเอาใจใส่ในการคัดเลือกสินค้าและผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม รวมถึงลงทุนในด้านการดูแลสุขภาพของสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดี จึงเป็นที่มาของการสร้างสินค้าเฮาส์แบรนด์ใหม่ Dr.Choice

ภายใต้แนวคิด “เมื่อความสุขมาพร้อมกับสุขภาพที่ดี” หวังเจาะตลาดกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว และพร้อมลงทุนหาผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมเพื่อให้เจ้านายมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดี ซึ่งจากแนวโน้มการเติบโตของปริมาณผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยง ประกอบกับประสบการณ์ในการให้บริการรักษาสัตว์กว่า 27 ปี ทำให้เห็นถึงความต้องการสินค้าของกลุ่มคนรักสัตว์ และเล็งเห็นช่องว่างทางการตลาดซึ่งยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้พัฒนาและเปิดตัวกลุ่มสินค้าเฮาส์แบรนด์ ภายใต้ชื่อ Dr.Choice สินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม เพื่อเอาใจและตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนรักสัตว์ และเป็นการขยายตลาดกลุ่มคนรักสัตว์ที่ต้องการสินค้าคุณภาพ ภายใต้มาตรฐานของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่ออีกด้วย

ได้มีการคิดค้นและพัฒนาสินค้า ภายใต้แนวคิด “เมื่อความสุขมาพร้อมสุขภาพที่ดี” เพื่อส่งเสริมอนามัยและสุขภาพที่ดีให้กับสัตว์เลี้ยง โดยมีจุดเด่นเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% ด้วยคุณภาพของส่วนผสมที่ผ่านการพัฒนาและใช้จริงจากทีมสัตวแพทย์โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ที่มีประสบการณ์การดูแลและบริการรักษาสัตว์เลี้ยงมากว่า 27 ปี หมดกังวลเรื่องอาการแพ้ และปลอดภัยต่อทั้งสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ โดยปัจจุบันมีกลุ่มสินค้าวางจำหน่ายแล้วกว่า 8 ประเภท อาทิ ขนมสันในไก่ สำหรับสุนัข สันในพันครันชี่เล็กนิ่ม, Choice Chewable DENTA CARE ขนมขัดฟันรูปดาวสำหรับน้องหมา และ กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภท Choice Grooming ให้กลิ่นหอมเฉพาะ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Grooming โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ, หญ้าแมว Premium Catnip

“สัตว์เลี้ยงในประเทศไทย ปัจจุบันได้รับการดูแลเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว เจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงให้ความสำคัญกับการดูแลเอาใจใส่ เหมือนเป็นลูกแท้ๆ ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากมีความเต็มใจที่จะลงทุนในการค้นหาและซื้ออาหาร ตลอดจนผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงในระดับพรีเมียม เพื่อให้สัตว์เลี้ยงได้มีสุขภาพที่ดีและอยู่กับเขาไปนานๆ  ทางเราจึงเน้นการสร้างแบรนด์ Dr.Choice  ให้ตอบโจทย์เจ้าของสัตว์เลี้ยงในกลุ่มนี้” สัตวแพทย์หญิงนวพร กล่าว

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/dpaint-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%a5.html">DPAINT ประกาศความพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

รพ.สัตว์ทองหล่อ แตกไลน์ธุรกิจ เปิดตัวสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ “Dr.Choice”

หัวใจบริการของ สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล แห่ง “โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ”

<h2>สองผู้ก่อตั้งที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยจะไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนใน Silicon Valley ได้ แต่ปัจจุบันพวกเขากลับกลายเป็นเจ้าของ Chewy หนึ่งในธุรกิจเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซเอกชนรายใหญ่ที่สุดในอเมริกา</h2>
เดือนธันวาคม 2012 Ryan Cohen มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาเงินมาขยายกิจการบริษัท Chewy ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ก่อตั้งมาได้หนึ่งปี โดย Cohen ซึ่งลาออกจากมหาวิทยาลัยก่อนจบการศึกษา

สี่ปีต่อมา Chewy ก็กลายเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซเอกชนที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตั้งเป้าที่จะทำรายได้ให้ได้ 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2016 และมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ ในปี 2017 Cohen ซึ่งนำกลยุทธ์การให้บริการลูกค้าอันยอดเยี่ยมของ “ร้านค้าออนไลน์ Zappos” มาเป็นแม่แบบ เขาจัดพนักงานจำนวน 416 คนจากพนักงานของ Chewy ทั้งหมด 3,400 คนมาทำหน้าที่รับโทรศัพท์และตอบข้อความโดยแบ่งการทำงานออกเป็นกะตลอด 24 ชั่วโมง

“เราต้องการเป็นผู้ค้าปลีกผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงอันดับ 1 ของโลก”ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจาก Chewy ยังไม่สามารถทำกำไรได้ ประกอบกับการที่บริษัทได้ใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าบริษัทจะมีกำไรเมื่อใด

Cohen มีพ่อแม่เป็นครูและผู้นำเข้าเครื่องแก้วตั้งใจแน่วแน่มาตั้งแต่เป็นเด็กแล้วว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นเจ้าของธุรกิจให้ได้ เมื่ออายุ 15 ปี Cohen ค้นพบความมหัศจรรย์ของการตลาดแบบตัวแทนซึ่งก็คือการเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการส่งต่อลูกค้าไปยังเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซต่างๆ Cohen มีความสามารถมากจนทำเงินได้หลายพันเหรียญต่อเดือน

