<h2>เนสท์เล่ ออกแถลงการณ์ยืนยัน มีความมุ่งมั่นที่จะลงทุนผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย แต่ยังไม่ขอบอกรายละเอียด เผยยึดคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ที่ให้เนสท์เล่ใช้แบรนด์ ‘เนสกาแฟ’ ได้เพียงคนเดียว ทำให้กลับมาขายได้ ส่วนบริษัท QCP ที่ร่วมทุนกับ ‘มหากิจศิริ’ ไม่มีสิทธิผลิตเนสกาแฟอีกต่อไป </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดูเหมือนว่าประเด็นพิพาทระหว่าง “เนสท์เล่” และ “ตระกูลมหากิจศิริ” ที่ยังไม่จบลงอย่างสมบูรณ์นั้นจะยังสร้างความกังขาให้กับผู้คนในสังคม ล่าสุดเนสท์เล่จึงออกแถลงการณ์สรุปเรื่องราวในมุมมองของเนสท์เล่ทั้งหมด 7 ข้อ เพื่อคลายข้อสงสัย ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ 1) สรุปเรื่องราวระหว่างเนสท์เล่กับตระกูลมหากิจศิริ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนสท์เล่เป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ เนสท์เล่ร่วมลงทุนกับฝั่งคุณประยุทธ มหากิจศิริ ทำโรงงานชื่อบริษัทควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) เพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย คุณประยุทธและครอบครัวถือหุ้นครึ่งหนึ่งในบริษัท QCP เนสท์เล่ก็ถือหุ้นอีกครึ่งหนึ่งและเป็นคนบริหารจัดการเรื่องการผลิต การจัดจำหน่าย และทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟเองในประเทศไทย สูตรกาแฟกับเทคโนโลยีการผลิตก็เป็นของเนสท์เล่เองทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พอบริษัท QCP หมดอายุสัญญากับเนสท์เล่ เนสท์เล่ก็ไม่ได้ต่อสัญญาเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ศาลอนุญาโตตุลาการสากลก็ตัดสินว่า เนสท์เล่เลิกสัญญาร่วมทุน (Joint Venture) ถูกต้องแล้ว แต่ฝั่งคุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ และครอบครัว กลับฟ้องคดีต่อศาลแพ่งมีนบุรี โดยที่เนสท์เล่ยังไม่ทันได้นำเสนอพยานหลักฐานซึ่งรวมถึงคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากลที่มีผลสมบูรณ์ทางกฎหมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนที่ศาลแพ่งมีนบุรีจะมีคำสั่งห้ามเนสท์เล่ไม่ให้ผลิต ห้ามขาย ห้ามนำเข้าสินค้าเนสกาแฟในประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดเป็นผลกระทบเป็นวงกว้าง จนกระทั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ซึ่งทำให้เนสท์เล่กลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟได้ตามปกติ 2) เนสท์เล่จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปอย่างไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนสท์เล่ จะทำทุกวิถีทางในทางกฎหมายเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบการธุรกิจ ผู้บริโภค และเกษตรกรที่เราทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด จะไม่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของผู้ถือหุ้นบริษัท QCP ดังกล่าว 3) กรณีของเนสท์เล่กับตระกูลมหากิจศิริ เหมือนกับกรณีเจ้าของแบรนด์ดังและผู้ผลิตในประเทศไทยที่ยกเลิกสัญญากันในอดีตใช่หรือไม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีข้อแตกต่างกันหลายประการ ซึ่งก็คือ เนสท์เล่ เป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว ตระกูลมหากิจศิริถือหุ้นครึ่งหนึ่งในบริษัท QCP ที่ทำหน้าที่ผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย เนสท์เล่ก็ถือหุ้นอีกครึ่งหนึ่ง และเป็นคนบริหารจัดการเรื่องการผลิต การจัดจำหน่าย และทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟเองในประเทศไทย สูตรกาแฟกับเทคโนโลยีการผลิตก็เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่ และทีมงานในสายการผลิตและการบริหารงานทั้งหมดก็เป็นทีมงานของเนสท์เล่ 4) เนสท์เล่จะลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในประเทศไทยใช่ไหม และจะสร้างที่ไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรามีความมุ่งมั่นที่จะผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย แต่เรายังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ในขณะนี้ 5) การที่เนสท์เล่ออกแถลงการณ์ว่าจะต้องหยุดส่งสินค้าชั่วคราว เป็นความตั้งใจของการตลาดเพื่อสร้างกระแสและขึ้นราคาสินค้าหรือไม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่ใช่เลย เนสท์เล่ จำเป็นต้องหยุดส่งผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เนื่องจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรีเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เนสท์เล่ มีความห่วงใยผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกรไทย และคู่ค้าซัพพลายเออร์ตลอดห่วงโซ่คุณค่าที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราว และเนสท์เล่ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ 6)	คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรีไม่มีผลบังคับใช้แล้วหรือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรายึดตามคำตัดสินล่าสุดจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ที่ยืนยันว่าบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” ในประเทศไทย ทำให้เนสท์เล่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในประเทศไทยได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 7)	ทำไมบริษัท QCP ไม่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้อีก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพราะสัญญาระหว่าง เนสท์เล่กับบริษัท QCP สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายตามคำตัดสินจากศาลอนุญาโตตุลาการสากล ดังนั้น บริษัท QCP จึงไม่มีสิทธิในการผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอีกต่อไป หลังจากนั้นมา เนสท์เล่ก็ได้จัดหาผลิตภัณฑ์เนสกาแฟเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคไทย ด้วยการว่าจ้างบริษัทในประเทศไทยให้ช่วยผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ พร้อมทั้งนำเข้าผลิตภัณฑ์บางส่วนจากประเทศอื่นเป็นการชั่วคราว จนกว่าเนสท์เล่จะสามารถกลับมาดำเนินการผลิตเนสกาแฟในประเทศได้อีกครั้ง ภาพ: กนกวรรณ มากเมฆ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/nescafe-is-temporarily-out-of-stock" alt="หลังเจอข้อพิพาท เนสท์เล่-มหากิจศิริ อัปเดตล่าสุด ‘เนสกาแฟ’ ขาดตลาดชั่วคราว ลุ้นต่อผลศาลแพ่งฯ 17 เม.ย.68">หลังเจอข้อพิพาท เนสท์เล่-มหากิจศิริ อัปเดตล่าสุด ‘เนสกาแฟ’ ขาดตลาดชั่วคราว ลุ้นต่อผลศาลแพ่งฯ 17 เม.ย.68</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เนสท์เล่ แถลงการณ์ยืนยันจะลงทุนผลิตกาแฟในไทย ส่วนตอนนี้เนสกาแฟที่ขาย มีทั้งจ้างผลิตและนำเข้า

