<h2>ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับ Wellness &amp; Self-care มากขึ้น จุดประกายให้ Origins Youthtopia และ WOOPS Smoothie ร่วมมือกันเปิดตัวเมนูพิเศษที่ผสานพลังของสกินแคร์และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพไว้ในหนึ่งเดียว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพราะสกินแคร์และสมูทตี้ผลไม้ต่างมีจุดร่วมเดียวกัน นั่นคือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและความงามของผู้บริโภค ดังนั้น Origins แบรนด์สกินแคร์พลังธรรมชาติประสิทธิภาพสูงกับนวัตกรรมใหม่ล่าสุดอย่าง Youthtopia ที่มีจุดเด่นคือสารสกัดจากแอปเปิล จึงผนึกกำลังคอลแล็บกับ WOOPS Smoothie ร้านน้ำผลไม้ปั่นที่ขวัญใจ Gen Z ที่มาแรงในขณะนี้ ซึ่งมีความโดดเด่นในการใช้ผลไม้แท้ 100% โดยไม่ผสมน้ำแข็งและน้ำเชื่อม รังสรรค์เป็น 2 เมนูสมูทตี้สุดพิเศษ ได้แก่&nbsp; &nbsp; 1. Youthtopia Bouncy Smoothie สูตรผิวเด้งฉ่ำตลอดวัน โดยส่วนผสมประกอบไปด้วย สตอเบอร์รี่ โยเกิร์ต น้ำแอปเปิล น้ำบีทรูท และน้ำผึ้ง ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ดูฉ่ำน้ำจากภายในสู่ภายนอก เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย ช่วยล้างสารพิษ (Detox) และปรับสมดุลในร่างกาย ให้พลังงานและช่วยให้ร่างกายสดชื่น&nbsp; &nbsp; 2. Youthtopia Glow Pressed สูตรผิวใสฉ่ำโกลว์ ที่มีส่วนผสมของ แอปเปิล สตอเบอรี่ สับปะรด และทับทิม ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย&nbsp;ด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น&nbsp;จากไฟเบอร์และเอนไซม์จากผลไม้ ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เพิ่มพลังงานแบบธรรมชาติ พร้อมให้ความสดชื่น ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่เพียงแต่คุณประโยชน์ที่อัดแน่นเต็มแก้วเท่านั้น แต่ทั้ง 2 เมนูใหม่สุดพิเศษนี้ยังเต็มไปด้วยรสชาติที่ถูกปาก สดชื่น ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์มั่นใจว่าจะถูกใจคนรุ่นใหม่อย่างแน่นอน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความร่วมมือ Skincare x Smoothie: Business Model ระหว่างทั้ง 2 แบรนด์ในคราวนี้ ไม่เพียงแค่เป็นการ Cross-promotion แต่ยังสะท้อนถึงการพัฒนา Ecosystem ทางธุรกิจที่เชื่อมโยงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค ดังนี้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• Health &amp; Beauty Convergence - การที่ทั้งสองแบรนด์มาจากอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายร่วมกัน คือการสร้างสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก ทำให้สามารถสร้าง Brand Synergy ที่แข็งแกร่ง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• Consumer Experience Expansion - WOOPS ได้ขยายประสบการณ์จากการเป็นเพียง Smoothie Cafe ไปสู่แบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับ Beauty &amp; Wellness ส่วน Origins ได้ขยายจุดสัมผัสใหม่ๆ กับลูกค้าในพื้นที่ของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• Behavior-Driven Marketing for Gen Z - กลุ่มเป้าหมาย Gen Z ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) มากขึ้น พวกเขามองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลสุขภาพและผิวพรรณไปพร้อมกัน การร่วมมือครั้งนี้ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภครับรู้ถึงคุณค่าของสินค้าทั้งสองแบรนด์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• Limited Edition Strategy &amp; Scarcity Effect - ด้วยการออกผลิตภัณฑ์เฉพาะช่วงเวลา ทำให้เกิดกระแส FOMO (Fear of Missing Out) ดึงดูดให้ลูกค้ารีบมาลองก่อนสินค้าจะหมด &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การผนึกกำลังระหว่าง Origins Youthtopia และ WOOPS Smoothie จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดขาย แต่ยังเป็นการสร้าง Community ใหม่ของคนที่ใส่ใจสุขภาพและความงามให้เติบโตไปด้วยกัน โดยสามารถพบกับ 2 เมนูสุดพิเศษได้ที่ร้าน WOOPS ทั้ง 4 สาขา ได้แก่ Emsphere ชั้น G หน้า Gourmet , สาธร ซอย 11, Empire Tower และ อาคาร Trinity (กำหนดการเปิดร้าน 7 เมษายน 2568) ภาพ: Origins Thailand เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/beverage-th-export-mar-2025" alt="อ่าน 10 เทรนด์ ‘เครื่องดื่มปี 2568’ ที่พาณิชย์มองว่าธุรกิจไทยควรปรับตัวให้ทัน">อ่าน 10 เทรนด์ ‘เครื่องดื่มปี 2568’ ที่พาณิชย์มองว่าธุรกิจไทยควรปรับตัวให้ทัน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ผิวดีแล้วสุขภาพก็ต้องดี! Origins ผนึกกำลัง WOOPS เปิดตัว 2 เมนูพิเศษผสานพลังสกินแคร์และสมูทตี้