สำหรับ Michael Day หุ้นส่วนทางธุรกิจคนสำคัญ ร่วมงานกับ Cohen และในปี 2011 ทั้งคู่ได้ทุ่มเงินส่วนตัว 150,000 เหรียญ เริ่มต้นทำธุรกิจจำหน่ายเครื่องประดับผ่านระบบออนไลน์ใน Florida แต่หลังจากที่ทั้งสองมีโอกาสได้ไปงานแสดงสินค้าที่ Miami ก็ได้พบความจริงว่ายังมีอีกหลายอย่างที่พวกตนต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอัญมณีและโลหะมีค่า รวมถึงรู้ตัวว่าพวกตนไม่ได้มีความหลงใหลในธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ในเวลาต่อมา Cohen เกิด “ปิ๊ง” ไอเดียในการทำธุรกิจใหม่ในขณะที่กำลังซื้ออาหารให้ Tylee สุนัขพันธุ์ poodle ขนสีแอปริคอทตัวจิ๋วของตน โดยทั่วไปแล้ว พ่อแม่ที่รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกจะยอมจ่ายไม่อั้นเพื่อซื้ออาหารคุณภาพเยี่ยมให้กับสัตว์เลี้ยงของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่ทำจากส่วนผสมที่เป็นอาหารของคน

Cohen และ Day เทขายเครื่องประดับในสต็อกของตนในราคาต่ำกว่าทุน ถอนเงินเพิ่มจากบัญชีส่วนตัวของแต่ละคน และเปลี่ยนเว็บไซต์จำหน่ายเครื่องประดับเป็น Chewy.com และเริ่มต้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากตัวแทนจำหน่าย ทั้งคู่ได้พบศูนย์บริการและกระจายสินค้าภายนอกแห่งหนึ่งที่ Easton รัฐ Pennsylvania และเริ่มดำเนินงานในช่วงปลายปี 2011 ด้วยการจำหน่ายอาหารสุนัขและอาหารแมว รวม 50 แบรนด์ โดยตั้งราคาจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์เท่ากับราคาขายของคู่แข่ง รวมถึงให้ส่วนลดพิเศษกับลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าเป็นครั้งแรกด้วย ถึงแม้ว่า Cohen และ Day จะรับโทรศัพท์ลูกค้าด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่รับเงินเดือน Chewy ก็ยังขาดทุนอยู่ดี อย่างไรก็ตาม Chewy ก็มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 26 ล้านเหรียญในสิ้นปี 2012

ถึงแม้ Cohen จะยังไม่ประสบความสำเร็จใน Silicon Valley แต่ Chewy ก็ได้รับความสนใจจาก Volition Capital ใน Boston ปลายปี 2013 Volition ลงทุนใน Chewy เป็นจำนวนเงิน 15 ล้านเหรียญ เงินทุนที่ได้มานี้ช่วยให้ Cohen สามารถเดินหน้าธุรกิจได้เต็มสูบ Cohen ตัดสินใจที่จะบริหารศูนย์บริการและกระจายสินค้าเอง ถึงแม้ว่าตัวเขาและ Day ซึ่งปัจจุบันนี้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับการบริหารคลังสินค้าเลย ในการเฟ้นหาพนักงานที่มากประสบการณ์ Chewy ได้เชื้อเชิญพนักงานหลายร้อยคนของ Amazon มาร่วมงานผ่าน LinkedIn และในที่สุดก็ได้ว่าจ้างพนักงานจำนวน 100 คนจากคนกลุ่มดังกล่าว กลางปี 2014 Chewy ได้เปิดศูนย์บริการและกระจายสินค้าซึ่งมีพื้นที่ 600,000 ตารางฟุตใน Mechanicsburg รัฐ Pennsylvania

การแข่งขันในธุรกิจนี้เป็นไปอย่างดุเดือดเริ่มจากคู่แข่งอย่าง Amazon ลำดับต่อมาได้แก่ Jet.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซจำหน่ายสินค้าแบบขายส่ง โดย Wal-Mart ได้ซื้อกิจการ Jet.com ไปเมื่อปีที่แล้วในราคา 3.3 พันล้านเหรียญ และได้เริ่มจำหน่ายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยขายสินค้าบางอย่างแบบยกลังในราคาถูกกว่าที่ Chewy จำหน่าย รวมถึง Petco และPetSmart ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 4 พันล้านเหรียญ และ 7 พันล้านเหรียญ ตามลำดับก็ยังคงเป็นคู่แข่งที่มีความชำนาญพิเศษในการขายปลีกสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง

อย่างไรก็ตาม Cohen กล่าวว่าตนมีความเชื่อมั่นว่าในที่สุดแล้วยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงผ่านอี-คอมเมิร์ซจะมีส่วนแบ่งอย่างน้อย 50% จากยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงทั้งหมด และเชื่อว่า Chewy จะสามารถทำรายได้ได้มากกว่า 5 พันล้านเหรียญ ภายในปี 2020 Cohen กล่าวว่า “เราจะขยายธุรกิจให้ได้ตามเป้า ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่งก็ตาม”

<hr />

<a href="http://goo.gl/kkiaJt">คลิกอ่าน "โฮ่งทีหลังดังกล่าว" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8b0b2b9aeabc084e54cf4ef4888dc65e.png" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events