หลังเจอข้อพิพาท เนสท์เล่-มหากิจศิริ อัปเดตล่าสุด ‘เนสกาแฟ’ ขาดตลาดชั่วคราว ลุ้นต่อผลศาลแพ่งฯ 17 เม.ย.68

<h2>เนื่องจากเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ทป 58/2568 ได้มีคำสั่งยืนยันว่าบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” และ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย และสามารถใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ซึ่งคำสั่งศาลนี้มีผลตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2568</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามผลของคำสั่งข้างต้น จึงทำให้ เนสท์เล่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในประเทศไทยได้ตามปกติ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยเนสท์เล่ได้แจ้งลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจให้ทราบว่าเนสท์เล่สามารถกลับมารับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้ตามปกติแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนสท์เล่ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางครั้งนี้ เพราะจะช่วยหยุดผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อผู้ประกอบการขนาดเล็ก ร้านค้าปลีก คู่ค้าซัพพลายเออร์ และพนักงานในห่วงโซ่คุณค่าของเนสกาแฟ ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนหน้านี้ที่ออกโดยศาลแพ่งมีนบุรี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ผู้บริโภคก็จะสามารถหาซื้อและบริโภคผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทุกชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรีเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เนสท์เล่ได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเนสท์เล่ระบุว่ารู้สึกยินดีที่ได้รับการยืนยันจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งทำให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟได้ตามปกติ&nbsp; &nbsp; "เนสท์เล่ ขอยืนยันว่าเราเคารพกฎหมายเสมอมาและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากับบริษัทควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ท อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด และเรามีหลักฐานของการปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาอย่างครบถ้วน ก่อนหน้านี้ เราได้ชนะคดีที่ศาลอนุญาโตตุลาการสากล โดยที่คุณประยุทธ มหากิจศิริ และครอบครัว ได้แก่คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ และคุณอุษณา มหากิจศิริ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น QCP ได้เข้าร่วมในกระบวนการไต่สวนของศาลอนุญาโตตุลาการสากลด้วยตนเอง"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนสท์เล่ ขอขอบคุณผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนเนสกาแฟ ในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนสท์เล่ มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและจะยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค พนักงานของเรา เกษตรกรที่ทำงานร่วมกับเรา ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจ และคู่ค้าของเรา ภาพ: กนกวรรณ มากเมฆ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/why-do-nestle-can-not-sell-nestcafe-in-thailand" alt="สรุปประเด็น ทำไม เนสท์เล่ ถึงไม่สามารถขายผลิตภัณฑ์ ‘เนสกาแฟ’ ให้รายย่อยได้ และเรื่องนี้กระทบกับใคร?">สรุปประเด็น ทำไม เนสท์เล่ ถึงไม่สามารถขายผลิตภัณฑ์ ‘เนสกาแฟ’ ให้รายย่อยได้ และเรื่องนี้กระทบกับใคร?</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เนสกาแฟ กลับมาขายได้ตามปกติแล้ว

<h2>ทำไมเนสท์เล่ถึงออกมาประกาศว่าไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าปลีกต่างๆ ได้ Forbes Thailand สรุปให้ฟังใน 10 ข้อ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน เนสท์เล่ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ ทำสัญญาจัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ ซึ่งมีคุณประยุทธ มหากิจศิริ เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.บริษัท QCP มีหน้าที่ผลิตสินค้าเนสกาแฟ โดยเนสท์เล่มีอำนาจในการบริหารงาน การผลิต การจัดจำหน่าย รวมทั้งการทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ โดยเทคโนโลยีที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่ ทั้งนี้ สัญญามีอายุตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 จนถึง พ.ศ.2567 ซึ่งเนสท์เล่บอกว่า การยุติสัญญาดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายโดยคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากล โดยมีผลเป็นการเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.แต่หลังจากสัญญายุติ ผู้ถือหุ้นของ QCP ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทฯ ได้ ต่อมาในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2568 นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อดำเนินคดีแพ่งกับบริษัทในเครือเนสท์เล่ และกรรมการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.