<h2>“สกินแคร์หลักร้อย ที่คุณภาพดีเกินราคา” นี่คือคำนิยามที่หลายคนให้ไว้กับ The Ordinary แบรนด์สกินแคร์จากแคนาดาที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2559 ก็ได้รับกระแสดีจน Estee Lauder ซื้อกิจการไปเมื่อราว 2 ปีก่อน ล่าสุดแบรนด์นี้เข้าสู่ประเทศไทยแล้วอย่างเป็นทางการ พร้อมตั้งเป้าว่าจะทำยอดขายเป็นอันดับ 1 ในของเครือ Estee Lauder ในไทยให้ได้ และขึ้น Top 5 สกินแคร์ในไทยภายในไม่เกิน 3 ปี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ย้อนกลับไปในช่วงโควิดระบาด เทรนด์การดูแลผิวพรรณของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับ ‘ส่วนผสมหลัก’ เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Niacinamide, Retinol, AHA, Hyaluronic acid เป็นต้น ผู้บริโภคชาวไทยค้นหาสกินแคร์ที่ต้องการจากชื่อส่วนผสม แทนที่จะค้นหาด้วยผลลัพธ์ที่อยากได้แบบแต่ก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นั่นทำให้สกินแคร์ที่พูดถึงส่วนผสมเป็นหลักเริ่มได้รับความนิยม รวมไปถึง The Ordinary แบรนด์สกินแคร์จากแคนาดาที่แม้จะไม่มีขายในไทย แต่กระแสดีมากในโซเชียลมีเดียจนคนไทยต้องสั่งซื้อผ่านคนที่เปิด ‘รับหิ้ว’&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ล่าสุดเรียกว่าสายฝากหิ้วคงไม่ต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป เมื่อ The Ordinary เข้าสู่ตลาดประเทศไทยแล้วอย่างเป็นทางการ โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ผ่านสาขาของ EVE AND BOY, Sephora และช่องทางออนไลน์ผ่าน Shopee (ของแท้จะมีแถบ Premium สีทองขึ้น) พร้อมจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 30 มกราคม 2568​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/hWovyWYT66XxnnKDYwS6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hWovyWYT66XxnnKDYwS6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>(จากซ้าย) Amy Bi, Rita Silva, กิตติยา อานันทนะสุวงศ์</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The Ordinary เปิดตัวครั้งแรกในปี 2559 โดยเป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้บริษัทที่ชื่อว่า DECIEM จุดเริ่มต้นของ The Ordinary มาจากความหงุดหงิดและคับข้องใจที่ว่าทำไมสกินแคร์ที่ดูมีคุณสมบัติเหมือนกันถึงมีราคาไม่เท่ากัน สร้างความสับสนจนเกิดคำถามว่าแล้วผู้บริโภคควรจะเลือกจากอะไร?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นำมาสู่หลักการในการสร้างแบรนด์ของ The Ordinary ที่ยึดหลัก ‘โปร่งใส’ และ ‘จริงใจ’ กับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการตั้งราคา ที่เป็นราคาที่สามารถจับต้องได้ง่าย ซึ่งมาจากการใช้ส่วนผสมหลักเพียงตัวเดียว และสารสกัดที่ใช้ก็ไม่ได้มีต้นทุนสูง รวมถึงการมอบประสิทธิผลที่รับประกันว่าไม่ overclaim​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/PPJKJe8b49Sm1MzgXPoC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PPJKJe8b49Sm1MzgXPoC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,479" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่เพียงเท่านั้น การสื่อสารที่โปร่งใสของแบรนด์ยังรวมไปถึงการที่ไม่ได้ทุ่มงบมหาศาลไปกับมาร์เก็ตติ้ง แต่ภายใต้แพ็คเกจจิ้งที่เรียบง่ายนั้นได้บอกส่วนผสมต่างๆ อย่างชัดเจน และจริงใจกับผู้บริโภคด้วยการไม่ใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นนางแบบดาราที่ผิวดีอยู่แล้ว แต่พรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์ คือพนักงานของบริษัทนั่นเอง และนั่นคือส่วนผสมที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างงดงาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หัวใจสำคัญคือต้องซื่อสัตย์ เราไม่มีการ overclaim เราให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และงานวิจัยเป็นอันดับแรก จากที่ตอนแรกบริษัทมีนักวิทยาศาสตร์ 5 คน ปัจจุบันเพิ่มเป็น 150 คนแล้ว นอกจากนี้เรามุ่งให้ความรู้กับอุตสาหกรรมความงามรวมถึงผู้บริโภคว่าควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนผสมอะไร ใช้คู่กับตัวไหนถึงจะดีที่สุด ไม่ใช่มุ่งขายโดยที่ไม่สนใจปัญหาที่แท้จริงของลูกค้า” Amy Bi รองประธาน DECIEM กล่าวในงานแถลงข่าวที่ประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์ต่างๆ ทั้งการตั้งราคาที่เหมาะสมจับต้องได้ การสื่อสารที่โปร่งใส และคุณภาพสินค้า ทำให้ The Ordinary เติบโตอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเข้าตา Estee Lauder ที่ทยอยซื้อหุ้นบริษัท DECIEM ตั้งแต่ปี 2560 จนปัจจุบันถือหุ้นครบ 100% แล้ว รวมมูลค่าเม็ดเงินทั้งหมดในการซื้อกิจการกว่า 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The Ordinary ขยายไปในหลายประเทศและได้รับการตอบรับที่ดี อย่างเช่นในอังกฤษที่ปัจจุบันขึ้นแท่นเป็นแบรนด์สกินแคร์อันดับ 1 ไปแล้ว หรือในแอฟริกาใต้ก็สามารถขึ้นเบอร์ 1 ได้ของกลุ่ม Estee Lauder&nbsp;ภายใน 1 ปี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/7d5hL5wJZzzUbKrH2dG1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="7d5hL5wJZzzUbKrH2dG1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,540" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนในแถบเอเชีย The Ordinary ภายใต้การดำเนินงานของ Estee Lauder ได้ขยายไปสู่ญี่ปุ่นแล้ว ตามด้วยไทย ก่อนจะขยายไปสู่เกาหลีใต้, สิงคโปร์ และมาเลเซียในเร็วๆ นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กิตติยา อานันทนะสุวงศ์ Brand General Manager, The Ordinary ประเทศไทย บอกว่า บริษัทศึกษาตลาดในไทยเป็นเวลานานประมาณหนึ่ง เพราะ The Ordinary เป็นแบรนด์ที่มีแนวคิดว่าหากจะเข้าไปทำตลาดในประเทศไหน ต้องมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จและขึ้นเป็นแบรนด์ที่มียอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มของ Estee Lauder ได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/TeKBHFaroXBybuBEdLQd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="TeKBHFaroXBybuBEdLQd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="480,720" style="" data-index="3"><figcaption><div>กิตติยา