เรื่องดำเนินมาถึงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 ศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย ซึ่งเนสท์เล่ก็เคารพต่อกฎหมายและปฏิบัติตามคำสั่งศาล แม้จะยังไม่มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริงต่อศาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5.ผลจากคำสั่งศาล ทำให้ เนสท์เล่ ออกหนังสือแจ้งลูกค้า ซึ่งก็คือผู้ประกอบการร้านค้าปลีกต่างๆ ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2568 ให้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และแจ้งว่าบริษัทฯ จะไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าเหล่านี้ได้ โดยมีผลทันที จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบภายหลัง แต่ระหว่างนี้ร้านค้าไหนที่โปรดักต์เนสกาแฟสต็อกไว้อยู่ ก็สามารถขายได้ตามปกติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;6.สิ่งที่เนสท์เล่กังวลคือ เรื่องนี้อาจกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการรายย่อย ร้านกาแฟขนาดเล็ก ร้านกาแฟรถเข็น ที่ปกติใช้ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ กลุ่มนี้อาจเผชิญกับสถานการณ์ไม่มีเนสกาแฟจำหน่าย ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนสูตรการชง เปลี่ยนวัตถุดิบ รสชาติเปลี่ยน และกระทบไปจนถึงรายได้ประจำวัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;7.นอกจากนี้ยังทำให้พนักงานของลูกค้าและคู่ค้าซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่ของเนสกาแฟที่เคยสามารถจัดส่งวัตถุดิบต่างๆ ให้กับเนสกาแฟแต่ต้องหยุดชะงักลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;8.ผลกระทบยังส่งไปถึงเกษตรกรไทยผู้เพาะปลูกกาแฟ และเกษตรกรโคนมไทย จะไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตเพื่อเป็นวัตดุดิบให้เนสกาแฟ เนื่องจากคำสั่งศาลห้ามผลิต และว่าจ้างผลิต เนสกาแฟในประเทศไทย โดยในทุกๆปี เนสกาแฟรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบพันธุ์โรบัสต้าในปริมาณมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมดที่ปลูกได้ประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;9.นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยผู้บริโภคจำนวนหลายล้านคนในประเทศไทยและผู้บริโภคในตลาดส่งออกของเนสกาแฟจะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟดื่ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;10.เนสท์เล่บอกว่า จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์นี้ และกำลังดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวต่อศาล พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อการพิจารณาคำร้อง ภาพ: เพจเฟซบุ๊ก Nestle เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/newsmarketing/nestle-concerns-sme-situation-about-nescafe" alt="‘เนสท์เล่’ ห่วงรายย่อยขาดรายได้ ไม่มี ‘เนสกาแฟ’ ขาย หลังศาลห้ามผลิต-จ้างผลิต-ขาย-นำเข้า สินค้าแบรนด์ Nescafe ในไทย">‘เนสท์เล่’ ห่วงรายย่อยขาดรายได้ ไม่มี ‘เนสกาแฟ’ ขาย หลังศาลห้ามผลิต-จ้างผลิต-ขาย-นำเข้า สินค้าแบรนด์ Nescafe ในไทย</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สรุปประเด็น ทำไม เนสท์เล่ ถึงไม่สามารถขายผลิตภัณฑ์ ‘เนสกาแฟ’ ให้รายย่อยได้ และเรื่องนี้กระทบกับใคร?

<h2>​​เนสท์เล่ ไอศกรีม เห็นโอกาสสร้างรายได้เพิ่มผ่านช่องทางร้านอาหาร หลังธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มปี 2568 มีมูลค่าสูงถึง 657,000 ล้านบาท ประกาศเปิดตัวไอศกรีมรูปแบบถ้วยที่มีให้เลือกถึง 7 รสชาติ หวังตอบโจทย์ผู้บริโภคที่นิยมรับประทานของหวานตบท้ายมื้ออาหาร </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนสท์เล่ ไอศกรีม เห็นโอกาสสร้างรายได้เพิ่ม จากข้อมูลตัวเลขของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ธุรกิจร้านอาหารและร้านเครื่องดื่ม ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 4.6% และมูลค่าตลาดจะสูงถึง 657,000 ล้านบาท จึงออกตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะมาช่วยเติมเต็มประสบการณ์การรับประทานอาหารของผู้บริโภคชาวไทย ที่มักจะชื่นชอบตบท้ายมื้ออาหารคาวด้วยของหวาน&nbsp;  &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มณฑา คงเครือพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไอศกรีม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เผยว่าในฐานะหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมไอศกรีมในประเทศไทย เนสท์เล่ ไอศกรีมเข้าใจผู้บริโภคไทยเป็นอย่างดีและรู้ว่ามื้ออาหารไม่ได้จบลงที่ของคาวเพียงอย่างเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"ผู้บริโภคชาวไทยชอบตบท้ายมื้ออาหารด้วยของหวาน ดังนั้นการที่เรามีผลิตภัณฑ์ในช่องทางร้านอาหารด้วยจะเปิดโอกาสให้เราสามารถนำเสนอไอศกรีมที่ทั้งอร่อยและคุณภาพดีจากแบรนด์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบและคุ้นเคย ขณะเดียวกัน ร้านอาหารที่เป็นคู่ค้าของเราก็จะได้ประโยชน์ในเรื่องความสะดวกในการบริการ ด้วยไอศกรีมรูปแบบถ้วยที่สะดวกต่อการเสิร์ฟและขนาดเหมาะสมต่อการรับประทานปิดท้ายมื้ออาหาร” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/4LHc6WFT9Atfq6XJdsHy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="4LHc6WFT9Atfq6XJdsHy.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ไอศกรีมเนสท์เล่สำหรับช่องทางร้านอาหารจะมีให้เลือกถึง 7 รสชาติยอดนิยมที่ผู้บริโภคชาวไทยชื่นชอบ ได้แก่ ไมโล, คิทแคท, โอริโอ, เนสทีชาไทย, ลาฟรุ๊ตต้า โยเกิร์ตสตรอว์เบอร์รี, เนสท์เล่ กะทิ และ เนสท์เล่ ช็อกชิพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มาพร้อมกับโลโก้เนสท์เล่ ไอศกรีม สีทอง ที่ทำให้เกิดความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์เนสท์เล่ ไอศกรีมรูปแบบอื่น ๆ และสื่อถึงความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมไอศกรีมของเนสท์เล่ ไอศกรีม ซึ่งได้เริ่มจำหน่ายแล้วที่ร้านอาหารต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ และมีแผนขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/MAg5mKVmSNrtZEawB1oJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="MAg5mKVmSNrtZEawB1oJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ภาพ :&nbsp;เนสท์เล่ ไอศกรีม เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/tops-sees-opportunity-from-own-brand-products-sets-target-20-percent-revenue-growth-2025" alt="ท็อปส์ เห็นโอกาสโกยเงินจากสินค้า Own Brand เตรียมแตกไลน์สินค้าใหม่กว่า 500 รายการ ตั้งเป้าปี 68 รายได้โต 20%">ท็อปส์ เห็นโอกาสโกยเงินจากสินค้า Own Brand เตรียมแตกไลน์สินค้าใหม่กว่า 500 รายการ ตั้งเป้าปี 68 รายได้โต 20%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เนสท์เล่ ไอศกรีม เตรียมเจาะตลาดผ่านร้านอาหาร หลังธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มปี 68 มีมูลค่าสูงถึง 657,000 ล้าน

<h2>‘เนสท์เล่ เอ็กซ์ตรีม ไอศกรีม’ ทุ่มงบ 100 ล้านบาท จับมือกับ ‘อาฟเตอร์ ยู’ แบรนด์ขนมหวานชื่อดังสัญชาติไทย ออกไอศกรีมรสชาติใหม่ เอ็กซ์ตรีม X อาฟเตอร์ ยู ชิบูย่า ฮันนี่โทสต์ โคน เสิร์ฟเมนูขายดีอันดับหนึ่งของอาฟเตอร์ ยู มาในรูปแบบไอศกรีมโคน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มณฑา คงเครือพันธุ์ ผู้อำนวยการธุรกิจไอศกรีม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “เนสท์เล่ เอ็กซ์ตรีม ไอศกรีม ทุ่มงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท สำหรับการจับมือคอลแลบและเปิดตัว ‘เอ็กซ์ตรีม X อาฟเตอร์ยู ชิบูย่า ฮันนี่โทสต์ โคน’ ในครั้งนี้ เราตั้งใจสร้างอิมแพคผ่านความสดใหม่ทั้งในด้านรสชาติและการนำเสนออย่างสนุกสุดตรีม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวให้ทุกคนได้มาลิ้มลองรสชาติใหม่เป็นครั้งแรกที่ Extreme x After You Café เนรมิตพื้นที่ร้านด้วยการตกแต่งสุดพิเศษ พร้อมช่องทางการจัดจำหน่ายประเทศเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นทั่วไทย โดยเราเชื่อมั่นว่ากิจกรรมการตลาดในครั้งนี้ จะผลักดันการเติบโตมากกว่า 50% ตลอดปี 2024 เป็นการตอกย้ำว่า เนสท์เล่ ไอศกรีม ยังคงมุ่งมั่นสร้างความสุข และสร้างประสบการณ์ความอร่อยให้กลุ่มผู้บริโภค ทุกเพศ ทุกวัย อย่างต่อเนื่อง”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/jic6ipAQiWNpNKykgqKX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="jic6ipAQiWNpNKykgqKX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทางแบรนด์อาฟเตอร์ ยู รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาคอลแลบกับทาง เนสท์เล่ เอ็กซ์ตรีม ไอศกรีม ด้วยภาพลักษณ์ของแบรนด์เราที่มีทั้งความสนุกสนานและจัดเต็มไปด้วยเมนูคุณภาพเหมือนกันอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เป็นการคอลแลบที่สนุกและสุดตรีมมาก อีกทั้งต้องขอบคุณทางเนสท์เล่เอ็กซ์ตรีม ไอศกรีมด้วย ที่เลือกแบรนด์สัญชาติไทยอย่างอาฟเตอร์ ยู และเมนูที่เราภูมิใจนำเสนอมาตลอดอย่าง ชิบูย่า ฮันนี่ โทสต์ มาทำเป็นไอศกรีมในรูปแบบโคนที่รสชาติคงเอกลักษณ์ของเราไว้ได้อย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เมย์เชื่อว่า เอ็กซ์ตรีม X อาฟเตอร์ยู ชิบูย่า ฮันนี่โทสต์ โคน จะสร้างความเซอร์ไพรส์ให้แฟนๆ ของอาฟเตอร์ยู และ เนสท์เล่ ไอศกรีมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถช่วยขยายกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ของเราทั่วไทยได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/2i6NtVFT7v6P2ctTe8md.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="2i6NtVFT7v6P2ctTe8md.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การผนึกกำลังในครั้งนี้เป็นอีกขั้นของนวัตกรรมความอร่อยสุดตรีมของเนสท์เล่ เอ็กซ์ตรีมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเมนูระดับตำนานของอาฟเตอร์ ยู อย่าง ชิบูย่า ฮันนี่โทสต์ มาพัฒนาเป็นไอศกรีมเอ็กซ์ตรีม X อาฟเตอร์ ยู ชิบูย่า ฮันนี่โทสต์ โคน ที่พร้อมสร้างความเซอร์ไพรส์ด้วยเท็กซ์เจอร์ที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค ได้ในทุกสัมผัส ตั้งแต่คำแรกจนสุดปลายโคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยความอร่อยของไอศกรีมรสวานิลลาเนื้อเนียนนุ่มละมุนทุกสัมผัสตามแบบฉบับเนสท์เล่ และเพิ่มความสนุกด้วยชิ้น ชิบูย่า โทสต์ กรุบกรอบ หอมเนย เต็มคำ ท็อปด้วยซิกเนเจอร์เมเปิ้ลไซรัปสุดหอมหวานฉ่ำ และอยู่ทั่วในทุกอณูของไอศกรีมวานิลลาในโคนสีเหลืองทองเคลือบช็อกโกแลต ปิดท้ายด้วยช็อกโกแลตนักเก็ตสุดเข้มข้นท้ายโคน รวมออกมาเป็นไอศกรีมโคนที่อร่อยลงตัวแบบสุดตรีม ในราคาเพียง 40 บาท วางจำหน่ายแล้วที่ เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/kfc-thailand-40th-anniversary-event" alt="KFC ฉลอง 40 ปี ดึง 'แบมแบม' เปิดตัว ‘Kentucky Town Bangkok’ ป๊อปอัพสโตร์สุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกในไทย">KFC ฉลอง 40 ปี ดึง 'แบมแบม' เปิดตัว ‘Kentucky Town Bangkok’ ป๊อปอัพสโตร์สุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกในไทย</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

จับเมนูฮิตมาเป็นไอศกรีม! เนสท์เล่ X อาฟเตอร์ ยู ออกรสชาติใหม่ ‘ชิบูย่า ฮันนี่โทสต์ โคน’