อานันทนะสุวงศ์ Brand General Manager, The Ordinary ประเทศไทย</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สิ่งที่จะทำให้เรามั่นใจในแต่ละตลาดที่จะเข้าไป เราจะดูว่าตลาดมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง Active Ingredients ขนาดไหน, การเข้าถึงการใช้สกินแคร์ของผู้บริโภคเป็นอย่างไร รวมถึงการบริโภคสื่อและการใช้โซเชียลมีเดียเป็นอย่างไร เนื่องจากแบรนด์ The Ordinary มีวิธีการทำตลาดที่ไม่เหมือนสกินแคร์แบรนด์อื่น คือเราไม่ได้ลงทุนในแง่การใช้สื่อ แต่จะเน้นการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาในเรื่องส่วนผสม และที่เหลือจะเป็นเรื่องการบอกกันปากต่อปากมากกว่าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ดังนั้นการตลาดของ The Ordinary คือการสร้างฐานของคนที่รักแบรนด์ เพื่อให้คนเหล่านั้นเป็นกระบอกเสียงให้เราในโซเชียลมีเดียต่อไป จึงเป็นที่มาของคำว่า The Ordinary เป็นแบรนด์ที่คน Gen Z รักมากที่สุด เพราะเป็นแบรนด์ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ทั้งวิธีการสื่อสาร การทำการตลาด และคำที่ใช้พูดกับคน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กิตติยา อธิบายว่า เทรนด์ผู้บริโภคให้ความสนใจเรื่อง Active Ingredient มีความรู้เชิงลึกในเรื่องส่วนผสมมากขึ้น เห็นได้จากตลาดเวชสำอางที่โตอย่างก้าวกระโดดในระดับ 3 digit และโตต่อเนื่องมาหลายปี ขณะที่ตลาดสกินแคร์โตระดับ 1-2 digit เท่านั้น นอกจากนี้คนไทยยังใช้สกินแคร์สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านเกือบ 100%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“พอเราเห็นเทรนด์ตรงนี้ และเราเป็นคนแรกที่ใช้ Single Active Ingredients มาทำเป็นส่วนผสมในเซรั่ม บวกกับภาพรวมคนไทยใช้สกินแคร์สูง เราเลยคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะเข้ามาทำตลาดในไทย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กิตติยาเสริมอีกว่า โดยเฉลี่ยแล้ว The Ordinary มีราคาอยู่ที่ 500 บาท ซึ่งราคาที่ขายในไทยก็แตกต่างจากราคาในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพียง 15% เท่านั้น โดยปัจจุบันนำสินค้าเข้ามาขายในไทยแล้ว 24 SKUs และจะทยอยนำเข้ามาอีก 16 SKUs ภายในปีนี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/bGyQf43PuoKfvKTVLq4d.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="bGyQf43PuoKfvKTVLq4d.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="480,720" style="" data-index="4"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเริ่มขายในไทยมา 15 วัน ปรากฏว่าหนึ่งในโปรดักต์ฮีโร่ของเราอย่าง Glycolic Acid 7% Exfoliating Toner ขายดีจนหมดสต็อกไปแล้ว ทั้งที่เราเตรียมสต็อกไว้สำหรับ 6 เดือนด้วยซ้ำ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ กิตติยากล่าวทิ้งท้ายว่าสำหรับแบรนด์ The Ordinary ในไทยนั้นตั้งเป้าว่าจะสามารถทำยอดขายขึ้นเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม Estee Lauder ได้ภายในปีนี้ จากที่กลุ่ม Estee Lauder ทำตลาดในไทยอยู่ทั้งหมด 12 แบรนด์ พร้อมตั้งเป้าว่าจะสามารถก้าวสู่ Top 5 สกินแคร์ในไทยได้ในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปีอย่างแน่นอน เครดิตภาพ: The Ordinary เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/central-pattana-pop-mart-hello-central-pattaya" alt="POP MART รุกตีตลาดนอกกรุง! เปิดป๊อปอัพ สโตร์ ธีมทะเลและสวนน้ำ พิกัด ‘เซ็นทรัล พัทยา’ ถึง 6 พ.ค.นี้">POP MART รุกตีตลาดนอกกรุง! เปิดป๊อปอัพ สโตร์ ธีมทะเลและสวนน้ำ พิกัด ‘เซ็นทรัล พัทยา’ ถึง 6 พ.ค.นี้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“คุณภาพ วัดไม่ได้ด้วยราคา” The Ordinary สกินแคร์หลักร้อยเข้าไทยแล้ว พร้อมตั้งเป้าสู่ Top 5

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล มนุษย์ผู้เห็นเงินในอากาศ ความสุข-ความฝัน ปั้น SMEs ไทยให้สำเร็จ

<h2>เมื่อย้อนไปในช่วง COVID-19 ผู้คนไม่ค่อยได้ออกจากบ้านจึงทำให้ตลาดเครื่องสำอางชะลอตัวลงอย่างชัดเจน แต่กลับพบว่าหมวดสกินแคร์ หรือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยังเติบโตได้ดี จากจุดนี้เองทำให้ ‘ศรีจันทร์’ เริ่มบุกในตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีคู่แข่งมากมายทั้งจากแบรนด์ในไทยหรือต่างประเทศ ล่าสุด จึงเปิดตัวพรีเซนต์เตอร์ ‘แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล’ สำหรับ SRICHAND IN-SKIN กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ </h2> &nbsp; &nbsp;&nbsp;นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด (ศรีจันทร์)&nbsp;กล่าวว่า ปี 2567 นี้ ตลาดผลิตภัณฑ์ด้านความงามของไทยมีมูลค่ากว่า 340,000 ล้านบาท ถือว่ากลับมาเติบโตขึ้นหลังจากผ่านช่วง COVID-19 ขณะเดียวกันปีนี้กระแสผลิตภัณฑ์ Health &amp; Beauty ยังมาแรงโดยเฉพาะสกินแคร์ ที่มีสัดส่วนโตมากที่สุดถึง 44% จึงทำให้ศรีจันทร์ เร่งขยายธุรกิจนี้มากขึ้น ปัจจุบันมีสัดส่วนราว 30% ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์กลุ่มแป้ง/รองพื้น และกลุ่มครีมกันแดด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกหนึ่งเหตุผลที่ศรีจันทร์ หันมาขยายในธุรกิจสกินแคร์ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนจะเปลี่ยนยากที่สุด