<h2>เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ทุ่มงบ 200 ล้านบาท ปรับโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี ชูกลยุทธ์เจาะกลุ่ม Gen Z โดยร่วมมือกับ ซันเรย์ มิวสิค เปิดแคมเปญ "เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ Fresh No Limit" ต้อนรับซัมเมอร์ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ โดยหน่วยธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ ประเทศไทย ทุ่มงบ 200 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญ "เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ Fresh No Limit" ต้อนรับซัมเมอร์ ชูกลยุทธ์ปรับโฉมแบรนด์เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ทั่วโลกในรอบ 5 ปีภายใต้คอนเซ็ปต์ "The Ripples of Life" ส่งต่อระลอกของความสดชื่นสู่คนรุ่นใหม่ พร้อมบุกตลาดด้วยการทำ "Music Collaboration" ร่วมมือกับค่ายเพลงชื่อดังขวัญใจวัยรุ่น "ซันเรย์ มิวสิค" เจาะตลาดผู้บริโภค Gen Z&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นาริฐา วิบูลยเสข ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า "การปรับโฉมแบรนด์เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ครั้งนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับโลกครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี เราภูมิใจมากที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เปิดตัวภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ "The Ripples of Life" สะท้อนถึงคุณค่าของแบรนด์เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ที่เชื่อว่าสิ่งเล็ก ๆ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่ได้ เราจึงได้เผยโฉมบรรจุภัณฑ์ดีไซน์ใหม่ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น และมีแคมเปญการตลาดรับซัมเมอร์สื่อสารเรื่องราวของเราไปยังคนรุ่นใหม่ได้โดนใจขึ้น"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ได้ทำกิจกรรมการตลาด และสื่อสารเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยมีเจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข แบรนด์พรีเซนเตอร์ของน้ำดื่ม เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ นำทัพสื่อสารกิจกรรมทางการตลาดรวมถึงโครงการด้านความยั่งยืน และในปีนี้ เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ จึงมุ่งสร้างความคึกคักต้อนรับซัมเมอร์ ด้วยการสร้างประสบการณ์ความสดชื่นระลอกใหม่ไปสู่คนรุ่นใหม่ในวงกว้างผ่านกลยุทธ์ Music Collaboration ผนึกความร่วมมือกับค่ายซันเรย์ มิวสิค ในแคมเปญ "เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ Fresh No Limit" โดยมีพรีเซนเตอร์ใหม่ ศิลปินวง BUS (because of you i shine) มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจเจาะตลาดผู้บริโภค Gen Z​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/YRR96SnzTm9HevX4bmyk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="YRR96SnzTm9HevX4bmyk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ”เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ Fresh No Limit" ยังสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใครเอาใจ Gen Z อาทิ บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ของเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ที่สามารถเล่นเกม AR และสะสมได้เป็นครั้งแรกในวงการน้ำดื่มไทย โดยมีคอลเลคชันให้แฟนคลับได้สะสมทั้งหมด 13 ดีไซน์ โดยแบ่งเป็นเจมส์ จิรายุ 1 ดีไซน์ และศิลปินวง BUS 12 ดีไซน์ ผู้บริโภคสามารถสแกนผ่าน AR และร่วมสนุกกับเกม Face Reaction เพื่อสะสมคะแนนแลกของรางวัล แล้วแชร์ลงโซเชียลมีเดีย และพิเศษสุด ๆ กับกิจกรรมตามล่าขวดลับ ที่จะนำมาเรียงกันเพื่อสแกนปลดล็อกชมการแสดงสุดพิเศษจาก BUS ตั้งแต่มีนาคม ถึงพฤษภาคม 2567 นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้ง เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ยังเนรมิตร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่น อีเลฟเว่น ด้วยการดีไซน์ตกแต่งตู้แช่เย็น ด้วยลวดลายศิลปิน BUS กว่า 4,000 สาขาทั่วประเทศ และตกแต่งทั้งสาขาเต็มรูปแบบที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ชั้น G ห้างสรรพสินค้าสามย่าน มิตรทาวน์ ซึ่งเป็นแหล่งแฮงเอ้าต์ของนักเรียน นิสิต และนักศึกษาเพื่อตอบโจทย์วัยรุ่นกลุ่ม Gen Z ให้ได้รับประสบการณ์ความสดชื่น Fresh No Limit แบบครบทุกมิติ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/wxPDuEksNMQTht7RQgbm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wxPDuEksNMQTht7RQgbm.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/gaysorn-amarin-officially-open-march-2024" alt="‘เกษรอัมรินทร์’ ลุคใหม่ ใช้งบรีโนเวทกว่า 1,000 ล้าน เตรียมเปิดตัวเต็มรูปแบบ มี.ค.นี้">‘เกษรอัมรินทร์’ ลุคใหม่ ใช้งบรีโนเวทกว่า 1,000 ล้าน เตรียมเปิดตัวเต็มรูปแบบ มี.ค.นี้</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ทุ่ม 200 ล้าน ปรับโฉมแบรนด์ในรอบ 5 ปี เน้นเจาะตลาดผู้บริโภค Gen Z

<h2>'ไมโล’ ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท ทำการตลาดด้วยแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ ‘ความมุ่งมั่นสร้างคุณ’ หลังก่อตั้งมานานกว่า 90 ปี และดำเนินธุรกิจในไทยมายาวนานถึง 70 ปี โดยปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดตัว Brand Ambassador ในไทย ได้แก่ ‘ชาอึนอู’ ศิลปินคนดังจากเกาหลีพร้อมตั้งเป้าเจาาะกลุ่มผู้บริโภคได้ทุกวัย </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เผยว่า ด้วยคุณภาพและภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ก่อตั้งมายาวนานถึง 90 ปี ประกอบกับดำเนินธุรกิจในไทยมานานถึง 70 ปี จนสินค้าได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยในปีนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมครั้งประวัติศาสตร์ของการสื่อสารแบรนด์เพื่อขยายตลาดเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือกลุ่ม Gen Z และกลุ่มคนวัยทำงานมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่เคยเน้นสื่อสารกับกลุ่มคุณแม่ที่มีลูกอายุระหว่าง 6-12&nbsp; ปีมาโดยตลอด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จึงได้จัดแคมเปญ ‘ความมุ่งมั่นสร้างคุณ’ โดยการทุ่มงบประมาณทำการตลาดตลอดปี 2567 ราวกว่า 200 ล้านบาท พร้อมดึงศิลปินไอดอลคนดังจากเกาหลี ได้แก่ ‘ชาอึนอู’ ขึ้นแท่นเป็น Brand Ambassador ของไมโล คนแรกในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เหตุผลที่เราเลือก ‘ชาอึนอู’ เพราะเขาเป็นตัวอย่างของคนที่สร้างความสำเร็จผ่านความมุ่งมั่นและความพยายามที่ได้เรียนรู้จากการเล่นกีฬามาโดยตลอดสอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจนของแบรนด์ และยังสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เด็กๆ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ ซึ่งศิลปินรายนี้ยังมีความนิยมจากฐานแฟนคลับจำนวนมากมายหลากหลายช่วงวัย เห็นได้จากยอดผู้ติดตามผ่าน Instagram ทั่วโลกราว 43 ล้านคน และแฟนคลับในไทยมีประมาณ 3 ล้านคน เป็นต้น” ไชยงค์ กล่าว&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/vNo3W4khbPmnaAKMye2c.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="vNo3W4khbPmnaAKMye2c.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp; &nbsp; ด้าน นงนุช เทพประเสริฐวังศา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดธุรกิจโภชนาการฯ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันกีฬามีบทบาทในการฝึกฝนมากกว่าแค่ร่างกาย แต่ยังเป็นการฝึกจิตใจให้พร้อมที่จะเผชิญทุกอุปสรรคในชีวิต ไมโลเห็นโอกาสในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคภายใต้แนวคิดนี้ ถ่ายทอดออกมาเป็นคอนเซ็ปต์การสื่อสาร ‘ความมุ่งมั่นสร้างคุณ’ สอดคลองกับแนวคิด Growth Mindset ที่เชื่อว่าการฝึกฝนจะนำพามาซึ่งความสำเร็จในชีวิตทุก ๆ ด้านที่เราตั้งเป้าหมายไว้ อันเป็นแนวคิดที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณ ปัจจุบัน ตลาดเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์มีมูลค่าสูงถึง 8,422 ล้านบาท และยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์พร้อมดื่มซึ่งเติบโตประมาณ 8% ในปีที่ผ่านมา โดยทางไมโลมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ราวๆ 30% ทั้งนี้ การทุ่มงบจัดทำแคมเปญการตลาดในรูปแบบต่างๆ ให้ครอบคลุมแบบ 360 องศาที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปีนี้ คาดว่าจะทำให้ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็น % ที่เลขสองหลัก&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/MreKDRGd3gqb28JQEVUH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="MreKDRGd3gqb28JQEVUH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสินค้าของแบรนด์ไมโลมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ เครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ แบบ 3 in 1 ที่เป็นผง, นมช็อกโกแลตมอลต์แบบพร้อมดื่ม UHT , อาหารเช้าซีเรียล โฮลเกรน ช็อกโกแลตมอลต์ ,ข้าวสาลีโฮลเกรนชนิดแท่ง และไอศกรีมเนสเล่ท์ไมโล เป็นต้น โดยสัดส่วนของสินค้าหลักที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง คือ แบบกล่องพร้อมดื่ม UHT 60% และแบบผงชงร้อนในสัดส่วน 40%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/FijEVGtNFpg4QyyhWzJT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="FijEVGtNFpg4QyyhWzJT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/7-eleven-supports-mae-sunee-thai-desserts-2023-grow-260-million-bath" alt="ธุรกิจ SME 'แม่สุนีย์ ขนมไทย' เผยเคล็ดลับ 2 ดี 'สินค้าดี-พันธมิตรดี' ดันยอดขายปี 2566 พุ่ง 260 ล้านบาท ผ่านร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น">ธุรกิจ SME 'แม่สุนีย์ ขนมไทย' เผยเคล็ดลับ 2 ดี 'สินค้าดี-พันธมิตรดี' ดันยอดขายปี 2566 พุ่ง 260 ล้านบาท ผ่านร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'ไมโล' ทุ่มงบการตลาดกว่า 200 ล้าน ดึงไอดอลเกาหลี ‘ชาอึนอู’ เป็น Brand Ambassador คนแรกของไทย

<h2>“เนสท์เล่” ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลก ประกาศ MOU กับสำนักงาน NIA, ไทยยูเนี่ยน และ ม.มหิดล หนุนโครงการ SPACE-F โครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพฟู้ดเทคโครงการแรกของไทย หวังเห็นเทคโนโลยีในวงการอาหาร ทั้งเพิ่มผลผลิต พัฒนาอาหารให้มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกในปี 2566 กว่า 1.5 ล้านล้านบาท มีสถานประกอบการกว่า 1.36 แสนราย และก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 9.73 แสนตำแหน่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ อว. คือการยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของประเทศ โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการใช้องค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ในการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โครงการ SPACE-F จึงเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของ อว. ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร ให้สามารถเติบโตอย่างเข้มแข็งและนำนวัตกรรมมาพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/L4BzDkAXg6JomVceDuhN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="L4BzDkAXg6JomVceDuhN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “จากข้อมูลของ StartupBlink พบว่าระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยมีความก้าวหน้าอย่างมาก ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 52 ของโลก อันดับที่ 11 ของเอเชียแปซิฟิก และอันดับที่ 4 ของอาเซียน ซึ่งกรุงเทพฯ มีความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด โดยขยับขึ้นมา 25 อันดับ สู่อันดับที่ 74 ของโลก อันดับที่ 3 ในอาเซียนในฐานะหนึ่งในเมืองชั้นนำด้านระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ขณะที่อุตสาหกรรมอาหารจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ระบบอาหารจะต้องพัฒนา อาหารแห่งอนาคตต้องการการพัฒนาไปสู่อาหารที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีรสชาติที่ดี ทั้งยังต้องเป็นอาหารที่ลดความเหลื่อมล้ำ คือเป็นอาหารที่คุณภาพดีในราคาที่คนรายได้น้อยเข้าถึงได้ ซึ่งสตาร์ทอัพเป็นผู้พัฒนาให้เกิดนวัตกรรมเหล่านี้อย่างปฏิเสธไม่ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยโครงการ SPACE-F จะมีส่วนช่วยส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดยมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมที่สอดคล้องกับเทรนด์ใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม เช่น การพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพ การผลิตโปรตีนทางเลือก กระบวนการผลิตอัจฉริยะ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน รวมถึงบริการอัจฉริยะด้านอาหาร ทำให้สตาร์ทอัพสามารถเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับสากลได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“และที่สำคัญในปีนี้ เนสท์เล่ ได้เข้าเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ที่จะนำความเชี่ยวชาญขององค์กรมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อโครงการ และเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพ ทั้งในไทยและจากต่างประเทศทั่วโลก สามารถมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางของนวัตกรรมอาหารในอนาคต”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/vGPLgwFm3ExKcTSq4ZZE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vGPLgwFm3ExKcTSq4ZZE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า “เนสท์เล่มีเจตนารมณ์ในการเปิดพลังแห่งอาหาร เพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อทุกคนในวันนี้ และในอนาคต เราจึงมีความยินดีที่ได้เข้าร่วมโครงการ SPACE-F เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมที่จะส่งเสริมเจตนารมณ์ของบริษัทที่วางไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากนี้ เราเชื่อว่าการทำงานร่วมมือกับหลายๆ ภาคส่วนในโครงการ SPACE-F จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารของไทยสู่อนาคต ด้วยการสร้างสรรค์อาหารที่ทั้งดีต่อผู้บริโภค และดีต่อโลกของเรา สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท เราจะทำงานร่วมกันกับพันธมิตรและผู้ประกอบการในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติอร่อยขึ้นและดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารและประเทศไทยสามารถรับมือกับความท้าทายด้านความยั่งยืนในปัจจุบันและในอนาคต”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนสท์เล่มีเครือข่ายศูนย์วิจัยและพัฒนา 25 แห่ง และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ 10 แห่งทั่วโลก และได้จัดสรรงบลงทุนกว่า 1,700 ล้านสวิสฟรังก์ (หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท) ในแต่ละปี เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนในทุกช่วงวัย สตาร์ทอัพจากโครงการ SPACE-F จะช่วยเสริมจุดแข็งของบริษัท และช่วยให้เนสท์เล่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคและอุตสาหกรรมอาหารได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อนาคตของธุรกิจอาหารจะถูกพลิกโฉมโดยการนำนวัตกรรมและการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของผู้ประกอบการทั่วโลกมาเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารให้ก้าวหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ที่ไทยยูเนี่ยนเรารู้ดีว่าก่อนที่จะมีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมา ย่อมเต็มไปด้วยความท้าทาย ดังนั้น การริเริ่มโครงการ SPACE-F จึงเป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นและตั้งใจในการสนับสนุนสตาร์ทอัพ ในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีอาหาร เพื่อช่วยกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมารองรับกับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคตที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญ เพื่อก้าวไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของไทยยูเนี่ยนที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราจึงเตรียมระบบนิเวศและความเชี่ยวชาญ เพื่อเป็นทางลัดที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพเติบโตและประสบผลสำเร็จ นอกจากนั้น จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมอาหาร โดยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สำหรับความร่วมมือกับเนสท์เล่ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความร่วมมือทางธุรกิจ แต่จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันของทั้ง 2 บริษัทในการสนับสนุนสตาร์ทอัพ ด้านเทคโนโลยีอาหารเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ รวมถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยี พร้อมผลักดันให้เกิดมาตรฐานใหม่”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดี ม.มหิดล กล่าวว่า “ม.มหิดล มีพันธกิจขององค์กรที่จะเป็นผู้นำทางด้านการวิจัยและนวัตกรรมให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ม.มหิดล จึงมุ่งสนับสนุนการพัฒนานักศึกษาและอาจารย์ให้สามารถสร้างสรรค์แนวคิด วิธีการ สิ่งประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมไปถึงการนำนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยเพื่อการต่อยอดและนำออกสู่เชิงพาณิชย์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“มหาวิทยาลัยจึงมีความพร้อมเพื่อรองรับและช่วยส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาของผู้ประกอบการด้านอาหาร/สตาร์ทอัพในโครงการ SPACE-F ที่มุ่งเน้นสู่การพัฒนาประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารและนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคตของเอเชีย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โครงการ SPACE-F เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2562 โดยมีสตาร์ทอัพทั้งในประเทศและทั่วโลกเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 60 ราย และปัจจุบันได้ระดมเงินทุนไปแล้วมากกว่า 63 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการ SPACE-F เตรียมเปิดรับสมัครรุ่นที่ 5 ระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2567 ในโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตทางธุรกิจเทคโนโลยีอาหาร เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีอาหารให้เติบโตและพัฒนาโมเดลธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีอาหารที่สำคัญแห่งภูมิภาคได้ต่อไป ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/america/afresh-ai-technology-solve-food-waste-problem" alt="Afresh ผนึกกำลังเทคโนโลยี แก้ปัญหาขยะอาหาร">Afresh ผนึกกำลังเทคโนโลยี แก้ปัญหาขยะอาหาร</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เนสท์เล่’ ร่วมโครงการ SPACE-F หนุน ‘ฟู้ดเทค’ ก้าวสู่อนาคต อาหารต้องลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม-ลดเหลื่อมล้ำ

<h2 class="p1">เนสกาแฟ ประเทศไทย กลับมาเติบโตอีกครั้งในรอบ 3 ปี พร้อมทำรายได้สูงเป็นอันดับ 1 ของโลก แซงจีน ฟิลิปปินส์ ดึงตลาดรวมกาแฟปรุงสำเร็จ 2.1 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 2%</h2>
 นาริฐา วิบูลยเสข ผู้จัดการธุรกิจกาแฟปรุงสำเร็จ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2562 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีทองของ เนสกาแฟ ประเทศไทย ที่สามารถกลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลังจาก 3-4 ปีก่อนหน้านี้ ธุรกิจกาแฟปรุงสำเร็จสำหรับบริโภคในบ้านไม่เติบโตและหดตัวลง เนื่องจากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคหันไปดื่มกาแฟนอกบ้านมากขึ้น ทำให้ธุรกิจร้านกาแฟเติบโตสูง โดยปัจจุบันผู้บริโภคคนไทยดื่มกาแฟอย่างน้อย 300 แก้วต่อคนต่อปี
ขณะที่ตลาดรวมกาแฟปรุงสำเร็จในประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท มีอัตราการเติบโต 2% แบ่งเป็นกาแฟซองแบบ 3 อิน 1 มูลค่า 16,300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 77% ของมูลค่าตลาดรวมกาแฟปรุงสำเร็จ อีก 23% เป็นกาแฟสำหรับชงเอง ซึ่งเนสกาแฟมีส่วนแบ่งสูงสุดในตลาดกาแฟปรุงสำเร็จ โดยปี 2562 มีอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดรวม และสามารถทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของเนสกาแฟทั่วโลก
 “เทรนด์การดื่มกาแฟนอกบ้านเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้ผลิตกาแฟสำหรับชงเองที่บ้านประสบปัญหา ตลาดรวมหดตัวลงหลายปี แต่เนสกาแฟ ประเทศไทย กลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ในปีที่ผ่านมา และทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 1 แซงจีนและฟิลิปปินส์ จากปีที่ผ่านมาไทยอยู่ในอันดับ 3 ถือว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจของเรามาถูกทาง” นาริฐากล่าว


<figure><img class="size-full wp-image-25681" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/เนสกาแฟ03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> (ซ้าย) นาริฐา วิบูลยเสข</figcaption></figure>
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เนสกาแฟ ประเทศไทย กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง มาจากการพัฒนาสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และปรับปรุงรสชาติให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ เช่น การออกผลิตภัณฑ์กาแฟดำ สูตรไม่มีน้ำตาล หรือน้ำตาลน้อย กาแฟชงแบบเย็น เป็นต้น ซึ่งเป็นการพัฒนานวัตกรรมสำหรับผู้บริโภคในท้องถิ่น และได้รับการตอบรับที่ดี จนสำนักงานของเนสท์เล่ในประเทศอื่นนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาตลาดของประเทศนั้นๆ
นอกจากนี้ ได้พัฒนากิจกรรมทางการตลาดที่แตกต่าง และเข้าถึงอินไซต์ของผู้บริโภค เช่น ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ได้เปิดตัวอินเตอร์แอคทีฟ อาร์ต สเตชั่น ที่ MRT วัดมังกร ในเดือนสิงหาคม 2562 สร้างกระแสความสนใจในหมู่ผู้บริโภคอย่างสูง เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่มียอดผู้ใช้บริการและเยี่ยมชมกว่า 5 ล้านคน สร้างกระแสการพูดถึงทางโซเชียลมีเดียกว่า 1 ล้านครั้ง เป็นต้น


<figure><img class="size-full wp-image-25680" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/เนสกาแฟ02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ลิมิเต็ดเอดิชั่น สินค้าบรรจุภัณฑ์ดีไซน์ใหม่รับตรุษจีน</figcaption></figure>
สำหรับปีนี้ เนสกาแฟยังคงเดินหน้าพัฒนาโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการออกสินค้าใหม่และจัดกิจกรรมการตลาดที่แตกต่าง ประเดิมด้วยแคมเปญ “ชงโชครับตรุษจีนสไตล์อินเตอร์แอคทีฟ” ต่อยอดสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคด้วยเทคโนโลยีเออาร์สำหรับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ลิมิเต็ดเอดิชั่น บรรจุภัณฑ์ดีไซน์เฉพาะเทศกาลตรุษจีน และโปรโมชั่นแจกทองทุกสัปดาห์ โดยใช้งบการตลาดรวม 200 ล้านบาท
“เชื่อว่ากิจกรรมการตลาดดังกล่าวจะผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ทำให้เราไม่รู้สึกกังวลกับร้านกาแฟนอกบ้านอีกต่อไป และจะมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคต่อไป” นาริฐากล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันธุรกิจกาแฟปรุงสำเร็จ ภายใต้แบรนด์ “เนสกาแฟ” สร้างรายได้มากกว่า 50% ให้กับบริษัท เนสท์เล่ (ไทย)
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><header class="entry-header"><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b9%87%e0%b8%84-%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%9f-the-coffee-academics.html">“อิมแพ็ค” ซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟไฮเอนด์ The Coffee Academics จากฮ่องกง ต่อจิ๊กซอว์พอร์ต F&amp;B</a></header></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events