และมีฐานลูกค้าในช่วงอายุที่กว้าง ตั้งแต่วัยรุ่น วัยมหาวิทยาลัย ไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งการเลือกเฟ้นสกินแคร์ของผู้บริโภคอาจคล้ายกับเสื้อผ้าที่ภาพลักษณ์ และแบรนด์ยังมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด ศรีจันทร์จึงเปิดตัว “แบมแบม-กันต์พิมุกต์” ศิลปินเกาหลีสัญชาติไทยมารับตำแหน่งพรีเซนเตอร์ SRICHAND IN-SKIN กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ และเชื่อว่าจะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ในฐานะแบรนด์ไทยที่มีความเป็นสากล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“SRICHAND IN-SKIN คือกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่เราตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อดูแลทุกสภาพผิวของคนไทย ที่ไม่ใช่แค่การดูแลผิวภายนอกเท่านั้น แต่คือการใส่ใจในการดูแล “ผิว” ตั้งแต่ ‘Inside the skin’ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างผิวที่แข็งแรงอย่างแท้จริง” รวิศ กล่าว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/Ha9Q1eZGnN6wXg29mUT7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="Ha9Q1eZGnN6wXg29mUT7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ SRICHAND IN-SKIN แบ่งเป็น 3 ไลน์ ได้แก่ 1) SRICHAND Skin Moisture Burst เน้นสร้างความชุ่มชื้นให้ผิว 2) SRICHAND Super C Brightening Intense Serum กลุ่มเซรั่มลดความหมองคล้ำ และ 3) SRICHAND Timeless Anti-Aging Facial Serum เซรั่มบำรุงผิวเข้มข้นเพื่อผิวอ่อนเยาว์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ภาพรวมธุรกิจ ศรีจันทร์ ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2567 จะอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีแรงส่งจากภาวะตลาดที่เติบโตขึ้น แม้ว่าระยะนี้ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับเรื่องความคุ้มค่า หรือใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อนานขึ้น แต่ยังมีการใช้จ่ายในกลุ่มเครื่องสำอางเพิ่มขึ้น รวมถึงเริ่มวางแผนการขยายในตลาดต่างประเทศ แม้ปัจจุบันยังมีสัดส่วนน้อย (ไม่ถึง 10%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนปี 2568 อยู่ระหว่างการทำแผนงานและวางเป้าหมาย แต่คาดว่า ศรีจันทร์จะยังเติบโตที่ระดับ 50% ส่วนหนึ่งเพราะมีแรงส่งจากภาวะตลาดที่ฟื้นตัว และทางบริษัทฯ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เข้าใจในพฤติกรรมของลูกค้า และช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ยังมีความเสี่ยงและความท้าทายหลักจาก ภาวะต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น กลุ่มพลาสติกช่วงที่ผ่านมาต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 5-6% จึงต้องมีการปรับการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อบริหารต้นทุน ไปจนถึงการจัดซื้อ และการขนส่งที่ต้องควบคุมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่าง สงครามการค้าจะขยายวงกว้างหรือไม่, สถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก ที่อาจจะทบต่อ Shipping และการขนส่งทางเรือที่ต้นทุนอาจสูงขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างกะทันหัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของศรีจันทร์ ทางบริษัทฯ ได้ชะลอแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออกไป จากเดิมที่คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนฯ ในปี 2569 เพื่อระดมเงินทุนในการทำ R&amp;D และพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งปัจจุบันยังรอดูและติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ภาพ: บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/bar-b-q-plaza-partnered-vitaday-vitamin-water-cabbage-taste" alt="จึ้งมาก! น้ำดื่มผสมวิตามิน กลิ่นกะหล่ำปลี ผลงานบาร์บีคิวพลาซ่า x วิตอะเดย์ สร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการอาหาร"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/inter-express-second-half-2024-support-chilled-frozen-business-logistic-transportation-system" alt="Inter Express เผยแผนครึ่งหลังปี 67 พร้อมหนุนธุรกิจสินค้าแช่เย็น-แช่แข็ง ผ่านระบบโลจิสติกส์ขนส่งครบวงจร"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/sec-etf-nov-2024" alt="ก.ล.ต. เปิดรับฟังความเห็นฯ เตรียมปรับเกณฑ์รองรับ leveraged และ inverse ETFs เพิ่มผลิตภัณฑ์ลงทุนที่หลากหลาย"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/finance-and-investment/merrezca-filing-to-ipo-in-mai" alt="เจ้าของเครื่องสำอาง MERREZCA ยื่นไฟลิ่งขายหุ้น IPO แล้ว เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai">เจ้าของเครื่องสำอาง MERREZCA ยื่นไฟลิ่งขายหุ้น IPO แล้ว เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ศรีจันทร์ สู้ศึกตลาดสกินแคร์แข่งแรง ตั้ง “แบมแบม” เป็นพรีเซนเตอร์ คาดรายได้ปีนี้แตะ 1,500 ล้าน ปี 68 โต 50%

<h2>หลังจากรับหน้าที่พรีเซ็นเตอร์เป็นหน้าเป็นตาขายสินค้าให้แบรนด์ของคนอื่นมานานหลายทศวรรษ ตอนนี้ Brooke Shields หันมาเริ่มบทบาทใหม่ในฐานะผู้ประกอบการ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ขายสินค้าให้คนอื่นมาตลอดชีวิต ฉันไม่เคยคิดวาดภาพตัวเองนั่งเก้าอี้ซีอีโอ” ทว่า Brooke Shields ในวัย 59 ปี ผันตัวมาก่อตั้งธุรกิจและนั่งเก้าอี้บริหารบริษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานักแสดงและนางแบบผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมาหลายสิบปีเพิ่งเปิดตัว Commence บริษัทผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมสำหรับผู้หญิงวัย 40+ ที่ตั้งอยู่ใน New York ซึ่งเธอผุดไอเดียธุรกิจขึ้นมาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ธุรกิจยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ Shields ระดมเงินทุนจากนักลงทุนภายนอกไปแล้ว 3.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการพัฒนา 3 ผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทที่เริ่มจำหน่ายไปเมื่อเดือนมิถุนายน Brooke กล่าวว่า ตอนนี้ถือเป็นช่วงที่ “ท้าทายและน่าตื่นเต้น” ที่สุดในอาชีพการงานของเธอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การก้าวสู่บทบาทหน้าที่ใหม่เป็นหลักเกณฑ์สำคัญที่เราใช้ในการจัดทำทำเนียบ 50 Over 50 ประจำปีครั้งที่ 4 นี้ โดยเราได้รวบรวมสตรีผู้โดดเด่น 200 คนที่เปลี่ยนเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ เช่น เริ่มก่อตั้งธุรกิจ สร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์กรเพื่อการกุศลหรือค้นพบนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์หลังอายุล่วงเลยมากกว่า 50 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทำเนียบการจัดอันดับครั้งนี้จัดทำร่วมกับ Mika Brzezinski ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ของ MSNBC และ Know Your Value โครงการเพื่อสนับสนุนผู้หญิงที่เธอเป็นคนริเริ่ม ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 หมวดหมู่ ได้แก่ การลงทุน, ผลกระทบ, นวัตกรรม และไลฟ์สไตล์ โดยแต่ละหมวดจะประกอบไปด้วยสตรี 50 ราย และทำเนียบรายชื่อผู้ติดอันดับทั้งหมดสามารถเข้าไปดูได้ที่ forbes.com/50over50&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่าประวัติการทำงานของ Shields “ก่อนอายุ 50 ปี” น่าประทับใจไม่น้อยเช่นเดียวกับรายอื่นๆ ในทำเนียบ งานถ่ายแบบครั้งแรกเริ่มขึ้นเมื่อเธออายุเพียง 11 เดือน (ผลิตภัณฑ์ Ivory Soap) อีกราวทศวรรษถัดมาเธอรับบทเป็นลูกสาวของหญิงค้าประเวณีในภาพยนตร์เรื่อง Pretty Boy ซึ่งออกฉายเมื่อปี 1978 ซึ่งได้รับทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์และคำชื่นชม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พออายุ 15 ปี Shields รับหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับกางเกงยีนส์ Calvin Klein (ประโยคที่โด่งดังคือ “คุณอยากรู้ไหมว่าสิ่งไหนอยู่ระหว่างฉันกับยีนส์ Calvin ที่ฉันใส่อยู่? คำตอบคือไม่มีอะไรเลย”)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เธอจริงใจ” Calvin Klein ที่ตอนนี้อายุ 81 ปี กล่าวถึงเสน่ห์ของ Shields “คุณเชื่อใจคนได้ไม่มาก แต่คุณสามารถไว้วางใจในสิ่งที่เธอพูดว่าเธอเชื่อมั่นและหมายความเช่นนั้นจริงๆ และต้องการทำสิ่งที่ดีให้กับคนอื่น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความมุ่งมั่นที่จะลุกขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลงเป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญที่บันดาลใจให้ Shields ก่อตั้ง Commence ขึ้น ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เธอเริ่มสร้างบล็อกและชุมชนออนไลน์สำหรับผู้หญิงวัยมากกว่า 40 ปี และพบว่าผู้ติดตามของเธอมักรู้สึกว่าได้รับการละเลยจากอุตสาหกรรมความงาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“มีความคิดที่ว่าเมื่ออายุล่วงเลยถึงจุดหนึ่งแล้ว คุณค่าในตนเองเหมือนจะอันตรธานหายไป” เธอกล่าว นอกจากนี้ ยังได้รับคำถามเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการดูแลเส้นผม เช่น วิธีจัดการเมื่อเริ่มมีผมขาว ปัญหาหนังศีรษะที่แห้งกร้านมากขึ้น และการเจริญเติบโตของเส้นผมที่ช้าลงในช่วงวัยกลางคน พวกเขาไม่ได้มาเพื่อระบายความรู้สึก “แต่ต้องการวิธีแก้ปัญหา” Shields กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพื่อตอบโจทย์เหล่านี้ Shields จึงสรรหาทีมงานที่ประกอบไปด้วยผู้บริหารมากประสบการณ์จากวงการค้าปลีกและความงามซึ่งรวมถึง Karla De Bernardo ผู้วางกลยุทธ์การตลาดให้ Macy’s และ Mark Knitowski อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์และน้ำหอมของ Victoria’s Secret&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พวกเขามุ่งเป้าไปยังการพัฒนาสินค้าที่ Shields เรียกว่าผลิตภัณฑ์ “เรือธง” ได้แก่ แชมพู (แห้ง) แบบเร่งด่วนแบบไม่ต้องล้างออก (วางจำหน่ายในราคา 21 เหรียญ) ครีมนวดผมแบบไม่ต้องล้างออก (26 เหรียญ) และเซรั่มบำรุงรากผมเพิ่มผมหนา (30 เหรียญ) 3 ผลิตภัณฑ์นี้เปิดตัวไปเมื่อ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยจำหน่ายเฉพาะทางออนไลน์ที่ shopcommence.com&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะคาดการณ์รายได้แต่ Shields เต็มไปด้วยความหวังว่าจะประสบความสำเร็จ “ผลิตภัณฑ์ต้องมีจุดเด่นที่ขายตัวเองได้ ซึ่งจะไม่มีการดึงลูกค้าโดยใช้ชื่อ ‘The Brooke’ หรือ ‘The Brooke Look Brand’ หรืออะไรทำนองนี้” เธอกล่าว “แบรนด์นี้จะต้องดำรงอยู่อย่างยั่งยืน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่สิ่งที่จะไม่คงอยู่ตลอดไปก็คือทัศนคติการดูถูกผู้อื่นของนักลงทุน VC (ที่ไม่ได้ระบุชื่อ) บางราย เมื่อ Shields พบว่า Commence ต้องใช้เงินทุนมากเกินกำลังในกระเป๋าของตนเองเธอจึงเดินหน้าทำสิ่งที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ทำ โดยหันไปหานักลงทุนอิสระและธุรกิจเงินร่วมลงทุนเพื่อเสาะหาแหล่งเงินทุนในระยะเริ่มต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถึงแม้ว่าในช่วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมาเธอต้องทำตามคำสั่งของคนอื่นจากการรับบทบาทนางแบบและนักแสดง แต่ Shields ได้แสดงจุดยืนอันมุ่งมั่นเมื่อนักลงทุนชายบางรายให้คำตอบการตัดสินใจลงทุนด้วยการบรรยายว่า เธอทำอะไรผิดพลาดในฐานะผู้ประกอบการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ฉันจำได้ว่าวันหนึ่งตอบไปว่า ‘ฉันเข้าใจความต้องการของคุณที่อยากจะบอกว่าฉันทำอะไรผิดบ้าง แต่ในกรณีนี้ฉันไม่ได้มาขอคำแนะนำ’” เธอเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น “ฉันแค่ต้องการขอเงินคุณ” เรื่อง: MAGGIE McGRATH. เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา ภาพ: Mary Beth Koeth ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/america/peter-cancro-jersey-mikes-nov-2024" alt="Peter Cancro กับเส้นทางการปั้น ‘Jersey Mike’s’ เครือร้านอาหารยักษ์ใหญ่ในอเมริกาที่มียอดขายเกือบ 4 พันล้านเหรียญ">Peter Cancro กับเส้นทางการปั้น ‘Jersey Mike’s’ เครือร้านอาหารยักษ์ใหญ่ในอเมริกาที่มียอดขายเกือบ 4 พันล้านเหรียญ</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="300,394" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></a></figure></div>

Brooke Shields และบทบาทใหม่ในฐานะ ‘ผู้ประกอบการ’

<h2>สื่อต่างประเทศรายงานว่า The Body Shop ร้านค้าปลีกสินค้าบิวตี้และสกินแคร์ในสหราชอาณาจักร (UK) กำลังเข้าสู่การล้มละลาย ซึ่งนี่เป็นเวลาไม่ถึง 3 เดือนเท่านั้นหลังจากบริษัทโดนเทคโอเวอร์ไป และความเคลื่อนไหวนี้ทำให้พนักงานมากกว่า 2,200 คน ตกอยู่ในความเสี่ยงด้วย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Aurelius บริษัทสัญชาติเยอรมันที่ซื้อ The Body Shop เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาในราคา 207 ล้านปอนด์ (ราว 9,400 ล้านบาท) กล่าวว่า บริษัทไม่สามารถฟื้นฟูกิจการของธุรกิจได้ หลังจากยอดขายที่ตกต่ำในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Aurelius ยืนยันว่าได้แต่งตั้งบริษัทบัญชี FRP Advisory เป็นผู้ดูแลกระบวนการล้มละลาย สร้างความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจที่ก่อตั้งโดย Anita Roddick นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนผู้ล่วงลับไปในปี 1976&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ The Body Shop มีร้านค้าเกือบ 200 แห่งในสหราชอาณาจักร ทั้งยังมีศูนย์กระจายสินค้าและสำนักงานใหญ่อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในแถลงการณ์ ผู้บริหารกล่าวว่า “วันนี้ กรรมการของ The Body Shop International Limited ได้แต่งตั้ง Tony Wright, Geoff Rowley และ Alastair Massey จากบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ FRP เป็นผู้บริหารร่วมของบริษัท ซึ่งจะเข้ามาดูแลธุรกิจของ The Body Shop ในสหราชอาณาจักร”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พวกเขากล่าวว่า บริษัท “เผชิญกับความท้าทายทางการเงินอย่างหนักจากการบริหารของเจ้าของเดิม อีกทั้งสภาพแวดล้อมการซื้อขายของภาคค้าปลีกก็ยากลำบาก” และพวกเขาจะ “พิจารณาตัวเลือกทั้งหมดเพื่อค้นหาหนทางข้างหน้าสำหรับธุรกิจ โดยจะเร่งอัพเดตเจ้าหนี้และพนักงานให้ทันเวลา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเดือนที่แล้ว Aurelius ปิดธุรกิจขายตรง The Body Shop at Home และขายสาขาของตนในยุโรปและบางส่วนของเอเชีย โดยเข้าใจว่าเป็นเพราะผลการดำเนินงานขาดทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แหล่งข่าวหลายรายกล่าวว่า คาดว่าแบรนด์จะสามารถอยู่รอดได้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่อาจมีร้านค้าน้อยลงกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าได้มีการติดต่อขายกิจการให้กับผู้สนใจรายอื่น เช่น Next ซึ่งเป็นนักซื้อกิจการตัวยง ก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อกิจการแบรนด์ต่างๆ ตั้งแต่ Cath Kidston ไปจนถึง Fatface&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมความงามรายหนึ่งกล่าวว่า The Body Shop ไม่ใช่แบรนด์ที่จะสามารถเอาสินค้าไปชั้นของร้านบิวตี้สโตร์หรือดรักสโตร์อื่นได้ จำเป็นต้องขายผ่านสาขาของตัวเองเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าขั้นตอนการผลิตสินค้าอย่างมีจริยธรรมซึ่งเป็นจุดขายของบริษัทจะได้รับการสื่อสารอย่างเหมาะสม&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม การปิดร้านค้าจำนวนมากจะกระทบกับธุรกิจที่เหลือ และถือเป็นก้าวล่าสุดในสถานการณ์ขาลงของกิจการที่ Anita Roddick และสามีของเธอก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการค้าที่ยุติธรรมและยั่งยืนแห่งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Roddick เปิด The Body Shop ร้านแรกในเมืองไบรตันในปี 1976 โดยขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วผ่านรูปแบบแฟรนไชส์และยึดมั่นในหลักศีลธรรมอันเข้มงวด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทยังคงอยู่ภายใต้การเป็นเจ้าของของครอบครัวเป็นเวลาสามทศวรรษ จนกระทั่งพวกเขาขายให้กับบริษัทเครื่องสำอางฝรั่งเศส L'Oreal เมื่อปี 2006 ในราคา 652 ล้านปอนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Roddick เสียชีวิตในปีถัดมา ขณะที่ The Body Shop ก็ยังคงจุดยืนทางจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธสต็อกผลิตภัณฑ์ที่ทดสอบกับสัตว์ ทั้งยังจัดหาส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีการซื้อขายอย่างมีจริยธรรมด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนื่องจากยอดขายและผลกำไรของ The Body Shop ไม่สู้ดี ทำให้ L'Oreal จึงขายธุรกิจนี้ให้กับ Natura ของบราซิล อย่างไรก็ตาม จากนั้นบริษัทก็ไปซื้อกลุ่มเครื่องสำอางที่ขายตามบ้านอย่าง Avon ในปี 2019 ซึ่งเป็นดีลที่ผิดเวลา ทำให้บริษัทมีหนี้ก้อนโตเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด และอัตราดอกเบี้ยก็เริ่มสูงขึ้นทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Natura ตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดหลักในละตินอเมริกาและเคลียร์หนี้ด้วยการขาย Aesop และ The Body Shop โดยมี Aurelius เป็นผู้ซื้อกิจการไปนั่นเอง ที่มา:&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.theguardian.com/business/2024/feb/13/the-body-shop-collapses-into-administration-in-uk" alt="https://www.theguardian.com/business/2024/feb/13/the-body-shop-collapses-into-administration-in-uk">https://www.theguardian.com/business/2024/feb/13/the-body-shop-collapses-into-administration-in-uk</a> ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/han-so-hee-new-loreal-thailand-presenter" alt="นาทีของตัวแม่! &quot;ฮันโซฮี&quot; ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ ลอรีอัล ปารีส ประเทศไทย">นาทีของตัวแม่! "ฮันโซฮี" ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ ลอรีอัล ปารีส ประเทศไทย</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

The Body Shop ใน UK ใกล้ล้มละลาย พนักงาน 2,200 คนยังมืดมน

<h2>จากความสนใจในเรื่องสารสกัดจากธรรมชาติและความต้องการมอบของขวัญในการดูแลผิวพรรณให้กับภรรยา ทำให้ Dr.Michael Kingsley Ackland ศัลยแพทย์จากบอสตัน เดินหน้าพัฒนาวิจัยผลิตภัณฑ์สกินแคร์ สร้างแบรนด์ MKA By Dr.Kingsley ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพเพื่อดูแลสุขภาพผิวชาวเอเชีย โดยมี “โคลนบริสุทธิ์” ที่มีต้นกำเนิดบนเกาะบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ในดินแดนป่าฝนที่ห่างไกลของแคนาดา เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างธุรกิจ</h2> บอสตัน เมืองหลวงของรัฐ Massachusetts ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นแหล่งที่รวบรวมนักวิจัยด้านไบโอเคมีคอลระดับแนวหน้าของโลกและเป็นเวลามากกว่า 30 ปีที่ Ackland ศัลยแพทย์จากเมืองนี้ได้รวบรวมนักวิจัยชั้นหัวกะทิจาก Boston University และ Massachusetts Institute of Technology: MIT เดินหน้าต่อยอดงานวิจัยเมื่อปี 2493 ที่เกี่ยวข้องกับ “โคลนบริสุทธิ์” ซึ่งมีต้นกำเนิดจากดินแดนป่าฝนที่ห่างไกลของแคนาดา ประเทศซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา โดยโคลนเหล่านี้ถูกสะสมและทับถมจากลาวาภูเขาไฟที่เคยประทุเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมาและอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตพำนักของกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง&nbsp;สำหรับกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองโคลนบริสุทธิ์เหล่านี้เปรียบเสมือนเงินตราที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนกันภายในกลุ่ม นอกจากการทำงานด้านศัลยแพทย์แล้ว Ackland ยังชื่นชอบในการสอนด้านการแพทย์ทำให้เขาได้มีโอกาสเดินทางไปทั่วโลกเพื่อสอนวิชาด้านการแพทย์ให้กับมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงประเทศไทยที่ซึ่งเขาเคยเดินทางมาสอนยังมหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และในเวลาต่อมาเขาได้แต่งงานกับภรรยาชาวไทยซื้อบ้านที่เชียงใหม่ใช้ชีวิตราว 6 เดือนระหว่างประเทศไทยและบอสตันและจากความต้องการดูแลผิวพรรณให้ภรรยา Ackland จึงตัดสินใจนำงานวิจัยซึ่งเกี่ยวกับโคลนบริสุทธิ์เมื่อปี 2493 มาปัดฝุ่นอีกครั้ง รวบรวมนักวิจัยคิดค้นและสกัดคุณสมบัติของโคลนบริสุทธิ์ดังกล่าวด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กักเก็บสารอาหาร Microbiome และแร่ธาตุตามธรรมชาติที่อยู่ในโคลนบริสุทธิ์ ซึ่งการคิดค้นและวิจัยดังกล่าวกินเวลายาวนานราว 3 ปี จนได้ผลลัพธ์ที่เขามั่นใจเป็นอย่างมาก&nbsp;เขาจึงเริ่มต้นสร้างแบรนด์ MKA By Dr.Kingsley ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ก่อตั้งและจดทะเบียน บริษัท จันทร์นันนา จำกัด เมื่อปี 2563 ในประเทศไทย “MKA มาจากอักษรแรกของตัวชื่อนามสกุลของผม ในครั้งแรกผมอยากจะใช้ชื่อแบรนด์ว่า perfect 4.0 ซึ่งภาษาในแวดวงการศึกษาวิจัย perfect 4.0 มีความหมายถึงการวิจัยที่สมบูรณ์ เป็นชื่อที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สกินแคร์ แต่เมื่อเสนอชื่อให้คนใกล้ตัวกับไม่มีใครเห็นด้วยเพราะคนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจ” Ackland กล่าว <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px; width: 650px;"><img class="wp-image-69286 size-full aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/09/MKA-By-Dr.Kingsley.jpg" alt="" data-origin="650,337" data-proportion="true" data-size="650px,337px" data-align="none" data-file-name="MKA-By-Dr.Kingsley.jpg" data-file-size="0" style="width: 650px; height: 337px;" data-index="0" origin-size="650,337"></figure></div> จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แผนในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของเขาถูกเลื่อนออกและเมื่อต้นปี 2565 เขาจึงได้ทำการตลาดเปิดตัวผลิตภัณฑ์สกินแคร์ 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยเป็นแห่งแรก โดยผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีส่วนผสมจากโคลนบริสุทธิ์เป็นหลัก ซึ่งหลังจากการเปิดตัวในประเทศไทยแล้วเขากำลังศึกษาและเตรียมทำตลาดในฟิลิปปินส์ ประเทศอื่นๆ ในกลุ่มตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึง เกาหลีใต้ Ackland มีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของส่วนผสมที่เขาได้คิดค้น แต่จุดเด่นหนึ่งที่เขามองว่าเป็นจุดเด่นหลักและเป็นความแตกต่างระหว่างแบรนด์ MKA By Dr.Kingsley กับแบรนด์อื่นๆ คือความลงตัวของส่วนผสมต่างๆ จากธรรมชาติที่นำมาผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเกิดเป็นผลลัพธ์อันดีสำหรับบำรุงผิวและเขาคิดว่าเขาทำมันได้ดี ซึ่งเงินลงทุนหลักแสนเหรียญสหรัฐฯ ที่เขาได้ลงทุน หมดไปขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาเป็นส่วนใหญ่ “ผมได้ทำการทดลองระหว่างการนำสกินแคร์ที่มีโคลนบริสุทธิ์กับไม่มี มาเปรียบเทียบหาผลลัพธ์และพบว่าสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของโคลนมีประสิทธิภาพในการดูแลผิวอย่างมีนัยยะและช่วยสภาพผิวให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น” Ackland กล่าวย้ำหลังจากที่ส่วนผสมของทั้ง 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ Ackland เริ่มต้นเดินหน้าหาผู้ผลิตครีมในประเทศไทยเพื่อทำการผลิต แต่สิ่งที่เขาพบคือสูตรลับของเขาปัดทิ้งและโรงผู้ผลิตนำเสนอสูตรจากโรงงานแทน แม้ทำให้เขาหัวเสียไปบ้างแต่สุดท้ายเขาก็ได้ค้นพบผู้ผลิตครีมที่สามารถผลิตสกินแคร์ตรงตามสูตรทั้งยังให้คำแนะนำด้านในการผลิต&nbsp; “ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดส่วนมากก็คงมีส่วนผสมของวัตถุดิบที่เหมือนกันแค่ปิดฉลากแบรนด์ที่แตกต่างกัน” Ackland แสดงความคิดเห็น ด้านแผนการตลาดในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ MKA By Dr.Kingsley ระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ เขาต้องการสร้างแบรนด์ให้เข้มแข็ง เป็นแบรนด์ที่มีส่วนผสมช่วยเยียวยาและบำรุงผิวในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งการสร้างแบรนด์ในราคาที่จับต้องได้ทำให้เลือกทำการตลาดผ่านออนไลน์โดยมี เว็บไซต์ และ Facebook Fanpage เป็นช่องทางหลักในการสื่อสารกับผู้บริโภค ทั้งยังจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง ช้อปปี้, ไลน์แอท เป็นต้น “หากเรามีร้านสโตร์จะทำให้ราคาขายของสินค้าเพิ่มสูงมาก ขณะที่ส่วนผสมเราส่งตรงจากห้องผลิตและวิจัยในบอสตัน ออนไลน์มาร์เก็ตติ้งจึงช่วยให้ผู้บริโภคกลุ่ม Mid-luxury สามารถซื้อสินค้าในราคาที่เขาจับต้องได้” หลังจากเปิดตัวผลิตภัณฑ์สกินแคร์สำหรับผู้หญิงแล้วเขาเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์สกินแคร์สำหรับผู้ชาย เนื่องจากผิวพรรณผู้ชายแตกต่างจากผู้หญิงคาดว่าจะเปิดตัวราวปีหน้าในฐานะศัลยแพทย์ แพทย์ผู้ผ่าตัด มาตลอดชีวิตการทำงานมากกว่า 30 ปี เขาคุ้นเคยกับยาสังเคราะห์จากศาสตร์การผลิตแบบตะวันตก แน่นอนว่าศาสตร์จากวิทยาศาสตร์แบบตะวันตกกับศาสตร์การรักษาที่นำวัตถุดิบจากธรรมชาติมารักษาเป็นศาสตร์ที่แตกต่างกันตามความเชื่อ สำหรับความเชื่อในเรื่อง “การรักษาโดยธรรมชาติ” ถูกซึมซับตั้งแต่วัยเด็กจากแม่ของเขาซึ่งชาวตะวันตกน้อยคนนักที่เชื่อแบบนั้นในเวลานั้น ทุกครั้งที่เดินทางไปยังประเทศต่างๆ เขาจึงสนใจในการรักษาจากธรรมชาติของท้องถิ่นนั้นๆ“ยาที่ได้มาจากการสังเคราะห์ควรจะถูกนำมาใช้เป็นสิ่งสุดท้าย สิ่งที่ควรทำคือการดูแลสุขภาพ หลีกห่างจากอาหารจานด่วน หลีกเลี่ยงแสงแดด ออกกำลัง จะช่วยให้สุขภาพร่างกายและผิวพรรณแข็งแรง แม้ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องยากก็ตาม” ใน 3-5 ปีข้างหน้า Ackland อยากเห็น MKA By Dr.Kingsley เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคเลือกใช้จากเหตุผลในเรื่องคุณภาพของแบรนด์และกล่าวทิ้งท้ายว่า “อยากให้ผู้บริโภคศึกษาสกินแคร์ที่มาจากธรรมชาติด้วยตัวของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์สินค้าใดๆ ก็ตามในท้องตลาดเพื่อให้รู้จักและเข้าใจที่มาของกระบวนการผลิตของแบรนด์นั้นๆ อย่างแท้จริง”ภาพ: MKA By Dr.Kingsley อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/people/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%8a%e0%b8%8a%e0%b8%b2-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b8%e0%b8%a5-%e0%b8%99%e0%b8%b3%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b8%8a%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%9b.html">นัชชา โอภากุล นำแพชชั่นปั้น JUX. ธุรกิจสกินแคร์รักษ์โลก</a><hr><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก&nbsp;Forbes Thailand Magazine</a>&nbsp;&nbsp;&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events